ขอความเสริมพลังใจที่คัดมาบางตอนจาก การแสดงพระธรรมเทศนา เรื่อง “สูชวงชีวิตใหม เติมพลังใจดวยธรรมะ” โดย พระธรรมโกศาจารย (ศ.ดร.ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เจาอาวาสวัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี กรุงเทพมหานคร วันที่ 10 ตุลาคม 2552 ณ บานยุกตะเสวี ...การที่ไดดํารงชีวิตตามรอบนักษัตรมาจนถึงวันนี้นั้น ตามพุทธคติทางพุทธศาสนาถือวา ไดบําเพ็ญ บุญบําเพ็ญกุศลเปนปุพเพ กะตะปุญญะตา บุญกุศลไดหลอเลี้ยงรักษาใหชีวิตยืนยาวประสบความสําเร็จใน หนาที่การงาน... ...วัน นี้ ไ ด ปลงภาระเริ่มศัก ราชใหม ชีวิตใหม ตามคติ ทางพระพุทธศาสนาถือวาการ ดํารงชีวิตราบรื่นปลอดภัยทั้งในสวนตัวครอบครัวการงานเปนดวยการบําเพ็ญบุญบําเพ็ญกุศลตอเนื่องบุญ รักษาใหชีวิตเจริญงอกงาม การที่มีชีวิตยืนยาวก็ไดบุญเชนเดียวกัน ไดยศไดศักดิ์ก็ไดบุญเชนกัน โบราณจึง กลาววา “บุญหนัก ศักดิ์ใหญ” บุญทําใหเราไดศักดิ์ใหญ แตบุญนั้นไดใชไปแลวบุญกุศลที่สั่งสมพาใหชีวิต ของเราเจริญงอกงามมียศมีศักดิ์ เพราะฉะนั้นตองทําบุญเพิ่ม เมื่ออายุมาถึงวันนี้ ขณะนี้ วัยนี้ ตองการใหมี ความเจริญงอกงามรุงเรืองตอไป จึงทําบุญเพิ่มเรียกวา ฉลองอายุ โบราณจึงกลาววา “ยามบุญมาวาสนาชวย ที่ปวยก็หายที่หนายก็รักบุญไมมาวาสนาไมชวย ที่ปวยก็หนักที่รักก็หนาย” เพราะฉะนั้นบัณฑิตในทาง พระพุทธศาสนา จึงจัดงานฉลองอายุเพื่อใหบุญใหมรักษาชีวิตใหเจริญงอกงามไพบูลยยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะบุญ เกาเราไดใชไปมากแลว ฉะนั้นการทําบุญวันนี้จึงเปนไปตามคติทางพระพุทธศาสนา เมื่อมาถึงวาระเชนนี้ ทําบุญอยางนี้ก็เปนวาระที่จะไดทบทวนตรวจสอบชีวิตของเราวา ไดปฏิบัติบําเพ็ญสิ่งใดที่เปนประโยชนก็จะ ไดเกิดโสมนัสชื่นชมยินดี มีปติใจเปนกําลังใจใหขวนขวายทําความดีตอไปได... ...แตขณะเดียวกัน ก็เปนชวงเปลี่ยนแหงชีวิต เพราะวาไดวางภาระตางๆ ในชีวิต การทําบุญครั้งนี้ใน คติ ข องจี น เรี ย กว า การทํ า บุ ญ แซยิ ด ก็ จึ ง เป น ช ว งชี วิ ต ที่ สํ า คั ญ บุ ญ ก็ จ ะได รั ก ษาให เ จริ ญ ก า วหน า แต ขณะเดียวกันก็เปนชวงเวลาที่เปลี่ยนบทบาทแหงชีวิต เรียกวาหยุดภาระงานสําคัญในสวนราชการซึ่งเรียกวา เกษียณ เกษียณก็คือหยุดยุติบทบาทในสวนที่เกี่ยวกับงานประจําตามกฎหมายบานเมือง ในบางประเทศเชน