Dna Electrophoresis Protocol (in Thai)

  • Uploaded by: somchais
  • 0
  • 0
  • July 2020
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View Dna Electrophoresis Protocol (in Thai) as PDF for free.

More details

  • Words: 1,151
  • Pages: 9
Medical Biotechnology Laboratory Manual

1

2552 / 2

บทปฏิบัติการที่ 5

DNA Electrophoresis for the Detection of PCR Products and Plasmids. ผศ. ดร. สมชาย แสงอำานาจเดช วัตถุประสงค์ เพ่ ือให้นส ิ ิตสามารถวิเคราะห์ดีเอ็นเอจาก PCR และพลาสมิดโดยวิธีอีเล็กโตรโฟรีซิส หลักการ

อีเล็กโตรโฟรีซิส อีเล็กโตรโฟรีซิสหมายถึงการเคล่ ือนท่ีของอนุภาคท่ีมีประจุในสนามไฟฟ้ า ชีวโมเลกุลส่วน

มากไม่ว่าจะเป็ น กรดอะมิโน เปปไทด์ โปรตีน นิวคลีโอไทด์ และกรดนิวคลิอิก ต่างมีประจุเม่ ืออยู่ ในสารละลายท่ีมีสภาพความเป็ นกรดด่างต่างๆ ดังน้น ั เม่ ืออยู่ในสนามไฟฟ้ าจะเคล่ ือนท่ีไปยังข้ัว

บวกหรือลบแล้วแต่ประจุสุทธิ การทำาอีเล็กโตรโฟรีซิสสามารถทำาในแนวดิ่ง (vertical) หรือแนว ระนาบ (horizontal) ในแนวดิ่งนิยมใช้กับเจลโพลีอะคริลาไมด์ในการแยกโปรตีน การทำาอีเล็ก โตรโฟรีซิสของโปรตีนอาจใช้วิธต ี ่างๆเช่น SDS-PAGE, 2-D PAGE, Native gels, Gradient

gels, Isoelectric focusing gels, Cellulose acetate electrophoresis, หรือ Continuous

flow electrophoresis ก็ได้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของการแยก ส่วนวิธีอีเล็กโตรโฟรีซิสในการแยก กรดนิวคลิอิกจะขึ้นกับชนิดว่าเป็ นอาร์เอ็นเอหรือดีเอ็นเอ การทำาอีเล็กโตรโฟรีซิสสำาหรับอาร์เอ็นเอ เพ่ ือดูปริมาณและความบริสุทธิข ์ องอาร์เอ็นเอหลังการเตรียมอาจใช้อะกาโรส 2 % เวลา 1 ช่ัวโมง

กรณีท่ีเป็ นดีเอ็นเอมีวิธีการต่างกันขึ้นกับขนาดของดีเอ็นเอ สำาหรับงานส่วนมากจะใช้อะกาโรส ถ้า

เป็ นขนาดเล็กเช่นการหาลำาดับเบสจะใช้เจลเตรียมจากอะคริลาไมด์ ถ้าเป็ นดีเอ็นเอขนาดใหญ่มาก หรือท้ง ั ยีโนมอาจใช้ PFGE (pulsed-field gel electrophoresis), OFAGE (orthogonal field alternating gel electrophoresis), FIGE (field inversion gel electrophoresis), TAFE (transverse alternating field gel electrophoresis), CHEF (contour-clamped homogeneous electric field electrophoresis หรือ RFE (rotating field

electrophoresis) สำาหรับในบทปฏิบัตก ิ ารน้ีจะได้ศึกษาการแยกของดีเอ็นเอท่ีใช้มากในการตรวจ ดูขนาดดีเอ็นเอของ PCR และพลาสมิด

ถ้าโมเลกุลของสารท่ีจะแยกมีประจุ q คูลอมบ์ (coulombs) ในสนามไฟฟ้ า E (potential

gradient) ซึ่ง E เท่ากับ ความต่างศักย์ไฟฟ้ าหารด้วยระยะห่างระหว่างข้ัวไฟฟ้ า โมเลกุลจะเคล่ ือน ไปท่ีข้ัวอิเล็กโทรดด้วยแรง Eq นิวตันส์ (newtons) ในการเคล่ ือนท่ีจะมีแรงเสียดทานซึ่งขึ้นกับ

ขนาดของโมเลกุล รูปร่าง ขนาดรูในตัวกลาง และความหนืดของบัฟเฟอร์ ถ้าแรงเสียดทานมีค่า

