Emo

  • Uploaded by: Saranpong Sookpanon
  • 0
  • 0
  • November 2019
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View Emo as PDF for free.

More details

  • Words: 2,037
  • Pages: 14
E = MO2 มารู้จักอะไรที่เรียกว่า ‘อีโม’ กันเถอะ อีโมคืออะไร คำาถามนี้กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาตัง้ แต่เมื่อสักสี่ห้าปีที่แล้วในบ้านเรา บ้างว่าอีโมคือวงนั้น คือวงนี้ บ้างว่าอีโมเป็นแฟชั่นแบบใหม่ที่กำาลังได้รับความนิยมในอเมริกาในขณะนั้น บ้างว่าอีโมคือดนตรีหนักแน่นชนิดใหม่ที่เข้ามารับ กระแสต่อจากการล่มสลายของนู เมทัล ครับ...ด้วยโอกาสที่ทางกองบรรณาธิการ Guitar Mag มอบหมายให้ผมทำาหน้าที่สังคายนาเรื่องราวของดนตรีร็อคใน กระแส (ที่หลายคนอาจจะมองว่านอกกระแสไปแล้ว) ตามข้อมูลและอ้างอิงต่างๆที่มีอยู่ในหัวและในมือ ฉะนั้นต้องขออภัยท่านผู้ อ่านบางท่านที่บทความชิ้นนี้อาจจะไม่ครบเครื่องเท่ากับองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ท่านมี ซึง่ จะเป็นการให้ทานอันมีประโยชน์ มากหากท่านมีข้อมูลหรือข่าวสารใดๆและประสงค์จะเพิ่มเติมเข้ามา ผมก็น้อมรับความกรุณามา ณ โอกาสนี้เช่นกัน อีโมคืออะไร จากสิ่งพิมพ์และข้อมูลที่ผมมีอยู่ในมืออีกทั้งความจำาในสมอง อีโม คือ ดนตรีร็อคประเภทหนึ่งซึ่งกลายเป็นรูปแบบของ การใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย พฤติกรรม การเข้าสังคมหรือแม้แต่การสันทนาการต่างๆ Everybody Hurts : An Essential Guide To Emo Culture คัมภีร์อีโมที่เขียนโดย Leslie Simon และ Trevor Kelly สองนักข่าวหนุ่มสาวแห่ง Alternative Press Magazine ผู้คลุกลีกับวงการเพลงในสหรัฐอเมริกามากว่าทศวรรษ กล่าวว่า “อีโม คือ ดนตรีร็อคลูกผสมชนิดใหม่ที่เป็นตัวกำาหนด และเบ้าหลอมวัฒนธรรมย่อยของวัยรุ่นอเมริกันและจะมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นในทศวรรษต่อไป ไม่แพ้วันฒนธรรมพั้งค์จากอังกฤษของ Sex Pistols และแฟชั่นของ Vivian Westwood ที่ฝากไว้ให้กับพวกเรา” จากสภาพการณ์ปัจจุบัน ท่านผู้อ่านคงได้เห็นแล้วว่าอีโมทั้งในบริบทของภาพลักษณ์และดนตรีที่เคยมีให้เห็นในเคเบิ้ลทีวี หรือออนไลน์ทีวีทั้งหลายมาถึงประเทศไทยได้พักใหญ่แล้ว แต่หลักใหญ่ใจความของอีโมแบบที่เกิดขึ้นในประเทศต้นกำาเนิดอย่าง อเมริกานั้นช่างต่างจากบ้านเรานัก เพราะอีโมในยุคนั้นแบกความหวังของคนกลุ่มเล็กที่เติบโตมากับดนตรีพั้งค์ร็อคและฮาร์ดคอร์ในช่วงกลางทศวรรษที่แปด สิบ และอีโมยังไม่ใช่ดนตรีที่พร้อมสำาหรับการถูกขนานนามว่าดนตรีทางเลือกอย่างที่เรารับทราบอยู่ในปัจจุบัน สาเหตุหนึ่งมาจาก ความยังไม่ชัดเจนนักในความเป็นอีโม หรือที่นักวิจารณ์ยุคนั้นจำากัดความผลงานบางชุดอย่าง Embrace และ Rites Of Spring กับ งานที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงทั้งสองชุดว่าเป็น ‘Emotional Hardcore’ หรือฮาร์ดคอร์ที่สื่อสารด้วยอารมณ์อันมีความโฉ่งฉ่างและกราด เกรี้ยวของภาคดนตรีและนำ้าเสียงที่ติดอารมณ์เศร้าหมอง หดหู่และออกไปทางเจ้าอารมณ์ในภาคการร้อง ทั้งยังมีเนื้อหาที่มองโลก แคบ เก็บตัว โดดเดี่ยวและเป็นไปในทางติดลบ อีโมเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งการถือกำาเนิดขึ้นของกรั๊นช์และดนตรีร็อคสำาเนียง Seattle โดยการนำาของ Nirvana จริงอยู่ที่ Kurt Cobain คืออรหันต์กรั๊นช์ผู้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับดนตรีร็อคและไม่ค่อยใส่ใจกับภาพลักษณ์และการแต่งกายเท่าใดนัก ( แม้ว่าวัยรุ่นยุคนั้นจะนิยมสวมใส่กางเกงยีนส์ขากระบอกเล็ก เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งพับแขนและรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อตามอย่าง Kurt Cobain) แต่ความอลหม่านและพลุ่งพล่านทะลักจุดแตกของ Kurt บนเวทีนั้นสร้างแรงบันดาลใจให้กับวงร็อคและวงอีโมจำานวนมาก ในยุคนี้อย่างเห็นได้ถนัดตา และการเกิดขึ้นมาของกรั๊นช์นี่เองที่ทำาให้ฮาร์ดคอร์แบบยุคแปดศูนย์และฮาร์ดคอร์พั้งค์เริ่มหาหลักใหม่ของตัวเอง ฮาร์ด คอร์แบบยุคแปดศูนย์อย่าง Black Flag และ Bad Brains เดินเข้าสู่ทางตันจนทำาให้วงที่มีชื่อเสียงน้อยกว่าหลายวงเข้าสู่ระบบ DIY อีกครั้ง ขณะเดียวกันวงชื่อดังหลายๆวงต้องจบการเดินทางไว้แต่เพียงเท่านั้น ส่วนฮาร์ดคอร์พงั้ ค์ก็แบ่งแยกออกเป็นสองสาย สาย แรกเข้าหาดนตรีเมทัลตัง้ แต่สำาเนียงสปีดเมทัลแบบ Cro-Mags หรือจะเป็นแทรชเมทัลอย่าง Earth Crisis และ Strife ส่วนอีกสายก็ เลือกที่จะสร้างบารมีด้วยฐานสนับสนุนแบบเดิมๆที่แข็งแกร่งและยังยืนยงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้อย่าง Bold หรือ Judge ครับ...จะเห็นว่าเพราะการล่มสลายของฮาร์ดคอร์ยุคแปดศูนย์นี่เองที่ทำาให้อโี มหายไปจากหลักไมล์ของดนตรีร็อคอีกครั้ง ราวปี 1989-1993 แต่ไม่นานนักมันก็กลับมา และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่กว่ายุคแรกด้วยซำ้า และไอ้ความนิยมแบบไฟลามทุ่งที่ยิ่งโหม ยิ่งแรงและไม่มีทีท่าที่จะหยุดของอีโมในยุคต่อมานี่เองที่ทำาให้เราต้องกลับมาตามหารอยทางดั้งเดิมของอีโมกันอีกครั้ง

