Page |1
ความเคลื่อนไหวในแวดวง Web2.0 ในป 2008 และแนวโนมบริการ Web2.0 ในป 2009 โดย วรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง และ พัฐวร ผองแผว สรุปความเคลื่อนไหวของแวดวง Web2.0 ในรอบป 2008 ในรอบป 2008 ที่ผานมา มีบริการ Web2.0 ตางๆ เกิดขึ้นอยางมากมาย ซึ่งวัตถุประสงคของบริการ เหลานี้ มีทั้งความตองการสราง “New Media” หรือ สื่อใหมเพื่อใชในการสื่อสารการตลาด เชน Blog และ Social Networking หรือแมแตบริการที่ทําออกมาเพื่อชวยใหการใชงานอินเตอรเน็ตในแตละวัน มีความสะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เชน การเก็บรูปถายออนไลน การแกไขเอกสาร Presentation ออนไลน เปนตน บริการเหลานี้ ลวนมีอิทธิพลตอการใชชีวิตของคนเราในแตละวัน ไมวาจะเปนการอาน การเขียน การ เขาสังคมกับเพื่อนฝูงทางออนไลน ทําใหในแตละวัน เรามีแนวโนมที่จะใชอินเตอรเน็ตนานมากขึ้น ลองมาดูกันครับ วาความเคลื่อนไหวของโลกออนไลนในยุค Web2.0 ทั้งป 2008 ที่ผานไป และป 2009 ที่กําลังจะเกิดขึ้น มาอะไรบาง “New Media” และ “Social Media” New Media หรือ "สื่อใหม" เริ่มมาอยูในกระแสนิยมหลัก ทั้งของบรรดาบริษัทเจาของผลิตภัณฑ หรือ แมแตบรรดา Media Agency ทั้งหลาย วัดไดจากการทุมงบโฆษณา การเพิ่มของรูปแบบธุรกิจใหมๆที่เกิดขึ้น และแมแตองคกรที่ไมแสวงหากําไรตางๆก็เลือกที่จะใชNew Media เปนเครื่องมือในการโฆษณา ประชาสัมพันธมากยิ่งขึ้น เมื่อมองไปทีส่ ภาพเศรษฐกิจในปที่ผานมา ปจจัยการใชงบประมาณดานการสื่อสารการตลาด ไดถูก จัดสรรคอนขางรัดกุมมากขึ้น โดยการใชสื่อวิทยุ โทรทัศน ที่มีคาใชจายสูงมักจะถูกพิจารณาตัดงบประมาณ เปนตัวเลือกแรกๆ แมแตสื่อตามสถานที่สาธารณะตางๆ(Outdoor Media) เชน หางสรรพสินคา โรงหนัง ฯลฯ ก็ทําใหผูบริโภคที่ไมไดเปนกลุมเปาหมายอาจจะเกิดความรูสกึ วาโดนยัดเยียดมากเกินไป ก็ทําใหเกิดกระแส ตอตานขึ้นมาได การเขาถึงกลุมเปาหมายวงกวางดวยวิธีการใชสื่ออินเตอรเน็ตดวยวิธีดั้งเดิมนั้น จะใชรูปแบบการลง โฆษณาบนแบนเนอรของเว็บไซตชื่อดังแลวรอใหโฆษณาผานตาผูเยี่ยมชมเว็บไซต แนนอนวาตําแหนงของแบนเนอรที่เจาของเว็บไซตคิดวาวางอยูในตําแหนงที่เดนชัดที่สุดแลวนั้นมี จํากัด ทําใหตองเลือกใชวิธีการ “สุม” เปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาไปเรื่อยๆ หากมีจํานวนโฆษณารอคิวเพื่อ แสดงผลบนแบนเนอรนั้นมากก็ไมอาจรับประกันวาจะผานสายตาผูชม และเขาถึงกลุมเปาหมายในมากนอย เพียงใด NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
1
Page |2
แตในยุคของ New Media นักการตลาดสามารถเลือกวิธีการที่เปน Consumer-Oriented ที่ หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทราบถึงขอมูลเบื้องตนของกลุมเปาหมาย ก็สามารถเจาะลึกไปถึงใน ระดับบุคคล เชน เพศ อายุ ไลฟสไตล และเลือกยิงโฆษณาที่เกียวของไปยังหนาเว็บไซตทกลุ ี่ มเปาหมายเขา มาใชประจําได อยางไรก็ตาม จุดออนจุดหนึ่งของการเลือกใช New Media เปนเครื่องมือดานสื่อ ก็คือ จํานวนผูใช อินเตอรเน็ตในประเทศไทยยังมีอยูเพียง 15.5% จากจํานวนประชากรทั้งหมด (ขอมูลสํานักงานสถิติแหงชาติ ป 2550) ทําใหการเขาถึงกลุมเปาหมายยังคงมีอยางจํากัด
(Yankee Group Research บริษัทชั้นนําเกี่ยวกับการใหคําปรึกษาดานIT/Technology ไดพยากรณแนวโนมมูลคาตลาดโฆษณา ออนไลนในสหรัฐอเมริกาไววามูลคาอาจสูงถึง 205,800 ลานเหรียญสหรัฐฯในป 2011 )
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
2
Page |3
“Social Media” จาก Blog สู Microblogging เนื่องจากความตองการในการใชสื่อออนไลนที่เพิ่มสูงขึ้นอยางตอเนือ่ ง ทําใหบริษัทตางๆ ที่ทําธุรกิจ Web2.0 พยายามสรางสรรคบริการใหมๆ เพื่อนําเสนอเปนอีกชองทางหนึ่งของ New Media ในการหารายได จากคาโฆษณาออนไลนอันมีมูลคามหาศาลในปจจุบัน หนึ่งใน New Media ที่ถือเปนกุญแจสําคัญของโลกออนไลนในปจจุบัน คือ Weblog หรือเรียกสั้นๆวา Blog ปจจุบัน Blog ไดกลายเปนชองทางหนึ่งที่ผูใชอินเตอรเน็ตมักจะใชในการสื่อความคิด ความเห็นตางๆ ของตัวเอง ใหคนอื่นรับรู และทําใหเกิดการแลกเปลี่ยนความรู (Knowledge Exchange) ขึ้นระหวางผูใช อินเตอรเน็ตดวยกัน จากมุมมองที่สะทอนความคิด ความเห็นจากผูคนที่หลากหลายในสังคมออนไลน ทําให Blog ไดรับคํา จํากัดความอีกคําหนึ่งวา “Social Media” เมื่อขอจํากัดดานสรางเว็บไซตสวนตัวลดนอยลง เนื่องมาจากผูใหบริการ Blog รายใหญๆ ไมวาจะเปน Blogger.com, WordPress.com หรือแมแต Exteen.com ของคนไทย ไดสรางระบบที่งา ยสําหรับผูใ ชในการ สราง Blog สวนตัว ทําใหจํานวน Blog เพิ่มสูงขึ้นเปนอยางมาก จนกลายเปน Social Media อีกอันที่นาจับตา มอง Blog ไหนที่มีคนติดตามอานเปนจํานวนมากจนเรียกไดวา Blog นั้นไดกลายเปน "New Influencer" หรือ ผูทรงอิทธิพลทางความคิด ซึ่งขอเขียนของ Blogger คนนั้น มีอิทธิพลในการโนมนาวผูอานใหเห็นคลอย ตามได ตัวอยางเชน Blog ของนาย Walt Mossberg (http://walt.allthingsd.com) คอลัมนิสตขาวไอทีของ Wall Street Journal ที่ไดกลายเปนสัญลักษณของการรีวิว Gadget หรือ แอพลิเคชั่นที่ออกใหมตางๆ หรือ Blog ของนาย Michael Arrington (http://www.techcrunch.com) ซึ่งหนึ่งในผูทรงอิทธิพลในแวดวง Web2.0 เปนอยางมาก เนื่องจาก Blog นี้ จะเปนการเขียนวิจารณเว็บและบริการ Web2.0 ใหมๆ เมือ่ พิจารณาถึงหลักสือ่ สารการตลาด อาจจะเรียกไดวา ความคิดเห็นของ Blogger ผูทรงอิทธิพล เปน รูปแบบหนึง่ ของ Personal Selling ที่อาศัยความผูกพันกับผูอานทางความคิดเห็น และเปน Testimonial Marketing ที่อาศัยการนําประสบการณการใชงานจริงมาแนะนําตอ Blog จึงเปนหนึ่งใน Communication Channel หนึ่งที่ผูใช Media นาจะใหน้ําหนักความสําคัญมาก ยิ่งขึ้น NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
