Mkt Chapter16

  • November 2019
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View Mkt Chapter16 as PDF for free.

More details

  • Words: 945
  • Pages: 9
บทที่ 16: การพัฒนากลยุทธ์ราคา การกำาหนดราคา(Setting the price) บริษัทต้องกำาหนดราคาให้สัมพันธ์กับคุณค่าที่ให้กับลูกค้า หรือที่รับรู้ โดยลูกค้า ถ้าราคาสูงกว่าคุณค่าที่ได้รับ บริษัทจะพลาดโอกาสที่จะได้กำาไรใน อนาคต ถ้าราคาตำ่ากว่าคุณค่าที่ได้รับ บริษัทจะเสียโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวกำาไร Price = Value • 1.

นโยบายการกำาหนดราคา เลือกวัตถุประสงค์ในการกำาหนดราคา วัตถุประสงค์หลักแบ่งได้ 5 ประการคือ • บริษัทที่มุ่งการอยู่รอด มักเป็นบริษัทที่มีกำาลังการผลิตส่วนเกิน มีการแข่งขันรุนแรง หรือมีการเปลี่ยนแปลงในนความต้องการ ของผู้บริโภค การกำาหนดราคาต้องครอบคลุมต้นทุนผันแปร และบางส่วนของต้นทุนคงที่ได้ เป็นวัตถุประสงค์ระยะสั้น ส่วน ในระยะยาวบริษัทต้องเรียนรู้การเพิม ่ คุณค่าและหาความแตก ต่าง • การกำาหนดราคาเพือ ่ ให้ได้กำาไรสูงสุด มักทำาการประมาณการ อุปสงค์และต้นทุนที่สัมพันธ์กันกับหลายๆ ราคาและเลือกราคา ที่ให้กำาไรปัจจุบันสูงที่สุดหรือกระแสเงินสดหรืออัตราผล ตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด ซึ่งมีสมมติฐานว่าบริษัทรู้ เรือ ่ งอุปสงค์และต้นทุนของบริษัทเป็นอย่างดี • ต้องการส่วนแบ่งตลาดสูงสุด บ.เชื่อว่ายอดขายสูงจะทำาให้ ต้นทุนต่อหน่วยตำ่าและทำาให้ได้กำาไรในระยะยาวสูง จะตั้งราคา ตำ่าสุดโดยสมมติว่าตลาดเป็นตลาดที่มีความไวต่อราคา o ลักษณะที่เหมาะสมกับการกำาหนดราคาตำ่าคือ 1) ตลาดมีความไวต่อราคาสูง และการใช้ราคาตำ่าจะกระตุ้น ให้ตลาดเจริญเติบโต 2) ต้นทุนการผลิตและการจัดจำาหน่ายลดลงเมือ ่ มี ประสบการณ์การผลิตเพิม ่ ขื้น 3) การกำาหนดราคาตำ่าทำาให้ไม่ดึงดูดใจคู่แข่งที่จะเข้ามา แข่งขัน • เพื่อให้ได้ตลาดที่ทำาเงินดีที่สุด การกำาหนดราคาแบบ Skimming บริษัทที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ มักจะกำาหนดราคาสูงเพื่อ คั้น(skim) o เหมาะกับสถานการณ์ตอ ่ ไปนี้ 1) จำานวนผู้ซื้อที่มีความต้องการสูง มีจำานวนมากพอ 2) ต้นทุนต่อหน่วยในการผลิตจำานวนน้อยไม่สูงเกินไป 3) การกำาหนดราคาสูงในระยะแรกไม่ดึงดูดใจคู่แข่งให้เข้า มาในตลาด 4) การกำาหนดราคาสูงทำาให้สินค้าดูมีภาพลักษณ์ว่ามี คุณภาพดี • เพื่อเป็นผู้นำาด้านผลิตภัณฑ์คุณภาพ การกำาหนดราคาสูงและ สินค้ามีคุณภาพสูง