กำาเนิดอีโม เพื่อให้งา่ ยแก่การทำาความเข้าใจ ผมขอแบ่งยุคสัมยของอีโมออกเป็นห้ายุคดังนี้ ยุคที่หนึ่ง : ปฐมยุค (1984-1989) ว่ากันว่า Washington DC คือสถานอนุบาลแห่งแรกของอีโม ภายใต้การชักธงรบของมหาบุรุษเสตร็ทเอจด์นาม Ian MacKaye และเกลอนาม Guy Picciotto สำาหรับท่านที่ไม่ทราบว่า Ian MacKaye คือใคร เขาผู้นี้คือผู้ให้กำาเนิดวงอย่าง Minor Threat ขึ้นมาในต้นทศวรรษที่แปดสิบ ซึ่งแม้ Minor Threat จะมีอายุสั้นมาก (เมื่อเทียบกับวงบิ้กโฟร์ร่วมรุ่นอย่าง Black Flag, Bad Brains และ Bad Religion) แต่นับเป็นข้อดีสำาหรับวงการอีโม เพราะถ้า Minor Threat มีอายุยืนยาวกว่านั้น วงดนตรีหลังจากที่ MacKaye ชื่อ Embrace คงเกิดขึ้นช้ากว่านี้หรืออาจไม่มีก้อเป็นได้ และถ้าไม่มีการทดลองในนาม Embrace (1986/คนละวงกับวง อังกฤษที่มีเพลงติดหูทะลุชาร์ตอย่าง Top Of The World) แล้ว คงยากจะคิดเหมือนกันว่าฮาร์ดคอร์สำาเนียงหม่นเศร้าและพูดคนละ เรื่องกับ Minor Threat จะเกิดขึ้นมาตอนไหน Guy Picciotto แกนหลักของ Rites Of Spring (1986) เคยหล่นคำาสัมภาษณ์ว่า กลาง ปี 1985 คือช่วงที่อีโมถือกำาเนิดขึ้นอย่างจริงจัง ภายใต้การออกทัวร์ร่วมกันของ Rites Of Spring และ Husker Du (ที่อัลบั้มทีเด็ด อย่าง Zen Arcade ได้รับการขนานนามว่าเป็นฮาร์ดคอร์ติสต์แดกชุดแรกของโลก) ก่อนที่หนึ่งปีหลังจากนั้น Ian MacKaye และ Guy Picciotto จะมาร่วมงานกันในนาม Fugazi (1987) ซึ่งแน่นอนว่า Fugazi คือผลลัพธ์ของการจากไปของวงอีโมรุ่นแรกอย่าง Rites Of Spring และ Embrace ปี 1986 หลังจากที่ซีนใน Washington DC ทำาให้เห็นว่าอีโมที่เกิดมาจากฮาร์ดคอร์ยุคแปดศูนย์หน้าตาเป็นอย่างไร ซีน ใน New York และเมืองที่มีอาณาเขตติดกันอย่าง New Jersey ก็ขานรับการเกิดขึ้นของปฐมยุคแห่งอีโมด้วยการพัฒนาฮาร์ด คอร์พั้งค์เข้ากับร็อคสำาเนียงอังกฤษแบบ The Cure, Joy Division และ The Smiths วงดนตรีที่ได้ขึ้นมาแถวหน้าของอีโมยุคนั้น ได้แก่ Ignition (1987), Grey Matter (1987) และ Quiksand (1989/อันมีแกนหลักเป็น Walter Scerifels มือกีตาร์ของโคตรวง นิวยอร์ค สเตร็ทเอจด์ฮาร์ดคอร์อย่าง Gorilla Biscuits) ในทัศนะของผมซีนใน New Jersey มีบทบาทอย่างมากต่อการขึ้นมาสู่เมน สตรีมในอีกสิบห้าปีต่อมาของวงอย่าง Thursday, My Chemical Romance และ Sense Fails อีกซีนหนึ่งที่ให้กำาเนิดอีโมขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันคือ ซีนของ California ทั้งใน San Diego และ Bay Area แม้ในช่วงปฐม ยุคนี้ซาวด์ของวงในซีน California จะยังไม่ได้รับการยอมรับว่ามีเชื้ออีโมข้นเท่าวงจากชายฝั่งตะวันออก ซำ้าจะออกไปทางพั้งค์เมทัล เสียด้วย เพราะในห้วงเวลานั้นแอลเอเมทัลคือสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของตลาดเพลงอเมริกันชนิดที่มีฐานแฟนเพลงจำานวน มากกว่าเด็กฮาร์ดคอร์ในยุคแปดศูนย์เสียด้วยซำ้า (ซึ่งผมพยายามหาข้อมูลดูแล้วว่าวงไหนบ้างที่เป็นวงอีโมที่โตในแถบชายฝั่งตะวัน ตกในยุคแรกที่เด่นเด้งขึ้นมาปรากฏว่าไม่มีสักวงที่ทำาอัลบั้มต่อเนื่องกันออกมา) แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้นพัฒนาการของวงต่างๆจาก California กลายเป็นการก้าวกระโดด และดนตรีสายพันธุ์ผสมลูกพี่ลูกน้องกับอีโมอย่าง สครีโม (Screamo) ก็ถือกำาเนิดขึ้นจากซีน แห่งนี้นี่เอง ซึ่งก้อพอจะอนุมานได้ว่าซีนที่นี่เน้นการบริโภคอะไรที่หนักหน่วงอย่างเมทัลเป็นอุปสงค์หลักนั่นเอง ยุคที่สอง : ยุคก่อร่างสร้างซีน (1990-1994) จะเพราะความเล็กของซีนใน Washington DC หรือความนิยมที่เริ่มถดถอยลงของ Dischord Records ค่ายของ Ian MacKaye ก้อแล้วแต่ ว่ากันว่าอีโมในซีนแห่งนี้หยุดการเจริญเติบโตในช่วงที่กรั๊นช์เข้ามาเทคโอเวอร์เมนสตรีมร็อค แต่กระนั้นเอง มรดกที่วงอย่าง Fugazi และ Embrace ทิ้งไว้กลับไปออกดอกออกผลเป็นกอบเป็นกำาในซีน New York และ New Jersey อย่าง จริงจัง Jawbreaker (1989) แห่ง New York และ Lifetime (1990) แห่ง New Jersey คือสองวงเด่นที่สร้างซีนอีโมในฝัง่ ตะวัน ออกให้เป็นปึกแผ่น หลายคนมองว่าพวกเขาเป็นวงเมโลดิค ฮาร์ดคอร์แต่การผสมผสานความก้าวร้าวในไลน์ร้องและเมโลดี้ที่ พิถพี ิถันกว่าวงเมโลดิคฮาร์ดคอร์วงอื่นๆในยุคนั้น ผสมกับเนื้อหาที่เป็นเรื่องของความโดดเดี่ยว ความเหงา ความรักที่ล้มเหลว (ยำ้า ว่าความรักนะครับ) อย่างเช่น ถ้าเนื้อเพลงพูดถึงความเหงา อารมณ์ต่างๆที่แสดงออกในเพลงก้อจะเป็นอารมณ์เศร้าผสานเสียงแหบ ตะเบ็งตั้งแต่ระดับฉุนเฉียวไปจนถึงต่อมนำ้าตาแตก และจากความสำาเร็จอย่างยิ่งยวดของสองวงนี้นี่เองที่ทำาให้ Saves The Day (1994) และ Texas Is The Reason (1994) ดันสูงขึ้นมาร่วมสร้างซีนให้เป็นปึกแผ่นขึ้น โดยมีวงจาก Wisconsin นาม The Promise Ring (1994) วงจาก Arizona นาม Jimmy Eat World (1993) วงจาก Texas นาม Mineral (1994) วงจาก Montreal

นาม The Get Up Kids (1994) และวงจาก Illinois อย่าง Braid (1993) เข้ามาสร้างคอนเนคชั่นและขยายให้ซีนฝั่งตะวันออกมี อาณานิคมที่กว้างออกไป และในยุคนี้นี่เองที่ทำาให้เราได้รู้ว่าเอกลักษณ์ของอีโมเป็นยังไง ยุคที่สาม : ยุคทองของอีโม (1995-2000) ผลพวงของความนิยมในอีโมสายหลักที่เติบโตมาจากส่วนผสมต่างๆกับฮาร์ดคอร์หรือพัง้ ค์ ที่ผมขยายความว่าฮาร์ดคอร์ หรือพัง้ ค์นั้น เพราะอีโมที่ได้รับความนิยมในยุคนี้ไม่ใช่อีโมที่มีรากเหง้ามาจาก Fugazi หรือ Embrace เท่านั้น การผสมผสานอีโม เข้ากับดนตรีพั้งค์กลับได้รบั ความนิยมมากกว่าอีโมสายผสมฮาร์ดคอร์ อาจเพราะความติดหูของป็อปพั้งค์เมื่อมาผสมกับความ เกรี้ยวกราดแบบอีโมมีผลลัพธ์ที่กลมกลืนและเสริมส่งกันมากกว่าก็มีส่วน แต่ถา้ มองลงไปในมุมของความสำาเร็จของซีนในรัฐต่างๆ ผมมองว่าสาเหตุที่อีโมมีบทบาทขึ้นมาในยุคนี้เพราะการแสดงสดที่แรงและอลหม่านแบบได้ใจคนดูมากกว่าอีโมผสมฮาร์ดคอร์ พัง้ ค์สายผสมอีโมอย่าง Jimmy Eat World, The Promise Ring และ The Get Up Kids และผลงานของวงต่างๆเกือบ ครึ่งจากค่าย Jade Tree Records สามารถจำากัดความหมายของอีโม พั้งค์ได้อย่างดี ทั้งนี้ใช่ว่าทั้งหมดทั้งปวงของอีโมพั้งค์จะเป็น พวกสามนาทีสี่คอร์ดแบบป็อปพั้งค์เพียงอย่างเดียว บางวงก้อผันตัวเองไปเล่นร็อคสำาเนียงอีโมมากกว่าจะหยุดแค่การตีคอร์ดเพียง อย่างเดียว สำาเนียงร็อคที่พัฒนาไปจนลงตัวกับอีโมนั้นกลายเป็นอีโมอีกสายอย่าง อินดี้อีโม ส่วนอีโมผสมฮาร์ดคอร์ หรือ อีโมชั่นนอล ฮาร์ดคอร์ หรือ อีโม-คอร์ (อันนี้เป็นศัพท์ในยุคหลังครับ จริงๆแล้วผมไม่สนุบ สนุนให้ใช้คำานี้เท่าใดนัก เพราะจะกลายเป็นว่าเมื่อไหร่ที่มีดนตรีลูกผสมใหม่ๆออกมาก้อต้องนำาคำาว่า –คอร์ มาพ่วงท้ายไปเสียหมด สุดท้ายมันก้อจะกลายเป็นแค่เครื่องหมายการค้าหรือศัพท์ทางการตลาดไป) ในยุคนี้ที่มีบทบาทควรค่าแก่การกล่าวถึงได้แก่ Snapcase (1991) และ Boy Sets Fire (1995) สองวงรำ่ารวยชื่อเสียงจากค่ายตราหมา Victory Records (แถมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย สักนิดสำาหรับคนที่เคยสงสัยว่าหมาบูลด็อกบนตราค่ายมาจากที่ใด คำาตอบก็คือรูปหมาหน้าย่นที่ใช้ในตราค่ายนั้นเป็นสัญลักษณ์ ประจำาตัวของ James Braddock สุดยอดนักชกชาว New Jersey ผูม้ ีฉายาว่านางซิลแห่งวงการมวย ดังที่มีการนำาเอาอัตชีวประวัติ ของเขามาสร้างเป็นภาพยนตร์และเข้าชิงออสการ์มาแล้ว) ซึง่ พอเข้าสู่ยุคที่สามนี้ หากเอ่ยถึงอีโมที่เป็นฮาร์ดคอร์ก็ต้องนึกถึงสองวงนี้ มาในอันดับต้นๆ นอกจากนี้ผลงานของค่าย Deep Elm Records ซึง่ ร้อยละแปดสิบของวงในค่ายนี้ (ที่ออกอัลบั้มในยุคนั้น) จะมี เอกลักษณ์เหมือนกันคือการแว้ด แผดเสียงใส่อารมณ์และจริงจังมากบนเวที นิตยสาร Rolling Stones ถึงกับเคยให้ฉายาวงอย่าง Texas Is A Reason ว่าเป็นฮาร์ดคอร์ของนักแสดงละคอนวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ คือการแสดงบนเวทีของพวกเขามันอุดมไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่นพล่านและการเข้าถึงอารมณ์ของเพลงในแต่ละเพลงที่ถึง และสดมาก การขยายตัวและแตกสายพันธุ์ของอีโมในช่วงสุดท้ายของศตวรรษที่ยี่สบิ นี่เองที่ทำาให้อีโมขึ้นไปอยู่บนกระแสเมนสตรี มร็อค ชนิดมาเงียบๆอยู่หลัวแนวเส้นของวงนู เมทัลจำานวนมาก อัลบั้มอย่าง Pinkerton โดย Weezer และ Static Prevails โดย Jimmy Eat World ในปี 1996 และ Around The Fur โดย Deftones และ Relationship Of Command โดย At The Drive-In ในปี 1998 แสดงให้เห็นว่าเมนสตรีมค้นพบดนตรีลูกผสม สายพันธุ์ใหม่ที่สามารถเข้าถึงวัยรุ่นในยุคมิลเลนเนียมแล้ว อ้อ...และในช่วงนี้เองที่การทดลองผสมผสานซาวด์แบบต่างๆในอีโมแต่ละประเภทมาถึงขีดสุด วงฮาร์ดคอร์ที่ผสมผสาน เอาอีโมเข้าไปในบทเพลงบางส่วนเริ่มสนุกกับการทดลองเสียงหอนๆของกีตาร์และการกระหนำ่าสลับสับเปลี่ยนเอฟเฟกต์ไปมาอย่าง มันส์เมาแบบดนตรีชูส์เกสเซอร์ (Shoe Gazer) ของอังกฤษ บางวงก้อเริ่มเข้าสู่สายเมทัลพยายามนำาเอาริฟต์ดิบๆและไลน์กลอง หนักๆเข้ามาผสมเรียกว่าหนักไว้ก่อน บางส่วนก้อไปเน้นเทคนิคการบันทึกเสียงผสมผสานไปกับความหนัก ในขณะที่เสียงร้องก็ ตะเบ็งกันเส้นคอโป่งและหน้าแดง ครับ...สครีโมเกิดขึ้นอย่างเป็นตัวเป็นต้นก็ยุคที่สามของอีโมนี่เอง ยุคที่สี่ : ยุคสะดวกซื้อ (2001-2006) หลังจากเริ่มนับสหัสวรรษใหม่ อีโมก้อเข้ามายืนแทยที่ในตำาแหน่งเดิมของนู เมทัล (แม้ว่าวงที่เหลือรอดมาอย่าง Linkin Park จะยังเชื่อว่าพวกเขามีที่ยืนในตำาแหน่งไม่ไกลจากเดิมนักเพราะฐานแฟนเพลงของพวกเขามันเข้าหลักสิบล้านไปแล้ว) จะมอง