Medical Biotechnology Laboratory Manual

2

2552 / 2

สัมประสิทธิ ์ (frictional coefficient) เท่ากับ f ความเร็วของการเคล่ ือนท่ีของโมเลกุลน้ีจะเท่ากับ v= Eq/f แต่โดยปรกติมักนิยมใช้ค่า electrophoretic mobility (µ) ซึ่งเท่ากับอัตราส่วนของ

ความเร็วต่อความเข้มสนามไฟฟ้ า (v/E) ในการเปรียบเทียบโมเลกุลท่ีมค ี ่า µ ต่างกันจะเคล่ ือน

แยกออกจากกัน ส่วนโมเลกุลท่ีมีประจุคล้ายกันจะเคล่ ือนแยกจากกันเม่ ือมีขนาดโมเลกุลแตกต่าง กันท้ง ั น้ีเน่ ืองจากเกิดแรงเสียดทานต่างกัน ในการแยกชีวโมเลกุลด้วยอีเล็กโตรโฟรีซิสอาจใช้

ความแตกต่างของประจุ หรือบางวิธีใช้ความแตกต่างของขนาดโมเลกุล จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว ถ้าปล่อยให้โมเลกุลท่ีมีประจุเคล่ ือนท่ีไปยังข้ัวอีเล็กโทรดสมบูรณ์ก็จะเป็ นวิธีท่ีเรียกว่า อีเล็กโตรไล ซิส (Electrolysis) แต่ในวิธีอีเล็กโตรโฟรีซิสน้ีจะปิ ดสนามไฟฟ้ าก่อนท่ีโมเลกุลจะเคล่ ือนท่ีถง ึ ข้ัวอี เล็กโทรด จากน้ันจะหาตำาแหน่งโมเลกุลท่ีแยกโดยนำาตัวกลางไปย้อมสีหรือวางบนแผ่นฟิ ล์มใน กรณีท่ีติดฉลากสารกัมมันตภาพรังสี

กระแสไฟฟ้ า(I)ท่ีไหลระหว่างข้ัวอีเล็กโทรดส่วนใหญ่นำาโดยไอออนในสารละลาย ส่วนน้อย

เท่าน้ันท่ีนำาโดยโมเลกุลท่ีจะแยก และมีความสัมพันธ์กับความต้านทาน(R)และศักย์ไฟฟ้ า(V)ตา

มกฏของโอห์ม (I= V/R) ดังน้ันการเพิ่มศักย์ไฟฟ้ าจะเพิ่มกระแสไฟฟ้ าท่ีไหลและเร่งการแยกของ โมเลกุล ระยะทางท่ีโมเลกุลเคล่ ือนท่ีจะเป็ นสัดส่วนกับปริมาณกระแสไฟฟ้ าและเวลา อย่างไร

ก็ตามข้อจำากัดของการเพิ่มกระแสไฟฟ้ าคือระหว่างการทำาอีเล็กโตรโฟรีซิสจะเกิดกำาลัง (power) 2

ในตัวกลาง กำาลังมีหน่วยเป็ นวัตต์ (W) และมีค่าเท่ากับ W = I R ท่ีจะปล่อยออกมาในรูปของความ ร้อน ความร้อนท่ีเกิดขึ้นในตัวกลางมีผลต่อการแยกโดยอีเล็กโตรโฟรีซิสหลายประการคือ ทำาให้

อัตราการแพร่ของตัวอย่างและไอออนของบัฟเฟอร์เพิ่มขึ้นทำาให้ตว ั อย่างกระจายตัวมาก ทำาให้เกิด กระแสไฟฟ้ าจากการพา (convection currents) ทำาให้ตัวอย่างท่แ ี ยกผสมกัน ความร้อนท่ีเกิด

ขึ้นทำาให้โปรตีนเสียสภาพหรือสูญเสียฤทธิ ์ และลดความหนืดของบัฟเฟอร์ทำาให้ความต้านทานใน ตัวกลางลดลง อย่างไรก็ตามขณะท่ีใช้ศักย์ไฟฟ้ าคงท่ีกระแสไฟฟ้ าอาจเพิ่มขึ้นได้เน่ ืองจากความ

ต้านทานลดลงและทำาให้ความร้อนเพิ่มขึ้น วิธีท่ีจะแก้ไขการเปล่ียนแปลงความร้อนคือการใช้เคร่ ือง ควบคุมกำาลังไฟฟ้ า (stabilised power supply) การใช้ค่ากำาลังไฟฟ้ าต่ำมากๆ(กระแสไฟฟ้ า

ต่ำ)มีข้อดีคือไม่ทำาให้เกิดความร้อนมากแต่มักให้ผลการแยกได้ไม่ดีเน่ ืองจากเวลาท่ีใช้นานทำาให้ ตัวอย่างแพร่กระจายออก ดังน้น ั จึงต้องปรับกำาลังไฟฟ้ าให้พอเหมาะและเพิ่มระบบทำาให้เย็นเพ่ ือ

