บทที่ 5urinary Ana.docx

  • Uploaded by: vivian
  • 0
  • 0
  • November 2019
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View บทที่ 5urinary Ana.docx as PDF for free.

More details

  • Words: 11,092
  • Pages: 20
100

บทที่ 5 ระบบขับถ่ายปัสสาวะ Urinary system ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็ นระบบหนึ่งในร่างกายทีเ่ กีย่ วข้องกับการขับของ เสี ย หรื อ ขับ สารพิ ษ ออกจากร่ า งกาย เพื่ อ ควบคุ ม ภาวะร่ า งกายให้ ค งที่ (homeostasis) ก า ร ผ ลิ ต น้ า ปั ส ส า ว ะ จ ะ เ ป็ น ตั ว น า พ า ข อ ง เ สี ย ห รื อ สิ่ ง ที่ เป็ น พิ ษ โด ย เฉ พ าะส าร ป ร ะก อ บ ไ น โต ร เจ น (nitrogenous compound) ออก จาก ร่ า งก าย จึ ง ช่ ว ยรัก ษ าสม ดุ ล ข องข องเห ลว แ ละ อิ เ ล็ ค โ ต ร ไ ล ท์ ห รื อ อิ อ อ น ข อ ง แ ร่ ธ า ตุ ต่ า ง ๆ นอกจากนี้ ย งั เกี่ย วข้อ งกับ ระบบต่อ มไร้ท่อ และ ช่ วยควบคุ ม ความดัน เลื อ ด โ ด ย ก า ร ห ลั่ ง ฮ อ ร์ โ ม น เ ร น นิ น (rennin) แ ล ะ สั ง เ ค ร า ะ ห์ ฮ อ ร์ โ ม น อิ ริ โ ท ร ป อ ย ด์ ติ น (erytropoitin) ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ส ร้ า ง เ ซ ล ล์ เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง และยังเกีย่ วข้องกับระบบสืบพันธุ์ดว้ ย การขับถ่ายปัสสาวะอาจจัดว่าเป็ นการขับถ่ายของเสียทีส ่ าคัญทีส ่ ุดของร่า ง ก า ย โ ด ย เป็ น ก า ร ขั บ ข อ ง เสี ย อ อ ก จ า ก ร่ า ง ก า ย ใ น รู ป ข อ ง เห ล ว จึ ง มี ผ ล ให้ ร่ า งก าย ต้ อ งมี ก าร สู ญ เสี ย น้ าใน ป ริ ม าณ ม าก ต าม ม าด้ ว ย เนื่ อ งจากน้ า ถู ก ใช้ เ ป็ นตัว ท าละลายเพื่ อ น าพาเอาของเสี ย ออกจากร่ า งกาย โครงสร้างของระบบขับ ถ่ายปัสสาวะประกอบด้วยไต (kidneys) 1 คู่ ท่อไต หรื อ หลอดปั ส สาวะ (ureters) 1 คู่ กระเพาะปั ส สาวะ (urinary bladder) และท่อปัสสาวะ (urethra) 1.ไต (kidneys) ไ ต เ ป็ น อ วั ย ว ะ ที่ ส า คั ญ ใ น ร ะ บ บ ขั บ ถ่ า ย ปั ส ส า ว ะ ในสัต ว์ เลี้ย งทุก ชนิ ด มี ไตอยู่ 1 คู่ อยู่ภ ายนอกช่อ งท้อ ง (peritoneal cavity) แ ล ะ มี ต า แ ห น่ ง อ ยู่ ติ ด กั บ ก ร ะ ดู ก สั น ห ลั ง ส่ ว น เ อ ว เนื้อไตของสัตว์เลี้ยงมีสีน้าตาลแดง ถูกครอบคลุม อยูโ่ ดยรอบด้วยเนื้อเยือ ่ บางๆ ทีเ่ รียกว่า เยือ ่ ไต (renal capsule) ยกเว้นส่วนทีม ่ ีลกั ษณะเว้าเข้าไป เรียกว่า รี น ัล ไฮลัส (renal hilus) ซึ่ ง เป็ นจุ ด ที่ เ ส้ น เลื อ ด เส้ น ประสาท และท่ อ ไต ห รื อ ห ล อ ด ปั ส ส า ว ะ ผ่ า น เ ข้ า อ อ ก จ า ก ไ ต เ ท่ า นั้ น ลัก ษณะรูป ร่า งของไตในสัต ว์ เลี้ ย งแต่ล ะชนิ ด จะแตกต่างกัน ไป ไตของสุ ก ร สุ นั ข แ ม ว จ ะ มี รู ป ร่ า ง ค ล้ า ย เ ม ล็ ด ถั่ ว แ ล ะ มี ผิ ว เ รี ย บ ไ ต ข อ ง สุ ก ร จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ แ บ น ก ว่ า ไ ต ข อ ง สุ นั ข แ ล ะ แ ม ว แ ต่ ไ ต ข อ ง โ ค จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น รู ป ไ ข่ ผิ ว ด้ า น น อ ก จ ะ มี ร่ อ ง แ ล ะ แ บ่ ง เ นื้ อ ไ ต อ อ ก เ ป็ น ก ลี บ ๆ (segment or lobe)

101 ส่ ว น ม้ า จ ะ มี ไ ต รู ป ร่ า ง ค ล้ า ย กั บ รู ป หั ว ใ จ โดยทั่วไปไตข้างขวาจะมีขนาดใหญ่กว่าไตข้างซ้าย เนื่องจากระบบการขับถ่ายปัสสาวะเป็ นระบบทีเ่ กีย่ วข้องกับการผลิตน้าปั ส ส า ว ะ แ ล ะ ก า ร ขั บ ถ่ า ย น้ า ปั ส ส า ว ะ ซึ่ ง เป็ น ร ะ บ บ ก า ร ขั บ ถ่ า ย ข อ ง เสี ย จ า ก ร่ า ง ก า ย ใ น รู ป ข อ ง เห ล ว การทางานของระบบปัสสาวะจึงมีความสัมพันธ์เกีย่ วข้องโดยตรงกับระบบไหล เ วี ย น ข อ ง เ ลื อ ด ซึง่ เป็ นของเหลวทีอ ่ ยูภ ่ ายนอกเซลล์ และไหลเวียนอยูภ ่ ายในหัวใจและหลอดเลือ ด ห รื อ เ ส้ น เ ลื อ ด เลื อ ด จ ะ เป็ น ตั ว พ าส าร ต่ างๆ ที่ ร่ า งก าย ต้ อ งก าร ที่ จ ะ ขั บ อ อ ก ไ ป ที่ ไ ต เพื่ อ ใ ห้ ไ ต ท า ห น้ า ที่ ก ร อ ง ส า ร ที่ ไ ม่ ต้ อ ง ก า ร เห ล่ า นี้ อ อ ก จ า ก เลื อ ด พ ร้ อ ม ท า ก า ร ผ ลิ ต น้ า ปั ส ส า ว ะ และขับออกในรูปน้าปัสสาวะซึง่ มีลกั ษณะเป็ นของเหลว

ภาพที่ 5.1 แสดงลักษณะของไตในสุกร โค และม้า ทีม ่ า: ดัดแปลงจาก Colville and Bassert (2002) หน้าทีข ่ องไต คือ - ส ร้ า ง น้ า ปั ส ส า ว ะ ซึ่ ง เ กิ ด จ า ก ก า ร ก ร อ ง เ ลื อ ด ที่ ไ ต โดยของเสียส่วนใหญ่เป็ นของเสียทีเ่ กิดจากขบวนการเมตาโบลิซม ึ ของเซลล์ - เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ค ว บ คุ ม ส ม ดุ ล ข อ ง น้ า ใ น ร่ า ง ก า ย เ นื่ อ ง จ า ก ก า ร ขั บ ถ่ า ย ปั ส ส า ว ะ ท า ใ ห้ ร่ า ง ก า ย สู ญ เ สี ย น้ า

102 ซึ่ ง เ ป็ น ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ส่ ว น ใ ห ญ่ ใ น น้ า ปั ส ส า ว ะ และเป็ นตัว ท าละลายส าหรับ สารต่ า งๆ เช่ น ยู เ รี ย (urea) และ ครี เ อที น (creatine) ทีเ่ ป็ นของเสียจากขบวนการเมตาโบลิซม ึ ทีร่ า่ งกายต้องการขับออก ไตจึงเป็ นตัวควบคุม ปริม าณน้ าในร่างกายไม่ให้มี การขับ น้ าออกมากเกินไป โดยการควบคุ ม ของฮอร์ โ มน แอนตี้ ไ ดยู เ รดติ ก ฮอร์ โ มน หรื อ เอดี เ อช (antidiuretic hormone , ADH) ที่ ส งั เคราะห์ จ ากต่ อ มใต้ ส มองส่ ว นหน้ า และ อัลโดสเตอโรน (aldosterone) ทีส ่ งั เคราะห์จากต่อมหมวกไตส่วนนอก - ค ว บ คุ ม ส ม ดุ ล ข อ ง ก ร ด -ด่ า ง ใ น ร่ า ง ก า ย ด้วยการควบคุม สมดุลของกรด-ด่างในน้ าเลือ ด โดยทั่ว ไปในเลือ ดมี ค่า pH ประมาณ 7.4 ซึ่ งเป็ นระดับ ที่เซลล์ ในร่างกายสามารถท าหน้ าที่ได้อ ย่างปกติ แ ต่ ก า ร ที่ เลื อ ด มี pH เป็ น ด่ า ง ม า ก เกิ น ไ ป (alkalosis) ห รื อ มี pH เ ป็ น ก ร ด ม า ก เ กิ น ไ ป (acidosis) จะมีผลให้การทางานของเซลล์มีประสิทธิภาพลดลง - ควบคุ ม สมดุ ล ของเกลื อ แร่ ใ นร่ า งกาย (electrolyte balance) โ ด ย ก า ร ขั บ แ ร่ ธ า ตุ ส่ ว น ที่ มี ม า ก เ กิ น ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร อ อ ก และดูดกลับแร่ธาตุสว่ นทีร่ า่ งกายมีความต้องกลับเข้าสูร่ า่ งกายผ่านทางหลอดไ ต - สั ง เค ร า ะ ห์ แ ล ะ ห ลั่ ง ฮ อ ร์ โ ม น ฮ อ ร์ โ ม น อิ ริ โ ท ร ป อ ย ด์ ติ น ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ส ร้ า ง เ ซ ล ล์ เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง (erythropoiesis) และฮอร์ โ มนที่เกี่ย วกับ การควบคุม ความดัน ของเลื อ ด คือ ฮอร์ โมนเรนนิ น (renin) - เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ท า ล า ย ส า ร พิ ษ (detoxification) เ พื่ อ ช่ ว ย ก า จั ด ส า ร พิ ษ ใ น ร่ า ง ก า ย โ ด ย ก า ร เ ป ลี่ ย น ส า ร พิ ษ บ า ง ช นิ ด ใ ห้ เ ป็ น ส า ร ที่ มี พิ ษ น้ อ ย ล ง หรือเปลีย่ นให้เป็ นสารทีไ่ ม่มีพษ ิ แล้วขับออกจากร่างกาย - ท าหน้ าที่ผ ลิต ไวตามินดีที่ท างานได้ (active vitamin D or 1, 25 Dihydroxycholocalciferal) เพือ ่ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมอิออนทีผ ่ นังลาไส้เล็ก 1.1 กายวิภาคของไต (anatomy of kidney) เมื่ อ น า ไ ต ม า ผ่ า ต า ม ค ว า ม ย า ว จ ะ แ บ่ ง ไ ต อ อ ก ไ ด้ เป็ น 2 ส่ ว น เนื้ อ ไ ต ใ น แ ต่ ล ะ ส่ ว น จ ะ เห็ น ไ ด้ ว่ า มี สี ที่ ต่ า ง กั น อ ย่ า ง เห็ น ไ ด้ ชั ด สามารถแยกออกได้เป็ น 2 ส่วนคือ 1) เ นื้ อ ไ ต ชั้ น น อ ก (renal cortex) เป็ น ส่ ว น ข อ ง เนื้ อ ไ ต ที่ อ ยู่ ติ ด กั บ เ ป ลื อ ก หุ้ ม ไ ต (renal capsule) เ นื้ อ ไ ต มี สี น้ า ต า ล แ ด ง ห รื อ สี เห ลื อ ง ป น แ ด ง จ ะ เป็ น บ ริ เว ณ ที่ มี เลื อ ด ม า ห ล่ อ เลี้ ย ง ม า ก ส่ ว น ข อ ง เ ส้ น เ ลื อ ด แ ด ง ที่ ม า ห ล่ อ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ ไ ต