2. กำาหนดอุปสงค์

แต่ละระดับราคาจะก่อให้เกิดระดับอุปสงค์ที่ต่างกัน ในสภาวะปกติ อุปสงค์ของสินค้าและราคาจะผกผันกัน • ความไวต่อราคา(Price sensitivity) เป็นผลรวมของปฏิกิริยาของ บุคคลต่อระดับความไวของราคาที่ต่างกัน ขั้นแรกของการ ประมาณการอุปสงค์คือ ต้องเข้าใจผลของความไวต่อราคา ส่วน ใหญ่มีความไวต่อราคาสูงกับสินค้าราคาสูงหรือมีการซื้อบ่อย ลูกค้ามีความไวต่อราคาตำ่าเมื่อราคาเป็นเพียงส่วนน้อยของ ต้นทุนที่จะได้มา ต้นทุนในการใช้งานหรือต้นทุนการบริการ ตลอดชีวิตของการใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ผู้ขายอาจขายราคาสูงกว่าคู่ แข่งได้ถ้าสามารถทำาให้ลูกคาเชื่อว่าได้รับสินค้าที่มีต้นทุนใน การเป็นเจ้าของตำ่าสุด • การประเมินเส้นอุปสงค์(Estimating demand curves) i. ใช้สถิติวิเคราะห์ราคาในอดีต ปริมาณขาย และปัจจัยอื่นๆ ที่เกิดในอดีตมาประเมินความสัมพันธ์ ii. ใช้วิธีการทดลองราคา ทำาการปรับราคาหลายๆ ราคาใน ร้านค้าประเภท discount store แล้วสังเกตว่าความ ต้องการซื้อในแต่ละระดับราคา iii. การถามผู้ซื้อว่าจะซื้อสินค้ากี่ชิ้น ถ้ามีการตั้งราคาใน ระดับต่างๆ • ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา(Price elasticity of demand) i. อุปสงค์ไม่ยื่ดหยุ่น(inelastic) = อุปสงค์เปลี่ยนแปลงเพียง เล็กน้อยจากการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อย ii. อุปสงค์ยื่นหยุ่น(elastic) = อุปสงค์เปลี่ยนแปลงเป็นอย่าง มากจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ยิ่งความยืดหยุ่นสูง การลดราคาเพียง 1%จะทำาให้ยอดขายสูงขึ้น มาก อุปสงค์จะมีความยืดหยุ่นน้อยในสภาวะต่อไปนี้ 1) มีคู่แข่งหรือสินค้าทดแทนน้อยหรือไม่มีเลย 2) ผู้ซื้อไม่สังเกตว่าราคาสูง 3) ผู้ซื้อเปลี่ยนแปลงนิสัยการซื้อช้า 4) ผู้ซื้อคิดว่าราคาสูงเหมาะสมแล้ว 3.

ประมาณการต้นทุน • ชนิดของต้นทุนและระดับการผลิต ต้องรูต ้ ้นทุนที่เปลี่ยนใน แต่ละระดับการผลิต i. ต้นทุนคงที่ = ต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามจำานวน ผลิตหรือรายรับจากการขาย ii. ต้นทุนผันแปร = เปลี่ยนแปลงตามจำานวนการผลิต iii. ต้นทุนรวม = ผลรวมของต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผัน ในแต่ละระดับของการผลิต iv. ต้นทุนเฉลี่ย = ต้นทุนต่อหน่วย ณ ระดับใดระดับหนึ่ง ของการผลิต