3
Page |4
Microblogging กับการกําเนิดของสื่อพลเมือง ในป 2008 ที่ผานมา นอกเหนือจาก Blog แลว “Social Media” อีกประเภทหนึ่งทีเ่ ริ่มไดรับความนิยม อยางสูงก็คอื "Microblogging" หรือ การเขียน Blog ดวยขอความสั้นๆ เชน กําลังทําอะไร จะไปไหน หรือ รายงานสภาพอากาศ รายงานสภาพการจราจรจากสถานที่ตางๆ ที่ผูเขียน “Microblogging” นั้นจะเขียน โดย จะมีเพื่อนหรือคนที่รูจักคอยรับขอความอัพเดทตางๆที่ถูกสงเขามาและสามารถตอบกลับไปไดในทันที คนหนึ่งคน อาจจะกลายเปนผูสงสารหาคนเปนจํานวนรอยคน พันคน หรือแมแตหมื่นคนไดในชั่วเวลา คลิกเดียวและผูรบั สามารถนําขอความนั้นมาสงตอใหกับเพื่อนนับรอยนับพันของตัวเองไดอีก สรางตัวคูณทาง ขาวสาร (Multiplier) ไดในเวลาที่รวดเร็ว บริการ “Microblogging” ที่ดังที่สุดในปจจุบันมีชอื่ วา "Twitter " (www.twitter.com) ที่ประสบ ความสําเร็จอยางมาก ดวยอัตราการเติบโตของเว็บกวา 753% ภายในระยะเวลาเพียงแค 1 ป จากจํานวนผูใช วันละ 5 แสน จนถึงผูใชวันละเกือบๆ 5 ลานในปจจุบัน (การเติบโตของ "Twitter.com" กวา 753% ในระยะเวลาเพียงแค 1
ป) (Source : Stats from Compete.com Dec.2007 – Dec.2008)
ปรากฏการณ “Twitter” ไดสรางมิติใหมของสื่อ “New Media”หรือ “Social Media” นั่นคือ มิติดานความเร็วของ ขอมูล และมิติดานกระแสสังคม ขาวไฟไหมซานติกาผับ ถูกรายงานใน “Twitter” เร็วกวาสถานีโทรทัศนทุกชอง โดยคนที่มีเพื่อนอยูในเหตุการณนํา ขาวนั้นมาโพสตเขาไปใน“Twitter”และถูกนําไปกระจายบอกตอกัน (Broadcast) อยางรวดเร็วในชั่วเวลาไมกี่นาที กลายเปนวาผูใชอินเตอรเน็ตรวมกันเผยแพรและสรางเปนกระแสขึ้นมา ดวยความเร็ว (Speed) ที่สูงกวาสื่อเกา เชน โทรทัศน และขอมูลทุกอยาง ถูกระดมโพสตเขาไปใน Twitter เพื่อชวยกันกระจายขาว
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
4
Page |5
Online Marketing Campaign ที่ประสบความสําเร็จที่สุดแหงป 2008 คือ “Obama Campaign” § หนา Fan Club ใน Facebook ของโอบามามีผูสนับสนุน จํานวนถึง 3 ลานคน (เทียบกับ John Mccain 6 แสนคน) § ชอง VDO Clip ใน YouTube.com ของ Obama มีคนมาสมัครเปนสมาชิก 149,388 มี VDO ทั้งหมด 1,823 คลิป และมีจํานวนครั้งที่เขามาชม 20,408,570 ครั้ง (เทียบกับ ชอง VDO Clip ของ Oprah Winfrey ที่มีสมาชิก 50,175 คน จํานวน VDO ทั้งหมด 93 คลิป และจํานวนครั้งที่ เขาชม 2,046,097 ครั้ง) จํานวนผูที่มาเปนเพื่อนกับ Obama ใน Twitter เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวตางๆ มีสูงถึง 170,968 คน
Social Networking เครื่องมือการตลาดตัวใหมของนักการตลาด อีกหนึง่ บริการทีไ่ ดรับความนิยมไมแพ Blog และ Microblogging คงหนีไมพนบริการออนไลนที่ เรียกวา "Social Networking" หรือ เครือขายสังคมออนไลน ที่บรรดาผูใชอินเตอรเน็ต ตางใชเพื่อกิจกรรมสังคม ตางๆ ไมวาจะเปนหาเพื่อน หาคู และ ใชเปนเครื่องมือในการสื่อสารอีกอันหนึ่ง นอกจากการใชอีเมลและแชท จากรายงานการวิจัยที่ชื่อวา "Digital World" ของ บริษัท ComScore พบวา บริการออนไลนที่เติบโต มากที่สุด คือ บริการ "Social Networking" ที่มาแรงแซงหนาบริการออนไลนแบบเกาๆ อยาง "เว็บทา" (Portals) อีเมล แชท หรือแมกระทั่งบริการคนหาขอมูล (Search Engine) โดยมีการเติบโตของตลาดโดยรวม กวา 60% และดวย Penetration Rate ที่ต่ําเพียงกวา 30% จากผูใชอินเตอรเน็ตทั่วโลก ทําใหเห็นไดวา บริการ "Social Networking" นี้ ยังมีศักยภาพในการเติบโตอยูมาก
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
5
Page |6
(กราฟ แสดงความสัมพันธระหวาง การเติบโตของบริการออนไลนและ Penetration Rate แยกเปนประเภท)
(Source: comScore “Digital World” – State of the Internet (March 2008))
จากขอมูลของ The Nielsen ที่ทําการวิจัยเก็บสถิติเว็บไซตดาน "Social Networking" ที่ไดรับความ นิยมสูงสุด 10 อันดับแรก พบวา เว็บ Social Networking ที่มีผูใชเปนจํานวนมากและมีอัตราการเติบโตที่สูง คือ เว็บที่ชื่อวา "Facebook" ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง 116% จากปกอนและมีจํานวนผูใชในแตละวัน สูงถึง 39 ลานคน ทั่วโลก
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
6
Page |7
(ตารางที่ 1: Top 10 เว็บ Social Networking ของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2008)
Top Rank Sept. 2007: Sept. 2008: % Growth: Social Networking Sites: (by UA) Unique Audience (in 000s) Unique Audience (in 000s) Year Over Year Sept. 2008 1 Myspace.com 58,581 59,352 1% 2