103 เป็ น ก ลุ่ ม ข อ งเส้ น เลื อ ด แ ด งฝ อ ย ที่ ม าจัด เรี ย งตัว กัน เป็ น ก ลุ่ ม เรี ย ก ว่ า โ ก ล เ ม อ รู ลั ส (glomerulus) มี ก ร ะ จ า ย อ ยู่ ทั่ ว ไ ป ส่วนของเส้นเลือดที่เข้ามาในโกลเมอรูรสั เรียกว่า แอฟเฟอเรนอาร์เทอริโอล (afferent arteriole) เส้ น เลื อ ดที่ น าเลื อ ดออก จาก โก ลเมอรู ล ัส เรี ย ก ว่ า เอฟเฟอเรนอาร์เทอริโอล (efferent arteriole) โดยแอฟเฟอเรนอาร์เทอริโอ (afferent arteriole) จ ะ มี ข น า ด ให ญ่ ก ว่ า เอ ฟ เฟ อ เร น อ าร์ เท อ ริ โ อ ล (efferent arteriole) ร อ บ ๆ โ ก ล เ ม อ รู ลั ส แ ต่ ล ะ อั น จ ะ มี ถุ ง หุ้ ม อ ยู่ เพื่อ รองรับน้ าปัส สาวะหรือน้ าที่กรองได้จากเลือ ด ส่วนของถุ งหุ้ม เราเรียกว่า โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค บ ซู ล (Bowman’s capsule) ถุ ง หุ้ ม นี้ จ ะ ต่ อ โ ด ย ต ร ง กั บ ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น (proximal convoluted tubules) 2) เ นื้ อ ไ ต ชั้ น ใ น ( renal medulla) เ ป็ น ส่ ว น เ นื้ อ ไ ต ที่ อ ยู่ โ ด ย ร อ บ ก ร ว ย ไ ต (renal pelvis) มี ผิ ว เ รี ย บ ส่ ว น น อ ก มี สี น้ า ต า ล เ ข้ ม แ ล ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ค ล้ า ย แ ถ บ รั ง สี ที่ แ ผ่ ยื่ น เข้ า ไ ป ใ น เนื้ อ ไ ต ชั้ น น อ ก แต่สว่ นเนื้ อไตชัน ้ ในทีต ่ ด ิ กับกรวยไตจะมีสีซีดกว่า และมีหลอดไตขนาดต่างๆ เ รี ย ง ตั ว กั น ห น า แ น่ น โ ด ย ห ล อ ด ไ ต ร ว ม (collecting tubules) จะเรียงตัวขนานกันเป็ นกลุม ่ ๆคล้ายกับรูปปิ รามิด หรือคล้ายกับรูปสามเหลีย่ ม ท าให้ เ กิ ด เป็ นกลี บ ไตที่ มี ล ก ั ษณ ะคล้ า ย กับ รู ป ปิ รามิ ด (renal pyramid) แ ต่ ด้ า น ฐ า น ข อ ง รู ป ส า ม เ ห ลี่ ย ม จ ะ อ ยู่ ท า ง ด้ า น น อ ก ห รื อ ฐ า น ข อ ง รู ป ส า ม เ ห ลี่ ย ม จ ะ ติ ด กั บ เ นื้ อ ไ ต ส่ ว น น อ ก ส่ ว นยอดแหลมของสามเหลี่ ย ม เรี ย กว่ า รี น ัล พาพิ ล่ า ร์ (renal papilla) เ ป็ น บ ริ เ ว ณ ที่ มี รู เ ล็ ก ๆ ป ร า ก ฏ อ ยู่ ม า ก ม า ย โ ด ย รู เ ล็ ก ๆ เ ห ล่ า นี้ จ ะ เ ป็ น รู เ ปิ ด ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ข น า ด เ ล็ ก ๆ ซึง่ เป็ นทางผ่านของปัสสาวะเพือ ่ เข้าสูช ่ ่องว่างทีร่ องรับอยูท ่ ีป ่ ลายของรีนลั พาพิว ลาร์ (renal papilla) แต่ ล ะอัน ช่ อ งว่ า งนี้ เรี ย กว่ า ไมเนอเคลิ ก ส์ (minor calyx) โ ด ย ไ ม เ น อ เ ค ลิ ก ส์ จ า น ว น 2-3 อันจะรวมกันแล้วเปิ ดเข้าสู่ช่อ งว่างที่มี ข นาดใหญ่ก ว่า เรียกว่า เมเจอร์เคลิก ส์ (major calyx) ซึง่ จะเป็ นช่องว่างทีร่ วบรวมน้าปัสสาวะจากไมเนอเคลิกส์แล้วส่งต่อไปยังท่อไต (ureters) โ ด ย ผ่ า น ส่ ว น ข อ ง ก ร ว ย ไ ต (renal pelvic) ในสัตว์เลี้ยงบางชนิดเช่นในม้าเนื้อไตจะไม่มีสว่ นของไมเนอเคลิกส์ปรากฏให้เ ห็ น น้ า ปั ส สาวะที่ ผ ลิ ต ได้ จ ากหลอดไตจึ ง ไหลผ่ า นเข้ า สู่ ก รวยไตโดยตรง แ ต่ ใ น สั ต ว์ บ า ง ช นิ ด เ ช่ น โ ค จ ะ ไ ม่ มี ส่ ว น ข อ ง ก ร ว ย ไ ต เนื่ อ ง จ า ก ลั ก ษ ณ ะ ไ ต ข อ ง โ ค จ ะ แ ย ก อ อ ก เป็ น ก ลี บ ๆ อ ย่ า ง ชั ด เจ น จึ ง ไ ม่ จ า เ ป็ น ต้ อ ง มี ส่ ว น ร ว บ ร ว ม น้ า ปั ส ส า ว ะ ห รื อ เ ค ลิ ก ส์ เมื่อหลอดไตผลิตน้ าปัสสาวะได้จะส่งผ่านรูในส่วนของรีนลั พาพิล่าร์ (renal

104 papilla) แ ล้ ว ส่ ง ต่ อ ไ ป ที่ ท่ เพือ ่ ส่งผ่านน้าปัสสาวะและนาไปเก็บทีก ่ ระเพาะปัสสาวะต่อไป

ภาพที่ 5.2







โครงสร้างของไตในแพะ

1.2 จุลกายวิภาคของไต (microscopic anatomy) เนื้ อ ไตแต่ ล ะข้ า งจะมี ห น่ วยย่ อ ยๆที่ เป็ นหน่ วยท าหน้ า ที่ ที่ เล็ ก ที่ สุ ด ของไต (funtional unit) เ รี ย ก ว่ า เ น ฟ อ ร น (nephron) ท า ห น้ า ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ผ ลิ ต น้ า ปั ส ส า ว ะ เน ฟ ร อ น จ ะ พ บ ไ ด้ ทั้ ง ใ น เ นื้ อ ไ ต ส่ ว น น อ ก แ ล ะ เ นื้ อ ไ ต ส่ ว น ใ น แ ต่ ล ะ ห น่ ว ย ย่ อ ย จ ะ ท า ห น้ า ที่ ผ ลิ ต น้ า ปั ส ส า ว ะ แล้วส่งมารวมกันทีท ่ อ ่ ไตหรือหลอดปัสสาวะเพือ ่ ส่งต่อไปเก็บไว้ทีก ่ ระเพาะปัสส า ว ะ สั ต ว์ แ ต่ ล ะ ช นิ ด จ ะ มี จ า น ว น เน ฟ ร อ น แ ต ก ต่ า ง กั น ไ ป เช่ น ในสุ ก รมี เ นฟรอน 1,000,000 เนฟรอน แต่ ใ นโคมี จ านวน 4,000,000 เนฟรอน ภายในเนฟรอนประกอบด้ว ย 2 ส่ว นคื อ รี น ลั คอร์ พ สั เคิล (renal corpuscle or malpighian corpuscle) และหลอดไต (renal tubule) 1) รี นั ล ค อ ร์ พั ส เ คิ ล (renal corpuscle or malpighian corpuscle) คื อ เน ฟ ร อ น ที่ พ บ ใ น เนื้ อ ไ ต ส่ ว น น อ ก เป็ น ส่ ว น ใ ห ญ่ ประกอบด้ ว ยกระจุ ก เส้ น เลื อ ดฝอยที่ แ ตกมาจากแอฟเฟอเรนอาร์ เทอริ โ อ (afferent arteriole) มั ก นิ ย ม เ รี ย ก ว่ า โ ก ล เ ม อ รู ลั ส (glomerulus) แ ท น ค า ว่ า รี นั ล ค อ ร์ พั ส เ คิ ล (renal corpuscle)

