ข้อสอบ.docx

  • Uploaded by: Mama Identity Arts
  • 0
  • 0
  • December 2019
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View ข้อสอบ.docx as PDF for free.

More details

  • Words: 1,831
  • Pages: 12
่ เวณ การสังเคราะห ์ด ้วยแสงเกิดทีบริ ใด A) ดอก B) ผล C) ใบ D) ราก ANSWER: C

C) สองมือ การวมกัน D) เท่ากับมือข ้างซ ้าย ANSWER: A

้ั ่ พืชมีรากอยู่ทงหมดกี แบบ ได ้แก่อะไรบ ้าง A) 2 แบบ ได ้แก่ รากแก ้ว และรากฝอย B) 2 แบบ ได ้แก่ รากแก ้ว และรากยึด C) 2 แบบ ได ้แก่ รากขยาย และรากฝอย D) 2 แบบ ได ้แก่ รากขยาย และรากยึด ANSWER: A

้ั ่ วน สมองมมีทงหมดกี ส่ A) 7 ส่วน B) 9 ส่วน C) 6 ส่วน D) 8 ส่วน ANSWER: D

่ สีอะไรบ ้าง หัวใจมีหลอดเลือดกีสี A) 2 สี ได ้แก่ สีแดง และสีน้าเงิน B) 2 สี ได ้แก่ สีแดงเข ้ม และสีน้าเงินอ่อน C) 2 สี ได ้แก่ สีแดง และสีดา D) 2 สี ได ้แก่ สีแดงอ่อน และสีแดงเข ้มจัด ANSWER: C หัวใจมีขนาด ประมาณเท่าไหร่ A) 1 กาปั้นมือของแต่ละบุคคล B) 1 เท่าของกาปั้นมือ

่ เห อวัยวะของสัตว ์เกือบทุกชนิ ดทีมี มือนกัน ้ ่ วน ประกอบด ้วยอวัยวะทังหมดกี ส่ A) 9 ส่วน B) 7 ส่วน C) 8 ส่วน D) 11 ส่วน ANSWER: C ่ างไร หลอดเลือดแดง มีหน้าทีอย่ A) ปล่อยเลือดดีไปยังส่วนต่างของร่าง กาย B) ปล่อยเลือดดีไปยังสมอง C) ดูดเลือดเสียออกจากหัวใจ D) หมุนเวียนเลือดเสีย และเลือดดีภายในหัวใจ

ANSWER: A ่ ชวี ต สิงมี ิ ่ สามารถแบ่งออกได ้กีประเภท อะไรบ ้าง A) 2 ประเภท ได ้แก่ ประเภทสัตว ์บก และสัตว ์น้า B) 2 ประเภท ได ้แก่ ประเภทพืช และสัตว ์ C) 2 ประเภท ได ้แก่ ้ ประเภทสัตว ์เลือยคลาน ่ ่ ้า และสัตว ์ครึงบก ครึงน D) 2 ประเภท ได ้แก่ ประเภทสัตว ์น้าจืด และสัตว ์น้าเค็ม ANSWER: B ส่วนประกอบของพืช ้ั ่ วน อะไรบ ้าง มีทงหมดกี ส่ A) 5 ส่วน ได ้แก่ ราก ลาต ้น ดอก ผล และใบ B) 7 ส่วน ได ้แก่ รากแก ้ว รากฝอย ลาต ้น ดอก ผล และใบ C) 5 ส่วน ได ้แก่ ราก ลาต ้น ดอก กิง่ และใบ D) 5 ส่วน ได ้แก่ ราก ลาต ้น เกสร ผล และใบ ANSWER: A ส่วนประกอบของใบ มีกประเภท ี่ อะไรบ ้าง ้ ่ A) 2 ประเภท ได ้แก่ ใบเลียงเดี ยว ้ ่ และใบเลียงคู

