Foriegn Trainee

  • Uploaded by: Nattapol Kengkuntod
  • 0
  • 0
  • May 2020
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View Foriegn Trainee as PDF for free.

More details

  • Words: 3,660
  • Pages: 15
 

1

บทความจากนักศึกษาชาวตางชาติ 2 คนที่มาฝกงานที่สสส.

ภาพสะทอนแหงการเสริมพลังอํานาจ โดย อมีเลีย สเตนจ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยอินเดียนา สหรัฐอเมริกา

 

Highlight

ทายที่ สุดแลว เปาหมายที่วางไวโดยองคการอนามัยโลก กลาวไวอยางชัดเจน ในเรื่องการสรางเสริมสุขภาพ นั่นก็คือ “เปนกระบวนการแหงการเสริมพลัง อํานาจใหแกผูคน เพื่อการเพิ่มการควมคุมและปรับปรุงสุขภาพของพวกเขา” (องคการอนามัยโลก พ.ศ. 2529) มันปราศจากขอสงสัยเลยวา นีค ่ อ ื เปาหมาย ปฐมภูมิของ สํานกงานกองทุนสนับสนุนการสรางเสริมสุขภาพ  

การเสริมพลังอํานาจเปนเรื่องที่ซับซอนและเปนหัวขอที่สมควรไดรับการใสใจจากเราใน ฐานะผูทํางานสรางเสริมสุขภาพ ในฐานะที่ สสส. เปนองคกรที่กําลังเจริญเติบโตและ วิ วั ฒ น สสส.ต อ งตระหนั ก ว า การเสริ ม พลั ง อํ า นาจเป น หลั ก ศิ ล าเพื่ อ ให ค งอยู ไ ด อ ย า ง จําเปนที่สุดและมีประสิทธิผลในสภาพแวดลอมทางสุขภาพที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา นัย ของการเสริ ม พลัง อํา นาจที่ใ ช ป ระยุ กต กั บ การสร า งเสริ ม สุ ข ภาพได รั บ อิ ทธิ พ ลจาก พลวัตของการเสริมพลังอํานาจที่เกี่ยวกับปจเจกบุคคลและจิตวิทยา รวมทั้งปจจัยอื่น ๆ ที่พบไดในการปฏิบัติการทางการเมืองและชุมชน (ริซเซิล, 2537) โดยการระลึกถึงความ แตกตางและองคประกอบที่ประยุกตใชกับผูเชี่ยวชาญทางการสรางเสริมสุขภาพเปนสิ่งที่ บทความฉบับนี้มุงเจาะจงเปนการเฉพาะ มันเปนไปไมไดที่จะหนีความจริงในเรื่องธรรมชาติการมีอยูของระบบราชการในเรื่องการ สร า งเสริม สุ ข ภาพ อั น เนื่ อ งมาจากข อ เท็ จ จริ งที่ ว า มั น เป น ตั ว แทนในบางรู ป แบบของ อํานาจหนาที่ การดูแลโดยใกลชิดมีความจําเปนเพื่อที่จะไดไมตองเขาไปยุงเกี่ยวในการ ใชยุทธศาตรเสริมพลังอํานาจที่ซึ่งปฏิบัติการจากตําแหนงลดทอนพลังอํานาจแบบบนลง ลาง (top‐ down disempowering position) มันเปนหัวขอวิพากษวิจารณตอการตั้งคําถามวา

 

2

การเสริมพลังอํานาจเปนสิ่งที่เปนไปไดในสถานการณตาง ๆ ที่อํานาจจะไดถูกสงมอบสูผู ที่ไมมีอํานาจ (ริซเซิล, 2537)  