สหรัฐอเมริกาเรียกผูเกษียณอายุราชการวาเปน “Senior Citizen ราษฎรอาวุโส” ชวงชีวิตนี้กําลังจะเปนกาว ไปสูความเปนราษฎรอาวุโส ภาษาพระเรียกวาความ “ปาปมุต” ทําอะไรไมคอยผิด วาใครก็ไดเพราะผาน รอนผานหนาวมาเยอะแลว เพราะฉะนั้นราษฎรอาวุโสนอกจากจะไดสิทธิที่สังคมตองตอบแทนในฐานะที่ ทําบุญคุณแกประเทศชาติ ยังมีบทบาทในฐานะเปนผูใหคําปรึกษาใหคําแนะนําแกรุนตอๆ ไป ในฐานะที่ 1
อาบน้ํารอนมากอนผานรอนผานหนาวมาก มีประสบการณเยอะ เสียอยางเดียวลืมงาย เพราะฉะนั้นก็ตอง บันทึกตองพูดเอาไว ก็จะตองเขาใจวาตอไปนี้ จะเลาเรื่องอดีตกันมากขึ้น กันลืม… ...ฉะนั้นในวัยนี้เปนวัยที่มีประสบการณเปนบุคคลที่มีคุณคาของสังคม ในคติทางพระพุทธศาสนา และในทางอินเดียนั้น ถือเปนชวงที่ 3 ของชีวิต คือชวงชีวิตนั้นมี 4 ชวง เรียกวา “อาศรม 4” ชวงที่ 1 เรียกวา พรหมจารี ชวงที่ 2 เรียกวา คฤหัสถ ชวงที่ 3 เรียกวา วานปรัส ชวงที่ 4 เรียกวา สันยาสี ชวงที่ 1 พรหมจารี หมายถึง ศึกษาเลาเรียนหาความรู ชวงที่ 2 คฤหัสถ หมายถึง ครองเรือน เปนวัยมี ครอบครัวทํางานไดเงินประสบความสําเร็จกาวหนาในทางโลก บัดนี้ ทานทั้งหลายเขาชวงที่ 3 เรียกวา “วานปรัส” คําวา วานปรัส หมายถึง ในสมัยโบราณนั้น การเกษียณวางภาระงานแลวจะเขาปาปฏิบัติธรรม ในสมัยนี้ก็คือวัยเขาวัดปฏิบัติธรรม ฟงเทศนฟงธรรม เปนชวงของการศึกษาธรรมะได เมื่อศึกษาธรรมได ความรูก็จะไปถึงชวงที่ 4 คือชวงสุดทายเรียกวา “สันยาสี” คือ ถายทอดความรูประสบการณแกอนุชนคนรุน ตอไป มีหนาที่ในการสั่งสอน ในการสงเคราะหคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงกลาววาในชวงที่ 3 นี้เปนวัยแหงการ ทําประโยชนตนและประโยชนทาน ทานทั้งหลายไดทําประโยชนทั้งแกตนเอง ทั้งแกผูอื่นดวย โดยเฉพาะแก ผูอื่นในฐานะทําหนาที่การงานมากแลว ตอไปนี้ใหทําประโยชนตนในสวนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป ปลอยวางภาระ ทั้งหลายที่ทําใหเกิด “ปลิโพธ” แปลวา เครื่องกังวลมีเวลาวางสําหรับพัฒนาจิตใจ ความสุขของชีวิตอยูที่ จิตใจ เราไมคอยไดดูแลจิตใจของตัวเองในชวงที่ผานมา หวงคนอื่นเสียมาก ความสุขความทุกขสัมพันธกับ คนอื่น คนหนุมสาวมองไปขางหนาดวยความหวัง คนแกเฒามองกลับขางหลังดวยความอาลัย บางคนพอ อายุมากเกษียณราชการกลับไปอาลัยหวงใยกับอดีตมาก ลืมมองวาในอนาคตยังมีความสําคัญกับชีวิต