้ ่ B) 2 ประเภท ได ้แก่ ใบเลียงเดี ยว และใบแขนง C) 2 ประเภท ได ้แก่ ใบยาว ้ และใบสัน D) 2 ประเภท ได ้แก่ ใบขยาย และใบแขนง ANSWER: A สารชีวโมเลกุล มีความหมายว่าอย่างไร A) สารชีวโมเลกุล ่ ้จากสัตว ์ เท่านั้น คือสารอาหารทีได B) สารชีวโมเลกุล ่ ้จากพืช เท่านั้น คือสารอาหารทีได C) สารชีวโมเลกุล ่ ้จากสัตว ์ และพืช คือสารอาหารทีได ่ ยกว่า อาหารหลัก 5 หมู่ หรือทีเรี D) สารชีวโมเลกุล ่ ้จากธรรมชาติ คือสารอาหารทีได ANSWER: C

อาหารหลัก 5 หมู่ ได ้แก่อะไรบ ้าง A) อาหารหลัก 5 หมู่ ได ้แก่ โปรตีน คาร ์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน กรด

หลัก 5 หมู่ ได ้แก่ โปรตีน คาร ์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน ไขมัน C) อาหารหลัก 5 หมู่ ได ้แก่ โปรตีน คาร ์โบไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน กรด D) อาหารหลัก 5 หมู่ ได ้แก่ โปรตีน คาร ์โบไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน ไขมัน ANSWER: D เกลือแร่ ได ้จากอาหารหลักประเภทใด A) ผลไม ้ B) นม C) ผัก D) เกลือ ANSWER: C วิตามิน ได ้จากอาหารหลักประเภทใด A) ผลไม ้ B) นม C) ผัก D) เกลือ ANSWER: A ไขมัน ได ้จากอาหารหลักประเภทใด A) ซากพืช และซากสัตว ์ B) น้ามันถัวเหลือง

C) ไขมันจากพืช และไขมันจากสัตว ์ D) ถูกทุกข ้อ ANSWER: C ไขมัน มีประโยชน์อย่างไรกับร่างกาย A) ทาให ้ร่างกายครบถ ้วนสมบูรณ์ B) ช่วยในการเผาผลานความร ้อนในร่ างกาย และทาให ้ร่างกายอบอุน ่ C) ช่วยให ้ร่างกายมีกาลังในการดารงชี วิต D) ทาให ้ร่างกายอบอุน ่ ในช่วงฤดูหนาว ANSWER: B หากร่างกายขาดสารอาหารหมู่ใดห มู่หนึ่ ง จะเกิดผลกระทบอย่างไรกับร่างกาย A) ร่างกายผอม ป่ วยง่าย ่ B) ร่างกายเหียวแห ้ง ่ C) ผิวผันหมองคลา้ ไม่มเี รียวแรง D) ถูกทุกข ้อ ANSWER: D หากร่างกายขาดสารอาหารประเภท วิตามิน ่ ส่วนใดในร่างกายทีสามารถสั งเกตไ ่ ด ด ้ง่ายทีสุ A) ผิวหมองคลา้

B) หน้าเหลือง C) บริเวณเล็บมือ จะมีจด ุ สีขาว หรือเส ้นขีดๆสีขาวรอบเล็บ D) ปากแห ้ง ตาเหลือง ANSWER: C หากร่างกายได ้ร ับสารอาหารประเภ ทโปรตีนมากจนเกิดไป จะทาใหเ้ กิดอะไรกับร่างกาย A) ร่างกายไม่แข็งแรง B) กระดูกเปาะบาง C) เกิดภาวะโรคอ ้วน D) ทาใหร้ า่ งกายอ่อนแอ เป็ นโรคง่าย ANSWER: C ่ี าใหต้ ามีสเี หลือง สาเหตุทท เนื่ องจากขาดสารอาหารหมู่ใด A) วิตามิน และเกลือแร่ B) เกลือแร่ และไขมัน C) ไขมัน และโปรตีน D) โปรตีน และวิตามิน ANSWER: A โครโมโซมในร่างกายมนุ ษย ์ ้ั ่ มีทงหมดกี โครโมโซม A) 46 โครโมโซม B) 44 โครโมโซม C) 45 โครโมโซม D) 48 โครโมโซม ANSWER: A

โครโมโซมในร่างกายในมนุ ษย ์ ้ั ่ ่ มีทงหมดกี คู A) 24 คู่ B) 48 คู่ C) 46 คู่ D) 23 คู่ ANSWER: D โครโมโซมเพศชาย จะมีลก ั ษณะแบบใด A) XX B) XXY C) XY D) XYX ANSWER: C