ว่าดีก็ได้ครับ เพราะอีโมเดินทางมาถึงเมืองไทยก้อในช่วงนี้ แต่ในสหรัฐอเมริกาซีนอีโมของแท้ดั้งเดิมจากยุคก่อร่างสร้างซีนแทบจะ สูญพันธุ์ แฟนเพลงอีโมที่เคยแต่แต่งตัวยังไงก้อได้ขอแค่ไปสัมผัสบรรยากศของวงโปรดในคลับกลายเป็นวัยรุ่นแต่งตัวจัดขึ้นมาใน บัดดล ร้านขายสินค้าเกี่ยวกับดนตรีอย่าง Hot Topic สามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ในเวลาแค่ 2 ปีและขยายสาขาได้ร่วมร้อยทั่ว สหรัฐอเมริกา เรียกว่าอีโมกลายเป็นอุปสงค์ของเมนสตรีมร็อคไปเสียแล้ว อีโมจึงถูกนิยามใหม่ในช่วงนี้เอง อีโมกลายเป็นแฟชั่นแขนงหนึ่ง อีโมกลายเป็นความเชื่อแบบหนึ่ง อีโมกลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่ขายได้ (และขายดีเสียด้วย) อีโมกลายเป็นอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยในอินเตอร์เน็ต จนยากที่จะเชื่อว่ามันเกิดจากชายคนเดียวกับที่ให้กำาเนิดฮาร์ดคอร์ส ายเคร่งอย่างเสตร็ทเอจด์ ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ ขนาดค่ายตัวอีอย่าง Epitaph ของ Brett Gurewitz ที่มีอัลบั้มพั้งค์และฮารืดคอร์ขึ้นหิ้งเกือบ ห้าสิบชุดยังต้องเนสัญญากับวงอย่าง Matchbook Romance, From First To Last, Vanna หรือ Escape The Fate เลย ผมไม่ขอฟันธงว่าอีโมแบบในยุคสะดวกซื้อคืออีโมที่พัฒนามาจากของเดิมหรือเปล่า แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าไม่ช้าก็เร็วอีโมที่ กลายเป็นกระแสเชี่ยวกรากอันนี้คงจะผ่อนแรงลงไปพร้อมๆกับวงดนตรีที่ขอแค่ใส่อะไรให้พอจะดึงแฟนเพลงที่เป็นเด็กอีโมมาได้บ้าง ในไม่ช้าไม่นานนัก สื่อบางเล่มในแวดวงดนตรีอเมริกาอย่าง Revolver Magazine กล่าวว่าอีโมกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว ยุคที่ห้า : ยุคอีโมกลายพันธุ์ (2007-ปัจจุบันและน่าจะต่อไปอีก 2 ปีเป็นอย่างน้อย) จากยุคทองและยุคสะดวกซื้อนี่เองที่ทำาให้อัลบั้มดีๆจำานวนมากออกสูส่ าธารณะ ผมมองว่าการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมอีโม มีข้อเสียเยอะกว่าข้อดีนิดหนึ่งตรงที่ แฟนเพลงบางส่วนให้ความสำาคัญกับการสวมใส่อะไรมากกว่ากำาลังฟังอะไรและสนับสนุนวง ไหนอยู่ ผมเชื่อว่าร้อยละเจ็ดสิบของแฟนอีโมในปัจจุบันไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยให้ความสำาคัญกับการสนับสนุนวงดนตรีด้วย การซื้อซีดีและน้อยลง ในส่วนของดนตรี อีโมแบบเดิมๆกลายร่างเป็นสครีโมไปเกือบหมดแล้ว ติดว่าจะเป็นสครีโมที่ร้องแบบบรูทัล(ร้องเสียงกด ตำ่า สำารากเป็นเสียงสุกร)หรือสครีโมที่ยังแหกปากและแว้ดว้ากเหมือนเดิม หลายท่านอาจเคยได้ยิน เดธคอร์ หรือ บรูทัลคอร์ หรืออะไรก้อแล้วแต่ ในทัศนะของผมมันก้อคืออีโมที่เข้าหาเมทัลในระ ดับข้นขลั่กแต่ยังมีท่อนที่ร้องเสียงปกติไว้ จะด้วยเพื่อลดดีกรีความหนักหรือสร้างความติดหูให้กับบทเพลงก็ตาม ผมว่าดนตรีเหล่า นั้นก็คืออีโมแขนงหนึ่งนั่นเอง (แม้วา่ ท่านอาจจะพึงใจกับคำาว่าเดธคอร์มากกว่า) ต้องมาติดตามกันว่าวัฒนธรรมอีโมจะไปหยุดที่ตรงไหนและซาวด์แบบอีโมต้นตำารับที่รังสรรค์ขึ้นมาในยุคแรกจะกลับมา เมื่อไหร่ ต้องติดตามกันครับ ประเภทของอีโม อย่างที่บอกไปครับว่า จากจุดเริ่มต้นของอีโมจากกลางทศวรรษที่แปดสิบมาจนถึงปัจจุบัน อีโมในช่วงสิบปีแรกเป็นอีโมที่ มีชีวตอยู่แบบปัจเจกแบบแสวงหาออกจะไปในทางสู้ชีวิตด้วยซำ้าเพราะไม่ได้เข้ามาในกระแสหลักอย่างอีโมยุคสะดวกซื้อ และการ เข้ามาอยู่ในกระแสหลักของดนตรีเมนสตรีมร็อคในช่วงสี่-ห้าปีที่ผ่านมาทำาให้เกิดคำาถามตามมาต่างๆนานาว่า อันไหนใช่อีโมไม่ใช่อี โม แบบไหนคืออีโมของจริง จนถึงขั้นใครคืออีโม เท่าที่ข้อมูลมี อีโมแบ่งออกตามแนวทางของวงดนตรีหรือไสตล์ในแต่ละวงได้คร่าวๆดังนี้ครับ