กรูเบอรและทริคเกต (2530) ทาทายความเขาใจที่เกี่ยวกับการเสริมพลังอํานาจแกผูอื่น โดยกลาววา “มีความขัดแยงกันในตัวมันเองระดับฐานรากตอแนวคิดที่วาผูคนใหพลัง อํานาจแกผูอื่น เหตุเพราะวา ที่ที่โครงสรางสถาบันอันวางกลุมคนกลุมหนึ่งในตําแหนงที่ ใหการเสริมพลังอํานาจได ในขณะเดียวกันก็ทําหนาที่บอนทําลายการปฏิบัติการเสริม พลังอํานาจดวยเชนกัน” ในทางตรงกันขาม สวิฟทและเลวิน (พ.ศ. 2530) โตแยงวา ไมมีสิ่งใดถูกนิยามในเรื่อง การเสริ ม พลั ง อํ า นาจด า นจิ ต วิ ท ยาที่ บ อกเป น นั ย ว า การเสริ ม อํ า นาจแก ค นกลุ ม หนึ่ ง เกิ ดขึ้นไดด ว ยการเสี ย อํ า นาจของคนอี กกลุม หนึ่ ง โดยความจํ าเป นแล ว การเสริ ม พลั ง อํานาจที่แทตองทําใหเกิด สถานการณ ชนะหรือไดทั้งสองฝาย (win-win situation) แมวาสิ่งนี้อาจจริงในแงปจเจกบุคคลและในแงจิตวิทยา ในทางการเมืองที่ที่ทรัพยากร ทั้งหลายเปนเรื่องสําคัญตอความสําเร็จของชุมชนหรือองคกร กลุมที่ตั้งมั่นอาจพบความ ทาทายหลายอยางในเรื่องของการที่จะสละการควบคุมทรัพยากรตาง ๆ ที่มีความจําเปน เพื่อแบงปนความมั่งคั่งแหงการเสริมพลังอํานาจ ทายที่ สุดแลว เปาหมายที่วางไวโดยองคการอนามัยโลก กลาวไวอยางชัดเจนในเรื่อง การสร า งเสริ ม สุ ข ภาพ นั่ นก็ คือ “เปน กระบวนการแห งการเสริ ม พลั งอํ านาจให แก ผูค น เพื่อการเพิ่มการควมคุมและปรับปรุงสุขภาพของพวกเขา” (องคการอนามัยโลก พ.ศ. 2529) มันปราศจากข อสงสัยเลยวา นี่คือเปาหมายปฐมภูมิของ สํานกงานกองทุ น สนับสนุนการสรางเสริมสุขภาพ (สสส.) การเสริมพลังอํานาจเปนเรื่องที่ซับซอนและเปนหัวขอที่ถูกมองวาเปนรากเหงาของการ เคลื่อนไหวในเรื่องสิทธิพลเมืองทั่วโลก กลาวคือ ในทางประเทศตะวันตก ในเรื่องของ การเรียกรองเพื่อสิทธิสตรี และอุดมการณการปฏิบัติการทางสังคมในยุค 1960 (อิงและ คณะ พ.ศ. 2535) มันถูกวางกรอบอีกครั้งไปสูการเคลื่อนไหวเพื่อการชวยเหลือตนเอง (Self help movement) ในยุค 1970 และจิตวิทยาชุมชน ในยุค 1980 ในฐานะที่เปน ทฤษฎีหลัก (รัพพาพอรต พ.ศ. 2530) รัพพาพอรต อรรถาธิบายการเสริมพลังอํานาจ วา เปนการเพิ่มพูนความเปนไปไดเพื่อผูคนจะไดควบคุมชีวิตของพวกเขาเอง คํานิยามอื่น ๆ มีดังนี้ •

การเสริ ม พลั งอํ านาจเป นกระบวนการหรื อ กลไก โดยที่ ป ระชาชน องค ก ร และ ชุ ม ชน ได รับ ฐานะเจ า นายควบคุม ดู แ ลชี วิ ต ของตนเอง (รั พ พาพอร ต และคณะ พ.ศ. 2527) 



การเสริมพลังอํานาจเปนกระบวนการผานทางประชาชนที่กลายเปนผูที่เขมแข็ง เพียงพอที่จะมีสวนรวมกับ, แบงปนการควบคุมในเรื่อง และมีอิทธิพลตอ เหตุการณและสถาบันที่กําลังสงผลกระทบตอชีวิตพวกเขา (ทอรเรส 2529)

 

3



โดยทั่ ว ไป การเสริ ม พลั ง อํ า นาจทางจิ ต วิ ท ยาอาจได รั บ การมองว า เป น การ เชื่อมโยงระหวาง ความรูสึกของความสามารถในบุคคล รวมทั้งความปรารถนา เพื่อ และความมุงมาตรที่จะลงมือกระทําในพื้นที่สาธารณะ (ซิมเมอรแมนและรัพ พาพอรต 2531)



ความสามารถที่จะปฏิบัติการแกปญหาตาง ๆ อยางรวมไมรวมมือกัน เพื่อสราง อิทธิพลในประเด็นสําคัญตาง ๆ (คารีและไมเคิล 2534)



เปนกระบวนการหนึ่งที่รวมเอาการปฏิบัติการทางสังคมที่เกี่ยวพันการมีสวนรวม ของประชาชน องค ก รและชุ ม ชน ต อ เป า หมายร ว มแห ง การควบคุ ม ในป จ เจก บุคคลและชุมชนที่เพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพทางการเมือง คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและ ความยุติธรรมในสังคม (วอลเลอรสไตน 2535)