105 แ ล ะ ส่ ว น ข อ ง โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค บ ซู ล (Bowman’s capsule) ที่ เ ป็ น ส่ ว น ข อ ง ห ล อ ด ไ ต (renal tubule) ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ ป ล า ย ตั น มี รู ป ร่ า ง ค ล้ า ย รู ป ถ้ ว ย ท า ห น้ า ที่ ห่ อ หุ้ ม ก ร ะ จุ ก เส้ น เลื อ ด ฝ อ ย ห รื อ โ ก ล เ ม อ รู ลั ส เ อ า ไ ว้ ส่ ว น โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค บ ซู ล จ ะ มี ผ นั ง 2 ชั้ น ชั้ น ใ น จ ะ ติ ด กั บ โ ก ล เม อ รู ลั ส ส่ ว น ชั้ น น อ ก จ ะ เป็ น รู ป ท ร ง ก ล ม แ ล ะ อ้ อ ม ไ ป ต่ อ กั บ ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น (proximal convoluted tubule) ระหว่า งชั้น ทั้ง สองจะเป็ นช่ อ งว่า งส าหรับ ให้ สิ่ ง ที่ ก รองได้ จ ากโกลเมอรู ล สั (glomerulus filtrate) หรือน้ากรองจากเลือดให้ไหลผ่านออกมาเข้าทางหลอดไตส่วนต้น (proximal convoluted tubule) ต่อไป 2) ห ล อ ด ไ ต (renal tubule) พ บ อ ยู่ ใ น เ นื้ อ ไ ต ชั้ น น อ ก แ ล ะ เ นื้ อ ไ ต ชั้ น ใ น ประกอบด้ ว ยท่ อ ขนาดเล็ ก ที่ ไ ม่ มี แ ขนงแยกออกมาจากความยาวของท่ อ แ บ่ ง เ ป็ น ส่ ว น ต่ า ง ๆ โดยจุดเริม ่ ต้นของท่อขนาดเล็กนี้ตอ ่ เนื่องมาจากช่องว่างของโบว์แมนส์แคบซูล สิ่ ง ที่ ก รองได้ จ ากโกลเม อรู ล ัส จะไหลผ่ า น มาตลอดความยาวของท่ อ นี้ ในระหว่างทีไ่ หลผ่านท่อจะมีการมีการเปลีย่ นแปลงความเข้มข้นของสารทีเ่ ป็ น อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ภ า ย ใ น น้ า ก ร อ ง จ น ไ ด้ น้ า ปั ส ส า ว ะ ที่ แ ท้ จ ริ ง ท่อของหลอดไตประกอบด้วย 4 ส่วนคือ ก . ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น (Proximal convoluted tubule) เป็ นหลอดไตทีม ่ ีลกั ษณะเป็ นท่อต่อออกมาจากช่องว่างของโบว์แมนส์แคบซูล เ ป็ น ส่ ว น ข อ ง ท่ อ ที่ มี ข น า ด ย า ว แ ล ะ ก ว้ า ง ที่ สุ ด ใ น เ น ฟ ร อ น จะพบท่อ ชนิ ด นี้ ม ากในเนื้ อ ไตส่วนนอก หลอดไตส่วนต้น มี ลกั ษณะขดไปมา ผ นั ง ด้ า น ใ น ข อ ง ท่ อ เป็ น เซ ล ล์ เยื่ อ บุ ผิ ว ที่ มี รู ป ร่ า ง สี่ เห ลี่ ย ม ลู ก บ า ก ศ์ ที่ มี ข น ค ล้ า ย แ ป ร ง ยื่ น เ ข้ า ไ ป ใ น ช่ อ ง ว่ า ง ข อ ง ท่ อ เ พื่ อ ช่ ว ย เ พิ่ ม พื้ น ที่ ผิ ว ใ น ก า ร ดู ด ซึ ม ส า ร ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร ก ร อ ง หลอดไตส่วนนี้จะทาหน้าทีใ่ นการดูดซึมน้ากลับจากน้ากรองจากเลือดทีไ่ ด้ผา่ น ส่ว นของโกลเมอรู ล สั แล้ว หลอดไตส่ว นนี้ จะดู ด ซึ ม น้ า กลับ ได้ป ระมาณ 65 เ ป อ ร์ เ ซ็ น ต์ น อ ก จ า ก นี้ แ ร่ ธ า ตุ แ ล ะ ส า ร อื่ น ๆ ก็ ส ามารถดู ด ซึ ม ผ่ า นผนัง ของท่ อ ส่ ว นนี้ ไ ด้ เช่ น กัน ได้ แ ก่ โซเดี ย มอิ อ อน คลอไรด์ อิ อ อน แคลเซี่ ย มอิ อ อน โพแตสเซี ย มอิ อ อน ฟอสฟอรัส อิ อ อน ไ ว ต า มิ น ซี ก ร ด อ ะ มิ โ น บ า ง ช นิ ด แ ล ะ ก ลู โ ค ส เ ป็ น ต้ น น อ ก จ า ก จ ะ มี ก า ร ดู ด ซึ ม น้ า แ ล ะ ส า ร อื่ น ๆ กลับ เข้ า สู่ เ ส้ น เลื อ ดแดงฝอยที่ ต่ อ มาจากเส้ น เลื อ ดที่ อ อกจากโกลเมอรู ล ส ั และพัน หุ้ ม หลอดไตส่ ว นนี้ แ ล้ ว บริ เวณนี้ ย งั สามารถขับ สารบางอย่ า งเช่ น ค รี เ อ ที น ไ อ โ อ ดี น แ ล ะ ย า เ พ น นิ ซิ ลิ น อ อ ก จ า ก ห ล อ ด ไ ต เพือ ่ เข้าสูน ่ ้ากรองได้ดว้ ย

106 ข . ห่ ว ง ห ล อ ด ไ ต (loop of Henle or Henle’s loop) เป็ นหลอดไตที่มี ลกั ษณะเป็ นรูป ห่วง หรือเป็ นรูป ตัวยูมี ข นาดสัน ้ บ้างยาวบ้าง ท อ ด ตั ว ล ง ม า ใ น เ นื้ อ ไ ต ส่ ว น ใ น มี ต า แ ห น่ ง อ ยู่ ร ะ ห ว่ า ง ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น แ ล ะ ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ป ล า ย พ บ ไ ด้ ทั้ ง ใ น เนื้ อ ไ ต ส่ ว น น อ ก แ ล ะ เนื้ อ ไ ต ส่ ว น ใ น แ บ่ ง เป็ น 2 ส่ ว น ตามลัก ษณะรูป ร่างของเซลล์เยื่อ บุ ผิว คือ ส่วนของห่วงหลอดไตที่มี ผ นังบาง ( thin segment of Henle’s loop) เป็ น ส่ ว น ข อ ง ท่ อ ที่ มี ข น า ด เล็ ก ท อ ด ตั ว เข้ า ไ ป ใ น เนื้ อ ไ ต ส่ ว น ใ น มีเซลล์เยือ ่ บุผวิ เป็ นชนิดเซลล์รูปเกล็ด หรือรูปสีเ่ หลีย่ มแบนบาง (squamous epithelial cell) ส่ ว น ของห่ ว งห ลอดไตที่ มี ผนั ง ห น า (thick sement of Henle’s loop) เป็ น ส่ ว น ข อ ง ท่ อ ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ที่ มี ข น า ด ใ ห ญ่ ก ว่ า แ ล ะ เป็ น ท่ อ ท างด้ า น ป ล าย ข อ งรู ป ตัว ยู ห รื อ ต ร งป ล าย ห่ ว งห ล อ ด ไ ต เ ซ ล ล์ เ ยื่ อ บุ มี รู ป ร่ า ง เ ป็ น รู ป ลู ก บ า ศ ก์ (cuboidal epithelial cell) ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น นี้ ส าม าร ถ ดู ด ซึ ม น้ าก ลับ ไ ด้ ป ร ะ ม าณ 15 เป อ ร์ เซ็ น ต์ และสาม ารถ ดู ด ซึ ม โซ เดี ย ม อิ อ อน แ ละค ลอไรด์ อิ อ อน ก ลับ ได้ เ ช่ น กัน โดยทั่วไปของเหลวทีอ ่ ยูใ่ นส่วนนี้ จะเป็ นของเหลวทีม ่ ีความเข้มข้นมากทีส ่ ุดใน ห ล อ ด ไ ต โ ด ย เ ฉ พ า ะ ข อ ง เ ห ล ว ที่ อ ยู่ ต ร ง ส่ ว น ล่ า ง สุ ด หรือส่วนทีอ ่ ยูใ่ กล้กบ ั เนื้อไตส่วนในมากทีส ่ ุด

ภาพที่ 5.3 ทีม ่ า:

ส่วนประกอบของเนฟรอน ดัดแปลงจาก Reece (2009)

107 ค . ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ป ล า ย (Distal convoluted tubule) เ ป็ น ห ล อ ด ไ ต ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ท่ อ เ ล็ ก ๆ สั้ น ๆ ต่ อ ม า จ า ก ห่ ว ง ห ล อ ด ไ ต แ ล ะ พ บ อ ยู่ ใ น เ นื้ อ ไ ต ส่ ว น น อ ก ลัก ษ ณ ะ ข อ งท่ อ มี ก า ร ข ด ไ ป ม าน้ อ ย ก ว่ า ส่ ว น ข อ งห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น มี ต าแหน่ งระหว่างส่วนปลายของห่วงหลอดไตที่มี ผ นังหนา (thick sement of Henle’s loop) แ ล ะ ห ล อ ด ไ ต ร ว ม (collecting tubule) ป ล า ย ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ป ล า ย (arch tubules) ห ล า ย ๆ อันจะมาเปิ ดอยู่ที่ห ลอดไตรวมที่มี ลกั ษณะเป็ นท่อตรง (straight collecting tubules) บริเวณหลอดไตส่วนปลายสามารถดูด ซึม น้ ากลับ ได้ป ระมาณ 10 เปอร์ เ ซ็ นต์ และมี ก ารดู ด ซึ ม โซเดี ย ม อิ อ อนและคลอไรด์ อิ อ อนได้ บ้ า ง ร ว ม ทั้ ง ส า ม า ร ถ ห ลั่ ง ห รื อ ขั บ ส า ร ต่ า ง ๆ ก ลั บ เข้ า สู่ ท่ อ ไ ต ไ ด้ เช่ น แอมโมเนียมอิออน ไฮโดรเจนอิออน และโพแตสเซีย่ มอิออน เป็ นต้น ง . ห ล อ ด ไ ต ร ว ม (collecting tubule) เป็ นหลอดไตทีม ่ ท ี อ ่ ขนาดใหญ่ พบได้ทง้ ั ในเนื้อไตส่วนนอกและเนื้อไตส่วนใน ที่ ห ลอด ไต รวม ที่ มี ลัก ษ ณ ะเป็ น ท่ อ ต รง (straight collecting tubules) ซึ่งเป็ นหลอดไตรวมทีอ ่ ยูใ่ นเนื้ อไตส่วนนอก จะมีปลายของหลอดไตส่วนปลาย (arch tubules) ห ล า ย ๆ ท่ อ ม า ต่ อ กั น และหลอดไตรวมส่ ว นนี้ หลายๆท่ อ จะรวมกัน เป็ น รี น ัล พาพิ ล่ า ร์ (renal papilla) ซึ่ ง ตรงปลายจะมี รู ใ ห้ น้ า ปั ส สาวะไหลลงสู่ ไ มเนอเคลิ ก ส์ (minor calyx) เมเจอร์เคลิกส์ (major calyx) และผ่านเข้ากรวยไต (renal pelvis) ต่อไป ส่วนของหลอดไตรวมสามารถดูดซึมน้ากลับได้ประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ร ว ม ทั้ ง มี ก า ร ขั บ ส า ร ต่ า ง ๆ เ ช่ น โ พ แ ต ส เ ซี่ ย ม อิ อ อ น และไฮโดรเจนอิออนเข้าสูท ่ อ ่ ไตส่วนนี้ได้ เนฟรอนทีม ่ ีอยูใ่ นเนื้อไตทัง้ หมดสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ เนฟรอนที่มี โกลเมอรูลสั ในส่วนเนื้ อไตส่วนนอกใกล้ก บ ั เปลือกหุ้มไตเรียกว่า คอร์ ติค ลั เนฟรอน (cortical nephron) ส่ ว นเนฟรอนอี ก ชนิ ด หนึ่ ง เรี ย กว่ า จุ ก ส์ ต้ า เ ม ด ดู ล่ า ร์ รี่ เ น ฟ ร อ น (juxtamedullary nephron) เป็ นเนฟรอนทีพ ่ บอยูใ่ กล้กบ ั เนื้ อไตส่วนในหรือ เนฟรอนทีพ ่ บอยู่ใกล้กรวยไต (renal pelvis) เนฟรอนทั้ง สองชนิ ด นี้ ท าหน้ า ที่ ส าคัญ ในการกรองเลื อ ด และดู ด ซึ ม หรื อ ขับ สารบางอย่ า งเพื่ อ ผลิ ต เป็ นน้ า ปั ส สาวะเข้ า สู่ ห ลอดไต โดยส่ ว นที่ ท าให้ เ กิ ด การกรองเลื อ ด คื อ ส่ ว นของรี น ัล คอร์ พ ัส เคิ ล (renal corpuscle or malpighian corpuscle) หรือ โกลเมอรูลสั (glomerulus) ห น้ า ที่ ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ใ น เ น ฟ ร อ น ไ ด้ แ ก่ ก ารดู ด ซึ ม สารที่ มี ป ระโย ช น์ ต่ อ ร่ า งก าย ก ลับ เข้ า ระบ บ เลื อ ด (tubular reabsorption) และการขับ สารที่ไ ม่ต้อ งการออกจากระบบเลื อ ด (tubular secretion)