Trustafarian Emo (ทรัสตาฟาเรียน อีโม) หรืออีโมสายทดลอง คำาว่าสายทดลองที่ผมจำากัดความหมายถึงการทดลองสร้างเอกลักษณ์ในบทเพลงของบรรดาวงร็อคหัวสร้างสรรค์ สร้างสรรค์ทั้งการเขียนเพลง การบันทึกและการแสดงสด แม้ว่าหลายวงจำาพวกนี้จะเป็นวงที่ดูเครียดๆเวลาอยู่บนเวทีเช่น Built To Spill หรือ Hot Rod Circuit ทั้งนี้หากท่านสนใจในอีโมสายไม่หนักมากออกไปทางทดลองละก้อ อีโมสายนี้น่าจะเหมาะกับความ สนใจของคุณ Indie Emo (อินดี้ อีโม) หรือ อีโมแบบเน้นความไพเราะ ครับ....ตามสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ความไพเราะเสนาะรูหูของบทเพลงหรือคีตกาลต่างๆเป็นความรู้สึกขั้นพื้นฐาน ในการรับรู้ทางโสตสัมผัส อีโมประเภทนี้ก้อเป็นพวกเน้นเพราะ คำาร้องดี เมโลดี้สวย วงอย่าง Dashboard Confessional หรือ Bright Eyes เป็นวงที่ได้ใจแฟนเพลงจากสำาเนียงอีโมในสายนี้ ซึง่ ในระยะหลังวงดนตรีจากเกาะอังกฤษหลายๆวงก็เข้ามาอยู๋ใน ความสนใจของแฟนอีโมสายนี้ในอเมริกา Christian Emo (คริสเตียน อีโม) หรือ อีโมของคริสศาสนิกชน ก่อนที่จะเขียนบทความถึงตรงนี้ผมหนักใจพอสมควรว่าควรจะเขียนถึงอีโมประเภทนี้ไหม เพราะอีโมสายนี้เค้าเล่าว่าเป็น อีโมที่เกิดมาเพื่อวัยรุ่นชาวคริสต์โดยเฉพาะ เพราะวงต่างๆจากค่าย Rise, Solid States หรือ Tooth And Nail ซึ่งไม่วา่ จะเล่นพั้งค์ อย่าง MxPx เล่นเมทัลอย่าง Underoath หรือ August Burns Red หรือหน้าใหม่อย่าง The Devil Wears Prada และ Catherine เหล่านี้ได้รับการแยกจำาพวกจากแนวทางดนตรีของตัวเองรวมอยู่ในหมวด อีโมชาวคริสต์ทั้งหมด Eighties Emo (เอ็ทตี้ อีโม) หรืออีโมฉบับนิวเวฟ สำาหรับผ่านผู้อ่านที่แก่พรรษาในการฟังเพลงหน่อยคงจะทราบว่าเอกลักษณ์ของเพลงอังกฤษอย่างหนึ่งคือความพิถีพิถัน ในการแต่งกายของนักดนตรีแบบมีสไตล์เฉพาะตัวมาทุกยุคสมัย และเนื่องมาจากวงอีโมหลายๆวงนำาเอาเอกลักษณ์ของวงในยุคนิว เวฟจากอังกฤษมาใช้กับเพลงตัวเอง ที่เห็นได้ชัดก็พวกอีโมที่มีจังหวะตื้ดๆชวนขยับอย่าง Panic ! At The Disco หรือ Head Automatica เรียกว่าภาพของอีโมแบบนิวเวฟนั้นชัดเจนมากว่ารับอิทธิพลมาจากเพลงยุคแปดศูนย์จากเกาะอังกฤษทั้งการแต่งกาย และการเขียนเพลง Frat Emo (แฟรท อีโม) หรือ อีโมโซตัส ความหมายตรงๆของอีโมพวกนี้คืออีโมที่วงนั้นมักเขียนเรื่องเกี่ยวกับเพื่อน เกี่ยวกับแก๊ง เกี่ยวกับชีวิตในรั้วมหาลัย ผมจึง อนุมานเอาเองว่าอีโมโซตัส จุดเด่นของอีโมพวกนี้คือความโปกฮาและคะนองตามประสาวัยรุ่นชายวัยคึกทั้งหลายจุดเด่นของอีโม พวกนี้คือชวนโดด ชวนมอชและที่สำาคัญมันต้องมีท่อนร้องติดหูที่สามารถแหกปากร่วมกันได้ วงที่อยู่ในจำาวพกนี้ก็ได้แก่ The Used,Taking Back Sunday หรือพัง้ ค์บวกไวโอลินอย่าง Yellowcard Goth Emo (ก็อธ อีโม) หรือ อีโมทรงดำา เป็นอีโมที่มีให้เห็นเกลื่อนกล่านมากที่สุดในบ้านเรา ประมาณว่าเสื้อดำา กางเกงขาลีบแบบโคตรจะสกินนี่ รองเท้าสเก็ต ผมปาดไปข้างนึง เจาะปากและระเบิดหูรูบึ้มๆ นี่แหละครับที่เรียกกันว่าอีโมทรงดำา ทั้งนี้อีโมแบบนี้ได้รับความนิยมระเบิดระเบ้อจาก ความดังของ My Chemical Romance และ Aiden ซึง่ จะว่าไปแล้ววงอย่าง Alkaline Trio และ AFI ก้อเริ่มกระแสตรงนี้มาก่อน ทั้งนี้ถ้าจะอัพให้ดูเท่ขึ้นมาอีกนิดอาจจะเปลี่ยนจากเสื้อยืดไปลองเสื้อเชิ้ตหรือใส่แจ็คเก็ตบ้างก็ได้ Machismo Emo (แมคคิสโม่ อีโม) หรืออีโมลูกผู้ชาย ว่ากันว่านี่คืออีโมที่แพร่หลายที่สุดในช่วงยุคทองและยุคสะดวกซื้อ เนื้อหาที่วงในสายอีโมลูกผู้ชายสื่อสารกับคนฟังจะ คล้ายๆกับ แฟรท อีโม แต่จะมีมุมมองแบบด้านลบเยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด แดกดันกว่า ดุดันกว่าและขี้ประชดกว่า การแต่งกาย ของอีโมแบบนี้จะเน้นที่ความทะมัดทะแมงและแต่งออกงานได้ไม่ขัดเขิน สาระอีกประการหนึ่งของวงอีโมพวกนี้คืออุปมาโวหารที่

บางครั้งลึกจนเกินกว่าจะทำาความเข้าใจว่ามันพูดอะไรของมัน ไม่เชื่อลองไปทบทวนเนื้อหาในบางบทเพลงของ Thursday, From Autumn To Ashes หรือ The Bled ดูสิครับ Prog Emo (พร็อก อีโม) หรือ อีโมสายวิวัฒน์ Prog กับ Progressive ก็คือคำาๆเดียวกันแหละครับ ถ้าแปลตรงๆตัวก้อคืออีโมจำาพวกฝักใฝ่ดนตรีโพรเกรสซีฟ (คุณสิเห ร่นักเขียนในสายดนตรีอาวุโสเคยจำากัดความดนตรีโพรเกรสซีฟว่าดนตรีวิวัฒน์ ผมจำาขอยืมคำานี้มาใช้ครับ) วงที่โดดเด้งมากๆที่ใคร ได้ยินก้อร้องอ๋อคือ Coheed And Cambria และ The Mars Volta และวงรุ่นเล็กที่ฝีมือเอาเรื่องคือ The Fall Of Troy เอ...ผมก็ไม่ ทราบเหมือนกันว่าชาวอีโมสายนี้เค้านิยมการไว้ผมยาวๆฟูๆแบบที่สมาชิกบางคนในทั้งสามวงนี้ชอบทำาหรือเปล่า Ex-Hardcore Emo (เอ็กซ์ ฮาร์ดคอร์ อีโม) หรืออีโมพันธุ์ฮาร์ดคอร์ นี่คืออีโมสายตรงที่รับอิทธิพลมาจากวงรุ่นพ่ออย่าง Fugazi, Husker Du หรือ Rites Of Spring เป็นอีโมจำาพวกที่รับมา ทั้งดนตรีที่เน้นความเกรี้ยวกราดและดุดัน อึงคะนึงมาครบถ้วนกระบวนความ ท่อนคำารามและตะเบ็งยังคงอยู่ครบและบางวงยัง หนักไปทางใส่ความเป็นเมทัลลงไปเป็นกระสายอีกด้วย วงที่ถูกจัดให้อยู่ในพวกนี้ก็อย่างเช่น Rise Against, Planes Mistaken For Stars และ Kid Dynamite ซึง่ จะเห็นว่าวงในสายนี้มักจะไม่เน้นเรื่องการแต่งตัวเท่าสายอื่น Alt-Country Emo (อัลท์-คันทรี่ อีโทม) หรือ อีโมสายอเมริกันอินดี้ อีโมประเภทนี้เป็นประเภทอีโมที่ก้อไม่ได้เน้นการแต่งกายมากนัก แต่ดูจะเป็นอีโมที่แต่งตัวแก่เกินวัยไปสักนิด ดนตรีของ อีโมพวกนี้เป็นอะไรที่ฟังง่ายและสบายหู อาจจะมีดิบๆอารมณ์ๆนิดๆแต่ก้อไม่ได้หนักหน่วงอะไรนัก ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินอีโม สายอินดี้มาบ้าง ซึ่งก้อคือกับอีโมสายนี้แหละครับ วงที่โด่งดังในทางนี้ได้แก่ Cursive, LImbeck หรือจะศิลปินเดี่ยวอย่าง Bright Eyes อ่านมาจนถึงตรงนี้ท่านอาจจะงงว่าบางวงที่ไม่ได้เล่นอีโมทำาไมมีชื่อโผล่มาตรงนี้ได้ ก็อย่างที่แถลงไปตอนต้นว่าอีโมก ลายเป็นวัฒนธรรมย่อยอันหนึ่งไปแล้ว เพราะฉะนั้นการแบ่งแยกประเภทของอีโมที่ร่ายยาวมาทั้งสิบจำาพวกนี้เป็นการแบ่งโดยผู้ เขียน Everybody Hurts โดยใช้เกณฑ์จากการทำาเลง การแต่งกายรวมไปถึงภาพลักษณ์ที่แสดงออกมา ส่วนผู้ที่สนใจว่าการแต่งตัวแบบอีโมจริงๆจังๆมันเป็นยังไง เหวี่ยงสายตาท่านไปที่หัวข้อต่อไปในบัดเดี๋ยวนี้เลยครับ การแต่งกายแบบอีโม เป็นประเด็นที่ใหญ่มากสำาหรับวัยรุ่นบ้านเราว่าอีโมแต่งแบบไหน หลายคนเข้าใจว่าอีโมคือพวกขาลีบๆเด้บๆ (อันที่ จริงควรจะเรียกว่าสกินนี่ด้วยซำ้าครับ เพราะเห็นหลายคนใส่กันแบบทรมาณอัณฑะซะเหลือเกิน) ที่ชอบใส้เสื้อยืดสีดำาและคาด เข็มขัดสกรีนลายกับหัวเข็มขัดเป้งๆและต้องให้เห็นหัวเข็มขัดเวลาใส่ด้วย จะอะไรก็ตามครับ ลองมาดูสิวา่ การแต่งกายแบบอีโมที่เขา บันทึกไว้ใน An Essential Guide To Emo Culture มันเป็นยังไง (หากภาพต่างๆที่ปรากฏในหัวข้อที่แล้วยังไม่ชัดเจน) + สำาหรับหนุ่มอีโม เสื้อวงดนตรี – ต้องรู้จักเลือกสักหน่อยว่าวงไหนควรใส่ วงไหนไม่ควรใส่ ที่กำาลังได้รับความนิยมมากในขณะนี้คือเสื้อยืดวงดนตรีร็อ ครุ่นเก่าซึง่ เป็นผ้าบางหรือผ้าห้าสิบ ที่ทอจากคอตตอนและโพลีเอสเตอร์อย่างละเท่าๆกัน ไม่งั้นก้อเสื้อวงรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ จะเป็นสีห รือดำาก็ได้ เสื้อโปโล – กลายเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ผู้เบื่อเสื้อคอกลมเริ่มมองหา แบรนด์รุ่นใหม่ต่างๆอย่าง Ordinary Clothing, Rockett Clothing, Bleeding Star, Glamour Kills หรือ Clandestine ก็มีให้เลือกมากมายแม้ว่าจะออกซำ้าๆกันและใส่ไม่กี่ทีก็เบื่อตา ซึง่ ถ้า กลัวจะเป็นอย่างนั้นลองหันไปมองแบรนด์คลาสสิคอย่าง Burberry หรือ Fred Perry ในสีเสื้อดำาหรือสีที่ไม่ฉูดฉาดนักก็ไม่เลว