Facebook
18,090
39,003
116%
3
Classmates Online
13,313
17,075
28%
4
LinkedIn
4,075
11,924
193%
5
Windows Live Spaces
10,275
9,117
-11%
6
Reunion.com
4,845
7,601
57%
7
Club Penguin
3,769
4,224
12%
8
AOL Hometown
7,685
3,909
-49%
9
Tagged.com
898
3,857
330%
10
AOL Community
4,017
3,079
-23%
Source: The Nielsen Company, Custom Analysis (September 2008)
สถิติอื่นๆที่นาสนใจของ Facebook § จํานวนผูใช (active users) มีกวา 150 ลานคน § มีรูปถายที่ผูใชอัพโหลดขึ้นไปเก็บใน Facebook กวาวันละ 23 ลานรูป โดยใชเนื้อที่ความจุ มากกวา 3 Terabytes ตอวัน ในการเก็บรูป § รูปถายกวา 15,000 ลานรูป ถูกดูในแตละวัน § เวลารวมที่ผูใชทั่วโลก ใช Facebook ในแตละวัน รวมกันกวา 2,600 ลานนาที
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
7
Page |8
จากขอมูลเชิงสถิติและงานวิจัยดานธุรกิจออนไลนหลายๆแหง ไดตอกย้ําถึงความนิยมในบริการ "Social Networking" ที่กลายเปนเทรนดที่มาแรงแซงหนาบริการออนไลนทุกอยางในรอบป 2008 ที่ผานมา และสิ่งที่ขอมูลจากหลายๆสํานักวิจัยที่มชี อื่ เสียง นําเสนอตรงกัน ก็คือ การกาวขึ้นมาเปนผูนําดาน Social Networking ของ Facebook ที่อดีตเคยจํากัดการใหบริการเพียงนักเรียนและนักศึกษาในสหรัฐฯ เทานั้น (ตารางที่ 2: เว็บ Social Networking ที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ จากเดือนกันยายน 2007 ถึง กันยายน 2008)
Rank (by Sept. YOY UA growth)
10 Fastest Growing Social Networking Sites: Sept. 2008
Sept. 2007: Unique Audience (in 000s)
Sept. 2008: Unique Audience (in 000s)
% Growth: Year Over Year
1
Twitter.com
533*
2,359
343%
2
Tagged.com
898
3,857
330%
3
Ning
842*
2,955
251%
4
LinkedIn
4,075
11,924
193%
5
Last.fm
850
1,879
121%
6
Facebook
18,090
39,003
116%
7
MyYearbook
1,422
3,056
115%
8
Bebo
1,299
2,418
86%
9
Multiply
592
941
59%
10
Reunion.com
4,845
7,601
57%
(Source: The Nielsen Company, Custom Analysis (September 2008).
การกาวขึ้นมาเปนผูนําดาน "Social Networking" แซงหนายักษใหญอยาง "Myspace.com" ที่ถือวา เปน First Mover และเปนยักษใหญที่ทรงอิทธิพลที่สุดรายหนึ่งของธุรกิจออนไลน โดยปจจัยหลักที่ตําแหนงของผูนํา เปลี่ยนมือ ไดแก การเปดตัว "Facebook Platform" ในป 2007 "Facebook Platform" เปนการเปดโอกาสใหนักพัฒนาแอพลิเคชั่นจากทั่วโลกไดใชประโยชนจาก Infrastructure รวมไปถึงฐานขอมูลผูใชของ Facebook บางสวนในการสรางแอพลิเคชั่นเพื่อรองรับความ ตองการตางๆของผูใช ไมวาจะเปนการพัฒนาเกม โปรแกรมอานขาว โปรแกรมเก็บรูปถาย และโปรแกรมอื่นๆ กวา 52,000 โปรแกรม ใหผูใช Facebook เลือกใชงาน NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
8
Page |9
(จํานวน Facebook Application 10 อันดับแรกที่มีผูใชงานตอวันมากที่สุด)
ความสําเร็จของการเปดโอกาสนี้เอง ทําใหมีนักพัฒนาแอพลิเคชั่นกวา 660,000 คน สรางแอพลิเคชั่น มากมาย ทั้งใชงานฟรีและเสียเงินใช จนพัฒนาเปนเศรษฐกิจแบบ Facebook (Facebook Economy) ขึ้นมา ปจจุบัน มีผูใชงานแอพลิเคชั่นบน Facebook ถึง 95% จากจํานวนผูใชทั้งหมด การที่บุคคล หรือองคกร มีการเชื่อมตอกันไมวาดวยทางใดทางหนึ่ง เชน แนวคิด ความชอบ ชีวิตประจําวัน งานอดิเรก ความตองการพิเศษอื่นๆที่สอดคลองกันเปนสังคมขึ้นมา และการเกิด Social Networking นี้ทําใหนักการตลาดสามารถวางกลยุทธการใชสื่อ Below the line สําหรับการจัดกิจกรรมเฉพาะ กลุมในลักษณะ 2-ways Communication ทั้งในแบบ online และการจัดในสถานที่จริง (Offline) เพื่อลด ขอจํากัดในการเขาถึงอินเตอรเนทของประชากร โดยมีเครือขายสังคมเปนสื่อแทน ตัวอยางของการใชเครือขายสังคมออนไลนเพื่อเปนสื่อ คือ การจัด BarCamp ที่เปนคําศัพทเรียก สําหรับการประชุม หรือ พบปะ (ซึ่งไมเปนทางการพอที่จะเรียกวาสัมมนา) โดยบุคคลตางๆที่มีความสนใจใน เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งกําหนดหัวขอการพบปะขึ้นมา (User Generated Conference) โดยจะ มีทั้งแบบออนไลนและพบหนากัน ซึ่งนักการตลาดสามารถวางแผนการใชโอกาสนี้ในการเขาถึงเครือขายสังคม เพื่อใชเปนสื่อขึ้นมาได
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
9
P a g e | 10
Open Platform และ Mashup ปลดแอกจินตนาการแอพลิเคชั่น จากความสําเร็จในการ สราง "Platform" และ "เปดโอกาส" (Open) ของ Facebook นั่นเอง ได สงผลกระทบตอเนื่องตอวงการ Web2.0 และกลายเปนเทรนดที่สําคัญที่สุดใน ป 2008 ไมวาจะเปนการสราง "OpenID" ซึ่งมีจุดมุงหมายในการพัฒนาเปนบัตรผานใบเดียว (Single Login) ที่ "เปด" ใหทุกบริการบนอินเตอรเน็ตเรียกใช โดยไมจําเปนตองสมัครบริการนั้นๆใหม ซึ่งทําใหผูใชเจอปญหา ในการจดจํา Login และ รหัสผาน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือแมแตการที่ยักษใหญดานออนไลนอยาง Google พยายามผนึกพลังพันธมิตรยักษใหญที่ ใหบริการดาน Social Networking ตางๆมากมาย เพื่อใหมาใชบริการ "OpenSocial” ซึ่งเปน Platform ที่ตน พัฒนาขึ้นและ "เปด" ใหทุกคนใช