การผลิตแบบเพิ่มพูนประสบการณ์ ต้นทุนเฉลี่ยลดลงจากการ เพิ่มพูนประสบการณ์ในการผลิตแบบนี้เราเรียกเส้นกราฟชนิด นี้ว่า experience curve หรือ Learning curve ซึ่งเป็นการเพิม ่ ส่วนแบ่งตลาดและผลักให้คู่แข่งออกไปจากตลาด แต่การใช้ experience curve ทำาให้เกิดการเสี่ยงขึ้นได้ การใช้ราคาที่ถูก มากอาจทำาให้เกิดภาพลักษณ์ว่าเป็นของถูก และเป็นการเปิด โอกาสให้คู่แข่งขันสร้างนวัตกรรมที่ผลิตได้ในต้นทุนตำ่าหรือมี เทคโนโลยีใหม่ อาจทำาให้ผู้นำาตลาดมีโรงงานแบบล้าสมัยไปได้ • การสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ที่นำาเสนอ บริษัท พยายามปรับผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างกันไปสำาหรับลูกค้าแต่ละราย ในการประมาณการกำาไรที่แตกต่างกันผู้ผลิตต้องทำาบัญชีแบบ Activity-based cost(ABC) ซึ่งเป็นการใช้ต้นทุนที่แท้จริงที่เกิด ขึ้นในการบริการลูกค้าแต่ละรายทั้งต้นทุนแปรผันและค่าโสหุ้ย จะคิดกับลูกค้าแต่ละรายตามความเป็นจริง ต้นทุนที่เกิดขึ้นจาก การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้าเป็นเท่าไรจะทำาให้บริษัท สามารถอธิบายการกำาหนดราคาที่คิดกับลูกค้าได้ • การคิดต้นทุนแบบกำาหนดเป้าหมายไว้ ใช้การวิจัยตลาดกำาหนด ราคาที่จะทำาให้ผลิตภัณฑ์ขายได้โดยเสนอจุดเด่นและเทียบกับ ราคาคู่แข่งเอาไว้แล้ว และหักกำาไรที่ตอ ้ งการจากราคานี้ที่เหลือ คือเป้าหมายต้นทุนที่เขาต้องทำาให้ได้แล้วดูส่วนประกอบแต่ละ ตัวของต้นทุนซึ่งจะต้องหาทางปรับ/ลดส่วนประกอบ เพื่อให้ ต้นทุนตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ วิเคราะห์ต้นทุน ราคา และข้อเสนอของคู่แข่ง ถ้าบริษัทนำาเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะแตกต่างจากของคู่แข่ง บ.ควรจะวัดความแตกต่างนั้นว่ามีคุณค่าในสายตาของผู้บริโภคหรือไม่ ถ้ามีค่าจึงจะเพิ่มราคาให้สูงกว่าที่คู่แข่งนำาเสนอได้ วิธีนี้ บ. จะสามารถ ตัดสินใจได้ว่าควรกำาหนดราคาสูงกว่า เท่ากัน หรือตำ่ากว่าราคาคู่แข่ง 4.

เลือกวิธีการกำาหนดราคา ต้นทุนเป็นพื้นฐานราคา ราคาของคู่แข่งและราคาสินค้าทดแทนเป็น จุดกำาหนดทิศทางของราคาและการรับรู้ของลูกค้าถึงคุณลักษณธที่เป็น เอกลักษณ์ของสินค้าจะกำาหนดจุดสูงสุดหรือเพดานราคา • การกำาหนดราคาแบบบวกเพิ่ม(Markup pricing) การบวกเพิ่ม กำาไรจากต้นทุนของสินค้า มักตั้งไว้สูงสำาหรับสินค้าที่เป็น ฤดูกาลเพือ ่ ชดเชยการเสี่ยงของการขายไม่ได้ สินค้าพิเศษ สินค้า ที่ขายออกค่อนข้างช้า สินค้าที่มีต้นทุนการเก็บรักษาและดูแล ค่อนข้างสูง และสินค้าทีอ ่ ุปสงค์ไม่ยืดหยุ่น เช่น ยาตามใบสั่ง แพทย์ เป็นที่นิยมเพราะ i. ง่ายกว่าการคาดการณ์อุปสงค์ ii. การแข่งขันทางด้านราคาลดลง เมือ ่ บ.ส่วนใหญ่ใช้ราคา มักจะคล้ายกัน iii. เป็นการยุตธ ิ รรมกับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ แม้อุปสงค์เพิ่มแต่ ผู้ขายก็ไม่เพิ่มราคา 5.