เสื้อนอก - สำาหรับบ้านเราถ้ามองคลุ่มชั้นนอกด้วยเสื้อฮู้ดหรือแจ็คเก็ตผ้าคอตตอนอย่างหนาคงได้เหงื่อแตกเป็นแกลลอนแหงๆ แต่ ถ้าอยากใส่จริงๆแบรนด์วัยรุ่นต่างๆที่กล่าวไปในหัวข้อเสื้อโปโลก็มีให้เลือกกันเป็นตับ แต่ถ้าไม่หนำาใจลองมองหาจากยี่ห้อเสื้อผ้า สำาหรับเด็กสเก็ตบอร์ดก็ได้ กางเกง – ดูท่าว่าหลายคนเชื่อว่าต้องขาเล็กๆรัดปลีน่องให้เปรี๊ยะๆเข้าไว้ อันที่จริงยังสามารถเลือกพวกขากระบอกเล็กที่ใส่สบาย กว่านั้นได้ แต่ควรเลือกสีให้เป็นยีนส์เข้มหรือดำาไว้ก่อน ถ้าจะเป็นสีอ่อนก็ประมาณสีเทาและยีนส์สีฟอก ที่สำาคัญถ้ายังต้องการควร รัดรั้งก็มองหากางเกงยีนส์ที่มีส่วนผสมของสแปนเด็กซ์ในเนื้อผ้า รองเท้า – ที่ดูท่าว่าจะนิยมกันมากมายก็เห็นจะเป็นรองเท้าผ้าใยทรงสวมหรือที่เรียกกันว่าสลิปออนซึ่งก็มีออกมาให้เลือกใส่กัน มากมายหลายตราแต่ที่เป็นต้นตำาหรับคือของ Vans ทั้งนี้บางคนก็อาจจะหันไปใส่ Converse All Stars ทรงหุ้มข้อหรือจะหันไปใส่ พวกรองเท้าสเก็ตบอร์ดบวมๆไปเลยก็มี เข็มขัด – เข็มขัดหนังสกรีนลายหรือหนังสีสดๆก็เข้าท่า หรือจะเป็นเข็มขัดหนามหรือติดหมุดก็ได้ แต่ระวังเวลาเข้าไปชมคอนเสิร์ต เพราะมักจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ไปในงาน ที่ขาดไม่ได้คืออย่าใส่หัวมันตรงๆ ต้องใส่เบี้ยวๆเข้าไว้ (โดยส่วนตัวผู้เขียนนั้นใส่เข็มขัด เอหัวเข็มขัดมาไว้ด้านสีข้างมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่จะบอกว่าอีโมนำาสมัยนะครับ เพียงแต่ว่าเวล่ใส่ไว้ด้านหน้าแล้วพุงที่ห้อยมามัด โดนขอบหัวเข็มขัดบาดเลยเปลี่ยนมาใส่ไว้ตรงสีข้างแทน) ข้อมือ – ใส่อะไรที่เป็นหนังหรือหนังปักหมุดบ้างก้อดีแต่อย่าเยอะ ถ้าจะใส่นาฬิกาก็อให้เลือกพวกตัวเรือนและสายเป็นโลหะเข้าไว้ แหวน – สุดแท้แต่ความสบายเวลาสวมใส่ มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร + สำาหรับสาวอีโม เสื้อยืด – เหมือนกับผู้ชายใส่ เพียงแต่อาจพิถีพิถันหน่อยตรงที่ถ้าชอบใส่พอดีตัวก็เลือกพวกเสื้อทรงเบบี้ดอลหรือไซส์เด็กเข้าไว้ แต่ ถ้าชอบใส่แบบโคร่งๆอาจจะต้องตัดแต่งนิดนึง เช่นตัดคอกว้างออกเป็นคอเรือ เย็บตรงเอวให้เข้ารูปและใส่พับแขน ชิ้นบนที่นอกเหนือจากเสื้อยือ – อาจจะใส่เสื้อแขนยาวที่เป็นคอเรือหรือคอวี สายเดี่ญวก็ได้แต่ควรจะใส้สองตัวซ้อนไม่โชว์ของมาก จนเกินไปนัก ส่วนเกาะอกลืมไปได้เลย ชุดกระโปรง – ถ้าเป็ฯทรงเด้กอนุบาลหรือที่เรียกว่า คินเดอร์การ์เท่น เดรสก็ไม่เลว แต่ถ้าหมายถึงแส็คก็ควรจะเป็นแส็คที่ออกสไตล์ กอธิคคือมีลูกไม้และเน้นสีดำา หรือจะเป็นแบบโลลิต้าก้อได้ (คล้ายกอธิคแต่เน้นสีขาว) กางเกง – ยีนส์และผ้าหนาๆที่มีส่วนผสมของสแปนเด็กซ์ กางเกงผ้ายืดรัดรูปแบบกางเกงแอโรบิคนี่ไม่ใช่นะ รองเท้า – ตัวเลือกจะมากกว่าผู้ชายตรงที่ผู้หญิงมีรองเท้าทรงเด็กอนุบาลมาให้เลือก รองเท้าทรงนี้ก็คือรองเท้าทรงที่หัวมลและช่อง สวมจะคว้านลึกไปจนเวลาใส่จะเห็นโคนนิ้วเท้าแลมๆอะไรทำานองนั้น แต่ไม่สนับสนุนให้ใส่รองเท้าส้นสูงเด็ดขาดไม่ว่าคุณจะเป็น สาวตัวเล็กเพียงใด้ก็ตาม เข็มขัด – ตัวเลือกโดยมากจะคล้ายของผู้ชายแต่ว่าจะเป็นเข็มขัดเส้นเล็ก ควรห่างจากเข็มขัดที่เป็นหนังแก้ว เชือกหรือริบบิ้น กระเป๋าถือ – มีให้เลือกมากมายหลายทรงแต่อย่าเน้นที่แบรนด์ พยายามดูที่สีและความเข้ากันกับชุดที่ใส่ กระเป๋าทรงที่ใส่อุปกรณ์ กีฬาหรือชุดวอร์มถือว่าไม่เหมาะ เครื่องประดับ – อะไรก็ได้ที่ไม่ได้ดูหรูหราจนเกินไปนัก แม้ว่าคุณจะพยายามแต่งแบบก็อธ อีโมก็ตาม เน้นใสๆเข้าไว้ วูบวาบมากจะ ดูแก่ + รอยสัก

จากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือ เค้าชี้แจงแต่ว่ารอยสักแบบกราฟฟิคสีเดียวนั้นอย่าได้ริไปสักเชียวเพราะมันไม่ใช่ ถ้าตัง้ ใจแน่แล้วว่าจะ สัก (พร้อมทั้งอายุบรรลุนิติภาวะและถามคนรอบข้างโดยเฉพาะบุพการีแล้ว) ก็อให้เลือกสักที่สามารต่อกันเป็นลายเดียวได้ ทั้งนี้ถ้า ประสงค์จะจารึกปกอัลบั้มหรือชื่อวงใดๆลงบนร่างกายคุณ จงระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่จะติดหนังมังสาของคุณไปตลอดชีวิตนั้นเป็น เครื่องแสดงความเดนตายในวงนั้นๆ อย่าพยายามนึกสักชื่อวงอย่าง Tokio Hotel หรือวงอะไรก็ตามที่จะทำาให้คุณเสียใจภายหลังว่า ไม่น่าเลยกู ทั้งนี้ในความคิดของผมการสักนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ควรจะทำานักหรอกครับถ้าคุณไม่แน่ใจในความชอบของคุณนัก และอย่าลืมว่าค่านิยม ในการสักของคนไทยก็เป็นเรื่องสำาคัญ ที่สำาคัญเรื่องค่าสักนี่ก็ใช่ว่าจะถูกๆเสียด้วย + ทรงผม เพราะกระแสอีโมที่มาแรงมากทำาให้วัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาจำานวนมากหันมาทำาผมทำาเผ้ากันอย่างออกหน้าออกตา ทั้งยิด ซอน ย้อม และละเลงนำ้ายาจัดทรงชนิดหัวงี้มันแผล่บกันเป็นแถวในหมู่วัยรุ่นชาย ส่วนวัยรุ่นหญิงก็น้อยหน้า ทรงผมนี่มีให้เลือกทำาตั้งแต่ ผมสั้นๆไปจนผมยาว ผมเลือกเอารูปบางรูปมาจากหนังสือเพื่อให้ลองดูกันว่าเขาแต่งเขาจัดทรงกันยังไงบ้าง (ซึ่งก็ไม่สงวนสิทธิ์ถ้าจะทดลองทำาตามครับ) + ข้อควรรู้และข้อควรระวังถ้าคุณคิดจะแต่งกายแบบอีโม หลายคนอาจมองว่าตอนนี้ใครที่อยากจะเริ่มแต่งตัวแบบอีโมอาจจะเอ้าท์ไปแล้วเพราะหลายๆคนที่เริ่มใส่ๆกันมาก่อนสองสามปีก็ เริ่มเลิก หันไปแต่งตัวอย่างอื่นกันแล้ว แต่เพราะเกร็ดต่างๆในหนังสือที่ผมมีมันชวนให้เขียนถึงและนำามาเล่าสู่กันฟังก็ลองอ่านกันเพ ลินๆหรือจะเอาไปใช้ก็แล้วแต่ครับ - อย่าพยายามใส่กางเกงยีนส์ของผู้หญิงถ้าหุ่นคุณไม่ให้ - อย่าพยายามใส่เสื้อตัวเล็กและติ้วจนเกินไปถ้าหุ่นคุณไม่เฟิร์มพอ ยกเว้นว่าไม่แคร์สายตาและไม่กังวลเรื่องความคล่องตัวของ ระบบทางเดินหายใจ - อย่าใส่รองเท้าโดยไม่ใส่ถงุ เท้า ถ้าไม่อยากให้เห็นถุงเท้าโผล่แพลมออกมาเหนือรองเท้าก็ซื้อถุงเท้าแบบข้อสั้นมาใส่ - อย่าเจาะส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าถ้าคุณไม่แน่ใจในการรักษาความสะอาดของตัวเอง - อย่าเจาะหรือสักถ้าไม่แน่ใจว่าอยากทำาจริงๆและภูมิคุ้มกันทางสายตาจากคนที่พบเห็นไม่มากพอ - อย่าระเบิดหูรูใหญ่มากเกินไปนักเพราะมันอาจจะเป็นแผลเป็นถ้าคุณเลิกใส่ใจมันแล้ว - อย่าผูกโบว์สีสดและขนาดใหญ่เบิ้มมากเกินไปนักสำาหรับวัยรุ่นหญิง - อย่าแต่งตัวจนเหมือนคนใดคนหนึ่งในวงดนตรีวงนั้นๆมากเกินไปถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวเองพอ - อย่าเข้าใจว่าการแต่งตัวแบบอีโมเป็นอีกวิธีเข้าถึงอีโม มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะครับ - อย่าดูถูกคนที่ไม่ได้แต่งตัวแบบอีโมว่าคนนั้นไม่ใช่อีโม เพราะคุณอาจจะเจอคนที่รักและชอบอีโมมากกว่าแฟชั่นแบบอีโม สันทนาการแบบอีโม ผมไม่แน่ใจว่าสำาหรับชาวอีโมบ้านเรานั้นมีคนที่ให้ความสำาคัญกับตรงนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ทราบข้อมูลมา แมกกาซีนวับรุ่น หลายเล่มมองวัฒนธรรมย่อยอีโมว่าเป็นวัฒนธรรมป็อปแขนงใหม่ที่ฟู่ฟา่ และกระแสดีมากๆในระยะสาม-สีป่ ีมานี้