108 การทาหน้าทีท ่ ง้ ั สองอย่างนี้ ของเนฟรอนจะใช้กลไกในการดูดซึมได้ทง้ ั กลไกที่ ไม่ใช้พลังงาน และกลไกทีต ่ อ ้ งใช้พลังงาน

ภ า พ ที่ 5.4 ก า ร ดู ด ซึ ม และการหลั่งสารระหว่างหลอดไตและเส้นเลือดฝอย ทีม ่ า: ดัดแปลงจาก Reece. (2009) 1.3 การผลิตน้าปัสสาวะ (urine production)

ส า ร ก ลั บ

ก า ร ผ ลิ ต น้ า ปั ส ส า ว ะ ใ น ส่ ว น ข อ ง เ น ฟ ร อ น เป็ นกลไกการทางานของไตในการกาจัดของเสียออกจากเลือดโดยการสร้างเป็ น น้ า ปั ส ส า ว ะ ที่ มี ก ร ะ บ ว น ก า ร พื้ น ฐ า น 3 ขั้ น ต อ น คื อ ก า ร ก ร อ ง เ ลื อ ด ที่ ส่ ว น โ ก ล เ ม อ รู ลั ส (glomerulus filtration) เกิ ด ขึ้ น ที่ บ ริ เ วณ โก ลเม อรู ล ัส ห รื อ ก ระจุ ก เส้ น เลื อ ด แ ด งฝ อยที่ เ นื้ อไต ซึ่งเป็ นหน้ าที่ข องโกลเมอรูลสั โดยตรง การดูด สารกลับ ที่ห ลอดไต (tubular reabsorption) แ ละก ารห ลั่ง ห รื อ ก ารขับ ส ารเพิ่ ม เข้ า ไป ใน ห ลอ ด ไต (tubular secretion) ซึง่ จะเป็ นหน้าทีข ่ องหลอดไต 1) ก า ร ก ร อ ง เ ลื อ ด (fitration of the blood) การผลิตน้าปัสสาวะเริม ่ ต้นจากการกรองเลือดทีส ่ ว่ นกระจุกเส้นเลือดฝอยที่โกล เมอรูลสั โดยเลือดจะไหลเข้าสู่โกลเมอรูลสั ผ่านทางแอฟเฟอเรนอาร์เทอริโอล (afferent arteriole) จ า ก นั้ น เ ลื อ ด จ ะ ถู ก ก ร อ ง โ ด ย เ ส้ น เ ลื อ ด ฝ อ ย ข อ ง โ ก ล เ ม อ รู ลั ส ้ ทีผ โดยอาศัยความแตกต่างของความดันทีเ่ กิดขึน ่ นังเส้นเลือดของโกลเมอรูลสั แ ล ะ ผ นั ง บ า ง ๆ ข อ ง โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค ป ซู ล (Bowman’s capsule) ความดันของเส้นเลือดฝอยจะดันให้เลือดไหลผ่านรูเล็กๆของผนังเส้นเลือดฝอย แ ล ะ ผ่ า น เ ข้ า ไ ป ยั ง โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค ป ซู ล ก ารก รองแ บ บ นี้ เป็ น ก ารก รองสารแ บ บ ไม่ ต้ อ งใช้ พ ลัง งาน (passive process) ข อ ง เห ล ว ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร ก ร อ ง ผ่ า น ที่ โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค ป ซู ล (glomerulus filtrate)

109 ห รื อ น้ า ก ร อ ง จ า ก เลื อ ด จ ะ ถู ก ส่ ง ต่ อ ไ ป ต า ม ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต่ า ง ๆ เพือ ่ จะผ่านการดูดกลับและ/หรือการขับสารเพิม ่ เข้าไปในน้ากรองทีไ่ ด้จากเลือ ดในหลอดไตส่วนต่าง ๆ ต่อไป โดยปกติเส้น เลือ ดฝอยที่พ บระหว่างเส้น เลือ ดแดงอาร์ เทอริโอล แ ล ะ เ ส้ น เ ลื อ ด ด า เ ว นู ล จ ะ มี ค ว า ม ดั น ข อ ง เ ลื อ ด ด า ม า ก แตกต่ า งจากความดัน เส้ น เลื อ ดฝอยของโกลเมอรู ล ส ั ที่ มี ค่ า ความดัน สู ง ประมาณ 30% ของค่าความดันทีพ ่ บในเส้นเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า (aorta) ความดันเลือดทีส ่ ูงนี้จะดันให้น้าเลือดในเส้นเลือดฝอยผ่านผนังเส้นเลือดเข้ามา อ ยู่ ใ น ช่ อ ง ว่ า ง ข อ ง โ บ ว์ แ ม น ส์ แ ค ป ซู ล ของเหลวทีก ่ รองผ่านโบว์แมนแคปซูลมีลกั ษณะคล้ายกับของเหลวทีพ ่ บในน้าเลื อ ด ย ก เ ว้ น ไ ม่ มี โ ป ร ตี น แ ล ะ เ ซ ล ล์ เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง เนื่องจากมีขนาดโมเลกุลใหญ่ไม่สามารถผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยได้ อัตราการกรองผ่านโกลเมอรูลสั (glomerulus fitration rate) เป็ นค่าทีใ่ ช้ในการอธิบายถึงความเร็วในการถูกกรองของเลือดขณ ะ ที่ ผ่ า น โ ก ล เ ม อ รู ลั ส ้ กับอัตราของเลือดทีไ่ ห ค่าอัตราการกรองผ่านโกลเมอรูลสั นี้จะมากหรือน้อยขึน ล ผ่ า น ม า ที่ ไ ต มี ห น่ ว ย เ ป็ น มิ ล ลิ ลิ ต ร ต่ อ น า ที ( ม ล . / น า ที ) ความดันต่างๆที่เกี่ยวข้อ งกับ การกรองน้ าเลือดในแอฟเฟอเรนอาร์ เทอริโอล (afferent arteriole) ใ น ส่ ว น โ ก ล เ ม อ รู ลั ส ( glomerulus) ไ ด้ แ ก่ ค ว า ม ดั น ที่ เ ส้ น เ ลื อ ด แ ด ง ฝ อ ย ข อ ง โ ก ล เ ม อ รู ลั ส จะดัน ให้ เลื อ ดผ่า นจากผนัง โกลเมอรู ล สั เข้าสู่ ช่ อ งว่างในโบว์ แ มนส์ แ คปซู ล (Bowman’s capsule) อาจเรียกว่า บรัทไฮโดรสแตติก เพรสเชอร์ (blood hydrostatic pressure) ซึ่ ง เ ป็ น แ ร ง ดั น ที่ จ ะ ดั น น้ า เ ลื อ ด อ อ ก จ า ก ส่ ว น โ ก ล เ ม อ รู ลั ส นอกจากนี้ ย งั มี ค วามดัน ของโปรตีน ในเลือ ด คือ โปรตีน อัลบู มิน (albumin) ที่ มี ข น า ด โ ม เ ล กุ ล ใ ห ญ่ แ ล ะ ไ ม่ ส า ม า ร ถ ผ่ า น รู ที่ ผ นั ง ข อ ง เส้ น เลื อ ด ฝ อ ย ที่ โ ก ล เม อ รู ลั ส ไ ด้ โ ด ย โ ป ร ตี น อั ล บู มิ น (albumin) จะมีคุณสมบัตใิ นการดูดน้าไว้ในตัวเองทาให้เกิดความดันเรียกว่า ความดันออ สโมติ ก (osmotic pressure) หรื อ คอลลอยด์ ด อลออสโมติ ก เพรสเชอร์ (colloidal osmotic pressure) ความดัน นี้ จะมี ทิ ศ ทางที่ ส วนทางบรัท ไฮโดรสแตติ ก เพรสเชอร์ (blood hydrostatic pressure) และ ความดัน ในโบว์ แ มนส์ แ คปซู ล (Bowman’s capsule) หรื อ ความดัน ในช่ อ งว่ า งของโบว์ แ มนส์ (Bowman’s space) เป็ นต้น ดังนัน ้ จึงสามารถหาค่าความดันในการกรองน้าปัสสาวะได้จากสูตร ความดันสุทธิ = a – (b+c) a = blood Hydrostatic pressure b = colloidal osmotic pressure