คือ การพัฒนาคุณภาพภายในจิตใจใหสูงยิ่งขึ้น ประโยชนนั้นมี 2 ประการสําหรับคฤหัสถ ดังพระบาลีที่อาตมา ภาพไดยกไวเปนนิกเขปบทเบื้องตนจากทีฆชาณุสูตรวา จัตตาโร เม พยัคฆปชชะ ธัมมา เปนตนซึ่งมาจาก พระสูตรนั้น โดยที่ ทีฆชาณุ ไดกราบทูลถามพระพุทธองควา ในฐานะที่เปนคฤหัสถจะดําเนินชีวิตอยางไร ใหไดประโยชนเต็มที่ในฐานะที่มีชีวิตอยูในโลกนี้ พระพุทธเจาก็ไดตรัสดังพระบาลีที่อาตมาภาพไดยกนั้น วา ประโยชนสําหรับคฤหัสถมี 2 ประการ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน แปลวา ประโยชนปจจุบันเฉพาะหนา 2 สัมปรายิกัตถประโยชน ประโยชนในภายหนา หรือประโยชนชั้นสูง ประโยชนปจจุบันเฉพาะหนา เปนเรื่อง ของการแสวงหาทรัพยภายนอก มีลาภ มียศ มีสุข มีสรรเสริญ นี่เปนประโยชนที่คฤหัสถผูถือครองเรือนพึง แสวงหา แตยังมีประโยชนที่สูงไปกวานั้น นั่นคือประโยชนในภายหนาประโยชนระดับสูงดังพระบาลีนิกเข ปบทนั้นวา มี 4 ประการ 1. สัทธาสัมปทา มีสมบัติเปนศรัทธา 2. สมบัติคือศีล 3. สมบัติคือ จาคะ 4. สมบัติ คือ ปญญา ชีวิตไดแสวงหาสมบัติภายนอกมามากแลว บัดนี้เปนเวลาแหงการแสวงหาสมบัติภายใน เรียกวา 2
“อริยทรัพย” ทรัพยอันประเสริฐแหงชีวิต ชีวิตไดทรัพยภายนอกแสวงหาเกียรติลาภยศมาพอสมควรแตยัง ไมสมบูรณ เพราะชีวิตนั้นก็เปนไปตามกฎแหงอนิจจัง เมื่อถึงวัยหนึ่งก็ไมสามารถที่จะทํางานมีกิจกรรม มากมายได ตองผองงานเรียกวา “เกษียณ” เกษียณแลวยังทําอะไร เกษียณแลวยังปลิโพธ หวงใยตําแหนง หวงใยอํานาจ หวงใยลาภยศ ทานเรียกวาเปนเครื่องถวง ไมพัฒนา ภาษาพระเรียกวา “ปลิโพธ” เพราะฉะนั้น ทานๆ ทั้งหลายไดตัดปลิโพธไปทีละนอยๆ เพื่อที่จะทําการใหญ คือพัฒนาจิตใจ ในสมัยกอนพระพุทธเจา ตรัสชาดกชื่อวา “มฆเทวชาดก” เลาถึงพระเจาแผนดินพระองคหนึ่งสั่งชางกัลบกคือชางตัดผมทุกครั้งเมื่อใด พบผมหงอกบนศีรษะของเรา ใหบอกดวย ชางกัลบกก็ไดมาแตงผมตัดผมของพระราชาองคนี้เปนประจํา จนกระทั่งวันหนึ่งไดกราบทูลพระองควา “เห็นผมหงอกเกิดขึ้นแลวบนศีรษะ” เพราะฉะนั้นพระราชาก็บอก วา “ถอนมาใหดูหนอย” เมื่อถอนมาแลวไดประกาศวา “อุตะมังคะลุหามัยหัง ผมหงอกเกิดขึ้นบนศีรษะของ เราแลว วัยลวงเลยไปเทวทูตปรากฏแลว บัดนี้ถึงเวลาบรรพชา” ทานก็ไปลาออกจากตําแหนงที่เปนอยู คือกษัตริย แลวไปถือศีลปฏิบัติธรรมอยูในสวนมะมวง ตั้งทายาทเปนผูรับตําแหนงหนาที่กษัตริยตอไป