ผมเลยขอสรุปเอาคร่าวๆว่าอีโมอเมริกันนั้นเค้าอ่านอะไร ดูอะไรและทำาอะไรกันบ้าง + หนัง + หนังสือ + อินเตอร์เน็ต + การวางตัวในสังคม แด่บรรพชนอีโม สองคนแรกที่ควรจะได้รับเครดิตอย่างมากสำาหรับรากเหง้าของอีโมในฝัง่ สหรัฐ คือ Ian MacKaye และ Guy Picciotto เพราะถ้าไม่ใช่ไอเดียสุดบรรเจิดของทั้งสอง โลกก้ออาจจะไม่รู้ว่าอีโมหน้าตาเป็นยังไง สามวงที่สองคนนี้มีส่วนร่วมอย่าง Embrace,Rites Of Spring และ Fugazi กลายเป็นตำานาน ส่วนสองคนที่ควรยกย่องจากฝั่งอังกฤษในช่วงทศวรรษที่แปดสิบได้แก่ Ian Curtis แห่ง Joy Division ว่ากันว่าถ้าหากวัน นี้ Ian Curtis ยังมีชวี ิตอยู่ความยิ่งใหญ่ของ Joy Division คงไม่มากมายเท่านี้ แต่เพราะนี่แหละคือ Ian Curtis ตัวจริงบทเพลงที่ สวยงามไปด้วยความเป็นกวีจากปลายปากกาของเขาและเสียงร้องที่ใหญ่และได้อารมณ์อันเป็นเสน่ห์เฉาพะตัวทำาให้วงอีโมจาก คนละฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกยกย่อง Ian Curits ว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้ Kurt Cobain อีกสองชาวสหราชอาณาจักรที่ได้รับการเทิดทูนไม่แพ้กันคือ Morrissey แห่ง The Smiths และ Robert Smiths แห่ง The Cure โดยเฉพาะ Robert Smiths เจ้าของผมทรงรังนกและการเขียนตาทาแป้ง (ที่บรรดาอีโมชนผู้แต่ตัวจัดยกให้ว่าโคตรคูล) ที่ ภาษาเพลงของเขาให้ความรูส้ ึกของเด็กบ้านแตกมาก่อนสอนหลานได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเพลงของเขาแม้จะหม่นแต่ไม่หมอง อีกคนที่ขาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือ Kurt Cobain อรหันต์กรั๊นช์ผสู้ ร้างแนวทางการแสดงสดบนเวทีที่เปี่ยมไปด้วย อารมณ์และความตะลึงงันให้กับผู้ชมไม่วา่ ยุคสมัยไหน ผมเชื่อว่าร้อยละแปดสิบของวงอีโมทุกสายพันธุ์ที่ระเริงอยู่บนกระแสคลื่น อุตสาหกรรมดนตรีในศักราชนี้ต่างเคยผ่านตาลีลาของ Kurt Cobain และ Nirvana มาแล้วทั้งนั้น 30 อัลบั้มอีโมที่ต้องฟัง อัลบั้มทั้งหมดที่เลือกมาในครั้งนี้อาจไม่ใช่ที่สุดในใจของหลายๆคนแต่ที่เลือกมาทั้งหมดนั้นน่าจะพอสะท้อนภาพรวมของอีโมใน แต่ละยุคสมัยได้พอสังเขป ทั้งนี้หากท่านต้องการลงลึกในรายละเอียดของแต่ลงวงแต่ละอัลบั้มลงไปคงต้องอาศัยการศึกษาเพิ่มเติม ด้วยตัวเองอีกครั้ง แต่สำาหรับคนที่ไม่เคยผ่านหูอีโมมาเลยหรือมีพื้นฐานการรับฟังมาบ้างแต่ต้องการจะเติมเต็ม หวังว่าอัลบั้มที่เลือก มาทั้งหลายคงพอช่วยท่านได้บ้าง + Rites Of Spring : Rites Of Spring (Dischord/1985) นี่คืออัลบั้มแรกที่ทำาให้โลกรู้จักกับอีโม ในนิยามของ Emotional Hardcore หรือดนตรีฮาร์ดคอร์ที่เน้นอารมณ์ในการร้องมากกว่า แต่ ยังอุดมไปด้วยความเร็วและระหำ่าแบบฮาร์ดคอร์พั้งค์จากวงร่วมยุคสมัย ต้องขอบคุณ Guy Picciotto ที่ทดลองจนสำาเร็จว่าจะ สร้างสรรค์งานอย่างไรให้ฉีกออกมาจากบิ้ก โฟร์ของฮาร์ดคอร์ยุคแปดศูนย์อย่าง Minor Threat, Bad Brains, Black Flag และ Bad Religion + Embrace : Embrace (Dischord/1987) นี่คือวงของ Ian MacKaye หลังจากการแยกตัวของ Minor Threat และก่อนตั้งวง Fugazi อาจจะไม่สมบูรณ์แบบแบบ Fugazi แต่ เรื่องความสร้างสรรค์และความแปลกแหวกแนวนั้นต้องยกให้วา่ เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มตำานานอีโมเลยทีเดียว + Sunny Day Real Estate : Diary (Sub Pop/1993)