คํายามที่ทันสมัยกวานี้ ตามที่ถูกนําเสนอโดย สวิฟทและเลวิน (2530) ฉายภาพสะทอน ความแตกต า งที่ สํ า คั ญระหว า ง ประสบการณ สว นตั วในเรื่ อ งการเสริ ม พลั งอํ า นาจด า น จิ ต วิ ท ยาและความจริ ง ที่ ไ ม ลํ า เอี ย งของการจั ด สรรทรั พ ยากรอี ก ครั้ ง เพื่ อ ปรั บ สภาพ เงื่อนไขเชิงโครงสรางและสภาพแวดลอม อีกหนึ่งคํานิยามที่ถูกนําเสนอโดยทอรเร ในป พ.ศ. 2529 (Torre , 1986) วามี องคประกอบอันจําเปนสามอยางของสมรรถนะชุมชนหรือการเสริมพลังอํานาจ อยางแรก ที่ถูกอรรถาธิบายก็คือ องคประกอบระดับจุลภาค (Micro factor) ที่แนะนําวาตองมีการ อยูดวยในฐานะปจเจกบุคคลแหงสังคมที่ไดรับบทบาทลักษณะในแงของ การรูตระหนัก ถึงคุณคาแหงตนและประสิทธิภาพในตนเอง ดังที่ไดนิยามโดยบันดูรา (2525, 2529) องคประกอบที่สองก็คือ โครงสรางที่เรียกวา ‘โครงสรางเพื่อการไกลเกลี่ย’ ที่สนับสนุน กลไกของกลุม ในอันที่มวลสมาชิกมีสวนรวมอยางแข็งขันในการแบงปนความรูและการ ยกระดับความตระหนักรูในเชิงวิจารณญาณ (ฟริเอเร, 2516) องคประกอบที่สามก็คือ องคประกอบระดับมหภาค (Macro’  component)  ที่ใหความสําคัญ ตอความจําเปนสําหรับกิจกรรมทางสังคมและทางการเมือง เพื่อใหภาคสวนทั้งสองมีการ เสริมพลังอํานาจทั้งในระดับองคกรและชุมชน มันถูกบอกเปนนัยโดย ทอรเร วามันเปน การทํางานผานการเสริมพลังซึ่งกันและกัน (synergy) ของทั้งสามองคประกอบในการที่ จะทําใหการเสริมพลังอํานาจถูกทําใหเกิดขึ้นจริง กลาวอีกครั้งหนึ่งวา สิ่งนี้บอกเปนนัยวา เมื่อถึง ณ หวงเวลาหนึ่งที่ปจเจกบุคคลจับถึงได ในการตระหนักรูเชิงวิจารณญาณ ที่เขาและเธอรูสึกวาไรพลัง สิ่งนี้ทําใหองคประกอบที่ สองปรากฎขึ้น ในการกอใหเกิดใหเกิดความรูสึกแปลก ๆ ที่กระตุนปฏิสัมพันธ ผูที่มี แนวคิดอยางเดียวกัน อันนําไปสูความพยายามทีผ ่ นวกกันเขา และสิ่งนั้นก็นําไปสูการ จุดชนวนการเปลี่ยนแปลงที่จําเปนภายในโครงสรางทางสังคม

 

4

กรีน (2529) เรียกสิ่งนี้วาการมีสวนรวมและอิทธิพลในความพยายามของชุมชนเปนขั้น สําคัญสําหรับ การเสริมสรางพลังอํานาจทั้งทางดานจิตวิทยาและดานชุนชน การมีสวน รวมในแบบปฏิบัติการรวมกันยังเปนสะพานไปสูความรูสึกของชุมชนที่ใหญยิ่งขึ้นอันมีนัย ดานบวกที่สามารถกาวไปไกลยิ่งขึ้นสําหรับประเด็นดานสุขภาพและการเสริมพลังอํานาจ อีกดวย (วอลเลอรสไตน, 2535) แม ว า งานเขี ย นที่ อ า งไม ไ ด แ นะในเรื่ อ งหลั ก ฐานว า การเสริ ม พลั ง อํ า นาจในแง ข อง จิตวิทยามีสวนเกี่ยวของโดยตรงกับการปรับปรุงคือเรื่องสุขภาพทางกาย มันก็ไดรับการ พิสูจนแลววา งานเขียนไดรายงานใหเห็นถึงความรูสึกแงประสบการณของผูที่ไมมีพลัง อํานาจตอรองกําลังประสบภาวะสุขภาพที่ย่ําแย (สมิทธิ์ 2533, ลาบอนเต 2535) ดังนั้นคําถามก็คือ อะไรเลาคือบทบาทของการเสริมพลังอํานาจในแงของการสรางเสริม สุขภาพ ? การเสริมพลังใหผูคนเพื่อที่จะไดเพิ่มพูนใหมีการควบคุมสุขภาพของพวกเขา แนะใหเห็นวา ปฏิบัติการบางอยางและอํานาจหนาที่บางอยาง รูปแบบความรับผิดชอบ ทางสังคมตองการการประเมินผลตนเองเปนระยะ ๆ ในฐานะที่เปนนักสรางเสริมสุขภาพ และในฐานะที่ เป นกองทุ น เพื่ อ การสร า งเสริ ม สุ ข ภาพ การธํ า รงรั ก ษาเปา หมายในการ เอื้ออํานวยใหเกิดผลอยู เหนือกวาทิ ศทางที่จะไปจึงเปนหัวข อที่ตองดําเนินตอไปของ ภาพสะทอนอันนี้ ในบทความฉบับตอไป จะไดมีบทสรุปในโมเดลรูปแบบหนึ่ง เพื่อทบทวนดูวา การจัดหา วิธีการที่ซึ่งคนทํางานเชน เจาหนาที่ สสส. ที่ทําหนาอุทิศตนในการสรางเสริมสุขภาพ และเสริ ม พลั ง ผู อื่ น ให เ พิ่ ม พู น การควบคุ ม เหนื อ สุ ข ภาพของพวกเขาเหล า นั้ น สามารถ ดํ า เนิ น งานตามรหั ส ที่ สั ญ ญาว า เราทํ า ตามบทบาทหน า ที่ อ ย า งดี ที่ สุ ด และใน กระบวนการ โปรดใหการสนับสนุนเรา เพื่อทําใหการเสริมพลังอํานาจที่แทจริงประสบ ความสําเร็จ