ในการสรางแอพลิเคชั่นมารองรับผูใชใน Social Networking ของตนเอง และไดรับการตอบรับเปนอยางดี จากบรรดาผูใหบริการ “Social Networking” รายใหญ เชน Bebo.com, Hi5.com , MySpace.com, LinkedIn.com รวมไปถึง Yahoo.com แนวโนมการ Open Platform ไดทําใหเกิดกระบวนการที่เรียกวา "Fusion" หรือ ถาเปนศัพทที่ใชกัน แพรหลายในโลกออนไลน จะเรียกวา "Mashup" ทําใหมีบริการ Web2.0 ใหมๆ ถือกําเนิดขึ้นมากมาย จาก การเอา บริการตางๆมา "Mashup" กัน โดยอาศัยการเปดใหเขามาใช “Platform” ของตนเอง ทําใหนักพัฒนา แอพลิเคชั่น ไมจําเปนตองเสียเวลาสรางบริการที่ซ้ําซอน และมีเวลาที่จะสรางจินตนาการ เพื่อรังสรรคแอพลิ เคชั่นใหมๆออกมาใหไดใชงาน ตัวอยางของการ “Mashup” เชน บริการแผนที่ของ Google (Google Map) ถาจับมารวมกับ การ ถายรูปบนโทรศัพท สิ่งที่เราจะได ไมใชแคเพียงรูปถายเทานั้น แตจะเปนรูปถายรวมกับพิกัดแผนที่ เมื่อเราอัพ โหลดรูปถายใบนี้ลงไปในเว็บ "Mashup" ผูใชเว็บทุกคน จะสามารถรูไดวา รูปถายนี้ ถายมาจากสถานที่ไหน เมืองไหน และอาจจะรูไดวา ในโลกนี้มีรูปถายไหนบางที่ถายจากสถานที่ใกลเคียงกัน
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
10
P a g e | 11
(บริการ MapJack.com เปน Mashup ระหวาง Google Map และ การคนหาสถานที่ทองเที่ยวตางๆของไทย)
(บริการ GlobalIncidentMap.com เปน Mashup ระหวาง Google Map และ ขาวอุบัติเหตุตางๆทั่วโลก ทําใหรูไดทันทีวาเกิดเหตุการณสําคัญหรือ อุบัติเหตุอะไรในโลกบาง)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
11
P a g e | 12
Software as a Service ในรอบป 2006-2007 ที่ผานมา ยักษใหญบนโลกออนไลนอยาง Google ไดพัฒนาเว็บแอพลิเคชั่น ที่ใช สําหรับงาน Office เรียกวา “Google Docs” โดยสามารถสรางเอกสารทั้งดาน Word Processing, Spreadsheet และ Presentation โดยเอกสารที่สราง สามารถบันทึกไฟลใหออกมาในรูปแบบที่ใช Microsoft Office เปดไดทันที ซึ่งในป 2008 ที่ผานมา ไดมีการพัฒนาปรับปรุงชุด Google Docs เปนอยางมาก จนเรียก ไดวา เกือบจะใชแทนชุด Microsoft Office ไดเลย ตัวอยาง “Software as a Service” ที่ไดรับความนิยม (บทความนี้ ผูเขียนใช Google Docs ในการเขียน)
ใน ป 2009 คาดวาจะเปนปที่มีเว็บแอพลิเคชั่นที่มีความสามารถสูงขึ้น จนชองวางระหวางเว็บแอพลิ เคชั่น และ แอพลิเคชั่นบน PC ลดนอยลง ทั้งแอพลิเคชั่นดาน Office, ตัดตอภาพ และวิดีโอ
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
12
P a g e | 13
(โปรแกรม “Keynote” ของ Apple Inc. ที่ใชในการทํา Presentation บนแมค ไดกลายมาเปนเว็บแอพลิเคชั่นแลว ในชื่อวา “iWork.com”)
(เว็บแอพลิเคชั่น “Photoshop Express” ที่ใชตัดตอภาพถายแบบออนไลน)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
13
P a g e | 14
(เว็บแอพลิเคชั่น “JumpCut” ที่ใชตัดตอวิดีโอแบบออนไลน)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
14
P a g e | 15
แนวโนมของ Web 2.0 ในป 2009 จากการสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชวงระยะเวลา 1 ปที่ผานมา บางบริการไดเริ่มตนสราง Market Segment ใหมๆของตัวเอง แมวาอาจจะยังไมใหญนัก แตเนื่องจาก พฤติกรรมผูใชอินเตอรเน็ต เริ่มเปลี่ยนไป ทําใหบริการตางๆเหลานี้ มีศักยภาพสูงที่จะเปลี่ยนแปลงจาก จุดเริ่มตนเล็กๆ มาเปนแนวโนมที่สําคัญของอุตสาหกรรมได ทางผูเขียนจึงขอรวมรวบบริการตางๆที่นาสนใจและมีแนวโนมสูงที่จะกลายเปนเทรนดของป 2009 ดังนี้ Lifestreaming ยิ่งรวมกัน ชีวิตออนไลนยิ่งงายขึ้น บริการออนไลนใหมๆบนอินเตอรเน็ต ในยุคของ Web2.0 นั้น เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งชวยอํานวยความสะดวกในการใชชีวิตประจําวัน ชวยในการติดตามขาวสาร หรือเปนอีกเครื่องมือ หนึ่งที่ใชติดตอสื่อสารกับเพื่อนหรือคนที่รูจัก Web 2.0 มีสวนชวยในการเขาสังคมตางๆ ทําใหชีวิตในวันหนึ่งๆของเรา ตองเขาไปในหลายๆเว็บเพื่อ ติดตามความเคลือ่ นไหวของเพื่อนรวมสังคมออนไลนทเี่ รารูจัก ตัวอยางเชน การอัพโหลดภาพถายลงในเว็บไซต Flickr.com, การอัพโหลดวิดีโอคลิปสวนตัวเขาไปใน YouTube.com, การอัพเดท Blog และ Microblogging สวนตัว และการอัพเดท Social Networking หลายๆ เว็บที่เปนของตัวเอง เมื่อบริการ Web2.0 สวนใหญมีแนวโนมที่จะ “เปด” (Open Platform) และอนุญาตให “Mashup” กัน ได ทําใหเกิดแนวคิดในการรวบรวมกิจกรรมออนไลนทั้งหลายที่ใชในชีวิตประจําวัน ใหเปนหนึ่งเดียว เรียกวา “Lifestreaming” หรือ “Activity Streaming” เพื่อเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการและงายตอการแชรให เพื่อนในสังคมออนไลน ไดติดตามความเคลื่อนไหวของตัวเรา บริการ “Lifestreaming” เริ่มถือกําเนิดขึ้นในป 2008 และไดรับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะนักทอง อินเตอรเน็ตทั้งหลาย เริ่มมีกิจกรรมออนไลนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอยางของบริการ “Lifestreaming” ที่โดดเดนที่สุดและเปนผูบุกเบิกบริการในลักษณะ ก็คือ “FriendFeed.com” ซึ่งเปนบริการที่อดีตพนักงานที่ลาออกจาก Google เปนผูสรางขึ้น
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