ช่วยปล่อยความร้อน ในบางกรณีอาจเกิดความแตกต่างของความร้อน (temperature gradient) ในเจลตัวกลางท่ีเกิดเน่ ืองจากความร้อนท่ีขอบเคล่ ือนออกดีกว่า ทำาให้ความร้อนบริเวณตรงกลาง เจลสูงกว่า เน่ ืองจากของเหลวท่ีอุ่นจะมีความหนืดน้อยกว่า ทำาให้ค่า µ ท่ีบริเวณตรงกลางเจลมา กกว่า (ค่า µ เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์เม่ ือความร้อนเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส)

ปั จจัยท่ีมีผลต่อการแยกโดยวิธีอีเล็กโตรโฟรีซิสอีกอย่างคือ การเกิดอีเล็กโตรเอ็นดอสโมซิส

(electroendos-mosis) หรือเรียกว่าการไหลอีเล็กโตรออสโมติค (electroosmotic flow) ท่ีเกิด จากประจุท่ีผิวของสารท่ีเป็ นตัวกลาง เช่น กระดาษมีหมู่คาร์บอกซิล วุ้นอะกาโรส(ขึ้นกับเกรด

Medical Biotechnology Laboratory Manual

3

2552 / 2

ความบริสุทธิ ์)มีหมูซัลเฟต และในกรณีของแคปิ ลาร่ีอีเล็กโตรโฟรีซิสท่ีผิวของแก้วมีหมู่ซิลานอล

(Si-OH, silanol) ซึ่งท่ีค่า pH มากกว่า 3 หมู่ซิลานอลจะแตกเป็ นประจุลบ ดึงดูดไอออนประจุบวก มาจับเกิดเป็ นผิวสองช้ันของไฟฟ้ า (electrical double layer) เม่ ือให้ศก ั ย์ไฟฟ้ าเข้าไปไอออนท่ีมี ประจุบวกท่ีอยู่ใกล้ผนังแคปิ ลลาร่ีจะเคล่ ือนไปยังข้ัวลบ (คาโธด) พร้อมๆกับดึงสารละลายอีเล็ก

โตรไลต์ไปด้วย การไหลอีเล็กโตรออสโมซิสสุทธิจึงไปยังข้ัวคาโธด ผลของอีเล็กโตรเอ็นดอสโมซิส ทำาให้แถบตัวอย่างไม่ชัดเจน

ภาพที่ 1 ภาพซ้ายเป็ นทิศทางการเคล่ อ ื นท่ีของโมเลกุลท่ีแยกโดยอีเล็กโตรโฟรีซิส ลูกศรแสดงทิศทางการ เคล่ อ ื นท่ีของโมเลกุลไปทางขวา ภาพขวาแสดงให้เห็นผลของทิศทางการไหลของอีเล็กโตรออสโมซิส (หรืออีเล็กโตร เอ็นดอสโมซิส) ท่ีเกิดเน่ ืองจากประจุลบท่ีบนผิวแก้วหรือท่ีเป็ นตัวกลาง (gel matrix) จะดึงดูดไอออนของน้ำ (H3O ) +

และทำาให้น้ำถูกขนส่งในทิศทางตรงข้าม (ไปทางซ้าย) เป็ นผลให้เกิดแถบตัวอย่างท่ีกระจายออกไม่ชัดเจน

วุ้นอะกาโรส ตัวกลางทีใช้แยกในระยะแรกใช้กระดาษและแผ่นเซลลูโลสอะซีเตทเหมาะกับกรดอะมิโน

เปปไทด์ คาร์โบไฮเดรต และโมเลกุลเล็กๆแต่ให้ผลการแยกไม่ดีสำาหรับสารโมเลกุลใหญ่เช่น

โปรตีนและกรดนิวคลิอิก การเริ่มนำาเจลเข้ามาใช้ช่วยทำาให้วิธีวิเคราะห์สารโมเลกุลใหญ่ดีขึ้น เจล

ท่ีใช้ระยะแรกเป็ นเจลจากแป้ งต่อมานิยมใช้เจลจากอะกาโรสหรืออะคริลาไมด์ อะกาโรสใช้ในอีเล็ก โตรโฟรีซิสของโปรตีนและกรดนิวคลิอิก สำาหรับโปรตีนอาจใช้ความเข้มข้น 1 % ในเทคนิคเช่น