References: Bandura, A. (1986) Social Foundations of Thought and Action. Prentice Hall, Englewood Cliffs, NJ. Eng, E., Salmon, M.E. and Mullan, F. (1992) Community empowerment: the critical base for primary healthcare. Family and Community Health. 15, 1-12. Friere, P. (1973) Education for Critical Consciousness. Press, New York.

Seabury

Green, L., (1986) The theory of participation. Advances in Health Education and Promotion. 1, 211-236.

 

5

Gruber, J. and Tricket, E.J. (1987) Can we empower others? The paradox of empowerment in governing an alternative school. American Journal of Community Psychology. 15, 353-372. Kari, N. and Michels, P. (1991) The Lazarus Project: the politics of empowerment. The American Journal of Occupational Therapy, 45, 719-725. Labonte, R. (1992) Heart health inequalities in Canada models, theory and planning. Health Promotion International, 7, 119128. Rappaport, J. (1981) In praise of paradox: a social policy of empowerment over prevention. American Journal of Community Psychology. 9, 1-25. Rappaport, J. (1987) Rerms of empowerment /examples of prevention: towards a theory of community psychology. American Journal of Community Psychology. 15, 121-147. Rappaport, J. (1985) The power of empowerment language. Social Policy. 16, 15-21. Rappaport, J. and Swift, C. and Hess, R. (1984) Studies in Empowerment: Steps Toward Understanding and Action. Haworth, New York. Rissel, C., (1994) Empowerment: the holy grail of health promotion? Health Promotion International. 9(1), 39-46. Smith, T. (1990) Poverty and health in the 1990’s. British Medical Journal. 301, 349-350. Swift, C., Levin, G. (1987) Empowerment: an emerging mental health technology. Journal of Primary Prevention. 8, 71-94. Torre, D. A., (1986) Empowerment: structured conceptualization and instrument development. PhD dissertation, Cornell University. Wallerstein, N. (1992) Powerlessness, empowerment, and health: implications for health promotion programs. American Journal of Health Promotion. 6, 197-205.

 

6

World Health Organization (1986) Ottawa Charter for Health Promotion, First International Health Promotion Conference. Ottawa, Canada. Zimmerman, M.A. and Rappaport, J. (1988) Citizen participation, perceived control, and psychological empowerment. American Journal of Community Psychology. 16, 725-743.

Reflections on Empowerment

Amelia Stange

Empowerment is a notion that is complex and is a topic deserving of our attention as health promoters. As a thriving and evolving Health Promotion organization, Thai Health must realize that empowerment is a cornerstone to remaining vital and effective in an ever-changing health environment. The implications of empowerment as applied to health promotion are influenced by the dynamics of individual and psychological empowerment, as well as those found in political action and community (Rissel, 1994). Recognizing the differences and the elements that apply specifically to health promotion specialists is the focus of this article. It is impossible to escape the bureaucratic nature of health promotion due to the fact that it represents some form of authority. Special care is required to not engage in the use of empowerment strategies that operate from a top- down disempowering position. It is the topic of some critics to question whether empowerment is possible in circumstances where power is rendered to those who have no power (Rissel, 1994). Gruber and Tricket (1987) challenge the notion about empowering others by stating “there is a fundamental paradox in the idea of people empowering others because the very institutional structure that puts one group in position to empower also works to undermine the act of empowerment”. On the other hand Swift and Levin (1987) argue that there is nothing defined in psychological empowerment that implies that one group’s empowerment comes at the expense of another, in essence, true empowerment renders a “win-win” situation. Although this may be true in the individual and psychological sense, in the political arena where resources are significant to the success of the community or organization, entrenched groups may find challenges

 

7

in relinquishing control of necessary resources in order to share the wealth of empowerment. Ultimately, the goal set forth by the World Health Organization plainly states that health promotion is “the process of enabling people to increase control over, and to improve their health” (World Health Organization, 1986). It is without question that this is a primary goal of Thai Health Promotion Foundation. Empowerment is a notion that is complex and is a topic that has been seen in the roots of civil rights movements around the world, namely in the west in the women’s rights movement and ‘social action’ ideology of the 60’s (Eng et al 1992). It was reframed in the ‘self-help’ movement of the70’s and in community psychology in the 80’s as a principle theory (Rappaport ,1987). Rappaport described empowerment to be ‘to enhance the possibility for people to control their own lives’. Further definitions include: •