110 c = hydrostatic pressure ที่ Bowman’s capsule ดังนั้นการผลิตปัสสาวะจะเกิดขึ้นได้ เมือ ่ ค่า a ต้องมีคา่ สูงกว่าค่า b แ ล ะ c แ ล ะ ค่ า a ต้ อ ง สู ง ก ว่ า ค ว า ม ดั น สุ ท ธิ เ มื่ อ ค่ า a ล ด ล ง เ นื่ อ ง จ า ก ค ว า ม ดั น เ ลื อ ด ที่ เ ข้ า ใ น โ ก ล เ ม อ รู ลั ส ล ด ล ง ซึง่ จะทาให้การผลิตปัสสาวะมีปริมาณลดลงด้วย 2) การดูดกลับของสารทีห ่ ลอดไต (tubular reabsorption) เป็ น ข บ ว น ก า ร ที่ ร่ า ง ก า ย ดู ด ซึ ม ก ลั บ ส า ร ที่ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ร่ า ง ก า ย และร่ า งก ายจ าเป็ น ต้ อ งเก็ บ ไว้ ใ ช้ เช่ น โซ เดี ย ม อิ อ อน คลอไรด์ อิ อ อน โ พ แ ต ส เ ซี ย ม อิ อ อ น แ ค ล เ ซี ย ม อิ อ อ น แ ล ะ น้ า โดยการดู ด กลับ จากน้ า กรองที่ ไ ด้ จ ากโกลเมอรู ล สั (glomerulus filtrate) โ ด ย ดู ด ซึ ม ผ่ า น ผ นั ง ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น เ พื่ อ เ ข้ า สู่ เ ส้ น เ ลื อ ด ด า ฝ อ ย ที่ พั น ร อ บ ๆ ห ล อ ด ไ ต โดยสารที่ ถู ก ดู ด ซึ ม เหล่ า นี้ จะเข้ า ไปรวมกับ สารอื่ น ๆ ที่ ไ ม่ ไ ด้ ถู ก กรอง ผ่ าน เส้ น เลื อ ด แ ด ง เอ ฟ เฟ อ เร น ต์ อ าร์ เท อ ริ โ อ ล (efferent arteriole) แล้วผ่านออกจากไตเข้าไปสูร่ ะบบไหลเวียนของเลือดผ่านเส้นเลือดดารีนลั เวน (renal vein) ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น (proximal convoluted tubule) คื อ ส่ ว นแรกของหลอดไตที่ ข องเหลวหรื อ น้ า กรองจากเลื อ ดไหลผ่ า นเข้ า มา ส่วนประกอบของของเหลวทีไ่ ด้จากการกรองผ่านช่องว่างของโบว์แมนส์แคป ซู ล (glomerulus filtrate) จ ะ ค ล้ า ย กั บ น้ า เ ลื อ ด แ ต่ มี น้ า เ ป็ น ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ป ร ะ ม า ณ 93-94 % นอกจากนี้ ย งั มี ส่วนประกอบอื่น เช่น ฮอร์โมน กลูโคส กรดอะมิโน แร่ธ าตุ และของเสียที่ร่างกายต้องการขับออก เช่น ยูเรีย ในขณะที่น้ากรองจากเลือด (glomerulus fitrate) ไหลผ่ า นมาที่ ห ลอดไตส่ ว นต้ น จะเรี ย กว่ า ของเห ลวที่ ก รองในหลอดไต (tubular fitrate) น้ากรองนี้ จะถูกเปลีย่ นแปลงส่วนประกอบไปบางส่วนทันที โดยการดูดซึมกลับของสารต่างๆทีช ่ น ้ ั เซลล์เยือ ่ บุของหลอดไตผ่านขบวนการแ พ ร่ (diffusion) แ ล ะ ก ล ไ ก ที่ ต้ อ ง ใ ช้ พ ลั ง ง า น (active transport) เซลล์เยือ ่ บุของหลอดไตส่วนต้นจะเปลีย่ นแปลงรูปร่างไปทาให้แตกต่างจากหล อ ด ไ ต ส่ ว น อื่ น ลั ก ษ ณ ะ เ ซ ล ล์ จ ะ เ ป็ น เ ซ ล ล์ รู ป สี่ เ ห ลี่ ย ม ที่ มี ข น ลักษณะคล้ายกับเซลล์เยือ ่ บุในลาไส้เล็กเรียกว่า บรัสบอเดอร์ (brush border) ห รื อ ไ ม โ ค ร วิ ล ไ ล (microvilli) ส่ ว น บ รั ส บ อ เด อ ร์ (brush border) ห รื อ ไม โค ร วิ ล ไ ล (microvilli) จ ะยื่ น เข้ า ไ ป ใน ช่ อ งว่ า งข อ งห ล อ ด ไ ต ท า ห น้ า ที่ ดู ด ซึ ม ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ข อ ง น้ า ก ร อ ง (glomerular filtrate) ป ร ะ ม า ณ ร้ อ ย ล ะ 65 ของการดูดซึมกลับทัง้ หมดที่เกิดขึ้นจะเป็ นการดูดซึมกลับที่หลอดไตส่วนต้น

111 โ ด ย อ า ศั ย ก า ร ท า ง า น ข อ ง บ รั ส บ อ เ ด อ ร์ (brush border) ส่ ว น ป ระก อบ ที่ ส าม ารถ ดู ด ซึ ม ก ลับ ได้ ที่ ห ลอด ไต ส่ ว น ต้ น คื อ ก ลู โ ค ส ก ร ด อ ะ มิ โ น โ ซ เ ดี ย ม ค ล อ รี น แ ล ะ ไ ว ต า มิ น ซี เ ป็ น ต้ น หลอดไตส่ ว นต้น สามารถท าหน้ า ที่ ข บ ั สารบางอย่ า งให้ แ ก่ น้ า กรองได้เช่ น ครีเอทีน (creatine) และไอโอดีน (iodine) เป็ นต้น น้ากรองทีผ ่ า่ นหลอดไตส่วนต้นแล้วจะไหลลงมาตามห่วงหลอดไต คิ ด เ ป็ น ป ริ ม า ต ร ป ร ะ ม า ณ 1 ใ น 3 ห รื อ ป ร ะ ม า ณ 33 % ข อ ง น้ า ก ร อ ง ที่ ถู ก ก ร อ ง อ อ ก ม า เ นื่ อ ง จ า ก ห่ ว ง ห ล อ ด ไ ต มี ลั ก ษ ณ ะ ค ล้ า ย ห่ ว ง รู ป ตั ว ยู ดั ง นั้ น ผ นั ง ข อ ง ท่ อ จึ ง มี ค ว า ม ห น า แ ต ก ต่ า ง กั น เ ป็ น 2 ข น า ด คื อ ส่ ว น ห ล อ ด ไ ต รู ป ตั ว ยู ส่ ว น ที่ ต่ อ กั บ ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น ซึ่งทอดตัวลงมาเป็ นท่อตรงเข้าไปในเนื้ อไตส่วนในจะเป็ นส่วนของท่อทีม ่ ีผนัง บ า ง เ รี ย ก ว่ า ทิ น เ ด ส เ ซ น ดิ้ ง ลิ ม พ์ (thin descending limb) เ ป็ น ห ล อ ด ไ ต ที่ มี ผ นั ง บ า ง เ ป็ น เ ซ ล ล์ เ ยื่ อ บุ ชั้ น เ ดี ย ว ที่ มี คุ ณ ส ม บั ติ ย อ ม ให้ น้ าผ่ า น ไ ด้ ดี ท าให้ น้ าก ร อ งมี ค วาม เข้ ม ข้ น ขึ้ น บ ริ เ ว ณ ส่ ว น นี้ จ ะ ไ ม่ มี ก า ร ดู ด ซึ ม ห รื อ ขั บ ส า ร เ ข้ า อ อ ก ส่วนหลอดไตที่ต่อจากส่วนนี้ คือทินเอสเซนดิ้งลิม พ์ (thin ascending limb) เป็ นหลอดไตทีม ่ ีผนังบางเช่นกันแต่เซลล์มีคุณสมบัตยิ อมให้สารเคลือ ่ นผ่านช่อ งว่ า งระหว่ า งเซลล์ ไ ด้ แต่ ไ ม่ ใ ห้ น้ า ผ่ า น เมื่ อ น้ ากรองผ่ า นส่ ว นนี้ ได้ ย าก จึ ง มี ก า ร แ พ ร่ ข อ ง โ ซ เดี ย ม อิ อ อ น (Na+) แ ล ะ ค ล อ ไ ร ด์ อิ อ อ น ( Cl-) อ อ ก จ า ก ห ล อ ด ไ ต แ ล ะ ส า ร ที่ มี โ ม เล กุ ล ใ ห ญ่ ที่ ม า กั บ น้ า ก ร อ ง เช่ น ยูเรียสามารถแพร่เข้ามาในหลอดไตได้บ างส่วน จากส่วนทินเอสเซนดิ้งลิม พ์ (thin ascending limb) น้ากรองจะผ่านเข้าไปยัง ทิคเอสเซนดิ้งลิมพ์ (thick ascending limb) ผ นั ง ข อ ง ห ล อ ด ไ ต จ ะ ห น า ขึ้ น เนื่องจากเซลล์จะเปลีย่ นรูปร่างจากเซลล์ รูปสีเ่ หลีย่ มแบนเป็ นเซลล์รูปสีเ่ หลีย่ มลู กบาศก์ ส่วนนี้ จะเป็ นบริเวณทีน ่ ้าและยูเรียผ่านออกได้ยาก แต่ โซเดียมอิออน (Na+) คลอไรด์ อิออน (Cl-) แมกนี เซียมอิออน (Mg++) และแคลเซียมอิออน (Ca++) จ ะ ถู ก ดู ด ก ลั บ ไ ด้ เ ป็ น ต้ น น อ ก จ า ก ก ล ไ ก ก า ร ดู ด ก ลั บ ข อ ง ส า ร ต่ า ง ๆ เ กิ ด ขึ้ น ป ก ติ แ ล้ ว ยั ง มี ก ล ไ ก ส า คั ญ อี ก ห ล า ย ก ล ไ ก ก ล ไ ก ที่ ส า คั ญ ใ น ก า ร ดู ด ซึ ม ก ลั บ ข อ ง น้ า ที่ ห ล อ ด ไ ต มี ทั้ ง ก ล ไ ก ที่ ไ ม่ ต้ อ ง ใ ช้ พ ลั ง ง า น เ ช่ น ข บ ว น ก า ร แ พ ร่ ซึ่ ง เ ป็ น ข บ ว น ก า ร ที่ ไ ม่ ใ ช้ พ ลั ง ง า น (passive transport) โ ด ย อ า ศั ย ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ค ว า ม เข้ ม ข้ น ข อ ง ส า ร ใ น ท่ อ ไ ต แ ล ะ ก ล ไ ก ที่ จ า เ ป็ น ต้ อ ง ใ ช้ พ ลั ง ง า น (ATP) ใ น ก า ร ดู ด ก ลั บ ผ่ า น ข บ ว น ก า ร ใ ช้ พ ลั ง ง า น (active transport) ซึง่ จะต้องมีตวั นา (carrier) ให้สารเกาะด้วย