การกำาหนดราคาเพือ ่ ให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย(Target return pricing) กำาหนดราคาที่จะให้ได้ผลตอบแทนจากการ ลงทุนตามเป้าหมาย แต่จะไม่ได้พจ ิ ารณาความยืดหยุ่นและ ราคาคู่แข่ง ผู้ผลิตจำาเป็นต้องพิจารณาว่า ณ ระดับราคาต่างกัน จะมีผลต่ปริมารขายและกำาไรอย่างไร การกำาหนดราคาจากคุณค่าที่ผู้บริโภครับรู(Perceived ้ – value pricing) ต้องให้คุณค่าตามที่สัญญาไว้กับลูกค้าและลูกค้ารับรู้ถึง คุณค่านั้นด้วย ซึ่งจะใช้ส่วนประสมทางการตลาดอื่นๆ เช่น การ โฆษณา และพนักงานขายในการสือ ่ สารเพื่อเสริมสร้างให้ลูค้า รับรู้ถึงคุณค่าในความรู้สึกนึกคิดของลูกค้า i. Price buyer คือผู้ซื้อที่ดูราคาเป็นหลัก บ.ต้องเสนอ ผลิตภัณฑ์ทม ี่ ีคุณค่าลดลง ลดการให้บริการ ii. Value buyer คือผู้ซื้อที่ดูคุณค่าเป็นหลัก บ.ควรต้องมีนวัต กรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าอยู่ตลอดเวลาและเน้นยำ้าคุณค่าที่ได้ iii. Loyal buyer คือผู้ซื้อที่ซื่อสัตย์ บ.ต้องลงทุนในการสร้าง สัมพันธภาพและการใส่ใจดูแลลูกค้า กุญแจสำาคัญของการกำาหนดราคาแบบนี้คือ การให้คุณค่าที่ เหนือคู่แข่ง และต้องสามารถแสดงให้กับลูกค้ามุ่งหวังได้ การกำาหนดราคาแบบคุ้มค่า(Value pricing) วิธีนี้จะได้ลูกค้าที่ ซื่อสัตย์โดยการกำาหนดราคาสินค้าตำ่าสำาหรับสินค้าที่มีคุณภาพ สูง รวมถึงเป็นการรีเอ็นจิเนียการดำาเนินงานของบริษัทเพื่อให้ เป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนตำ่าโดยไม่ได้ลดคุณภาพและการทำาให้ราคา ตำ่าลงมาจะดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สนใจความคุ้มค่าในการซื้อ สินค้า การกำาหนดราคาตามตลาด(Going – rate pricing) การเปลี่ยน ราคาจะเปลี่ยนตามผู้นำาตลาดมากกว่าพิจารณาต้นทุนหรือ อุปสงค์ของสินค้าตนเอง นิยมใช้วิธีนี้สำาหรับสินค้าที่วัดต้นทุน ยากหรือการตอบโต้จากคู่แข่งไม่แน่นอน และแสดงถึงราคาที่ เหมาะสมของอุตสาหกรรม การกำาหนดราคาประมูล(Auction – type pricing) i. การประมูลแบบอังกฤษหรือการประมูลแบบขาขึ้น(ascen ding bids)

ii. การประมูลแบบดัชท์หรือประมูลแบบขาลง(descending bids)

iii. การปิดซองประมูล(sealed – bid auction) 6.

เลือกราคาขั้นสุดท้าย • การกำาหนดราคาแบบจิตวิทยา(Psychological pricing) ราคาเลข คี่จะแสดงให้เห็นว่ามีการลดราคาหรือถูกลง • การกำาหนดราคาแบบเฉลี่ยผลได้และความเสี่ยง(Gain-and-risksharing price) ผู้ ข ายจะเสนอทางเลื อ กโดยการรั บ ภาระความ เสี่ยงบางส่วนให้ลูกค้า



อิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดอื่น(The influence of other marketing) ต้องคำานึงถึงคุณภาพของตราสินค้าหรือการ โฆษณาที่สัมพันธ์กับการแข่งขัน i ผู้บริโภคยินดีจ่ายค่าสินค้าที่เป็นที่รจ ู้ ักในราคาที่สูงกว่า สินค้าที่ไม่รจ ู้ ัก ii สินค้ายี่ห้อที่มีคุณภาพสูง โฆษณาสูง สามารถกำาหนด ราคาได้สูง iii ความสัมพันธ์ทางบวกระหว่างราคาสูงและโฆษณามาก จะเกิดขึ้นมากในช่วงปลายของ PLC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำาหรับผู้นำาตลาด • นโยบายราคาของบริษัท(Company pricing policies) ราคาที่ เสนอสุดท้ายต้องสอดคล้องกับนโยบายราคาของบริษัทและบ. อาจกำาหนดนโยบายที่มีการคิดค่าปรับในการกำาหนดราคาใน บางสถานการณ์ด้วย • ผลกระทบของราคาต่อผู้อื่น(Impact of price on the other parties) เช่น ผูจ ้ ัดจำาหน่ายหรือผู้ขาย หรือพนักงานจะเต็มใจ ขายสินคาตามราคาที่บ.กำาหนดหรือไม่ คู่แข่งขันจะมีปฏิกิริยา อย่างไร supplier จะขึ้นราคาหรือไม่เมือ ่ เห็นราคาของบ. รัฐบาล จะเข้ามาแทรกแซงหรือกีดกันการกำาหนดราคาหรือไม่ การปรับราคา(Adapting the price) มีการทำาโครงสร้างราคาที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอุปสงค์และ ต้นทุนตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ต่างกันหรือกลุ่มลูกค้าต่างกันหรือเวลาซื้อ ต่างกัน •

การกำาหนดราคาตามภูมิศาสตร์(เงินสด, การค้าต่างตอบแทน, การ แลกเปลี่ยน) เป็นการกำาหนดราคาผลิตภัณฑ์สำาหรับลูกค้าที่อาศัยอยู่ ในพื้นที่ต่างกัน • Counter trade(การค้าต่างตอบแทน) เป็นผู้ซื้อหลายรายเสนอ สินค้าอื่นมาแลกเปลี่ยนแทนการชำาระเป็นเงิน i. Barter คือการแลกสินค้ากับสินค้าโดยตรง โดยไม่มีเงิน หรือบุคคลที่สามมาเกี่ยวข้อง ii. Compensation deal ผู้ขายได้รับค่าสินค้าบางส่วนเป็น เงิน ส่วนที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ iii. Buyback วิธีนี้ผู้ขาย ขายโรงงาน เครือ ่ งมือ หรือเทค โนโลยยีไปให้อีกประเทศหนึ่งและตกลงทีจ ่ ะรับค่าสินค้า บางส่วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลผลิตจากเครื่องจักรดัง กล่าว iv. Offset ผู้ขายได้รับค่าสินค้าเป็นเงินสดเต็มจำานวน แต่ ตกลงว่าจะจ่ายเงินจำานวนหนึ่งในประเทศนั้นในช่วง เวลาหนึ่ง



การให้ส่วนลดและเงินช่วยเหลือ(Price discounts and allowances) การให้ส่วนลดอาจทำาให้ความเข้มแข็งของความน่าเชื่อถือในยี่ห้อ(Bran

d equity)

ลดลงได้ ทำาให้การรับรู้ถึงคุณค่าของสินค้าตำ่ากว่าที่ควรจะ

เป็น • • •

• •

ส่วนลดเงินสด(Cash Discount) คือการลดราคาให้กับผู้ซื้อ สำาหรับการชำาระเงินโดยเร็ว ส่วนลดปริมาณ(Quantity Discount) คือการลดราคาสำาหรับการ ซื้อในปริมาณมาก ส่วนลดในการทำาหน้าที่บางอย่าง(Functional Discount) หรือ ส่วนลดการค้า(Trade Discount) เป็นส่วนลดที่ผู้ผลิตเสนอให้ผู้ ค้าในช่องทางการจำาหน่าย ทำางานบางอย่างได้ ส่วนลดตามฤดูกาล(Seasonal Discount) การให้ส่วนลดสำาหรับผู้ ที่ซื้อสินค้าหรือบริการนอกฤดูกาล ส่วนช่วยเหลือ(Allowance)เป็นค่าใช้จ่ายที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ ผู้ที่นำาไปขายต่อช่วยทำางานพิเศษบางอย่าง Trade in allowance คือการให้ส่วนยอมในการนำาสินค้าเก่ามาแลกซื้อ สินค้าใหม่ Promotional allowance คือการให้รางวัลกับ คนกลางสำาหรับการใช้จ่ายในการโฆษณา หรือโปรแกรมที่ช่วย การขายต่างๆ