โครโมโซมเพศหญิง จะมีลก ั ษณะแบบใด A) XYZ B) XXX C) XY D) XX ANSWER: D ้ั ่ ว และกีคู ่ ่ คูส ่ าย DNA มีทงหมดกี ตั A) 12 ตัว 6 คู่ B) 14 ตัว 7 คู่ C) 10 ตัว 5 คู่ D) 16 ตัว 8 คู่ ANSWER: A

่ ชวี ต การเจริญเติบโตของสิงมี ิ ่ สามารถแบ่งออกได ้กีแบบ อะไรบ ้าง ่ A) 2 แบบ ได ้แก่ แบบเคลือนไหวได ้ ่ และเคลือนไหว ้ไม่ได ้ B) 2 แบบ ได ้แก่ แบบปกติ และแบบไม่ปกติ C) 2 แบบ ได ้แก่ แบบที่ 1 และแบบที่ 2 D) 2 แบบ ได ้แก่ แบบพืช และแบบสัตว ์ ANSWER: B การเจริญเติบโตแบบปกติ มีความหมายว่าอย่างไร A) การพัฒนาการอย่างมีระบบตามกฎ ระเบียบตามพันธุกรรม B) การพัฒนาการอย่างมีระบบ C) การพัฒนาการอย่างมีกฎระเบียบ D) ้ การพัฒนาการอย่างมีระบบขันตอน ใดก่อนก็ได ้ ANSWER: A การเจริญเติบโตแบบไม่ปกติ มีความหมายว่าอย่างไร A) การพัฒนาการอย่างไม่มรี ะบบตาม กฎระเบียบตามพันธุกรรม B) การพัฒนาการอย่างไม่มรี ะบบ

C) การพัฒนาการอย่างไม่มก ี ฎระเบียบ D) ้ การพัฒนาการอย่างไม่มรี ะบบขันต อน ANSWER: A ลักษณะทางพันธุกรรม มีความหมายว่าอย่างไร A) ่ ายทอดจากบรรพบุรษ ลักษณะทีถ่ ุ ่ กถ่ายทอดทาง B) ลักษณะทีถู DNA และโครโมโซมของสายพันธุ ์ C) ่ ้ร ับการถ่ายทอดจากกา ลักษณะทีได รตัดแต่งพันธุกรรม D) ่ ้ร ับการพัฒนาจากรุ ่ พันธุกรรมทีได นสู่รน ุ่ ANSWER: B โครโมโซมจะมีลก ั ษณะคล ้ายกับอะ ไร A) ปลาท่องโก๋ ่ B) ถัวแดง ่ ยว C) ถัวเขี ่ D) ถัวแดงผ่ าครึง่ ANSWER: A กลุ่มอาการดาวน์ซน ิ โดรม เกิดจากความผิดปกติคู่ท่ี เท่าไหร่ A) 12

B) 16 C) 15 D) 21 ANSWER: D กลุ่มอาการเอ็ดเวิร ์ดซินโดรม เกิดจากความผิดปกติคู่ท่ี เท่าไหร่ A) 12 B) 16 C) 18 D) 21 ANSWER: B Genotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บใด A) Genotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บภายในDNA และโครโมโซม B) Genotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บDNA C) Genotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บโครโมโซม D) Genotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บภายในโครโมโซม ANSWER: A

Phenotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บใด A) Phenotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บภายนอกอย่างชดั เจน B) Phenotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บของกริยา อาการ C) Phenotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บบุคลิกภาพ D) Phenotype ่ เป็ นลักษณะทีแสดงออกมาในรู ปแบ บของพันธุกรรม ANSWER: A ยีนเด่น นิ ยมใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอัง กฤษ แบบใด A) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ พิมพ ์ใหญ่ B) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ พิมพ ์เล็ก C) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ พิมพ ์ใหญ่ และพิมพ ์เล็ก D) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ แบบใดก็ได ้