112 ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ป ล า ย (distal convoluted tubule) เป็ นหลอดไตสั้น ๆที่ ต่ อ ระหว่ า งปลายของส่ ว นทิ น เอสเซนดิ้ ง ลิ ม พ์ (thin ascending limb) ของห่ว งหลอดไตมี ล ก ั ษณะคล้า ยห่ว งรู ป ตัว ยู (Henle’s loop) กั บ ส่ ว น ห ล อ ด ไ ต ร ว ม (collecting tubules) ส่วนนี้ ส ามารถดูด ซึม น้ า กลับ ได้ โซเดีย มอิอ อน (Na+) และ คลอไรด์ อิอ อน (Cl-) นอกจากนั้นยังสามารถขับ สารต่าง ๆ เช่น แอมโมเนี ย มอิอ อน (NH4+) ไฮโดรเจนอิออน (H+) และโพแตสเซียมอิออน (K+) ออกมาได้ดว้ ย ห ล อ ด ไ ต ร ว ม (collecting tubules) เ ป็ น ห ล อ ด ไ ต ที่ ต่ อ จ า ก ป ล า ย ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ป ล า ย ท า ห น้ า ที่ เกี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ดู ด ก ลั บ น้ า แ ล ะ โ ซ เดี ย ม อิ อ อ น (Na+) แ ล ะ มี ก า ร ห ลั่ ง โ พ แ ต ส เ ซี ย ม อิ อ อ น (K+) ก ลั บ อ อ ก ม า โดยอาศัย การท างานของเอ็ น ไซม์ โซเดี ย มโพแดสเซี ย มเอที่พี แ อส (Na-K ATPase) นอกจากนี้ ยงั มีการดูดกลับของยูเรีย โพแตสเซียมอิออน (K+) และ ไ ฮ โ ด ร เ จ น อิ อ อ น (H+) ด้ ว ย แต่ละท่อของหลอดไตรวมจะรับน้าปัสสาวะจากส่วนปลายของหลอดไตส่วนปล า ย ห ล า ย ๆ ท่ อ ร ว ม กั น ดั ง นั้ น ค ว า ม เข้ ม ข้ น ข อ ง น้ า ปั ส ส า ว ะ ใ น ส่ ว น ข อ ง ห ล อ ด ไ ต ร ว ม คือความเข้มข้นของน้าปัสสาวะทีอ ่ อกจากร่างกาย การดูดซึมกลับของสารสาคัญต่างๆ ในหลอดไต ได้แก่ ก ลู โ ค ส (glucose) เ ป็ น ส า ร ส า คั ญ ที่ ส า ม า ร ถ ดู ด ก ลั บ ไ ด้ ทั้ ง ห ม ด ใ น ท่ อ ไ ต โ ด ย จ ะ ถู ก ดู ด ก ลั บ ที่ ห ล อ ด ไ ต ส่ ว น ต้ น ก า ร ดู ด ซึ ม ก ลั บ จ ะ ใ ช้ ก ล ไ ก ที่ ต้ อ ง ใ ช้ พ ลั ง ง า น (active transport) ดัง นั้ น ใน ส ภ าพ ที่ ร่ า งก าย ป ก ติ จึ ง ไ ม่ ค ว ร พ บ ก ลู โค ส ใน ปั ส ส าว ะเล ย แ ต่ ส า ร เค มี บ า ง ช นิ ด ส า ม า ร ถ ยั บ ยั้ ง ก า ร ดู ด ก ลั บ ข อ ง ก ลู โ ค ส ไ ด้ กรณี ทีพ ่ บว่าในปัสสาวะมีกลูโคสปนอยู่สว่ นมากมักเกิดจากการขาดฮอร์โมนอิ น ซู ลิ น ซึ่ งเกี่ ย ว ข้ อ งกั บ ก าร น าก ลู โค ส ใน เลื อ ด อ อ ก ไ ป ใช้ ป ร ะโย ช น์ การมี ก ลู โ คสในปั ส สาวะมัก พ บในกรณี หลัง จากการเป็ นโรคเบาหวาน และการผิดปกติของหลอดไตส่วนต้น - โ ซ เ ดี ย ม อิ อ อ น โ พ แ ต ส เ ซี ย ม อิ อ อ น แ ล ะ น้ า ส าม าร ถ ถู ก ดู ด ซึ ม ก ลับ ใน รู ป ข อ งส าร ล ะล าย โซ เดี ย ม อิ อ อ น (Na+) ถู ก ดู ด ซึ ม กลับ ได้สู งถึง 99 % โดยถู ก ดู ด ซึ ม ได้ต ลอดแนวท่ อ ของหลอดไต การดู ด ซึ ม กลับ ของโซเดี ย มอิ อ อน (Na+) และโพแตสเซี ย มอิ อ อน (K+) จ ะ อ า ศั ย ก ล ไ ก ที่ ต้ อ ง ใ ช้ พ ลั ง ง า น (active transport) ้ ได้ตอ แต่การดูดซึมกลับของสารทีห ่ ลอดไตส่วนปลายจะเกิดขึน ้ งอาศัยฮอร์โมน อั ล โ ด ส เ ต อ ร์ โ ร น (aldosterone) ซึ่ ง จ ะ ท า ใ ห้ มี ก า ร ดู ด ซึ ม ก ลั บ ข อ ง โ ซ เดี ย ม อิ อ อ น (Na+) ม า ก ขึ้ น แ ต่ จ ะ ขั บ โ พ แ ต ส เซี ย ม อิ อ อ น (K+) แ ล ะ ไ ฮ โ ด ร เจ น อิ อ อ น (H+)

113 อ อ ก จ า ก ห ล อ ด เ ลื อ ด ฝ อ ย ที่ พั น ร อ บ ห ล อ ด ไ ต อ อ ก ม า แ ท น ที่ ส าหรับ การดู ด ซึ ม น้ ากลับ ในหลอดไตจะใช้ ก ลไกที่ ไ ม่ ต้ อ งใช้ พ ลัง งาน (passive transport) และใช้ ฮ อร์ โ มนอัล โดสเตอร์ โ รน (aldosterone) เช่นกัน ซึง่ จัดเป็ นการดูดซึมน้าเพือ ่ รักษาความสมดุลของน้าในร่างกาย - โ ป ร ตี น โ ป ร ตี น ใ น เลื อ ด ไ ม่ ส า ม า ร ถ ดู ด ซึ ม ผ่ า น ไ ด้ แต่กรดอะมิโนสามารถดูดซึมเข้าหลอดไตได้ประมาณ 95 % - ยูเรีย เป็ นสารทีร่ า่ งกายต้องการขับออก ถ้ามีมากกว่าระดับปกติ โดยสามารถดูดซึมได้ 40-50 % - กรดยู ริก เป็ นกรดที่เกิด จากขบวนการเมตาโบลิซึม ของพิว รี น (purine) ที่ เ ป็ น ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ข อ ง ดี เ อ็ น เ อ (DNA) ห า ก มี ม า ก อ า จ ต ก ผ ลึ ก เ ป็ น เ ก ลื อ ยู เ ร ท (urate) โ ด ย ทั่ ว ไ ป ส า ม า ร ถ ดู ด ก ลั บ ไ ด้ เ ล็ ก น้ อ ย ก ารต ก ผลึ ก ข อ งเก ลื อ ยู เ รท ถ้ า เกิ ด ขึ้ น ม าก ๆใน ท่ อ ไต ห รื อ ท่ อ ปั ส ส าวะ จะมีผลให้เกิดการเป็ นนิ่วตามท่อไตและท่อปัสสาวะได้ - คลอไรด์อิออน (Cl-) ถูกดูดกลับพร้อมกับโซเดียมอิออน (Na+) โ ด ย ก ล ไ ก ไ ม่ ใ ช้ พ ลั ง ง า น (passive transport) เพือ ่ เข้าสูเ่ ส้นเลือดฝอยทีพ ่ น ั อยูร่ อบๆหลอดไต 3) การขับสารผ่านผนังหลอดไต (tubular secretion) เป็ นขบวนการขับสารบางอย่างทีอ ่ ยูใ่ นน้าเลือดของเส้นเลือดฝอยที่ลอ ้ มร อ บ ห ล อ ด ไ ต ที่ ไ ม่ ไ ด้ ผ่ า น ก า ร ก ร อ ง โ ด ย โ ก ล เ ม อ รู ลั ส ให้ ส าร นั้ น ก ลับ เข้ าม าอ ยู่ ใ น ข อ งเห ล ว ภ าย ใน ช่ อ งว่ า งข อ งห ล อ ด ไ ต สารที่ ข บ ั ออกมามัก เป็ นของเสี ย หรื อ ผลผลิ ต จากขบวนการเมตาโบลิ ซึ ม แ ล ะ สิ่ ง แ ป ล ก ป ล อ ม ที่ ร่ า ง ก า ย จ า เป็ น ต้ อ ง ขั บ อ อ ก เช่ น แ อ ม โ ม เนี ย ไ ฮ โ ด ร เ จ น อิ อ อ น แ ล ะ โ พ แ ต ส เ ซี ย ม อิ อ อ น เ ป็ น ต้ น ซึ่ งรวมถึงยาที่ใ ช้ ในการรัก ษาเช่ น เพนนิ ซิ ลลิน และยาในกลุ่ม ซัลโฟนาไมด์ เป็ นต้น 1.4 ก า ร ค ว บ คุ ม ก า ร ผ ลิ ต น้ า ปั ส ส า ว ะ (regulation of urine production) ้ กับปริมาณน้า ปริมาณน้าปัสสาวะทีไ่ ตผลิตได้ในแต่ละครัง้ จะแตกต่างกันไปขึน ใ น ร่ า ง ก า ย ใ น ข ณ ะ นั้ น