การกำาหนดราคาเพือ ่ ส่งเสริมการขาย(Promotional pricing) เพือ ่ ให้ มีการซื้อเร็วขึ้น • Loss – leader pricing การกำาหนดราคาโดยยอมขาดทุนสินค้า บางตัวเพื่อนำาคนมาซื้อ • Special-event pricing การกำาหนดราคาสำาหรับเทศกาลพิเศษ เช่น การลดราคาในช่วงเปิดเทอม • Cash rebates การคืนเงินสด เช่น เสนอการคืนเงินสดเพือ ่ กระตุ้นยอดขายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เป็นการช่วยลด จำานวนสินค้าคงคลังโดยไม่ทำาให้เสียราคา • Low-interest financing การคิดดอกเบี้ยตำ่าในการขอสินเชื่อ แทนที่จะตัดราคา เสนอดอกเบี้ยตำ่าให้กับลูกค้าที่ขอสินเชื่อ • Longer payment terms การขยายระยะเวลาชำาระเงิน เช่น การ ขยายเวลาการชำาระเงิน • Warranties and service contracts การรับประกันและสัญญาให้ บริการ สามารถส่งเสริมการขายโดยเสนอการรับประกันหรือ บริการฟรีหรือราคาถูก • Psychological discounting อาจกำาหนดราคาขึ้นมาราคาหนึ่ง ก่อน แล้วเสนอราคาที่ช่วยให้ประหยัดลงไปมาก เช่น เดิมราคา 359 ลดเหลือ 299



การกำาหนดราคาแตกต่าง(Discriminatory pricing) • แบบที่ 1 ผู้ขายคิดราคาสำาหรับลูกค้าแต่ละรายแตกต่างกันขึ้นอยู่ กับอุปสงค์หรือความต้องการของลูกค้า • แบบที่ 2 ผู้ขายคิดราคาถูกสำาหรับผู้ซื้อที่ซอ ื้ ปริมาณมาก • แบบที่ 3 ผู้ขายตั้งราคาแตกต่างตามชั้นของผู้ซื้อ

i. ตามการแบ่งส่วนลูกค้า(Customer – segment pricing)

การกำาหนดราคาสินค้าและบริการที่เหมือนกัน ราคาต่าง กันสำาหรับลูกค้ากลุ่มต่างๆ ii. การกำาหนดราคาต่างกันสำาหรับสินค้าที่มีรูปแบบต่างกัน( Product – form pricing) สำาหรับสินค้ารูปแบบแตกต่างกัน iii. การกำาหนดราคาเพือ ่ ภาพลักษณ์(Image pricing) บาง บ. กำาหนดราคาสินค้าอย่างเดียวกัน 2 ราคาขึ้นอยู่กับภาพ ลักษณ์ที่แตกต่างกัน iv. กำาหนดตามช่องทางการจัดจำาหน่าย(Channel pricing) v. กำาหนดตามทำาเลที่ตั้ง(Location pricing) สินค้าชนิด เดียวกัน กำาหนดราคาต่างกันตามทำาเลทีต ่ ั้ง เช่น โรง หนัง vi. กำาหนดราคาตามเวลา(Timing pricing) ราคาแตกต่าง ตามฤดูกาล • การกำาหนดราคาแตกต่างจะได้ผลต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง คือ i. ตลาดต้องสามารถแบ่งส่วนได้และแต่ละส่วนต้องมีความ เข้มข้นของอุปสงค์ต่างกัน ii. ผู้ซื้อสินค้าในราคาตำ่าต้องไม่นำามาขายต่อให้กับลูกค้าที่ อยู่ในกลุ่มราคาสูง iii. คู่แข่งต้องไม่ขายราคาตำ่ากว่าในส่วนที่เป็นกลุม ่ ราคาสูง iv. ต้นทุนในการแบ่งส่วนตลาดแล้วขายราคาต่างกันต้องไม่ เกินรายรับที่ได้เพิ่มจากการขายราคาต่างกัน v. ต้องไม่ทำาให้ลูกค้าขุ่นเคืองใจหรือเสียความตั้งใจ vi. ไม่ผิดกฏหมาย •