ANSWER: A ยีนด ้อย นิ ยมใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอัง กฤษ แบบใด A) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ พิมพ ์ใหญ่ B) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ พิมพ ์เล็ก C) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ พิมพ ์ใหญ่ และพิมพ ์เล็ก D) ใช ้สัญญาลักษณ์เป็ นภาษาอังกฤษ แบบใดก็ได ้ ANSWER: B

สามีภรรยาคูห ่ นึ่ งแต่งงานกัน ่ื า นายสมควร โดยสามี มีชอว่

นามสกุล เจ็บทุกวัน เป็ นคนตาปกติ และภรรยาชือ่ นางมุ่งมั่น นามสกุล เก็บทุกวัน เป็ นคนตาปกติ ้ (เป็ นพาหะ) ทังสองมี ลูกแฝด 4 คน ประกอบไปด ้วย ผูช ้ ายสองคน ้ ผูห้ ญิงสองคน ทังสองอยากทราบว่ า ้ คนจะมี ่ ่ี ลูกแฝดทังสี ตนตาปกติกคน ่ี ตาบอดสีกคน ่ ตาปกติเป็ นพาหะกีคน A) ลูกสาว ตาปกติ 1 คน ลูกสาวตาปกติ (พาหะ) 1 คน ลูกชายตาปกติ 1 คน และลูกชายตาบอดสี 1 คน B) ลูกสาว ตาปกติ 2 คน ลูกชายตาปกติ 1 คน และลูกชายตาบอดสี 1 คน C) ลูกสาว ตาปกติ 1 คน ลูกสาวตาปกติ (พาหะ) 1 คน และลูกชายตาบอดสี 2 คน D) ลูกสาว ตาปกติ 2 คน ลูกสาวตาปกติ (พาหะ) 2 คน และลูกชายตาบอดสี 1 คน ANSWER: A ่ (Mutation) มิวเทชัน มีความหมายว่าอย่างไร A) ่ ชวี ต ่ ดมีการเปลี่ สภาพของสิงมี ิ ทีเกิ ยนแปลงทางพันธุกรรม ่ ชวี ต ่ ด ทาให ้พันธุกรรมของสิงมี ิ ทีเกิ การกลายพันธุ ์นั้น

่ ่ เกิดการเปลียนแปลงไปจากเดิ มทีเค ยเป็ น B) ่ ชวี ต ่ ดมีการเปลี่ สภาพของสิงมี ิ ทีเกิ ยนแปลงทางชีววิทยา C) ่ ชวี ต ่ ดมีการเปลี่ สภาพของสิงมี ิ ทีเกิ ยนแปลงทางธรรมชาติ D) ่ ชวี ต ่ ดมีการเปลี่ สภาพของสิงมี ิ ทีเกิ ยนแปลงทางสายพันธุ ์ ANSWER: A

มิวเทชัน (mutation) ่ บ แบ่งออกได ้กีระดั A) 2 ระดับ B) 3 ระดับ C) 4 ระดับ D) 5 ระดับ ANSWER: A ่ ดจากการเปลีย ่ “การกลายพันธุ ์ทีเกิ นแปลงโครโมโซม ่ อาจจะเป็ นการเปลียนแปลงโครงสร ้ ่ างของโครโมโซมหรือการเปลียนแ ปลงจานวน โครโมโซม” ่ าวมาอยู่ใน ข ้อความทีกล่ มิวเทชันระดับใด A) มิวเทชันระดับDNA B) มิวเทชันระดับโครโมโซม C) มิวเทชันระดับยีน

D) มิวเทชันระดับยีน และโครโมโซม ANSWER: B การเกิดการมิวเทชันแบ่งออกได ้เป็ ่ ด นกีชนิ A) 3 ชนิ ด B) 13 ชนิ ด C) 2 ชนิ ด D) 8 ชนิ ด ANSWER: C ่ เกิดเฉพาะทีในบริ ่ มิวเทชัน เวณ ่ นตาแหน่ งของยีน DNA ทีเป็ ่ สามารถจัดได ้เป็ นกีประเภท A) 8 ประเภท B) 14 ประเภท C) 2 ประเภท D) 12 ประเภท ANSWER: C ่ ดจากการเปลียนแปลงโครง ่ โรคทีเกิ สร ้างของโครโมโซม ่ี ดกับส่วนของแ มีความผิดปกติทเกิ ้ ่ี าไหร่ ขนสันของโครโมโซมคู ท ่ เท่ A) คู่ท่ี 7 B) คูท ่ ่ี 5 C) คู่ท่ี 9 D) คู่ที่ 3 ANSWER: B ่ การแบ่งชนิ ดของโครโมโซมทีหลา กหลาย