114 ฮอร์ โ มนที่ ส าคัญ ในการควบคุ ม ปริ ม าณ ของเหลวในร่ า งกายคื อ เอดี เอช และอัลโดสเตอโรน 1) ฮอร์ โ มนเอดี เ อช (adrenocorticotropic hormone or ADH) เ ป็ น ฮ อ ร์ โ ม น ที่ ผ ลิ ต จ า ก เ ซ ล ล์ ใ น ส่ ว น ส ม อ ง ไ ฮ โ ป ธ า ล า มั ส แต่เก็ บ สะสมไว้ที่ต่อ มใต้ส มองส่วนท้าย มี ห น้ าที่ค วบคุม ปริม าณน้ าปัส สาวะ เป้ าหมายของฮอร์โมนคือเซลล์เยือ ่ บุผวิ ทีห ่ ลอดไตส่วนปลายและหลอดไตรวม ท า ใ ห้ มี ก า ร ดู ด ซึ ม น้ า ก ลั บ เพือ ่ ป้ องกันการสูญเสียน้าออกจากร่างกายมากเกินไป 2) ฮ อ ร์ โ ม น อั ล โ ด ส เ ต อ โ ร น (aldosterone) ผ ลิ ต แ ล ะ ห ลั่ ง ม า จ า ก ต่ อ ม ห ม ว ก ไ ต ส่ ว น น อ ก ทาหน้าทีเ่ พิม ่ การดูดกลับของโซเดียมอิออนทีห ่ ลอดไตส่วนปลายและหลอดไตร วม การดู ด ซึ ม โซเดี ย มอิอ อนท าให้ ค วามดัน ออสโมติก ของเลื อ ดไม่ ส มดุ ล จึงมีการดูดซึมกลับของน้าตามมาเพือ ่ เข้าสูก ่ ระแสเลือด 2.ท่อไต หรือหลอดปัสสาวะ (ureters) ท่ อ ไ ต เป็ น ท่ อ ก ล ว ง ที่ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ก ล้ า ม เนื้ อ เรี ย บ ทั้ ง ห ม ด เ ป็ น ช่ อ ง ท า ง ติ ด ต่ อ ร ะ ห ว่ า ง ไ ต แ ล ะ ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ ท่ อ ไ ต แ ต่ ล ะ ข้ า ง จ ะ อ อ ก จ า ก ไ ต ต ร ง ต า แ ห น่ ง ขั้ ว ไ ต แ ล ะ ท อ ด ย า ว ม า ติ ด ต่ อ กั บ ส่ ว น ค อ ข อ ง ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง ท่ อ ไ ต ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ นื้ อ เ ยื่ อ 3 ชั้ น ชั้ น น อ ก เ ป็ น ส่ ว น ข อ ง ชั้ น เ นื้ อ เ ยื่ อ เ ส้ น ใ ย (fibrous tissue) ส่ ว น ชั้ น ก ล า ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ก ล้ า ม เ นื้ อ เ รี ย บ และชัน ้ ในสุดเป็ นชัน ้ เนื้อเยือ ่ บุผวิ ชนิดทีเ่ ป็ นเซลล์หลายชัน ้ ซ้อนกันที่สามารถยืด ข ย า ย เ ซ ล ล์ ไ ด้ (transitional epithelium) เนื้อเยือ ่ บุผวิ ดังกล่าวจะมีผลให้ทอ ่ ไตสามารถยืดตัวออกได้ขณะทีม ่ ีน้าปัสสาวะไ หลผ่านมาตามท่อเพือ ่ ไปเก็บสะสมทีก ่ ระเพาะปัสสาวะ หน้าทีข ่ องท่อไต ท าหน้ า ที่ ร บ ั น้ า ปั ส สาวะจากไต เพื่ อ ส่ ง ต่ อ ไปยัง กระเพาะปั ส สาวะ การส่งผ่านน้าปัสสาวะเกิดจากการบีบตัวของชัน ้ กล้ามเนื้อเรียบทีล่ อ ้ มรอบท่อไ ต ค ล้ า ย กั บ ข บ ว น ก า ร ข ย่ อ น (peristalsis movement) ข อ ง ก ล้ า ม เ นื้ อ เ รี ย บ ที่ ผ นั ง ล า ไ ส้ บริ เ วณท่ อ ไตตรงส่ ว นที่ ต่ อ ระหว่ า งท่ อ ไตกับ กระเพาะปั ส สาวะ นี้ จะมี ลิ้ น (valve) อ ยู่ ภ า ย ใ น ท่ อ เพือ ่ ทาหน้าทีป ่ ้ องกันการไหลย้อนกลับของน้าปัสสาวะเข้าสูไ่ ต 3.กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder)

115 ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ เ ป็ น อ วั ย ว ะ ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ถุ ง ส่ ว น ท้ า ย ข อ ง ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ จ ะ ต่ อ กั บ ท่ อ ปั ส ส า ว ะ ด้า นในถุ งเป็ นช่ อ งว่า งขนาดใหญ่ เมื่อ ปัส สาวะในกระเพาะปัส สาวะมากขึ้น ผ นั ง ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ จ ะ ยื ด ตั ว อ อ ก ถ้ า ไ ม่ มี น้ า ปั ส ส า ว ะ ผ นั ง ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ จ ะ ห ด ตั ว เ ล็ ก ล ง บริเวณกระเพาะปัสสาวะที่ตอ ่ กับท่อปัสสาวะจะมีกล้ามเนื้ อหูรูด (sphincter) ทาหน้าทีป ่ ้ องกันการไหลย้อนของน้าปัสสาวะเข้าสูก ่ ระเพาะปัสสาวะ 3.1 กายวิภาคของกระเพาะปัสสาวะ (anatomy of urinary bladder) ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ มี ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ 2 ส่ ว น ด้ ว ย กั น คื อ ถุ ง ก ล้ า ม เ นื้ อ เ รี ย บ แ ล ะ ส่ ว น ค อ ้ กับปริมาณน้าปั ตาแหน่ งและขนาดของกระเพาะปัสสาวะจะแตกต่างกันไปขึน สสาวะทีบ ่ รรจุอยูภ ่ ายใน โครงสร้างของกระเพาะปัสสาวะประกอบด้วยเนื้อเยือ ่ 3 ชั้ น เ ช่ น เ ดี ย ว กั บ ใ น ท่ อ ไ ต ผนังภายในของกระเพาะปัสสาวะชัน ้ ในสุดถูกบุดว้ ยเซลล์เนื้อเยือ ่ บุผวิ ทีย่ ืดขยา ย เ ซ ล ล์ ไ ด้ เ รี ย ง ซ้ อ น กั น ห ล า ย ชั้ น (transitional epithelium) จึ ง ส า ม า ร ถ ยื ด ข ย า ย ไ ด้ เ มื่ อ มี น้ า ปั ส ส า ว ะ บ ร ร จุ อ ยู่ เ ต็ ม ชั้ น ถั ด ไ ป เป็ น ชั้ น ก ล้ า ม เนื้ อ เรี ย บ ที่ เรี ย ง ตั ว กั น อ ยู่ แ บ บ ต า ม ย า ว ตามขวางและวงกลม เมือ ่ กล้ามเนื้อเรียบหดตัวจะทาให้น้า ปัสสาวะไหลออกมา และชัน ้ นอกเป็ นส่วนของชัน ้ เนื้อเยือ ่ เส้นใย (fibrous tissue) ส่วนคอของกระเพาะปัสสาวะจะแผ่ขยายยาวจากส่วนท้ายของถุงเข้าไปในช่องเ ชิ ง ก ร า น เ พื่ อ เ ชื่ อ ม ต่ อ กั บ ท่ อ ปั ส ส า ว ะ และรอบๆคอของกระเพาะปัสสาวะเป็ นส่วนของกล้ามเนื้อหูรูดทีป ่ ระกอบด้วยเ ซ ล ล์ ก ล้ า ม เ นื้ อ ล า ย ซึ่ ง ท า ง า น ภ า ย ใ ต้ อ า น า จ จิ ต ใ จ การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดมีผลให้เกิดการเปิ ดและปิ ดท่อทางเดิ น ปั ส ส า ว ะ เพือ ่ ให้น้าปัสสาวะไหลออกจากกระเพาะปัสสาวะไปยังท่อปัสสาวะได้ หน้าทีข ่ องกระเพาะปัสสาวะ ท า ห น้ า ที่ เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม น้ า ปั ส ส า ว ะ ที่ ผ ลิ ต จ า ก ไ ต เ พื่ อ ร อ ก า ร ขั บ ถ่ า ย อ อ ก จ า ก ร่ า ง ก า ย ผ่ า น ท า ง อ วั ย ว ะ เ พ ศ แ ล ะ มี ห น้ า ที่ ใ น ก า ร ขั บ ถ่ า ย ปั ส ส า ว ะ ซึ่งจะต้องอาศัยการทางานร่วมกันระหว่างกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูด ทั้ ง ส อ ง ข้ า ง ที่ ต่ อ กั บ ท่ อ ปั ส ส า ว ะ ทีถ ่ ูกควบคุมโดยระบบประสาทส่วนกลางและรีเฟล็กซ์ของระบบประสาทอัตโน มั ติ

116 โดยทั่วไปปริมาณน้าปัสสาวะทีส ่ ตั ว์เลี้ยงแต่ละชนิดจะขับออกจากร่างกายในแ ต่ ล ะวัน มี ป ริ ม าณที่ แ ตกต่ า งกัน ไป โดยสามารถวัด ได้ เ ป็ น ซี ซี /วัน หรื อ ลิต ร/วัน หรือ ซี ซี /น้ า หนัก ตัว /วัน เช่น ในแมว มี 10-20 ซี ซี /กก./วัน ในโค 17-45 ลิตร/วัน และในแพะ 10-40 ซีซี/วัน เป็ นต้น 4.ท่อปัสสาวะ (urethra) เป็ น ส่ ว น ข อ ง ท่ อ ที่ ต่ อ ม า จ า ก ส่ ว น ค อ ข อ ง ก ร ะ เพ า ะ ปั ส ส า ว ะ แ ล ะ ท อ ด ย า ว ม า ยั ง ช่ อ ง เชิ ง ก ร า น มี โ ค ร ง ส ร้ า ง เช่ น เดี ย ว กั บ ท่ อ ไ ต แ ล ะ ก ร ะ เ พ า ะ ปั ส ส า ว ะ เ มื่ อ เ กิ ด ก า ร ขั บ ปั ส ส า ว ะ (urination) น้ า ปั ส ส า ว ะ ที่ ส ะ ส ม ใ น ก ร ะ เพ า ะ ปั ส ส า ว ะ จ ะ ไ ห ล เข้ า สู่ ท่ อ ปั ส ส า ว ะ แ ล ะ อ อ ก สู่ ภ า ย น อ ก ร่ า ง ก า ย ผ่ า น อ วั ย ว ะ เ พ ศ ดังนัน ้ ท่อปัสสาวะจึงมีหน้าทีห ่ ลักในการนาน้าปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออ กมาสูภ ่ ายนอกร่างกาย สาหรับสัตว์เพศผูท ้ อ ่ ปัสสาวะนอกจากจะทาหน้าทีใ่ นการนาน้าปัสสาวะอ อ ก จ า ก ร่ า ง ก า ย แ ล้ ว ยั ง เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ห ลั่ ง น้ า เ ชื้ อ ด้ ว ย ในสัตว์เพศผูด ้ า้ นบนของท่อปัสสาวะส่วนต้น (pelvic urethra ) จะมีตอ ่ มร่วม (accessory glands) เ ช่ น ต่ อ ม พ ร อ ส เ ต ร ท (prostate gland ) แ ล ะ ต่ อ ม ค า ว์ ส เ ป อ ร์ (cowper’s gland) ป ร า ก ฏ ใ ห้ เ ห็ น ไ ด้ ท่อปัสสาวะของสัตว์เพศเมียจะสัน ้ และมีล ก ั ษณะเป็ นท่อตรงกว่าในสัตว์เพศผู้ โดยในสัตว์เพศเมียปลายของท่อปัสสาวะจะมาเปิ ดออกตรงด้านล่างของกระพุง้ ช่ อ ง ค ล อ ด (vestibule) ก่อนทีจ่ ะมีการขับน้าปัสสาวะออกจากร่างกายผ่านทางปากช่องคลอด 5.ส่วนประกอบของน้าปัสสาวะ น้ า ปั ส ส า ว ะ เป็ น ข อ ง เห ล ว ที่ ผ ลิ ต จ า ก ไ ต มี สี ค่ อ น ข้ า ง เห ลื อ ง มี น้ าเป็ น ส่ ว น ป ระก อ บ ป ร ะม าณ 95%แ ละมี ข อ งแ ข็ งป ระม าณ 5 % ของแข็งทีเ่ ป็ นส่วนประกอบมีทง้ ั ส่วนทีเ่ ป็ นสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ ได้แก่ ยู เรี ย แอมโมเนี ย น้ า ตาล โซเดี ย มอิอ อน คลอไรด์ อิ อ อน แคลเซี ย มอิอ อน แ ล ะแ ม ก นี เซี ย ม อิ อ อ น เป็ น ต้ น น อ ก จ าก นี้ ยัง มี ก รด ไข มั น บ างช นิ ด แ ล ะ ฮ อ ร์ โ ม น บ า ง ช นิ ด ด้ ว ย สี ข อ ง น้ า ปั ส ส า ว ะ เป็ น สี ที่ เกิ ด จ า ก น้ า ดี ค่ า ค ว า ม เ ป็ น ก ร ด -ด่ า ง (pH) ข อ ง น้ า ปั ส ส า ว ะ จ ะ ขึ้ น กั บ ป ริ ม า ณ ข อ ง เ ก ลื อ แ ร่ ห รื อ แ ร่ ธ า ตุ ต่ า ง ๆ และปริมาณน้าทีเ่ ป็ นส่วนประกอบ ปัสสาวะทีม ่ ีคา่ เป็ นกรด คือมีคา่ pH ต่ากว่า 7.4 จะมี ไฮโดรเจนอิอ อน (H+) และแอมโมเนี ย มอิอ อน (NH4+) ปนอยู่ม าก แต่ถา้ ปัสสาวะมีคา่ เป็ นด่าง จะมี ไบคาร์บอเนตอิออน (HCO3-) โซเดียมอิออน (Na+) แ ล ะ โ พ แ ต ส เ ซี ย ม อิ อ อ น (K+) สู ง โ ด ย ทั่ ว ไ ป น้ า ปั ส ส า ว ะ จ ะ มี ค่ า ค ว า ม เ ป็ น ก ร ด เ ล็ ก น้ อ ย