• •

Empowerment is the process or mechanism by which people, organizations and communities gain mastery over their lives (Rappaport et al, 1984) Empowerment is a process through which people become strong enough to participate within, share in the control of and influence, events and institutions affecting their lives (Torres, 1986) Psychological empowerment in general may be viewed at the connection between a sense of personal competence, as well as a desire for and a willingness to take action in the public domain (Zimmerman and Rappaport, 1988). The ability to act in solving problems collectively in order to influence important issues (Kari and Michaels, 1991). A process involving social action that involves the participation of people, organizations and communities towards common goals of increased individual and community control, political efficacy, improved quality of life and social justice (Wallerstein, 1992).

More recent definitions as offered by Swift and Levin (1987) reflect an important distinction between the subjective experience of psychological empowerment and the objective reality of reallocating

 

resources in order to modify structural conditions.

8

and environmental

It is proposed by Torre, (1986) that there are three essential components of community capacity, or empowerment. The first is described as the ‘micro’ factor which suggests that there must be present in the individuals of a given society aspects of self esteem and self efficacy as defined by Bandura, (1982, 1986). In addition, ‘mediating structures’ which support group mechanics whereby members actively participate in sharing knowledge and raising critical consciousness (Friere, 1973). The third factor is the ‘macro’ component that recognizes the need for social and political activities in order for there to be empowerment within an organization or community. It is implied by Torre, that it is through the synergy of these three components that empowerment is realized. Rephrased, this implies that at some point an individual reaches the critical consciousness that he or she is powerless; this evokes the second component of stirring strange feelings that provoke interaction with like minds, which leads to combined efforts that are then activated into necessary change within the social structure. It is recognized by Green (1986), that participation and influence in community efforts is an important stage for both psychological and community empowerment. Participation in collective action is also the bridge a greater ‘sense of community which has far reaching positive implications for both health and empowerment (Wallerstein, 1992). Although the literature does not suggest evidence that empowerment in the psychological sense is directly related to improvement is physical health, it is proven that those reporting experiencing feelings of powerlessness experience worse health (Smith, 1990; Labonte, 1992). So the question is; what is the role of empowerment in terms of health promotion? ‘Enabling’ people to increase control over their health suggests some action and some authority. This form of social responsibility requires constant self evaluation as health promoters and as a health promotion foundation. Maintaining the goal of facilitation over direction is an ongoing topic of reflection. In an upcoming article there will be a summary of a model to review that provides the means by which those of us who are

 

9

committed to the promotion of health and enabling others to increase control over their health can have a code for which to live by that promises we do our best and in the process, supports us in the prospect of achieving true empowerment. References 1. Subhatra Bhumiprabhas & Aree Chaisatien. The case for equality. Retrieved June 16, 2009. Available at http://www.nationmultimedia.com/2009/03/09/lifestyle/lifestyle_30 097392.php

2. Ouyporn Khuankaew. Feminism and Buddhism: A Reflection through Personal Life & Working Experience. Retrieved June 15, 2009. Available at http://www.bpf.org/tsangha/ouyporn.html

3. Rob Moodie, et at., Infrastructures to promote health: the art of the impossible. Victorian Health Promotion Foundation, Melbourne, Australia, p. 3.  

จดหมายถึงเพื่อนพี่สาวและนองสาวของขาพเจา

Highlight

ขาพเจาเห็นวา สตรีเหลานี้เปนดัง ่ มิตร ขาพเจาไดพบปะกับ เหลาอาจารย แหง “ศิลป” ของการสรางเสริมสุขภาพ “ศิลป” นี้ รวมเอาการสรางกลุม การเจรจา ตอรอง การสนับสนุนดานสาธารณะ ความเปนภาคี การสือ ่ สาร และทักษะในการ นําเสนอ

สวัสดีเพื่อนพี่สาวและนองสาวของขาพเจา,

ฉั น เคยเชื่ อ ว า บรรดาพี่ ส าว น อ งสาว ป า น า อา มารดา และย า ยายชาวเวี ย ดนามได ทํ า งานหนั ก จนเกิ น ไปและเสี ย สละตนเองเพื่ อ เหตุ ผ ลที่ ห าดี ไ ม ไ ด เ ลย ข า พเจ า อํ า ลา

 

10

เวี ย ดนามเมื่ อ แปดป ที่ แ ล ว เพื่ อ พิ สู จ น ใ ห ค นเหล า นั้ น เห็ น ว า ข า พเจ า รู จั ก ที่ จ ะใช ชี วิ ต ที่ ดีกวาอยางไร