การกำาหนดราคาส่วนประสมผลิตภัณฑ์(Product – mix pricing) สามารถแบ่งสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำาหนดราคาส่วนประสม ผลิตภัณฑ์เป็นดังนี้ • การกำาหนดราคาสายผลิตภัณฑ์(Product-line pricing) บ. ส่วน ใหญ่มักเสนอสินค้าหลายตัวในสายผลิตภัณฑ์และกำาหนดราคา เป็นขั้นๆ • การกำาหนดราคาแบบมีคุณลักษณะให้เลือก(Optional-Feature pricing) บ. เสนอทางเลือกให้ลูกค้าว่าจะเลือกผลิตภัณฑ์ คุณลักษณะหรือบริการอื่นเพิ่มเติมจากสินค้าหลักหรือไม่ • การกำาหนดราคาเพือ ่ จับลูกค้า(Captive-product pricing) เช่น ที่ โกนหนวดมักกำาหนดราคาถูกแต่กำาหนดราคาใบมีดแพง อันตราย คือ ถ้าราคาสินค้าที่ใช้ภายหลังสูงเกินไปจะจูงใจให้มี คนปลอมแปลงสินค้าเข้ามาในตลาดได้ • การกำาหนดราคาสองส่วน(Two-part pricing) ประกอบด้วยค่า บริการที่มร ี าคาคงที่จำานวนหนึ่งและมีค่าบริการใช้ที่ผันแปรอีก จำานวนหนึ่ง มีปัญหาคือ ไม่ทราบว่าควรกำาหนดราคาพื้นฐาน เท่าใด



การกำาหนดราคาสินค้าที่เป็นผลพลอยได้(By-product pricing) ถ้าผลพลอยได้มีค่าควรจะกำาหนดราคาตามมูลค่า รายได้จาก สินค้าพวกนี้จะทำาให้ บ. กำาหนดราคาสินค้าหลักตำ่าลง • การกำาหนดราคาสินค้าที่นำามาขายเป็นชุด(Product-bundling pricing) ผู้ขายผูกรวมผลิตภัณฑ์กับข้อเสนอต่างๆ i. Pure bundling(การผูกรวมแบบบริสุทธิ)์ เสนอสินค้าเป็น ชุด ลักษณะนี้เรียกว่า การขายแบบผูกพัน Tied – in sales ii. Mix bundling(การผูกรวมแบบผสม) เสนอสินค้าทั้งแบบ ขายเดี่ยวๆ และแบบขายเป็นชุดด้วย โดยราคาขายเป็นชุด ถูกกว่าซื้อเดี่ยวทีละชิ้นแยกจากกัน การริเริ่มเปลี่ยนแปลงราคาและการตอบโต้ตอ ่ การเปลี่ยนแปลงราคา •

การริเริ่มตัดราคา(Initiating price cuts) สถานการณ์ที่ตอ ้ งตัดราคา • การที่มีกำาลังการผลิตส่วนเกิน เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มยอด ขายจากวิธีอื่น • การลดลงของส่วนแบ่งตลาด เช่น เมื่อมีคู่แข่งเข้ามาในตลาด • การตัดราคาเพื่อที่ครอบงำาตลาดจากการทีม ่ ีต้นทุนตำ่ากว่า และมักจะเกิดกับดัก ดังต่อไปนี้ i. กับดักที่ทำาให้ดูเหมือนคุณภาพตำ่า ii. กับดักที่ได้ส่วนแบ่งตลาดเปราะบาง คือ ไม่ได้ลูกค้าที่ซึ่ อสัตย์ หรือลูกค้าเดิมเปลี่ยนไปซื้อจากเจ้าที่ถูกกว่า iii. กับดักจากสายป่าน คู่แข่งมีราคาสูงกว่า อาจตัดราคาและ มีอำานาจอยูใ่ นตลาดนานกว่าเพราะมีเงินสดสำารอง มากกว่า