ความชัดเจนของอีโมแบบที่ส่งผลต่อหน้าตาของอีโมอย่างที่เราๆท่านๆสดับกันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการออกแบบการร้อง นำ้า เสียงและลีลาของ Jeremy Enigk กระบอกเสียงของวงที่ไม่ได้ทรงพลัง แต่ออกจะขึ้นจมูกและหลงคีย์ได้ง่ายยามขึ้นเสียงกลายเป็น จุดเด่นและเอกลักษณ์สำาหรับวงดนตรีหน้าใหม่ที่อยากจะเขียนเพลงอีโม + Jawbreaker : Dear You (Geffen/1995) นี่เป็นอัลบั้มจากค่ายเมเจอร์ที่ล้มเหลวในด้านธุรกิจและชื่อเสียงเมื่อครั้งออกสู่สาธารณะ แต่ใครจะรู้ว่าอีกสิบปีต่อมาอัลบั้มนี้ได้รับ การยกย่องเป็นเสียงเดียวจากนักวิจารณ์ว่าสร้างประวัติศาสตร์อันควรแก่การกล่าวถึงมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในทศวรรษที่เก้าสิบ + Lifetime : Hello Bastards (Jade Tree/1996) ถ้าถามว่าเมืองหลวงของอีโมคือที่ใดในโลก ผู้รู้หลายคนยกย่องให้ New Jersey คือสถานที่ดังกล่าว สาเหตุหนึ่งมาจากมันคือบ้าน เกิดของ Lifetime ยอดวงที่สร้างแรงบันดาลใจและประกาศให้โลกรู้ว่า New Jersey มีดีอะไรบ้างด้วยผลงานเพลงชุดนี้ ( Gerard Way เคยสดุดี Lifetime ว่า Three Cheers For Sweet Revenge ผลงานระดับแผ่นทองคำาขาวนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก Lifetime กว่าครึ่ง) + Texas Is The Reason : Do You Know Who You are ? (Revelation/1996) ปีที่อัลบั้มนี้ของวงจาก Brooklyn, New York วางแผงวงการเพลงร็อคทั่วโลกทราบกันดีว่า Oasis ยอดวงของสองพี่น้องตระกูล Gallagher ยิ่งใหญ่เพียงใด อัลบั้มชุดนี้ถูกจำากัดความว่าคือผลงานของตัวจริงในสายพั้งค์ที่พยายามเล่นเพลงร็อคแบบ Oasis + Weezer : Pinkerton (Geffen/1996) หลังจาก Blue Album ผลงานชิ้นแรกของวงที่มี River Cuomo นักเรียนปริญญาตรี Havard University เป็นมันสมอง วัยรุ่นทั้งโลก ก็ได้รู้ว่าเพลงแห่งยุคสมัยของวัยรุ่นในยุคนั้นหน้าตาเป็นยังไง และอัลบั้มต่อมาของ Weezer ก็สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งให้กับวัยรุ่น ในอีกห้าปีต่อมา + The Promise Ring : Nothing Feels Good (Jade Tree/1997) ลีลากีตาร์ที่เล่นไม่ยากแต่แพรวพราวและเหนือชั้นบวกกับเทคนิคการร้องแบบเสียงขึ้นจมูกอาจดูเป็นส่วนเกินสำาหรับนักร้องเสียง สวรรค์ประทานแต่สำาหรับเพลงร็อคในอารามของอีโมนั้นมันได้ใจความและได้อารมณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ปัจจุบันหลายคนมอง ว่าวง California วงนี้เป็นหนึ่งในวงอเมริกันที่ฝักใฝ่บริทร็อค ซึง่ เนื้องานก็ไม่ได้ขี้เหร่กว่าวงสหราชอาณาจักรโดยกำาเนิดแต่ประการใด + The Get Up Kids : Something To Write Home About (Vagrant/1999) เนื้อหาและความติดหูของบทเพลงต่างๆในผลงานชุดนี้เป็นเครื่องหมายการค้าว่าอีโมมีรากเหง้ามาจากอะไรและอีโมของแท้ไม่ จำาเป็นต้องพึ่งภาพลักษณ์แบบที่วงค่ายเมเจอร์ชอบทำากัน The Get Up Kids อาจะเป็นแค่เด็กขี้แพ้ในสายตาของคอร็อคเมนสตรีม แต่พวกเขาคือผู้พลิกโฉมวงการอีโมไปตลอดกาลอีกครั้งนับจากผลงานของ Rites Of Spring (แม้วา่ พวกเขาจะชอบให้คนเรียกว่าวง ร็อคมากกว่าอีโมก็ตาม) + Jimmy Eat World : Clarity (Capital/1999) ถ้าพูดในฐานะแฟนเพลงที่ถือกำาเนิดมาบนแผ่นดิ นไทยที่ทุกสมัยเรามักจะได้รับรู้กระแสดนตรีร็อคของทั้งสองฝั่งทั้งจากอเมริกาและ อังกฤษว่าทั้งสองแหล่งผลิตแตกต่างกันอย่างไร กระนั้นก็ตามอัลบั้มชุดนี้สามารถเชื่อมคอเพลงร็อคทั้งสองฝากเข้าหากันได้ โดยมี ข้อแม้ว่าคุณต้องมีใจให้อีโมสักนิดนึง + Saves The Day : Through Being Cool (Equal Vision/1999)

ทราบกันดีว่าค่ายตราพระแม่อุมานั้นลือชื่อเพียงใดในเรื่องการปั้นวงดนตรีลูกผสม และ Saves The Day ก้อไม่ทำาให้เสียชื่อค่ายใน การออกผลงานอีโมพั้งค์แนวคิดบวก บทเพลงในผลงานชุดนี้มีเนื้อหาฉีกจากอัลบั้มอีโมพั้งค์ต่างๆที่ออกมาเกลื่อนปีสุดท้ายก่อนสิ้น ศตวรรษ และนี่คือผลงานที่ดีที่สุดของ Saves The Day + Glassjaw : Everything You want To Know About Silence (Roadrunner/2000) ถ้ารอยหยักในสมองผมไม่บกพร่อง จำาได้ว่านี่คืออัลบั้มอีโมชุดแรกในประเทศไทยที่ทีลิขสิทธิ์ขายอย่างถูกกฏหมายและมีจำาหน่ายใน รูปแบบคาสเซ็ตด้วย ส่วนผสมในผลงานชุดนี้คือเมทัลลูกผสมที่ไม่ใช่นูเมทัล+เทคนิคการร้องตามใจกูของ Daryl Palumbo+ฝีมือ การโปรดิวซ์ของ Ross Robinson (คนเดียวกับที่ปั้น Slipknot,Korn และ Limp Bizkit) และที่สำาคัญเนื้อหาอันน่าเวียนหัวในชุดนั้ยัง เป็นที่โจทย์จันกันว่าตกลงแม่งแพล่มเรื่องอะไรวะ + At The Drive-In : Relationship of Command (Grand Royal/2000) วงสหประชาชาติที่กลายเป็นตำานานพร้อมด้วยคำาชมจากผลงานชุดนี้ว่า “The Next Big Thing” แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก้อไม่ได้ ก้าวไปข้างหน้าในนาม At The Drive-In เพราะทุกอย่างจบลงหลังจากผลงานชุดนี้ + Bright Eyes : Fevers And Mirrors (Saddle Creek/2000) อินดี้อีโมประสบความสำาเร็จในวงกว้างอย่างเห็นได้ชัดด้วยยอดขายจากผลงานชุดนี้ สำาหรับคออีโมที่ชอบความสบายใจ สบายหู หรือคนที่อยากรู้วา่ อินดี้อีโมหน้าตาเป็นอย่างไร เหมาะมากที่จะเริ่มต้นจากงานชุดนี้ + Thursday : Full Collapse (Victory/2001) อัลบั้มที่ดีที่สุดของวงที่ได้ฉายาว่า U2 แห่ง New Jersey ไอเดียอันบรรเจิดของการเขียนเพลง เนื้อหาที่มองอะไรเป็นสีเทาไปหมด ส่วนตัวผมเชื่อว่าอัลบั้มนี้เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับวงบ้านเราจำานวนมากที่เคยเล่นและอยากเล่นและแต่งเพลงอีโม + Dashboard Confessional : The Place You have Come To Fear The Most (Vagrant/2001) ผลงานชุดนี้คืออัลบั้มอีโมชุดแรกที่ได้รับรางวัลจาก MTV เรื่องของยอดขายก็ถล่มทลายถึงหกแสนห้าหมื่นแผ่น เรียกได้ว่านี่คืออัลบั้ม ที่ควรค่าแก่การค้นหาว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำาเร็จของผู้ชายตัวเล็กอย่าง Chris Carabba ที่ยอมสละเรือ Further Seems Forever มาเอาจริงเอาจังกับผลงานเดี่ยวอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน + Taking Back Sunday : Tell All Your Friends (Victory/2002) หลายต่อหลายหูยกย่องว่า Adam Lazzara มีนำ้าเสียงและเทคนิคการร้องที่ฉีกออกไปจากหลายวงร่วมรุ่น หนึ่งคือความนุ่มของเสียง ยามร้องท่อนเมโลดี้และสองคือความลงตัวของการตะโกนที่ก็ยังถือว่าป็อปอยู่ดีเมื่อเทียบกับวงอื่นๆแต่นั่นแหละที่ทำาให้วงนี้กลาย เป็นวงขวัญใจแม่ยกอีโมในเวลาไม่นาน + The Used : The Used (Reprise/2002) ถ้าผมจำาไม่ผิดตอนที่ชื่อของ The Used เข้ามาเมืองไทยใหม่ๆหลายคนต่างงงแตกว่าไอ้วงตระกูลเดอะวงนี้ทำาไมมันไม่ยักกะเหมือน กับวงตระกูลเดอะที่ออกจะตื้ดๆและเรทโรกันสัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ไอ้ความโหวกเหวกโวยวายที่มีเกินกว่าวงตระกูลเดอะทั่วไปนี่แหละ ครับที่ทำาให้หลายคนยกให้ The Used เป็นอัลบั้มมาตราฐานใหม่ของสครีโมแห่งยุคสะดวกซื้อเพราะความป็อปและติดหูชะงัดนักนี่ แหละครับ + The All-American Rejects : The All-American Rejects (Doghouse/2002) อีโมพันธุ์แท้ละแวกสวนจตุจักรบางคนเคยชื่นชอบอัลบั้มนี้ถึงขนาดเปิดฟังวันละไม่รู้กี่สิบรอบ ครับ อัลบั้มชุดนี้คือถาพฉายของวงอี โมในยุคสะดวกซื้อ พวกเขามีแบบเสื้อยืดหรือเสื้อทัวร์ของตัวเองมากกว่าร้อยห้าสิบแบบนับตั้งแต่ตั้งวงมาและเกือบร้อยมีขายใน