คนก็ถามวา “ทําไมพระองคจึงทําอยางนี้” พระราชาก็ตอบวา “เพราะเทวทูตปรากฏ ผมหงอกนั้นบอกเราวา ชี วิ ต อยู อี ก ไม น าน แสวงหาสมบั ติ ภ ายนอกมามากแล ว แต ยั ง ขาดสมบั ติ ภ ายใน ยั ง ขาดอริ ย ทรั พ ย เพราะฉะนั้ น ชี วิ ต จะต อ งก า วต อ ไปสู ง ขึ้ น ” ซึ่ ง คติ นี้ เ อง แม ใ นประเทศไทยก็ ถื อ กั น ดั ง โคลงโลกนิ ติ ไดประพันธไววา “ปางนอยสําเหนียกรู เรียนคุณ ครั้นใหญยอมหาทุน ทรัพยไว เมื่อกลางแกแสวงบุญ ธรรมชอบ ยามหงอมทําใดได แตลวนอนิจจัง” ทานทั้งหลายไดผานในชวงปางนอยสําหนียกรูเรียนคุณ ครั้นใหญแสวงทุนทรัพยไว สองชวงชีวิตนี้ดําเนิน อยางประสบความสําเร็จมาแลว มาถึงชวงตอไปที่จะเอาใจใส เมื่อกลางแกแสวงบุญธรรมชอบ พัฒนาจิตใจ ดูแลชีวิตปลอยวางภาระไมตองหวงกังวลมากนักกับเรื่องอื่น เพราะเหตุที่วา “วัฒนธรรม อารยธรรมทั้งหลาย เกิดจากจิตใจที่มีเวลาวาง” เวลาวางตางหากที่สรางอารยธรรมของโลก วัฒนธรรมบริโภคนั้นทําใหคน หมกมุนหมดเวลา และไมไดสรางสิ่งที่เปนสาระแกโลกเทาใด อารยธรรมของกรีกเปนตัวอยาง อารยธรรม ของกรีกนั้นฝากเปนมรดกของโลกเพราะคนที่อยูในยุคของกรีกนั้น ถูกแบงเบาภาระในการทํางานโดยมี ระบบทาส และไมไปหมกมุนกับการบริโภคหรือลัทธิยุคบริโภคนิยม กลับแสวงหาสติปญญาอยางยิ่ง... ...คนที่ไดรับอิทธิพลจากโลกตะวันตกสมัยใหมมักจะไมเขาใจ เมื่อเห็นทานผูสูงวัยไปวัดไปสวด มนต นั่งกรรมฐาน ก็บอกวาไปเสียเวลาทํางานทําการ หาไดรูไมวาสิ่งเหลานั้นแหละที่ทําใหเกิดคนอยาง “เลาจื๊อ” อยาง “พระพุทธเจา” ที่สรางสันติภาพ ที่สรางความสุขใหมนุษย เพราะมนุษยเอาแตแกงแยงแขงขัน วัดกันดวยอํานาจวาสนาไมใชหรือ? โลกจึงเรารอนแบงเปนพรรคเปนพวกเปนสี เขาวัดกันใหมากขึ้นและไม 3
นําการเมืองเขาไปในวัดนั่นแหละ จะทําใหสังคมสงบสุข สวดมนตก็สวดมนตกันจริงๆ อยางปลอยวาง มี ความรัก มีเวลาใหกันมากขึ้น วันหนึ่งๆ นั้นไปนอกบาน ไดพบคุณแม คุณลูก สามี ภรรยา สักเทาไร คุณคา แหงความรักความอบอุนเกิดขึ้นเมื่อมีเวลาใหกัน มีเวลาที่จะทําในสิ่งที่ตัวชอบจริงๆ และจะฝากเปนมรดก โลกนี้เมื่อเราจากไป เพราะฉะนั้น คุณคาแบบนี้คนไมเขาใจวา ความสุข ที่เปนอิสระจากภาระทั้งปวงนั้นมีคา อยางไร คนที่แสวงหาทรัพยภายนอกจะไมเขาใจความสําคัญของทรัพยภายในที่ใหความสุขอยางแทจริง… ...