่ หากแบ่งตามคุณสมบัตห ิ รือหน้าทีข ่ ่ม องมัน จะแบ่งได ้กีกลุ A) 2 กลุ่ม B) 3 กลุ่ม C) 4 กลุ่ม D) 5 กลุ่ม ANSWER: A ออโตโซม (Autosome) มีความหมายว่าอย่างไร A) ออโตโซม (Autosome) การควบคุมกระบวนการต่างๆ ของร่างกาย B) ออโตโซม (Autosome) การควบคุมกระบวนการต่างๆ ของลักษณะเพศ C) ออโตโซม (Autosome) การควบคุมกระบวนการต่างๆ ่ ยวกั ่ ทีเกี บเพศ D) ออโตโซม (Autosome) การควบคุมกระบวนการต่างๆ ่ ยวกั ่ ของร่างกายยกเว ้นลักษณะทีเกี บเพศ ANSWER: D

โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) มีความหมายว่าอย่างไร

A) โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) คือตัวกาหนดเพศ B) โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) ่ ยวกั ่ คือการควบคุมลักษณะทีเกี บเพ ศโดยเฉพาะ C) โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) คือการควบคุมเพศ D) โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) คือการควบคุมลักษณะของฮอร ์โม นเพศ ANSWER: B ่ mRNA จะพบได ้ทีใด A) โครโมโซม B) ออโตโซม C) ไวร ัส D) โครโมโซมเพศ ANSWER: C ยีน (Gene)ประกอบด ้วย ่ กถอดรหัส(transcription) ส่วนทีถู เป็ นเอ็มอาร ์เอ็นเอ(mRNA)และสาม ารถแปลรหัส(translation)เป็ นโปร ตีนได ้ จะเรียกว่าอะไร A) เอ็มอาร ์เอ็นเอ(mRNA) B) สายโพลีเปปไตด ์ (polypeptide) C) เอ๊กซอน (Exon)

D) อาร ์เอ็นเอ (RNA) ANSWER: C

ดีเอ็นเอ (DNA) ่ กอย่างหนึ่ งว่าอย่ สามารถเรียกชืออี างไร A) อาร ์เอ็นเอ (RNA) B) เอ็มอาร ์เอ็นเอ(mRNA) C) เอ๊กซอน (Exon) D) สายโพลีเปปไตด ์ (polypeptide) ANSWER: A ่ DNA มักจะพบได ้จากสิงใด ่ ชวี ต ้ ง A) ในสิงมี ิ ชันสู ่ ชวี ต ้ ่า B) ในสิงมี ิ ชันต ่ ชวี ต C) ในสิงมี ิ D) ในธรรมชาติ ANSWER: A แสงเป็ นพลังงานรูปหนึ่ ง ่ ้วยอัตราเร็วเท่า เดินทางในรูปคลืนด ใด A) อัตราเร็ว 500,000 กิโลเมตรต่อวินาที B) อัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที C) อัตราเร็ว 400,000 กิโลเมตรต่อวินาที

D) อัตราเร็ว 200,000 กิโลเมตรต่อวินาที ANSWER: B การสะท ้อนของแสง (Reflection) มีความหมายว่าอย่างไร A) การสะท ้อนของแสง (Reflection) ่ี เป็ นปรากฏการณ์ทแสงเดิ นทางจา กตัวกลาง B) การสะท ้อนของแสง (Reflection) ่ี เป็ นปรากฏการณ์ทแสงมี ความหนา แน่ น C) การสะท ้อนของแสง (Reflection) ่ี เป็ นปรากฏการณ์ทแสงเดิ นทางจา ่ ความหนาแน่ นค่าหนึ่ ง กตัวกลางทีมี ่ คา่ ความหนาแน่ น มายังตัวกลางทีมี อีกตัวหนึ่ ง D) การสะท ้อนของแสง (Reflection) เป็ นปรากฏการณ์ของแสง ANSWER: C ่ ้ การสะท ้อนของแสงเมือตกกระทบพื ่ี ยบ เกิดขึนเมื ้ อใด ่ นผิววัตถุทเรี A) ้ อล ่ าแสงตกกระทบไปยังพื ้ เกิดขึนเมื น