อิมมิวโนอีเล็กโตรโฟรีซิส (immunoelectrophoresis) หรือ ไอโซอีเล็กตริคโฟกัสซิ่ง (flat-bed isoelectric focusing) การทำาอีเล็กโตรโฟรีซิสสำาหรับตัวอย่างดีเอ็นเอส่วนมากใช้เจลอะกาโรส

เน่ ืองจากโมเลกุลดีเอ็นเอและชิ้นของดีเอ็นเอท่ีนำามาวิเคราะห์สว ่ นมากมีขนาดใหญ่กว่าโปรตีนมาก 6

ตัวอย่างเช่นพลาสมิด pBR322 ขนาด 4.36 kb มีน้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 2.4x10 และชิน ้

ดีเอ็นเอท่ีได้จากการตัดด้วยเอ็นไซม์ขนาด 1 kb มีน้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 620000 ขนาดท่ีใหญ่น้ี ทำาให้ไม่สามารถผ่านเข้าเจลอะคริลาไมด์ต้องใช้เจลอะกาโรสแทน ยกเว้นกรณีท่ต ี ้องการหาลำาดับ

เบสของดีเอ็นเอจะใช้เจลอะคริลาไมด์ความเข้มข้น 3.5 % สำาหรับแยกดีเอ็นเอขนาด 80-1000 nts

Medical Biotechnology Laboratory Manual

4

2552 / 2

(นิวคลีโอไทด์) , 12% สำาหรับขนาด 20-100 nts และใช้เจลความเข้มข้นไล่ระดับ (gradient gels) เช่น 3.5-7.5%

ภาพที่ 2 แสดงโครงสร้างเคมีของอะกาโรสและลักษณะท่ีจับกันเกิดเป็ นรูหลังจากเตรียมเป็ นเจล

อะกาโรสแยกได้จากวุ้นของสาหร่ายทะเลเป็ นโพลีแซคคาไรด์เชิงเส้นตรง น้ำหนักโมเลกุล สัมพัทธ์เฉล่ียประมาณ 12000 ประกอบด้วยอะกาโรไบโอสต่อๆกัน (อะกาโรไบโอสประกอบด้วย

กาแลคโตสจับกับแอนไฮโดรกาแลคโตส (3,6-anhydrogalactose) ความเข้มข้นท่ีใช้ขึ้นกับขนาด ของกรดนิวคลิอิกท่ีจะแยก หลังจากต้มจนใสแล้วเทขึ้นรูปเจลจะเกิดพันธะไฮโดรเจนท้ังภายในและ ระหว่างสายของอะกาโรส การเกิดพันธะข้ามไปมาในโครงสร้างทำาให้เจลมีคุณสมบัตต ิ ้านการพา

ความร้อนได้ดี เจลท่ีความเข้มข้นต่ำจะมีขนาดรูใหญ่ในขณะท่ค ี วามเข้มข้นสูงๆขนาดรูในเจลจะเล็ก

ในกรณีท่ีมีการแทนท่ีในน้ำตาลด้วยหมู่เคมีต่างๆ เช่น คาร์บอกซิล เมธอกซิล ไพรูเวต และท่ีสำาคัญ คือหมู่ซัลเฟตทำาให้เกิดผลเสียจากการเกิด electroendosmosis อะกาโรสท่ีจำาหน่ายมีเกรด

ความบริสุมธิแ ์ ตกต่างกันขึ้นกับปริมาณซัลเฟตถ้ามีปริมาณซัลเฟตน้อยกว่าจะมีความบริสุทธิส ์ ูง กว่า ในการใช้ในการวิเคราะห์น้ีจะต้องใช้เกรดสำาหรับงานอณูชีววิทยา

ข้อดีอีกประการของการใช้อะกาโรสคือมีอะกาโรสท่ีมีอุณหภูมิหลอมเหลวต่ำ (62-65 องศา

เซลเซียส) ทำาให้สามารถแยกดีเอ็นเอกลับคืนจากเจลได้อีกโดยการหลอมให้เป็ นของเหลวอีกคร้ัง การทำาอีเล็กโตรโฟรีซิสสำาหรับดีเอ็นจาก PCR และพลาสมิด

ดีเอ็นเอมีประจุจากหมู่ฟอสเฟตซึ่งทำาให้ดีเอ็นเอมีประจุต่อหน่วยความยาวเท่ากันและจะ เคล่ ือนไปยังข้ัวแอโนด ส่วนการแยกของโมเลกุลจะเกิดจากความต้านทานการเคล่ ือนท่ค ี ือโมเลกุล