ความคิดของคนมองทรัพยภายในกับทรัพยภายนอกตางกัน ในวัยใหมในชวงใหมนี้ อยางไรก็ แสวงหาความสุขในมิติทางจิตใจใหมากขึ้น มีทรัพยภายในมากขึ้น มีสติปญญามากขึ้น เรียกวา “สัมปรายิ กัตถประโยชน” ประโยชนที่สูงขึ้น เครียดนอยลง ผอนพัก มากขึ้น สุขภาพก็จะดีขึ้น อายุก็จะยืนยาว บางคน ไมอยากจะแก แตลืมไปวา “ความแกเปนทางผานแหงการมีอายุยืน” มีใครบางที่อายุยืนแลวไมแก ตองภูมิใจ วายิ่งแกอายุมาก นี่แสดงวาอายุยืน มีบุญ การมีอายุยืนก็สัมพันธกับสุขภาพจิต เมื่อมีอริยทรัพยภายในมี ความสุขไมเครียด สุขภาพกายก็จะดีขึ้น อดีตประธานองคมนตรีทานอาจารยสัญญา ธรรมศักดิ์ เคยแสดงปาฐกถาที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบ รัฐบาลเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวฯ หลายปมาแลว ทานอาจารยสัญญา ธรรมศักดิ์ ไดกลาวตอน หนึ่งในการปาฐกถาวามีคนเคยมาถามทานอาจารยสัญญาวา… “แลวทําไมอาจารยจึงดูไมเหมือนคนอายุ 80 มีเคล็ดลับอะไร” อาจารยสัญญาก็ตอบวา “ผมทําบริหาร 2 อยางทุกวัน 1 บริหารกาย 2 บริหารจิตบริหารกาย คือ การตองไมอยูนิ่ง ออกกําลังกายตามวัย บริหารจิตตรงกันขามจิตตองนิ่ง กายเรามักไมเคลื่อนไหว แตจิต เหมือนลิงบนยอดไม พระพุทธเจาตรัสวาอยางนั้น มันไมเคยหยุด ยิ่งวางงานมากมันยิ่งโดดมากจับมาฝกให นิ่งแลวมันจะสงบและมีพลัง มีความสุข เพราะฉะนั้น ผมทําบริหารจิตทุกวันตั้งแตทํางานพระพุทธศาสนา พุทธสมาคมเปนตนมา แตยังสูในหลวงไมได เพราะวาผมนั่งกรรมฐาน 20 นาทีเทานั้น แตพระเจาอยูหัวฯ ทรงนั่งกรรมฐานวันละ 40 นาทีตลอดมา ทรงพัฒนาจิตใจ พระราชหฤทัยของพระองคมาโดยตลอด แมจะมี พระราชภาระหนักกวาคนทั้งปวง แตทรงสามารถที่จะปฏิบัติรับพระราชภาระไดเปนอยางดีเพราะไดพัฒนา พระราชหฤทัย หรือจิตใจของพระองค” อาจารย สัญ ญา ธรรมศัก ดิ์ กลา วไวอยา งนี้ นี่ก็ห มายความวา ในขณะที่แ สวงหาทรั พ ยภ ายนอก พระเจาอยูหัวฯ ก็ทรงแสวงหาทรัพยภายใน “อริยทรัพย” หรือวาสมบัติภายในซึ่งในที่นี้มี 4 ขอ ดวยกัน 1. สัทธาสัมปทา
สมบัติ คือ ศรัทธา
2. สีลสัมปทา
สมบัติ คือ ศีล
3. จาคสัมปทา
สมบัติ คือ ความเสียสละ และ 4
4. ปญญาสัมปทา
สมบัติ คือ ปญญา