Hot Topic ซุปเปอร์มาร์เก็ตเด็กแนวของเมืองมะกัน ยังไงแล้วแต่คุณอาจจะรู้สึกว่างานชุดหลังๆของพวกเขาเป็นร็อคตลาดๆแต่ อย่างเพิ่งเหมารวมว่างานชุดนี้จะเป็นอย่างนั้น + Brand New : Deja Entendu (Triple Crown/2003) ไม่ขอบรรยายอะไรมากสำาหรับผลงานชุดนี้นอกจากนี่คือหนึ่งในผลงานอีโมที่ดีที่สุดชุดหนึ่งตั้งแต่เริ่มสหัสวรรษใหม่ + Coheed And Cambria : In Keeping Secret Of Silent (Equal Vision/2003) ด้วยเนื้อหาของบทเพลงในทุกอัลบั้มของ Coheed And Cambria ที่สุดจะมหัศจรรย์พันลึก Claudio Sanchez นักร้องนำาและมือ เขียนเนื้อเพลงของวงกล่าวว่านี่คือผลงานที่รวบรวมเอาแรงบันดาลใจตลอดวัยเยาว์ของที่รวบเอาทุกความฝันำาไว้ด้วยกันทั้งนัก ดนตรี นักวาดการ์ตูนและนักผจญภัยในจิตนาการ โดยรวมอาจจะฟังยากสักนิดสำาหรับคนที่ชอบอีโมแบบป็อปๆติดหูแต่ลูกเล่นและ ความคิดสร้างสรรค์ชุดนี้มันบรรเจิดทีเดียว + Yellow Card : Ocean Avenue (Capital/2003) ความอีโมที่มีในผลงานป็อปพังค์ที่มีสมาชิกเป็นมือไวโอลินหนึ่งคนด้วยนั้นอยู่ที่เนื้อหาแบบหนังชีวิตวัยทีนทั้งความเหงาที่ ปมด้อย จากการขาดบุพการี มิตรภาพของเพื่อน นี่คือหนึ่งในอัลบั้มที่ไม่ใช่อีโมแบบเพียวๆเช่นวงอื่นๆแต่มีดีไม่แพ้กัน + Hawthorne Heights : The Silent In Balck And White (Victory/2004) ตีแผ่เรื่องราวชีวิตของวัยทีนมะกันได้ดีไม่แพ้ Ocean Avenue แต่ออกไปทางหม่นหมองและรักเค้าข้างเดียวเยอะกว่า กว่าครึ่งของ อัลบั้มชุดนี้เป็นเพลงที่แสวงหาความรักมาก (จนอาจจะเลี่ยนไปนิด) แต่ก็ทำาให้เห็นว่าอารมณ์ฟูมฟายแบบวัยรุ่นอกเดาะนี่มันมี อิทธิพลต่อวงอีโมรุ่นเยาว์ทั้งหลายมากจนอาจจะกลายเป็นวิถีทางใหม่ของอีโมยุคสะดวกซื้อก็ได้ว่าถ้าริจะอีโมก็ต้องไม่กลัวอกหัก เพราะประสบการณ์อกหักเอามาเขียนเพลงได้ + My Chemical Romance : Three Cheers For Sweet Revenge (Reprise/2004) กอธิคเป็นอะไรที่ขายได้ตลอดกาลในตลาดเพลงอเมริกัน สิบสามเพลงจากผลงานชุดที่สองของวงจาก New Jersey วงนี้ส่งผลให้ พวกเขาได้รับการขนานนามว่าความหวังใหม่ของกอธิคพั้งค์ตามรอยรุ่นพี่อย่าง Alkaline Trio และ AFI เนื้อหาโดยรวมของเพลง ประหนึ่งมองเจาะไปในหัวสมองของเด็กแปลกหรือที่เรียกกันว่าพวกฟรี้คในไฮสคูลได้ประหนึ่งสิงสู่วิญญานกัน นอกจากนี้ไอเดียใน การสร้างท่อนฮุคและความพั้งค์ในผลงานชุดนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขารับเอาอิทธิพลของ Misfits และ Circle Jerks มาเยอะแค่ ไหน + Fall Out Boy : From Under The Cork Tree (Island/2005) เดินมารอยทางเดียวกับ Fred Durst แห่ง Limp Bizkit เป๊ะสำาหรับ Pete Wentz (อ่านว่า พีท นะครับ ไม่ใช่เพเต้) มือเบสผู้ได้รับการ สถาปนาเป็นต้นแบบของอีโมคิดส์คนใหม่ ทั้งการวางตัวเยี่ยงดารา การบริหารค่ายเพลงของตัวเองและความแอบดิบที่ดูแล้วชวนให้ สาวๆหลงใหล ในส่วนของดนตรี ความป็อปและมุมมองเพี้ยนๆในบางบทเพลงของอัลบั้มชุดนี้ทำาให้คุณไม่อาจมองข้ามไปได้ + Circa Survive : Juturna (Equal Vision/2005) ก่อนการถือกำาเนิดขึ้นมาของ Circa Survive นักร้องนำาของวงนาม Anthony Green คือกระบอกเสียงยุคก่อตั้งของ Saosin (อ่านว่า เซ-โอ-ซิน อันมาจากความลิ้นแข็งของฝรั่งที่อ่านคำาว่า โซ้ย-ซิมในภาษาจีนกลางที่แปลว่าขี้ใจน้อย) Juturna เป็นผลงานที่ลงตัว เพราะผสมเอาความหนักเข้าไว้กบั เมโลดี้เพราะๆที่มีเสียงเล็กแหลมแต่ทรงพลังของ Green เป็นตัวชูรส สำาหรับคนที่ชอบอะไรเร็วๆ แรงๆผลงานชุดนี้อาจทำาให้คุณง่วงได้แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเลิกง่วงตอนฟังงานชุดนี้เมื่อไหร่คุณจะรู้วา่ ความเจ๋งของผลงานชุดนี้มันน่า สนใจกว่าความเร็วหรือช้าของทุกเพลงเพียงใด + Chiodos : All’s Well That Ends Well (Equal Vision/2005)

คีย์บอร์ดคือสีสันของวงจาก Michigan วงนี้ ทั้งพริ้ว ทั้งเพราะและที่สำาคัญบทจะหนักก้อหนักได้ดีและช่วยให้ทุกอย่างดูมันส์และ ลงตัว หลังจากชุดแรกของ The Used ผลงานชุดนี้ก็เข้ามารับรองแฟนเพลงสายสครีโมที่เน้นความติดหูไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน + Panic ! At The Disco : A Fever You Can’t Sweat Out (Fueled By Ramen/2005) จัดจ้านทั้งดนตรีและเปรี้ยวแรดทั้งการแต่งตัว นี่คือผลงานการปั้นเด็กชุดแรกของ Pete Wentz ที่ก้าวสู่ระดับสากลด้วยการไปดังทะลุ ชาร์ตในอังกฤษ ท่วงทำานองที่ชวนเต้นและจังหวะที่สะเดิดสุดเหวี่ยงอาจทำาให้คออีโมรุน่ แรกกระทืบแผ่นทิ้งได้ แต่ฝีมือที่เกินอายุไม่ ถึงยีส่ ิบปีของพวกเขาขณะที่ทำางานชุดนี้แ หละที่จะทำาให้คุณหยุดฟังว่าเด็กดัดจริตกลุ่มนี้เล่นอะไร (ส่วนตัวผมคิดว่ามันดูจะเป็นร่าง แปลงของ Fall Out Boy ยังไงๆอยู่) + Bring me The Horizon : Count Your Blessing (Visible Noise/2006) ครับ นี่อาจจะไม่ใช่อัลบั้มอีโม เพราะฟังกี่รอบๆก็เป็นเมทัลชัดๆ ออกจะบรูทัลเสียด้วยสิ แต่นี่ก็เป็นเมทัลที่ต่างจากวงบรูทัลเดธเมทัล รุ่นพ่อไปหลายขุมทั้งการแต่งตัวและการเขียนเพลงที่นอกจากจะสับซะละเอียดแล้วยังมีเผื่อช่องว่างในเพลงให้เข้ากระแทกกัน สำาหรับเวลาเล่นสดกล่อมแฟนเพลงด้วย อัลบั้มชุดนี้สร้างจุดยืนใหม่ให้วงการเมทัลด้วยภาพลักษณ์แบบวัยรุ่นสุดๆ (ที่คอเมทัลรุ่น เก่าอาจจะไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบได้ง่าย) ซึ่งตรงนี้แหละที่แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมแบบอีโมลามเลียไปถึงเมทัลเข้าแล้ว + Paramore : Riot ! (Fueled By Ramen/2007) แทบทุกอัลบั้มที่กล่าวถึงมาทั้งหมดไม่มีผู้หญิงเป็นส่วนร่วมเลยสักชุดยกเว้นชุดนี้ อยากรู้ว่าผู้หญิงเวลาอยู่ในวงอีโมเป็นอย่างไรต้อง ลองฟังผลงานชุดนี้ กระนั้นก็ดีสงิ่ ที่เห็นได้ชัดคือผลงานชุดน้อยแทบไม่เหลืออะไรที่มีความเป็นอีโมแบบต้นฉบับอยู่สักนิด จะว่าไปอี โมอาจกลายเป็นวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากกว่าแนวดนตรีแล้วก็เป็นได้ ครับ...ถ้าท่านผู้อ่านลองพิจารณาดีๆก็จะเห็นว่าภาพรวมของยุคสมัยของอีโมแทบทั้งหมดสามารถเห็นได้จากวิวัฒนาการของอีโม ในบริบทของความเป็นดนตรีย่อยชนิดหนึ่งได้ชัดเจนมาก แนะนำาให้ลองหาอัลบั้มทั้งหมดมาทดลองฟังโดยอาจจะเริ่มจากการฟัง ย้อนจาก Paramore ขึ้นไปก่อนก็ได้ครับ ผมเชื่อเหลือเกินว่าจนกว่าจะถึง Rites Of Spring ท่านคงได้เห็นแล้วว่าอีโมมันเดินทางผ่าน หลักไมล์ของประวัติศาสตร์ดนตรีร็อคมาอย่างไร 10 อัลบั้มที่ไม่อีโมแต่อีโมต้องฟัง ไม่ได้เรียงลำาดับและไม่มีเหตุผลนอกจากต้องฟังและศึกษาเอาว่าแต่ละชุดมีอะไรน่าสนใจบ้าง ทั้งนี้ผมเชื่อว่าอัลบั้มที่ผมเลือกเองมา ทั้งสิบชุดนั้นมีความเป็นอีโมอยู่พอที่จะหามาฟัง บางชุดก็มีลูกเล่นในไลน์กีตาร์ที่แพรวพราว บางชุดก็อุดมไปด้วยอารมร์อันเกรี้ยว กราดและหม่นพอที่จะเรียกได้ว่ามีความเป็นอีโมอยู่บ้าง ทั้งนี้ต้องเปิดใจและให้เวลากับการทดลองสักนิด ผมเชื่อว่าสิบผลงานที่ เลือกมาน่าจะถูกใจท่านผู้อ่านบ้างนะครับ + Joy Division : Unknown Pressure (1979) + The Cure : The Head On The Door (1985) + The Smiths : The Queen Is Dead (1986) + Nirvana : Bleach (1989) + Helmet : Meantime (1992) + Green Day : Insomniac (1995) + Deftones : White Pony (2000) + Blink-182 : Take Off Your Pants And Jacket (2001)

+ Rival School : United By Fate (2001) + Damien Rice : O (2003)

Related Documents

Emo
December 2019 30
Emo
June 2020 12
Emo
November 2019 36
Emo
June 2020 16
Emo Boi, Emo Gurl
October 2019 20
Cultura Emo
June 2020 6

More Documents from ""

Vivisickinterview
November 2019 19
November 2019 40
Paradise Water Fall
November 2019 24
Baybeats05
November 2019 21
Stevevaiinthai
November 2019 18
Ebdthai
November 2019 25