การริเริ่มขึ้นราคา(Initiating price increase) เป็นการเพิม ่ กำาไรให้ บริษัทได้ สภาพที่ส่งผลให้ต้องขึ้นราคา คือ • ภาวะต้นทุนเฟ้อ(Cost inflation) ต้นทุนที่สูงขึ้นและไม่ สอดคล้องกับกำาลังการผลิตทีไ่ ด้ทำาให้กำาไรลดลงและอาจ ทำาให้ บ. ต้องขึ้นราคา • การที่มีความต้องการสูงเกิน(Overdemand) เมื่อ บ. ไม่ สามารถจัดหาสินค้าให้ลูกค้าได้ทุกคน แนวทางการขึ้นราคา โดยแต่ละแบบมีผลต่อผู้ซื้อต่างกัน • การเสนอราคาล่าช้าลง: ไม่กำาหนดราคาสุดท้ายจนกว่าจะ ผลิตและจัดส่ง มักใช้กับอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเป็นเวลา นาน เช่น ก่อสร้าง เครื่องจักรกล • มาตรการขึ้นราคาตามเงินเฟ้อ: พบในโครงการอุตสาหกรรม หลัก เช่นการสร้างเครือ ่ งบินและสะพาน • คิดราคาเป็นส่วนๆ: รักษาราคาเดิมไว้แต่แยกแยะบางส่วน หรือยกเลิกไป เช่น ติดตั้งและจัดส่งให้ฟรี • ลดการให้ส่วนลด

ต้องตัดสินใจว่าจะขึ้นราคาสูงในครั้งเดียวหรือค่อยๆ ขึ้นทีละน้อยแต่ ขึ้นบ่อยๆ ปกติลูกค้าชอบให้ขึ้นราคาน้อยๆ มากกว่า ขึ้นราคาสูงใน ทันที มีทางเลือกหลายทางที่จะขึ้นราคารวมถึงการลดขนาด ผลิตภัณฑ์ แทนการขึ้นราคา การใช้วัตถุดิบที่ถูกแทนหรือการลด คุณลักษณะบางอย่างหรือตัดออกไป • ปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงราคา(Reaction to price changes) • ปฏิกิริยาจากลูกค้า(Customer reaction) มักมีขอ ้ สงสัยเกี่ยว กับการเปลี่ยนแปลงราคา • ปฏิกิริยาจากคู่แข่ง(Competitor reaction) มักมีปฏิกิริยาต่อ การเปลี่ยนแปลงของราคาโดยเฉพาะเมื่อมีคู่แข่งน้อยราย ผลิตภัณฑ์เหมือนกันและผู้ซื้อได้ข้อมูลอย่างดี • การตอบโต้ต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่ง(Responding to competitors’ price changes) • คู่แข่งตัดราคา ในตลาดที่มีผลิตภัณฑ์เหมือนกัน

ควรหาทาง เพิ่มผลประโยชน์เสริมให้กับผลิตภัณฑ์ หรืออาจจะต้องลด ราคาตาม • คู่แข่งขึ้นราคาสำาหรับสินค้าเหมือนกัน อาจจะไม่ขึ้นตาม • ในตลาดที่สินค้าไม่เหมือนกัน ต้องพิจารณาว่า 1)ทำาไมถึงขึ้น ราคา 2) เปลี่ยนแปลงชั่วคราวหรือถาวร 3)จะเกิดอะไรขึ้นถ้า ไม่ตอบโต้ 4)บริษัทอื่นตอบโต้อย่างไร มักพบการโจมตีของคู่แข่งรายเล็กที่ตัดราคาสามารถเลือกที่จะ รักษาราคาเดิมไว้ ขึ้นราคาและเพิ่มคุณภาพที่รับรู้ ลดราคา ขึ้น ราคและปรับปรุงคุณภาพ หรือออกสินค้าราคาตำ่ามาต่อสู้

Related Documents

Mkt Chapter16
November 2019 21
Chapter16 Networks
November 2019 21
Mkt
June 2020 26
Mkt
May 2020 38
Mkt
November 2019 51
Bandwidth Chapter16
June 2020 12