B) ้ อล ่ าแสงตกกระทบไปยังพื ้ เกิดขึนเมื ่ ขระ นผิวทีขรุ C) ้ อล ่ าแสงตกกระทบไปยังพื ้ เกิดขึนเมื นกระจก D) ้ อล ่ าแสงตกกระทบไปยังพื ้ เกิดขึนเมื ้ วทีขรุ ่ ขระจะส่งผล นกระจกหรือพืนผิ ให ้แสงสะท ้อนกลับไปคนละทิศละทา ง ANSWER: D กฎการสะท ้อนของแสง (The Laws ่ี ้อ of Reflection) มีกข A) 3 ข ้อ B) 2 ข ้อ C) 1 ข ้อ D) 4 ข ้อ ANSWER: B ่ ่งเข ้าหาพืนผิ ้ วของวั ร ังสีของแสงทีพุ ่ื ยกว่าอย่างไร ตถุ มีชอเรี A) ร ังสีตก กระทบ (Incident Ray) B) ร ังสีสะท ้อน (Reflected Ray) C) มุมตกกระทบ (Angle of Incidence) D) มุมสะท ้อน (Angle of Reflection) ANSWER: A

่ี ่ ่ านเป็ นเ วัตถุทยอมให แ้ สงเคลือนที ผ่ ส ้นตรงไปได ้นั้น เราเรียกวัตถุนีว่้ าอย่างไร A) วัตถุโปร่ง B) วัตถุโปร่งใส C) วัตถุทบ ึ แสง D) วัตถุกรองแสง ANSWER: B ่ าแสงขนานตกกระทบพืนผิ ้ วห เมือล ่ี ยบ น้าวัตถุทเรี แสงจะสะท ้อนเป็ นลาแสงขนานเหมื ่ อนกับลาแสงทีตกกระทบ ้ วหน้าทีเรี ่ ยบ การสะท ้อนบนพืนผิ จะเรียกปรากฏการณ์นีว่้ าอะไร A) การสะท ้อน B) การหักเห C) การตกกระทบ D) การสะท ้อนแบบสม่าเสมอ ANSWER: D ่ี ยอมใหแ้ สงเคลือนที ่ ่ านไ วัตถุทไม่ ผ่ ปได ้ เราเรียกวัตถุนีว่้ าอย่างไร A) วัตถุทบ ึ แสง B) วัตถุตด ั แสง C) วัตถุดก ั แสง D) วัตถุกรองแสง ANSWER: A กฎการสะท ้อนของแสง (The Laws of Reflection) มีอะไรบ ้าง

A) 1.ร ังสีตกกระทบ ร ังสีสะท ้อน และเส ้นปกติจะอยู่ในระนาบเดียวกัน และ2.มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท ้อ น B) 1.ร ังสีตกกระทบ และ2.ร ังสีสะท ้อน C) 1. ร ังสีสะท ้อน และ2.เส ้นการสะท ้อน D) 1.มุมสะท ้อน และ2.มุมตกกระทบ ANSWER: A ่ ้ ้ วของวัตถุ เส ้นทีลากตั งฉากกั บพืนผิ ่ ตรงจุดทีแสงกระทบ ่ื ยกว่าอย่างไร มีชอเรี A) มุมสะท ้อน (Angle of Reflection) B) ร ังสีตก กระทบ (Incident Ray) C) มุมตกกระทบ (Angle of Incidence D) เส ้นปกติ (Normal) ANSWER: D

Related Documents

?.docx
May 2020 65
'.docx
April 2020 64
+.docx
April 2020 67
________.docx
April 2020 65
Docx
October 2019 42

More Documents from ""