15
P a g e | 16
(บริการ “Lifestreaming” ที่ชื่อวา “FriendFeed.com”)
(บริการตางๆที่ “FriendFeed” สามารถดึงมารวมเปน “Lifestreaming” ได)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
16
P a g e | 17
Longtail Social Networking บริการ “Social Networking” หลายๆบริการในปจจุบัน เชน Hi5.com, Facebook.com เรียกไดวาเปน “Mass Community” โดยมีจุดประสงคหลัก คือ ดึงคนจากที่ตางๆใหมารวมกันใหมากที่สุด เนนปริมาณของผูใชเปนหลัก ขาดปจจัยหลักๆที่อาจจะจําเปนในการสรางความสัมพันธบางอยางไป เชน ความสนใจรวมกัน ความชอบสิ่งของสิ่งเดียวกัน ความชอบนักรอง ดาราคนเดียวกัน หรือ เชียรทีมฟุตบอล ทีมเดียวกัน ทําใหเกิด”Social Networking”อีกรูปแบบหนึ่งที่เนนความสนใจรวมกันและมีคุณลักษณะเฉพาะดาน เพื่อรองรับกลุมผูใชที่มีความตองการเฉพาะเจาะจง เชน “PatientsLikeMe.com” ซึ่งเปน “Social Networking” ของคนไขที่ปวยเปนโรคตางๆ เขามาบอกเลาอาการปวยที่ตนเจอ และประสบการณที่ไดรับในการรักษาโรค ตางๆ ไมวาจะเปนยารักษาโรค วิธีการรักษาแบบตางๆ รวมไปถึงการใหกําลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อรวมฟนฝาให หายจากโรคที่ตนปวย (บริการ “Longtail Social Networking” สําหรับคนไข ที่ชื่อวา “PatientsLikeMe.com”)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
17
P a g e | 18
เมื่อมี “Social Networking” ของคนไข ก็ยอมมี “Social Networking” ของบรรดาแพทยผูรักษา ชื่อวา “Sermo.com” ที่บรรดาแพทยกวา 90,000 คนเขามาแลกเปลี่ยนความรูดานการแพทย ประสบการณในการ รักษาโรคตางๆ รวมไปถึงประสบการณในการเจอคนไข
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
18
P a g e | 19
(บริการ “Longtail Social Networking” สําหรับบรรดาหมอ ที่ชอื่ วา “Sermo.com”)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
19
P a g e | 20
Geolocation ในป 2008 ที่ผานมา มีโทรศัพทมือถือหลายๆรุนไดใส function การทํางานของ GPS เพื่อใชในการ คนหาตําแหนงตาง ทําให Application ที่ใชประโยชนจากตําแหนงของ GPS เริ่มเปนที่นิยมมากขึ้น ไมวาจะ เปน Navigator ที่ใชในการนําทาง ระบบแผนที่และการคนหาสถานที่ตางๆ ภาพถายที่ถูกถายจากโทรศัพทที่มี GPS มักจะมีลูกเลนที่สามารถฝงตําแหนงพิกัดของ GPS ลงไปใน Metadata ของภาพถายเหลานั้น เพื่อบงบอกวาภาพถายนั้นๆ ถูกถายมาจากสถานที่ใด ตําแหนงพิกัดบนแผน ที่เทาไหร เรียกวา “Geolocation” (แอพลิเคชั่น “Twinkle” บนไอโฟน ใช “Geolocation” ผสมผสานกับ “Microblogging” ในการโพสตขอความลงไปใน “Twitter”)
เมื่อภาพถายเหลานั้น ถูกอัพโหลดขึ้นไปเก็บบนเว็บไซตแชรภาพถายดิจิตัล เชน “Flickr.com” ของ Yahoo!, “Picasa” ของ Google หรือแมกระทั่งเว็บไซตดาน “Social Networking” ชื่อดังอยาง “Facebook” เอง ซึ่งเว็บไซตเหลานี้จะอาน Metadata และดึงขอมูลตําแหนงและสถานที่ไปแสดงบนหนาเว็บโดยอัตโนมัติ ทั้ง ภาพสถานที่และรูปบนแผนที่เอง เรียกไดวา นอกจากจะเปนการแชรภาพถายแลวยังเปนการแชรLocation เพื่อนําไปสูการแชร ประสบการณรวมในสถานที่นั้นๆอีกดวย
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
20
P a g e | 21
Mobile Social Networking บริการ “Social Networking” ตางๆ นอกจากจะมีอยูบนเว็บไซตใหผูใชอินเตอรเน็ตไดเขาไปใชงานแลว ยังขยายการเขาถึงจากโทรศัพทมือถือ ทั้งในรูปแบบของ Mobile Web และ Application ที่ติดตั้งลงบน เครื่องโทรศัพทนั้นๆ จุดประสงคหลักๆ ก็คือ เพิ่มชองทางการเขาถึงจากผูใชใหมากยิ่งขึ้น ทําใหผูใชสามารถเขาไปใชบริการ ไดจากทุกที่ ทุกเวลา เหมือนพก “Social Networking” ติดตัวไปดวย และแนนอนวา หนึ่งใน Feature หลักที่ถูกใสเขาไปเพิ่มเติมนอกจาก feature ที่เว็บไซตทําได นั่นก็คือ “Geolocation” ที่ทําใหรูวา ผูใชคนนั้น ถายรูปอัพเดท โพสตขอความลงบน“Social Networking” มา จากที่ไหน และดึงเพื่อนรวม Network ที่อยูละแวกใกลๆกันใหมาคุยกัน มาทําความรูจักกัน (แอพลิเคชั่น “Facebook” บนมือถือ iPhone ที่มีผูใช ถึง 4,495,780 คน ตอเดือน)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
21
P a g e | 22
การเคลื่อนยายขาม “Social Networking” (Social Networking Portability) ผูใชอินเตอรเน็ตคนเดียวกัน อาจจะเปนสมาชิก “Social Networking” หลายๆแหง เนื่องจากมีกลุม เพื่อนหรือมีสังคมที่แตกตางกัน เชน ใน “Hi5” เราอาจจะมีเฉพาะเพื่อนสนิท เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยดวยกัน และใน “Facebook” เราอาจจะมีเฉพาะเพื่อนที่ทํางาน เหมือนในชีวิตประจําวันจริงๆ ที่เมื่ออยูที่ทํางานก็จะมี เพื่อนรวมงาน ที่คนละกลุมกับเพื่อนสมัยเรียน หรือสรุปไดวา เราจะมีความสัมพันธทแตกต ี่ างกันในหลาย รูปแบบเมื่ออยูในสังคมที่แตกตางกัน (Different type of relationships) นอกจากการมีเพื่อนคนละกลุมแลว เรายังอาจตองการแสดงตัวตนที่แตกตางออกไป ตามสังคมที่เรา อยู เชน เราอาจจะตองการแชรรูปในทริปที่ไปเที่ยว หรือเขียน Blog แบบเฮฮาใหกับเพื่อนที่อยูใน “Hi5” ดู เทานั้น แตไมอยากใหเพื่อนใน “Facebook” เห็นรูปนี้และตองการใหเห็นแค Blog แบบมีสาระจากเรา