ความประทับแรกเมื่อขาพเจามาถึงกรุงเทพ ฯ ปลายเดือนพฤษภาคม 2552 ก็คือขาพเจา รูสึกเหมือนวา ขาพเจากําลังกลับบานที่เวียดนาม ทั้งซอยเล็กซอยนอย ถนนสายตาง ๆ โปรยปรายละลานตาไปดวยพอคาแมขาย คนเดินเทาและรถยนตสัญจรไปมา คนขายของส ว นใหญ เ ป น ผู ห ญิ ง ข า พเจ า เห็ น ผู ห ญิ ง ทุ ก ที่ เ ลย (เราเห็ น ในสิ่ ง ที่ เ รา ตองการจะเห็น ใช ไ หมคะ ) และเขาทั้งหลายก็ กํ า ลังยุงอยู กั บ การทํางานหาเชา กินค่ํ า ประเภทเขางานเกาโมงเชาเลิกงานหาโมงเย็น บวกกับงานที่ไมมีวันหยุดประเภท ทํางาน วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงและทํามันทั้งเจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห เพื่อดูแลครอบครัวของพวกเธอ (สิ่งหนึ่งที่ตางกันเล็กนอยก็คือ ผูหญิงไทยยิ้มและหัวเราะบอยครั้งมากกวา ตองเปนสิ่งนี้ นี่เองที่ชวยขจัดปดเปาความเครียดและแรงกดดันจากชีวิตสมัยใหมที่พวกเธอกําลังแบก รับภาระอยู) ความทรงจําทั้งหมดของขาพเจาที่เกี่ยวกั บเวียดนามกลับหวนคื นมาระคนกับความคั บ แคนในอุรา ขาพเจาถูกผจญใหโยนคําวิพากษวิจารณอันเดิมอีกคราหนึ่ง คําวิจารณที่วา ข า พเจ า คิ ด ว า บรรดาน อ งสาว พี่ ส าว ป า น า อา มารดา และย า ยาย ทํ า งานหนั ก จนเกินไป และการเสียสละของพวกเธอก็เพื่อเหตุผลที่ไมไดความเอาเสียเลย ขาพเจา เรียนรูบทเรียนเกี่ยวกับวิถีแบบไทย ซึ่งไดเปลี่ยนความคิดเห็นของขาพเจาเกี่ยวกับผูคน และชีวิตรอบ ๆ ตัวขาพเจาอยางรวดเร็ว นับไดสองสัปดาหที่ทํางานกับ สสส. ขาพเจาไดพบสตรีจํานวนมากมายผูซึ่งสรางความ ประทับใจใหแกขาพเจาดวยพรสวรรคของพวกเธอ และบุคลิกภาพที่มีเสนหและเต็มไป ดวยพลังรวมทั้งความคิดสรางสรรค การทํางานของพวกเธอเกี่ยวพันกับการพบปะติดตอ กับนักการเมืองโดยตรงและตอเนื่อง ในหวงปที่แปด ของ สสส. ระดับของการสนับสนุนเชิงสาธารณะที่เขาไปเกี่ยวพัน โปรแกรมตาง ๆ เปนพัน ๆ สสส. สนับสนุนและริเริ่ม เพื่อโปรโมท การรับนําไปใช ใน เรื่องพฤติกรรมที่ดีตอสุขภาพในหมูชนชาวไทย ชวยนําเสนอบทเรียนหลากหลาย เกี่ยวกับการสรางเสริมสุขภาพในเชิงปฏิบัติการเพื่อผูเขาเยี่ยมชมที่เปนนักวิชาชีพดาน สุขภาพชาวตางชาติไดเขาใจ

ขาพเจาเห็นวา สตรีเหลานี้เปนดั่งมิตร ขาพเจาไดพบปะกับ เหลาอาจารย แหง “ศิลป” ของการสรา งเสริ มสุขภาพ “ศิ ลป” นี้ รวมเอาการสรางกลุม การเจรจาตอรอง การ สนับสนุนดานสาธารณะ ความเปนภาคี การสื่อสาร และทักษะในการนําเสนอ การเผยแพรแบงปนของพวกเธอสูการพัฒนาและการธํารงรักษา งานของ สสส. เปนสิ่งที่ มี คุ ณ ค า ที่ ห าที่ สุ ด มิ ไ ด ด ว ยอั ต ราส ว นของสตรี เ พศและบุ รุ ษ เพศที่ สามต อ หนึ่ ง หรื อ แมกระทั่ง สี่ตอหนึ่ง ณ สสส. ขาพเจากําลังทําหนาที่เปนประจักษพยานภาคปฏิบัติการ แหง “หลักการเสมอภาคของสตรี” ในสมัยใหม ในรูปแบบวิถีของ สสส. หลักการเสมอ

 