ในข อ แรกนั้ น สั ท ธาสั ม ปทา ศรั ท ธาในพระศาสนา ศึ ก ษาธรรมมี เ ป า หมายชี วิ ต ที่ สู ง ขึ้ น นอกเหนือไปจากทรัพยภายนอก มีคํากลาววาไมมีใครแกเกินเรียน ควรจะเพิ่มไปอีกวา บัดนี้ไมมีใครแกเกิน เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ยิ่งในวัยอยางนี้ยอมจะเห็นธรรมที่ลึกซึ้งกวาเด็กทั้งหลาย จึงเปนวัยแหงการเห็น สัจจะธรรม ศรัทธาตรงนี้ตองมั่นคง ขอที่ 2 สีลสัมปทา ศีลคือจรรยาเครื่องประดับชีวิต ปกตินั้นรางกายที่เคย งดงามก็เปลี่ยนแปลงแตสิ่งที่งดงามภายในตางหากเลาจะตองเพิ่มมากขึ้น ก็คือศีลหรือกริยามารยาท จรรยา ขอประพฤติปฏิบัติที่ทําใหชีวิตรูสึกไมคอยเศราหมองเสียใจ มีศีลมีขอปฏิบัติดีแลวชีวิตผองใส งดงามดังพระ บาลี ว า “สี ลั ง อาภะระนั ง เสดถั ง ” ศี ล เป น อาภรณ เ ครื่ อ งประดั บ ที่ ป ระเสริ ฐ ที่ สุ ด ใช ไ ด กั บ ทุ ก วั ย ดั ง คํ า ประพันธที่วา “คนจะงาม
งามน้ําใจ
ใชใบหนา
คนจะสวย
สวยจรรยา
ใชตาหวาน
คนจะแก
แกความรู
ใชอยูนาน
คนจะรวย
รวยศีลทาน
ใชบานโต”
รวยศีลทาน คือ สมบัติขอที่ 3 เรียกวา “จาคสัมปทา” ไดแสวงหาไดทําประโยชนตนมาพอสมควรแลว มีทรัพย ภายนอกมากแลว ตอจากนี้ตองเปนผูใหมากขึ้น เพราะมีเวลามาก สามารถที่จะทําประโยชนใหผูอื่นไดมาก เรียกวา “ปะระติตะปฏิบัติ” ชีวิตมีคุณคา เพราะการทําใหคนอื่นมีความสุข อยากจะเปน อมตะ นั้นไมยาก 1. เขียนหรือพูดอะไรเปนคําสอนเปนขอคิด ฝากไวในโลกนี้ ก็จะทําใหเราเปนอมตะ ก็จะทําใหคน ไดอานไดศึกษา ไดฟง หรือ 2. ทําอะไรใหเปนประโยชนใหคนเขาพูดถึง เขาเขียนถึง ก็โดยที่เราเปนผูเสียสละโดยที่เราเปนผูให เปนนักสังคมสงเคราะห... ...อํานาจก็เปลี่ยนแปลงได สิ่งตางๆ ก็หมดไปได ไมทุกข ไมยึดติด มีปญญาเครื่องสลัดออก ปลอย วาง คือ เกษียณ คือ ปลอยวางจริงๆ ในหัวใจ ก็จะมีความสุขเกษียณแลวเกษม เมื่อพระโมคคัลลานะปฏิบัติ ธรรม ไมสามารถบรรลุเปนอรหันตพระพุทธเจาไปเยี่ยม พระโมคคัลลานะไดทูลถามพระพุทธเจาวา “ขอใหแสดงธรรมยอๆ ใหปฏิบัติไดเวลาไมมากนักแลวบรรลุได” พระพุทธเจาไดตรัสวา 5
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” แปลวา “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไมควรยึดมั่นถือมั่น” การเห็นวาสิ่งทั้งปวงไมควรยึดมั่นถือมั่นเพราะเปนอนิจจังไมเที่ยง ทุกขัง เปนทุกข อนัตตาไมมี แกนสาร นี่แหละ คือ “ปญญา” พระโมคคัลลานะนอมนําไปปฏิบัติก็ไดสําเร็จเปนพระอรหันต เพราะพระพุทธเจาทรงอธิบายวา เมื่อสิ่งตางๆ เกิดขึ้นถูกใจเราก็ไดความสุข ไมถูกใจเราก็ไดความทุกข หรือไมมีอะไรถูกใจ หรือถูกใจเราก็ เฉยๆ เรียกวาเวทนา สุข ทุกข เวทนา