ทั้งหมดนี้คงจะสรางความปวดหัวไมนอย ถาผูใชคนนั้นเปนสมาชิกในหลาย “Social Networking” มี กลุมเพื่อนหลายกลุม มีขอมูลจํานวนมากที่มาแชรใหกลุม เพื่อนที่แตกตางกัน และจะเปนอยางไรถาผูใชคนนั้น ไปสมัครบริการ “Social Networking” อื่นๆเพิ่มอีกเรื่อยๆ “Social Graph” เปนแนวคิดเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับการเคลื่อนยายขาม“Social Networking” (Social Networking Portability) โดยมีการนิยามระดับและประเภทของความสัมพันธ กลุมเพื่อน และสิทธิ์ในการ เขาถึง ทําใหในอนาคตผูใชสามารถกําหนด “Social Graph” ของตัวเองใน “Social Networking” หนึ่ง ให แตกตางกับอีกที่หนึ่งได โดยไมจําเปนตองสมัครสมาชิกใหม แตใชวิธีดึง “Social Graph” ของตนมาและเลือก วาจะใหกลุมเพื่อนใน “Social Networking” จะเห็น Profile อะไรของเราบาง นอกจาก Profile ที่ยายขามไปไดแลว กลุมเพื่อนก็ยังสามารถยายขามมาไดเชนกัน ผูใชไมตองหาเพื่อน ใหม แตสามารถอิมพอรตเพื่อนจาก “Social Networking” เดิมที่มีอยูแลว มาอยูอีกที่ใหมได
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
22
P a g e | 23
Cloud Computing – พลิกโฉมอุตสาหกรรมซอฟทแวรและฮารดแวร พลังแหงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเครือขายที่เกิดขึ้นควบคูไปกับการพัฒนาบริการใหมๆบนโลก อินเตอรเน็ตกอใหเกิดสิ่งที่ (คาดวา) จะยิ่งใหญขึ้นในยุคของ Web 2.0 ที่จะสงผลกระทบกับธุรกิจและ ชีวิตประจําวัน นัน่ ก็คือการประมวลผลแบบกลุมเมฆหรือ Cloud Computing ในที่นี้จะไมขอกลาวถึงรายละเอียดทางเทคโนโลยีเบื้องหลังที่มีความซับซอนสูง แตจะอธิบาย ความหมายของ Cloud Computing ในภาษาที่เขาใจงายก็คือ อินเตอรเน็ตนี้จะเปรียบเสมือนกอนเมฆกอน ใหญที่ผูใชงานไมจําเปนอะไรเลยที่จะตองรูวามีอะไรอยูภายในกอนเมฆอินเตอรเน็ตนั้น แคเพียงคิดวา ตองการขอมูลอะไร บริการอะไร จากนั้นก็จะสามารถตอบสนองความตองการไดเพียงแคควานหาจากกอน เมฆนั้น ผูใชงานจะไมมองถึงซอฟทแวรสําหรับการใชงานอีกตอไป แตจะมองถึง “บริการ” ที่ตองการอยาง แทจริง (Software as a Service หรือ SaaS) ถามองในมุมของธุรกิจก็คือ ปกติแลวในการทํางานของบริษัททั่วไป จําเปนที่จะตองมีเครื่อง คอมพิวเตอร และแตละเครื่องก็จําเปนที่จะตองมีโปรแกรมพื้นฐานสําหรับสํานักงาน เชนMicrosoft Office สําหรับงานทั่วไปในสํานักงาน ถาบริษัทมีธุรกิจขนาดใหญขึ้น ฐานขอมูลและการใชงานแอพลิเคชั่นตางๆก็จะมีความซับซอนมากขึ้น อีกทัง้ ยังตองมีการลงทุนทางดานอุปกรณตา งๆและมีคาใชจายที่สูงขึ้นตามมา เชน เมือ่ บริษัทตองลงทุนดาน Server เพื่อรองรับระบบงานตางๆ และแนนอนวามีคาใชจายดูแลรักษาเพิ่มขึ้นตามมาอีกมากมาย ลองจินตนาการดูวา ถาซอฟทแวรฐานขอมูล แอพลิเคชั่น และฮารดแวรทั้งหลายเหลานั้น อยูในกอน เมฆอินเตอรเน็ตหมดโดยที่ไมจําเปนตองซื้อหามาติดตั้งแลว ทําใหบริษัทนั้น: § ไมจํา เปนตองสนใจวา จะตองเลือ กใชซอฟทแวรจากที่ไหน ยี่หอ อะไรดี สําหรับหนาที่แตละอยางที่
ตองการ § ไมตองกังวลถึงความเขา กันไดกับกับซอฟทแวรอื่นๆในบริษัทวามีมากนอยเพียงใด § ไมตองตระหนักถึงการวางแผนการจัดซื้ออุปกรณ Computer Server เพื่อ รองรับการขยายตัว ของธุร กิจ § ไมจํา เปนตองจัดหาผูเชี่ยวชาญทาง IT ในระดับสูงจํานวนมาก เพื่อมาดูแลระบบอันซับซอนตางๆใน บริษัทอีกตอไป § สามารถใชทรัพยากรเพื่อเนนหนักไปในทางธุรกิจหลักของตัว เองไดมากขึ้น NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
23
P a g e | 24
นับเปนการพลิกโฉมรูปแบบธุรกิจในอนาคตอยางมีนัยยะสําคัญ แตสิ่งหนึ่งที่สําคัญในการจํากัดการเขาถึง Cloud Computing ก็คือประสิทธิภาพของเครือขายภายใน และภายนอกบริษัทที่จะสามารถทําใหพนักงานทุกคนสามารถเขาถึง “กอนเมฆ” เหลานั้นไดสะดวกมากนอย เพียงใด ตัวอยางในปจจุบันที่เห็นเดนชัดถึงความสําเร็จของCloud Computing ก็คือโลโกรูป “No Software” ของ SalesForce.com ที่รวบรวมซอฟทแวรที่ใชงานกันภายใน สํานักงานไมวาจะเปนเกี่ยวกับงานขาย งานสนับสนุนและบริหารความสัมพันธกับ ลูกคา งานฐานขอมูลและวิเคราะห ฯลฯ มาอยูบนเว็บไซตทั้งหมด โดยมีธุรกิจยักษ ใหญมากมายมาใชบริการ แมกระทั่งประธานาธิบดีคนลาสุดของสหรัฐฯ บารัค โอบามา ก็เพิ่งปรับปรุงเว็บไซต change.gov ที่ เคยใชในการหาเสียงลงสมัครชิงตําแหนงประธานาธิบดี ใหกลายมาเปน Citizen’s Briefing Book เพื่อเปด โอกาสใหประชาชนแสดงความเห็น และเสนอแนวคิดเพื่อนําไปปรับปรุงเปนนโยบายตอไป โดยใชระบบ CRM Idea Product ของ SalesForce.com นั่นเอง ทางฝงเว็บไซต Amazon Web Service (AWS) ในเครือ Amazon.com ก็ นําเสนอบริการในชื่อ Amazon Simple Storage Service (Amazon S3) สําหรับเก็บไฟลขอมูล (Storage) ฐานขอมูล (Database) และเสนอบริการ Amazon Elastic Compute Cloud (Amazon EC2) อันโดงดังที่ใหผูใชสามารถติดตั้งโปรแกรมที่ตองการบน Server เสมือน หรือเรียกวา Virtual Platform โดยที่ผูใชงานไมตองกังวลเกี่ยวกับการจัดซื้อและดูแล server อีก ในเดือนตุลาคมป 2008 ทาง Microsoft ก็ไมยอม นอยหนาที่จะกาวเขาสูอุตสาหกรรม Cloud Computing โดยไดใชชื่อผลิตภัณฑวา Azure
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