11

ภาคของสตรี เปนถอยคําที่ชวนใหเกิดการโตแยง และก็มีความหมายหลายอยาง แตสิ่ง ที่ ข า พเจ า หมายถึ ง ในที่ นี้ ก็ คื อ การมี ส ภาพแวดล อ มที่ เ ป ด สภาพแวดล อ มที่ ส ตรี เ พศ สามารถพัฒนาศักยภาพและความสามารถของเธอ และทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยปราศจากพันธการขวางกั้น โปรดอยาเขาใจขาพเจาผิด ขาพเจาก็ชอบผูชายมาก หากแตขาพเจานับถือผูหญิงเสมอ! และข า พเจ า เห็ น ด ว ยกั บ ผู ที่ คิ ด ว า ประเด็ น เรื่ อ งเพศเป น เรื่ อ งที่ เ กี่ ย วกั บ อํ า นาจ เมื่ อ กลาวถึงเรื่องอํานาจ เราก็ตองสัมผัสใหถึงแกนของความเปนมนุษย ประวัติศาสตรไทย แสดงใหเห็นวา ผูหญิงไทยมีความมั่นใจในความสามารถของตนใน การที่ จ ะทํ า ให สิ ท ธิ์ ใ ห เ สี ย งของตนได ยิ น รวมถึ ง การใช อํ า นาจของผู ห ญิ ง อย า งชาญ ฉลาด ในป พ.ศ. 2348 ในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก อําแดงปอม ไดขอรอง ตุ ล าการท า นหนึ่ ง เพื่ อ การอนุ ญ าตให เ ธอได ห ย า ร า งกั บ สามี และหล อ นก็ ป ระสบ ความสําเร็จ .ในป พ.ศ. 2408 ในรัชสมัยพระจอมเกลาเจาอยูหัว อําแดงเหมือน อายุอา นาม 21 ป ได ทํ า ตามเสี ย งหั ว ใจเรี ย กร อ ง และเลื อ กสามี ที่ เ ธอรั ก เอง องค พระมหากษัตริยก็ทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบตามอําแดงเหมือน ในป พ.ศ. 2472 นาง สนม ชื่อวา ภัทรา ไดลุกขึ้นสูกับการกดขี่ข มเหงภายในวั งทามกลางหมู ชนชั้นสูง นาง สนมภัทรา นําเรื่องเขาสูศาล องคพระมหากษัตริยทรงทราบเรื่องก็ไดทรงเขาชวยแกไข ปญหา ขาพเจาขอใชการอางอิงของผูอื่น ขาพเจาต องการที่จะทิ้งคํากล าวอันหนึ่งไว กับทา น “มัน เป น เรื่ อ งน าสนใจที่ ได เห็น ผูห ญิง อย า ง อํ า แดงป อม อํ า แดงเหมื อน และนางสนม ภัทรา ยืนหยัดปฏิเสธประเพณีในสังคมที่ผูชายเปนใหญไดอยางไร คําถามหลายขอยัง ตราตรึง อยูวา อะไรหรือที่จุดใหไฟแหงความกลาของพวกเธอติด มีไหมหนอ ที่ผูหญิง ในกาลปจจุบันจะมีความกลาหาญเชนนั้น หรือวา ความกลาหาญไดถูกบั่นทอนโดยระบบ กฎหมาย หรือการศึกษา หรือทัศนคติแบบผิด ๆ ในหมูผูหญิงเอง” ขาพเจาไมมีคําตอบใหกับคําถามเหลานั้นอยางแนนอน ขาพเจาไดเรียนรูบทเรียนที่วา ความประทับใจเมื่อแรกพบนั้น บอยครั้งผิด และนั่นก็สอนใหขาพเจารูวา ขาพเจาไมควร ด ว นสรุ ป เร็ ว ไป สิ่ ง ที่ ข า พเจ า รู แ น น อนก็ คื อ ตั ว อย า งเชิ ง ประวั ติ ศ าสตร แ ละสมั ย ใหม ทั้งหมดเหลานี้ แสดงใหเห็นถึงน้ําหนักแหงความไหลรื่นในระบบการปกครองในประเทศ ไทย คําตอบเหลานั้นก็จะมาถึง ขาพเจาเชื่อในผูหญิง และขาพเจาก็เชื่อในทางแหงการ ปฏิบัติ ไมวาจะเปนทางใดก็ตามที่หัวใจพาพวกเธอไป ดวยความปรารถนาดีที่สุดตอคุณ แอนวี ฮวอง นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยอินเดียนา สหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยแหงชีวิต

 