117 ซึ่ ง สามารถเปลี่ย นแปลงไปตามอาหารที่กิ น สภาพร่า งกายและการติด เชื้ อ กรณีเป็ นโรคเบาหวานปัสสาวะจะเป็ นกรด 6.ระบบขับถ่ายปัสสาวะในสัตว์ปีก 6.1 กายวิภาคของระบบขับถ่ายปัสสาวะในสัตว์ปีก ระบบขับ ถ่ า ยปั ส สาวะของสัต ว์ ปี กประกอบด้ ว ยไต 2 ข้ า ง ท่ อ ไต และช่ อ งเปิ ดเพื่ อ ขับ ถ่ า ยปัส สาวะออกสู่ ภ ายนอกร่า งกาย เรี ย กว่า โคลเอก้ า (cloaca) สัตว์ปีกเกือบทุกชนิดจะไม่มีกระเพาะปัสสาวะ ยกเว้นนกระจอกเทศ โดยทั่วไปสัตว์ปีกจะใช้ไตทัง้ สองข้างในการสร้างปัสสาวะทีม ่ ีลกั ษณะกึง่ แข็งกึง่ เห ลว มี สี ข าวข องก รด ยู ริ ก แ ท น ก ารส ร้ า งยู เ รี ย ใน รู ป ข องน้ าปั ส ส าวะ เนื่ อ งจ าก ก ารขั บ ถ่ า ย ปั ส ส าวะใน รู ป ก ร ด ยู ริ ก จ ะช่ ว ย ล ด ก าร เป็ น พิ ษ เ นื่ อ ง จ า ก ยู เ รี ย ที่ ส า ม า ร ถ ล ะ ล า ย น้ า ไ ด้ ดี แ ล ะ เ ป็ น อั น ต ร า ย ต่ อ ตั ว อ่ อ น ที่ อ ยู่ ใ น ไ ข่ ฟั ก ส า ม า ร ถ เ ก็ บ ส ะ ส ม ไ ว้ ใ น ถุ ง อ ลั น ท อ ย ด์ ไ ด้ ในสัตว์ปีกจะขับปัสสาวะออกมาพร้อมกับอุจจาระผ่านทางส้วงทวาร ไ ต ไตแต่ละข้า งวางตัว อยู่ในแอ่งของกระดูก สัน หลังส่วนเอวและกระดูก ก้น กบ (lumbrosacrum or synsacrum) มี ลั ก ษ ณ ะ ค ล้ า ย กั บ เ นื้ อ ป อ ด ที่ ฝั ง ตั ว ใ น ร่ อ ง ก ร ะ ดู ก ซี่ โ ค ร ง ไตของไก่มี รู ป ร่า งไม่ แ น่ น อนมี สี น้ า ตาลเข้ม ยาวประมาณ 5-6 เซนติเมตร กว้ า งที่ สุ ด ประมาณ 2 เซนติ เ มตร มี น้ า หนัก ไม่ เ กิ น 1% ของน้ า หนัก ตัว เนื้ อ ไตแต่ ล ะข้ า งแบ่ ง ออกได้ เ ป็ น 3 ส่ ว น คื อ ไตส่ ว นหน้ า (cranial lobe) ไ ต ส่ ว น ก ล า ง (middle lobe) แ ล ะ ไ ต ส่ ว น ท้ า ย (caudal lobe) ซึ่ ง แ ต ก ต่ า ง จ า ก ไ ต ข อ ง สั ต ว์ เ ลี้ ย ง ลู ก ด้ ว ย น ม เนื้ อ ไ ต จ ะ ไ ม่ พ บ ส่ ว น ข อ ง ช่ อ งที่ ร ว บ ร ว ม น้ าปั ส ส า ว ะ (renal calyx) และส่ ว นของกรวยไต (renal pelvic) ส่ว นของหลอดไตรวม (collecting ducts) จะต่อเข้าโดยตรงกับท่อไตเพือ ่ ส่งปัสสาวะไปเปิ ดเข้าทีย่ ูโรเนียมของส่วนโคลเอ ก้า เนื้ อ ไตมี ห น่ วยย่อ ยที่ท าหน้ าที่ส ร้างปัส สาวะ คือ เนฟรอน (nephron) ที่ ป ระกอบด้ ว ยกลุ่ ม ของเส้ น เลื อ ดฝอย หรื อ โกลเมอรู ล ส ั (glomerulus) ทีท ่ าหน้าทีก ่ รองน้าเลือดและมีระบบท่อเล็กหรือหลอดไตขนาดต่างๆทาหน้าทีใ่ นการดูดกลับสารต่างๆ (reabsorption) ที่ร่างกายต้องการใช้ประโยชน์ เช่น น้ า อิ อ อนของสารอนิ นทรี ย์ และอื่ น ๆ รวมทั้ง เกี่ ย วข้ อ งกับ การขับ สาร (secretion) ต่ า ง ๆ เ ช่ น ส า ร พิ ษ อ อ ก จ า ก ร่ า ง ก า ย สามารถแบ่ ง เนฟรอนออกเป็ น 2 ชนิ ด ตามโครงสร้า งที่ แ ตกต่ า งกัน คื อ

118 เนฟรอนทีม ่ ีโครงสร้างคล้ายกับทีพ ่ บในสัตว์เลื้อยคลาน (reptitian nephron, RT nephron) เป็ นเนฟรอนที่ในเนื้ อ ไตส่วนนอกที่มี ลกั ษณะเป็ นกลีบ เล็ ก ๆ ป ร ะก อ บ ด้ ว ย ก ลุ่ ม ข อ งเส้ น เลื อ ด ฝ อ ย ที่ ข ด ตัว เป็ น ก ลุ่ ม (glomerulus) แ ล ะห ล อ ด ไ ต ช นิ ด ต่ างๆ แ ต่ จ ะ ไ ม่ มี ห ล อ ด ไ ต รู ป ตั ว ยู (Henel loop) เนฟรอนอีกประเภทหนึ่งคือเนฟรอนทีม ่ ีโครงสร้างคล้ายกับทีพ ่ บในสัตว์เลี้ยงลู กด้วยนม (mammalian nephron, MT nephron) ฮอร์โมนทีค ่ วบคุมการดูดน้ากลับทีห ่ ลอดไตรวม คือ อาร์จีนีนวาโสโตซิน (arginine vasotocin) จากต่อมใต้สมองส่วนท้าย สัตว์ปีกจะขับถ่ายปัสสาวะซึ่งเป็ นของเสียจากขบวนการเมตาโบลิซึมของ โ ป ร ตี น คื อ ส า ร ป ร ะ ก อ บ ไ น โ ต ร เ จ น (nitrogenous waste) ใน รู ป ข อ งก ร ด ยู ริ ก (uric acid) แ ท น ก าร ขั บ อ อ ก ใน รู ป ยู เรี ย (urea) ก า ร ส ร้ า ง ก ร ด ยู ริ ก จ ะ ส ร้ า ง ขึ้ น ที่ เ ซ ล ล์ ข อ ง ตั บ ก า ร ขั บ ถ่ า ย ข อ ง เ สี ย ใ น รู ป ก ร ด ยู ริ ก ห รื อ เ ก ลื อ ยู เ ร ท (urate) แทนการขับยูเรียในน้าปัสสาวะนอกจากจะทาให้สตั ว์ปีกไม่ตอ ้ งสูญเสียน้าออก จากร่างกายมากแล้ว ยังช่วยลดความเป็ นพิษของสารละลายยู เรียทีล่ ะลายน้าได้ และอาจช่วยป้ องกันอันตรายต่อตัวอ่อนในฟองไข่ได้ โค ล เอ ก้ า (cloaca) คื อ ช่ อ งเปิ ด ถ่ าย ปั ส ส าวะอ อ ก จ าก ร่ า งก าย เป็ นส่วนของไส้ต รงที่ข ยายตัวออกเป็ นรูป ระฆัง ในไก่มี ค วามยาวประมาณ 2.5 เ ซ น ติ เ ม ต ร ก ว้ า ง 2.0-2.5 เ ซ น ติ เ ม ต ร ใ น ไ ก่ เ พ ศ ผู้ จ ะ พ บ โ ค ล เ อ ก้ า อ ยู่ ต ร ง แ น ว ก ล า ง ล า ตั ว แต่ไก่เพศเมี ยจะวางตัวไปทางขวาเนื่อ งจากมี ป ลายของท่อ น าไข่ข้างซ้ายอยู่ สามารถแบ่ ง โคลเอก้ า ออกเป็ น 3 ส่ว น คื อ โคโพรเดี ย ม (coprodium) เ ป็ น ส่ ว น ด้ า น ห น้ า ที่ ส ะ ส ม อุ จ จ า ร ะ ยู โ ร เ ดี ย ม (urodium) เป็ นจุด ที่ท่อ ปัส สาวะมาเปิ ดเข้า และพบปลายเปิ ดของท่อ น าน้ าเชื้ อ ในเพศผู้ ส่วนในเพศเมี ย จะพบปลายเปิ ดของท่อ น าไข่ส่วนช่อ งคลอด (vagina) และ โพ ร โท เดี ย ม (protodium) เป็ น ท่ อ สั้ น ๆ ใน ไ ก่ ย าว ป ร ะ ม าณ 1-1.5 เซนติเมตร เป็ นส่วนทีต ่ อ ่ กันช่องเปิ ดของโคลเอก้า หรือ เวน (vent)

119

ภ า พ ที่ 5.5 เน ฟ ร อ น ช นิ ด reptitian nephron แ ล ะ mammalian nephron ในไตของสัตว์ปีก ทีม ่ า: ดัดแปลงจาก Frandson et al. (2009)

More Documents from "vivian"

November 2019 57
November 2019 53
Tema 6.docx
April 2020 21
Minagri.docx
May 2020 16