24
P a g e | 25
ทํานองเดียวกันเว็บไซตเครือขายสังคมชื่อดังตางๆเชน MySpace, Facebook, Hi5 หรือ LinkedIn ก็ ถือเปนบริการ Cloud Computing ที่นอกจากจะเจาะจงหนาที่ในการสรางเครือขายสังคมของผูใชงานแลว ยังสามารถติดตั้งแอพลิเคชั่นลงบนหนาเว็บของผูใชงานได ซึ่งรายไดสวนใหญของเว็บไซตเครือขายสังคม เหลานี้มาจากคาโฆษณา ดังที่กลาวมาในหัวขอทีแล ่ ววา เมื่อสามารถรูถึงความตองการและคุณลักษณะ เบื้องตนของแตละบุคคลแลว ทําใหการวางแผนโฆษณาทําไดตรงกลุมเปาหมายมากขึ้น นักวิเคราะหจาก Merril Lynch ไดคาดการณไววาภายในป 2011 มูลคาตลาดของ Cloud Computing สําหรับยุค Web 2.0 นั้นจะสูงถึง 160,000 ลานดอลลารสหรัฐฯ โดยแบงเปน 95,000 ลาน เหรียญสําหรับตลาดธุรกิจและบริการ (Email, office, CRM และอื่นๆ) และสวนที่เหลืออีก 65,000 ลาน เหรียญจะมาจากการโฆษณาออนไลน Web 3.0 หรือ Semantic Web ถาเปรียบเทียบ Web 1.0 ในยุคแรกเริ่มก็คือ ผูใชสามารถ “อาน” อยางเดียว โดยที่เจาของเว็บไซต เปนผูจัดทําเนื้อหาขึ้นมา พอมาเขาสูยุค Web 2.0 ผูใชนั้นก็สามารถที่จะ “อาน + เขียน” หรือเปนคนสรางเนื้อหาขึ้นมาเองได มีการติดตอและเชื่อมโยงกับผูใชอื่นๆขึ้นเปนสังคม โดยที่เว็บไซตเปนเพียงตัวกลางสําหรับผูใชในการเผยแพร เนื้อหา จะเปนอยางไรถาเนื้อหาที่ผูใชสรางขึ้นมานั้นมีมหาศาล และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยางไมสิ้นสุด แลวยุค ตอไปผูใชสามารถ “อาน + เขียน + สั่งงาน” เว็บไซตใหดําเนินการจัดการเนื้อหาที่มีความยุงยากซับซอน เหลานั้นแลวแสดงผลเพียงแคสิ่งที่ผูใชตองการ ตัวอยางเชน สมมติวาเราเขาไปในชุมชนออนไลนขนาดใหญแหงหนึ่งที่มีสมาชิกจํานวนมาก แลวเราตองการคนหา Blog ของผูที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับรถยนตสัญชาติอินเดียยี่หอ Tata แตเมื่อใชคําวา “tata” เปน keyword ใชคนหาแลว แลวปรากฎผลออกมาเปน Blog เกี่ยวกับนักรองสาวที่ชื่อเดียวกันนี้ พรอมๆกับรายชื่อของ Blog ที่เกี่ยวกับ รถยนต แตเมื่อชุมชนออนไลนขนาดใหญนี้เริ่มเขาสูยุคตอไป เมื่อผูใชคนหนึ่งที่ปกติชอบศึกษาเรื่องรถเปน ประจํา เขามาคนหา Blog ในชุมชนแหงนี้แลว ขอมูลเบื้องหลังเกี่ยวกับผูใชคนนั้นจะถูกนําไปประมวลผลแลว เชื่อมโยงความเปนไปไดกับผลการคนหาที่ตองการ ผลที่แสดงคือ รายชื่อของ Blog ที่เขียนเกี่ยวกับรถยนต ยี่หอ Tata ตามที่เขาตองการ NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
25
P a g e | 26
คํานิยาม Web 3.0 ยังไมไดถือเปนขอสรุปอยางเปนทางการโดยองคกรใด ในปจจุบันความหมายของ Web 3.0 ก็ยังมีผูเชี่ยวชาญหลายคนใหความเห็นที่แตกตางกันออกไป เชน Eric Schmidt CEO ของ Google ใหความเห็นวาในยุค Web 3.0 นี้จะเปนการเชื่อมตอ Application ชิ้น เล็กๆที่ทรงประสิทธิภาพเขาดวยกัน และขอมูลตางๆที่นํามาใชจะอยูใน “กอนเมฆ” โดยที่ Application เหลานั้นจะมีคุณสมบัติตอไปนี้ - สามารถทํางานบนอุปกรณใดก็ได ทั้งเครื่องคอมพิวเตอรและโทรศัพทมือถือ - มีขนาดเล็ก สามารถดัดแปลงแกไขได - สามารถเผยแพร สงตอไปยังผูใชอื่นผานอีเมล หรือเครือขายสังคมเพื่อใหใชงานได Nova Spivack หลานของ Peter F. Drucker ปรมาจารยทางดานการบริหารจัดการของโลก ผูซึ่งเปนคน กอตั้ง Radar Networks หนึ่งในผูบุกเบิกเว็บไซตประเภท Semantic Web ไดใหคํานิยามไววายุคตอไปที่เปน ของ Web 3.0 ซึ่งกําลังจะเกิดขึ้นในป 2010-2020 นั้นจะประกอบไปดวยการพัฒนาของสิ่งตางๆตอไปนี้ o Ubiquitous Connectivity – การเชื่อมตอ จะตองเปนที่ใด เมื่อไรก็ได ซึ่งก็คือการพัฒนาของเทคโนโลยี อินเตอรเน็ตไรสายและบนโทรศัพทมือถือ o Cloud Computing – หรือ ที่กลาวมาแลววา เมื่อใดที่ผูใชตองการขอมูลใดก็ตาม เขาตองสามารถ เขาถึงไดโดยงาย โดยที่ไมจําเปนตองรูถึงเบื้องหลังในการหาขอมูลนั้น o Open Technologies – มีการเปดกวางในการพัฒนาแอพลิเคชั่นในการใชงานตางๆ ในรูปแบบของ Open-source ที่อนุญาตใหมีการนําไปพัฒนาตอยอดกันได o Open Identity – ขอมูลของผูใชจะสามารถถายโอนไปยังเว็บไซตอื่นได ทั้งนี้รวมไปถึงการทําใหมีบัญชี ผูใชเพียงชุดเดียว (Single Sign-on Account) แลวสามารถเขาไดทุกเว็บไซต o World Wide Database - ฐานขอมูลของแตละเว็บไซตจะเชื่อมตอกันเปนฐานขอมูลขนาดใหญ มโหฬาร o Natural Language Processing – ในการจะสั่งใหเว็บไซตทํางานอยางใดอยางหนึ่ง ผูใชจะสามารถใช คําสั่งดวยภาษาธรรมชาติของมนุษย หมายความวาผูใชไมจําเปนตองมีความรูในระดับที่สามารถเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอรเลยก็ยังสามารถสราง application ขึ้นมาใชงานเองได NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
26
P a g e | 27
o
o
Semantic Web – เปนกุญแจสําคัญในเว็บ 3.0 ดวยองคประกอบที่กลาวมาทั้งหมดขางตน จะทําให เว็บไซตมีลักษณะเปน Aggregator อยางเต็มตัว โดยจะทําการเชื่อมโยงฐานขอมูลตางๆทั่วโลก และมี ปญญาประดิษฐ (Artificial Intelligence) หรือเรียกงายๆวาโปรแกรมนั้น “คิดดวยตัวเอง” ในการที่จะ ประมวลผลและวิเคราะหขอมูลจากผูใชงานที่สั่งการดวยภาษาที่มนุษยเขาใจได ไมจําเปนตองเปน ภาษาทางคอมพิวเตอร นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาทางดานกราฟฟคสําหรับแสดงผลบนเว็บเชนมาตรฐานSVG (Scalable Vector Graphic) ที่จะทําใหรูปภาพและกราฟฟคตางๆนั้นสามารถปรับเปลี่ยนไปตามขอมูลที่สัมพันธ กับรูปภาพนั้นได