12

Letter to my fellow sisters Dear my fellow sisters, I used to believe that my Vietnamese sisters and aunts and mothers and grandmothers worked too hard and sacrificed themselves for no good reasons. I left Vietnam 8 years ago to prove to them that I knew how to live a better life. My first impression as I arrived in Bangkok at the end of May 2009 was I felt like I was going back home to Vietnam. All the soi and roads are strewn with vendors, pedestrians, and cars. Most of the sellers or vendors are women. I saw women everywhere (we see what we want to see, right?) and they are bending over backward doing their 9-to-5 jobs plus their 24/7 one taking care of their families. (One minor difference is Thai women smile and laugh more frequently. This must help to fend off some stress and pressure of modern life that is weighing on them.) All my memories about Vietnam came back, with a vengeance. I was tempted to throw out my criticism again: that I think my fellow Thai sisters and aunts and mothers and grandmothers work too hard and sacrifice themselves for no good reasons. I quickly learn my lesson about the Thai way which changed my views of people and life around me. After two weeks at ThaiHealth, I have met numerous women who impressed me with their talents, and their charming and dynamic personality. Their work involves direct and constant contact with politicians. In its 8th year, the level of advocacy involved in the thousands of programs ThaiHealth supports and initiates to promote adoption of healthy behaviors among Thai people offers various lessons about health promotion in action for any foreign health professional visitor. I consider these women friends I have met Masters of the “art” of health promotion. This “art” includes coalition building, negotiation, advocacy, partnership, communication, and presentation skills.3 Their contribution to the development and maintenance of ThaiHealth is invaluable. With a female-male ratio of 3 to 1 or even 4 to 1 at ThaiHealth, I am witnessing modern “feminism” in practice the ThaiHealth way. Feminism is a controversial term meaning different things. What I mean here is simply an open atmosphere where women can develop their potential and ability, and work very effectively without barriers. Don’t get me wrong: I like men a lot, but I always admire women! And I agree with those who think that the gender issue is about

 

13

power. When talking about power, we then touch a core point of human beings.2 Thai history shows that Thai women are confident in their ability to make their voices heard and to use their power wisely. In 1805 during the reign of King Rama I, Amdaeng Pom asked a judge to allow her to divorce her husband and she succeeded. In 1865, during the reign of King Rama IV, 21-year-old Amdaeng Muan followed the voice of her heart and chose her own husband. The King ruled in her favor. In 1929, a royal consort named Patra stood up against domestic abuse among the upper classes. She brought her case to court. The King heard of it and intervened to solve her problem.1 Quoting others, I want to leave you with this statement: "It is interesting to see how women like Amdaeng Pom, Amdaeng Muan and Patra resisted tradition in their male-dominated society. Questions remain as to what triggered their courage; whether today's women have such courage; or whether that courage has been diminished by the legal system, education or the mistaken attitude of women themselves."1 I definitely don’t have the answers to all those questions. I have also learned my lesson that the first impression is often wrong, and that I should not jump to a quick conclusion. What I know for sure is that all these modern and historical examples speak volume for the fluidity of the governance system in Thailand. Answers are to come. I believe in women. And I believe in their course of action, whatever way their heart takes them. All my best to you, Anvi Hoang University of Life

References: Bandura, A. (1986) Social Foundations of Thought and Action. Prentice Hall, Englewood Cliffs, NJ. Eng, E., Salmon, M.E. and Mullan, F. (1992) Community empowerment: the critical base for primary healthcare. Family and Community Health. 15, 1-12.

 

Friere, P. (1973) Education for Critical Consciousness. Press, New York.

14

Seabury

Green, L., (1986) The theory of participation. Advances in Health Education and Promotion. 1, 211-236. Gruber, J. and Tricket, E.J. (1987) Can we empower others? The paradox of empowerment in governing an alternative school. American Journal of Community Psychology. 15, 353-372. Kari, N. and Michels, P. (1991) The Lazarus Project: the politics of empowerment. The American Journal of Occupational Therapy, 45, 719-725. Labonte, R. (1992) Heart health inequalities in Canada models, theory and planning. Health Promotion International, 7, 119128. Rappaport, J. (1981) In praise of paradox: a social policy of empowerment over prevention. American Journal of Community Psychology. 9, 1-25. Rappaport, J. (1987) Rerms of empowerment /examples of prevention: towards a theory of community psychology. American Journal of Community Psychology. 15, 121-147. Rappaport, J. (1985) The power of empowerment language. Social Policy. 16, 15-21. Rappaport, J. and Swift, C. and Hess, R. (1984) Studies in Empowerment: Steps Toward Understanding and Action. Haworth, New York. Rissel, C., (1994) Empowerment: the holy grail of health promotion? Health Promotion International. 9(1), 39-46. Smith, T. (1990) Poverty and health in the 1990’s. British Medical Journal. 301, 349-350. Swift, C., Levin, G. (1987) Empowerment: an emerging mental health technology. Journal of Primary Prevention. 8, 71-94. Torre, D. A., (1986) Empowerment: structured conceptualization and instrument development. PhD dissertation, Cornell University.

 

15

Wallerstein, N. (1992) Powerlessness, empowerment, and health: implications for health promotion programs. American Journal of Health Promotion. 6, 197-205. World Health Organization (1986) Ottawa Charter for Health Promotion, First International Health Promotion Conference. Ottawa, Canada. Zimmerman, M.A. and Rappaport, J. (1988) Citizen participation, perceived control, and psychological empowerment. American Journal of Community Psychology. 16, 725-743. 

Related Documents

Foriegn Trainee
May 2020 7
Trainee
June 2020 8
Foriegn Trade
November 2019 16
Trainee Slides
May 2020 4
Management Trainee
April 2020 8

More Documents from "Mohammed Imran Hossain"