เกิดขึ้นเหมือนกับละครที่มาแสดงอยูในชีวิตของเรา บางวันสุข บางวัน ทุกข แลวเราจะไปยึดมั่นถือมั่นทําไม เพราะมันสุข สุขก็ไมยั่งยืน เวลาสุขแลวอยากจะใหสุขตอไป อยากมี หนามีตามีชื่อเสียงเกียรติยศแตมันเปนไปไมไดเราก็ทุกข ก็เครียด ปลอยวางเสียบาง มองสิ่งตางๆ ไมเที่ยง ต อ งเปลี่ ย นแปลงเราก็ ไ ม ยึด ติ ด แม แ ต สั ง ขารสุ ข ภาพของเรา ซึ่ง ก็ ต อ งมี วัน ทรุ ด โทรมเปลี่ ย นแปลงไป ภายนอกจะเปนอยางไร แตจิตใจตองผองใสมีความสุข กระสับกระสายที่กายเพราะโรคภัยไมเปนไร แต พระพุทธเจาบอกวา แตจิตใจอยาไดกระสับกระสายทุรนทุรายไปดวย รักษาจิตใจใหมีความสุขดวยปญญา อยางนี้ชีวิตก็เปนอิสระไมเปนทาส ชีวิตเปนทาสกัน 3 วัย วันตนคนหนุมสาวเปนทาสของความฝน วัยกลางคนเปนทาสของงานหนัก วัยเกษียณเปนทาสของความกังวลคนอาลัยในอดีต ไมอาลัยกับอดีตแตคิดถึงอนาคต ชีวิตสดใสมีสมบัติภายในที่เราจะตองพัฒนาตอไป ก็ชื่อวาชีวิตนั้น สดใส และมีความสุขไดตองมองวา การเกษียณนั้นเปนวาระที่ปฉลู คือ วัวงานนั้นไดปลดแอกแลว เพราะนั้น ปลดแอกยังไปหวงแอกอยูทําไมเลา ไปทําอยางอื่นที่มีความสุขดีกวา นั่นก็คือพัฒนาจิตใจ ใหมีศรัทธา มีความหวังที่ถูกตอง มีเปาหมายที่ดีงามตอไป และมีศีลคือความประพฤติปฏิบัติที่ทําใหชีวิตและสุขภาพ ดีงาม มีจาคะอยูเพื่อคนอื่นมากขึ้นเพราะเราก็ไดมามากแลว และมีปญญาไมยึดติด ไมยึดมั่นกับสิ่งตางๆ ที่ เปนอดีต มองเห็นสัจจะธรรมในความเปนจริง ชีวิตเปนละครก็เชนนี้เอง “ชีวิตคือโรงละคร ปวงนิกรเราทานเกิดมา ตางรายรําทําทีทา ตามลีลาของบทละคร บางครั้งก็เศรา บางคราวก็สุข บางครั้งก็ทุกขหัวอกสะทาน มีรางมีรัก มีจากมีจร พอจบละครชีวิตก็ลา” ละครฉากหนึ่งในชีวิตเปนละครแหงการทํางานแสวงหาสมบัติภายนอกผานไปตอนหนึ่งแลว ก็ตอง แสวงหาสมบั ติ ภ ายในให ชี วิ ต พั ฒ นาก า วหน า ในทางจิ ต ใจให ม ากขึ้ น ซึ่ ง รออยู ใ นช ว งชี วิ ต ต อ ไป 6
การดํารงชีวิตในชวงตอไปใหเปนดังที่เราคาดหวังบุญกุศลก็หนุนสงนําสง เพราะบางทานก็ไมสามารถมีเวลา วางไดมากนัก เพราะการแสวงหาทรัพยภายนอกยังฝดเคือง แตถาหากถึงเวลาที่มีบําเหน็จบํานาญปลอยวาง ภาระไดก็ใชประโยชนตรงนี้ ใหเจริญในทางจิตใจพัฒนาในชวงชีวิตใหมอยางมีความสุขมากขึ้น บุญกุศลจะ นําสุขสงใหทานทั้งหลายดําเนินชีวิตไปสูชวงชีวิตใหมดวยกําลังที่เปนสมบัติ 4 ประการดังพรรณนามา...”
7