สวนในมุมมองของ Tim O’Reilly – CEO ของ O’Reilly Media เจาพอสื่อสิ่งพิมพเกี่ยวกับวงการ คอมพิวเตอรที่มียอดจําหนายสูงสุดในโลก และยังเปนคนริเริ่มจัดการประชุมเกี่ยวกับWeb 2.0 กลับแสดง ความเห็นที่ขัดแยงกับ Nova Spivack วา ไมควรใสใจกับคําวา Web 3.0 เพราะมันเปนเพียงศัพททาง การตลาดเพื่อใชในวัตถุประสงคทางธุรกิจที่เกี่ยวของกับ Semantic Web เทานั้น Tim ไดกลาวถึงในอดีตที่ผานมาเมื่อมีการประชุม Web 2.0 ขึ้นและมีการใชคําวา Web 2.0 ครั้งแรก ในโลกนั้น จุดประสงคเพื่อฟนฟูสภาวะธุรกิจที่เกี่ยวของกับเว็บไซตหลังฟองสบูของยุค dot com แตก หาใช การพูดถึงการพัฒนาเทคโนโลยีไม ดังนั้นถาจะพูดถึงเทคโนโลยีก็ขอใหพูดถึง Semantic Web โดยตรงเลย ไมใช Web 3.0 ณ ปจจุบันก็ยังไมมีขอสรุปที่เปนทางการรวมกันในระดับองคกร สําหรับการจัดมาตรฐาน Web 3.0 แตไมวาเราจะเรียกยุคของเว็บไซตตอไปวาเปนอะไรก็ตาม Keyword สําคัญก็คอื Semantic Web เพราะเปน คําเรียกถึงเทคโนโลยีของเว็บไซตที่นิยามคอนขางชัดเจนและถูกบรรจุเปนมาตรฐานขององคกรเว็บไซตสากล (World Wide Web Consortium – W3C)
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
27
P a g e | 28
Semantic Web - มาตรฐานสําหรับเว็บยุคถัดไป จากที่กลาวมาขางตนวา ในยุคถัดไปความสามารถของเว็บไซต จะเริ่มเรียกวา “ฉลาดขึ้น” ดวย บอยครั้งนักที่เรารูสึกไมพอใจกับการคนหาสิ่งที่ตองการ ทําใหผูใชงานตองเพิ่มจํานวนKeyword เขา ไปมากขึ้นเพื่อลดขอบเขตของการคนหาใหแคบ และตรงจุดมากขึ้น แนวคิดของ Semantic Web จะนํามาใช แกปญหาตรงจุดนี้ โดยปกติขอมูลบนเว็บไซตนั้นประกอบดวยสามองคประกอบหลักคือ - Content คือตัวเนื้อหา หรือขอมูลที่ตองการสื่อไปถึงมนุษย - Presentation คือการแสดงผล การจัดวาง สีสัน ลวดลาย - Metadata คือขอมูลที่บงบอกรายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับเนื้อหานั้น ถาเปรียบเทียบกับชีวิตประจําวันเปนหลอดยาสีฟน Content ก็คือเนื้อยาสีฟน Presentation ก็คือการ design ตัวหลอดยาสีฟนใหบีบใชงาย และ Metadata ก็คือฉลาก วิธีใช องคประกอบของเนื้อยาสีฟน ขอควร ระวัง ฯลฯ จากการเพิ่มจํานวนของเว็บไซตที่มากมายและเนื้อหาที่กระจัดกระจายนั้น Metadata จะเปนสวนที่ สําคัญของ Semantic Web ในการที่จะจัดการกับเนื้อหาเหลานั้น โดยใน Metadata จะแบงออกเปน สวนยอยๆตางๆ และมีหลักการในการ “เชื่อมโยง” และหาความสัมพันธกันระหวางชุดขอมูล เพื่อให application สามารถนําไปประมวลผลและแสดงผลไดตรงตามตองการ อธิบายงายๆโดยใชตัวอยางหลอดยาสีฟนหลอดเดิมไดวา บนฉลากจะมีระบุบอกวาตรงสวนนี้เปน วิธีใช สวนนี้เปนสารประกอบของเนื้อยาสีฟน สวนนี้เปนเลขใบรับรองของ อย. ตรงสวนนี้เปนสถานที่ผลิต เมื่อ มีชายคนหนึ่งมีประวัติการแพสารฟลูออไรดบนยาสีฟนเขามา ระบบก็จะทําการคัดเลือกตามฉลากเพื่ออเ ายา สีฟนที่ไมมีสารฟลูออไรดมาเสนอให ยิ่งไปกวานั้นระบบก็อาจจะทําการสงขอมูลกลับไปตามที่อยูในสถานที่ ผลิต เพื่อแจงเปนสถิติใหผูผลิตทราบวามีผูแพสารฟลูออไรดนี้เพื่อทําการปรับปรุงแกไขตอไป หลักการในเชิงเทคโนโลยีของ Semantic Web อยางละเอียดจะไมขอกลาวถึงในที่นี้ และเมื่อมาดู แนวโนมของ Semantic Web ในอนาคตอันใกล ก็จะพบวา เหลาบริษัทยักษใหญหลายแหงไดพากัน คาดการณและมีการดําเนินการเพื่อเตรียมพรอมแลวดังนี้ NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
28
P a g e | 29
ในป 2007 Thomson Reuters ยักษใหญอันดับ 1 ของโลกในดานขอมูลและขาวสารได เขาเจรจาซื้อกิจการของ ClearForest เจาของบริการ OpenCalais.com เพื่อใชนํามา จัดการ Content ทั้งในดานการเงิน การลงทุน การวิจัยตางๆที่มีอยูอยางมหาศาลโดยใช Semantic Technology ในการเชื่อมโยงขอมูลเหลานั้น เดือนพฤษภาคม ป 2008 Yahoo ไดเริ่มบริการ SearchMonkey ที่ใหนักพัฒนาสามารถพัฒนา Application ครอบบน Search Engine ของ Yahoo ไดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคนหาโดยใชหลัก Semantic Markup ถัดมาในเดือนกรกฎาคม ปเดียวกัน ทาง Microsoft ไดเขาซื้อกิจการของ Powerset เพื่อนําเทคโนโลยี Natural Language Search Engine ไปปรับปรุงเขา กับ Live Search ของ Microsoft สิ่งตางๆเหลานี้แสดงใหเห็นวา พลังของ Semantic Web และเทคโนโลยีอื่นๆที่เกี่ยวของ ที่จะชวยพลิก โฉมอุตสาหกรรมเว็บไซตในอนาคตอันใกลนั้นเปนสิ่งที่หลายบริษัทคาดหวังเปนอยางยิ่งวาจะผลักดันใหยุครุง เรื่องของ dot com กลับมาอีกครั้ง แตจะสําเร็จหรือไมก็ยังคงตองติดตามกันตอไป… สรุป สิ่งที่เกิดขึ้นในวงการ Web2.0 ในป 2008 § § § § § §
แนวโนม Web2.0 ในป 2009
Social Media Blog Microblogging Social Networking Open Platform Mashup
§ Lifestreaming
§ Software as a Service
§ Semantic Web
§ Longtail Social Networking § Geolocation & Mobile Social Networking § Social Networking Portability § Cloud Computing
NIDA Competitiveness Review : Issue #3 | Web 2.0 Trends 2009
29