ท่ีมีขนาดใหญ่จะเคล่ ือนผ่านไปได้ยากกว่าโมเลกุลขนาดเล็ก โมเลกุลท่ีมีขนาดใหญ่มากๆอาจติดอยู่ กับท่ีเคล่ ือนผ่านไปไม่ได้และโมเลกุลท่ีเล็กท่ีสุดจะเคล่ ือนได้เร็วท่ีสุด ดังน้ันเพ่ ือให้สามารถแยก

ดีเอ็นเอได้ดีจะต้องเลือกปริมาณความเข้มข้นของอะกาโรสท่ถ ี ูกต้องเพ่ ือท่ีจะเกิดรูในเจลท่ีเหมาะสม การใช้เจลท่ีมีอะกาโรส 0.3 % จะแยกดีเอ็นสายคู่ขนาด 5-60 kb ส่วน 2 % จะแยกดีเอ็นเอขนาด

0.1-3 kb สำาหรับเปอร์เซ็นต์ของอะกาโรสสำาหรับแยกดีเอ็นเอขนาดอ่ ืนๆแสดงในตาราง เน่ ืองจาก

Medical Biotechnology Laboratory Manual

5

2552 / 2

ในเจลอะกาโรสดีเอ็นเอจะแยกกันตามขนาดโมเลกุลขนาดของดีเอ็นเอจึงสามารถหาได้โดยการ เปรียบเทียบกับการแยกชิ้นของดีเอ็นเอมาตรฐานท่ีทราบขนาดแน่นอน (standard DNA marker) ไปด้วย ภาพที่ 3 เจลอะกาโรสวางในกล่องอีเล็กโตรโฟรีซิสโดยมีบัฟเฟอร์ท่วมประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และ

ตำาแหน่งหลุมท่ีใส่ตัวอย่างอยู่ด้านข้ัวลบ

หลังจากเตรียมเจลท่ีมีความเข้มข้นของอะกาโรสท่ต ี ้องการแล้วจะนำาไปวางในกล่องอีเล็ก โตรโฟรีซิส (electrophoresis tank) เน่ ืองจากเจลจะวางจุ่มในบัฟเฟอร์ในแนวระนาบจึงอาจเรียก เจลน้ีว่า submarine หรือ submerged gels ตัวอย่างดีเอ็นเอจะผสมในบัฟเฟอร์สำาหรับหยอด

ตัวอย่าง (loading buffer) ซึ่งมีส่วนผสมของกลีเซอรอลท่ีทำาให้สารละลายตัวอย่างมีน้ำหนักและ ตกลงในหลุ่มในเจล และมีสีบรอมฟี นอลบูล (bromophenol blue) เพ่ ือให้เห็นแนวหน้าของการ เคล่ ือนท่ี ในเจลสำาหรับดีเอ็นเอน้ีไม่มีเจลช่วงแรกท่ีเรียก stacking gel ในการแยกโปรตีนใน

เจลอะคริลาไมด์ เน่ ืองจากตัวอย่างโมเลกุลดีเอ็นเอจะรวมกันเข้มข้นทันทีภายในไม่ก่ีนาทีเม่ ือให้ กระแสไฟฟ้ า สำาหรับเจลขนาดกว้าง 12 ซ.ม. ยาว 25 ซ.ม. จะใช้ศก ั ย์ไฟฟ้ า 1.5 โวลต์ต่อเซ็นติ

เมตร นานข้ามคืน ถ้าใช้เจลขนาดเล็ก (minigels) ความยาว 10 ซ.ม. จะได้การแยกของดีเอ็นเอ พอควรในเวลา 2-3 ช่ว ั โมง ภาพที่ 4 เจลอะกาโรสหลังจากหยอดตัวอย่างและทำาอีเล็กโตรโฟรีซิส จะเห็นแถบสีเคล่ อ ื นท่ี สีท่ี 1 เป็ นสีของ บรอมฟี นอลบูลเคล่ อ ื นในความเร็วเทียบกับดีเอ็นเอสายคู่ขนาดประมาณ 300 เบส ส่วนสีท่ีสองเป็ นสีของไซลีนไซยา นอลเทียบได้กับการเคล่ ือนท่ีของดีเอ็นเอประมาณ 4 กิโลเบส

Medical Biotechnology Laboratory Manual

6

2552 / 2

การย้อมส่วนมากใช้สารละลายเอธิเดียม โบรไมด์ (ethidium bromide) 0.5 μg /ml และ

ดูการเรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลท ( λ เท่ากับ 300 nm) จะเห็นดีเอ็นเอเรืองแสงสีส้มแดง ดีเอ็นเอปริมาณเล็กน้อยเท่ากับ 10 นาโนกรัมจะเห็นเป็ นแถบขนาดกว้าง 1 เซ็นติเมตร ข้อควร

ระวังดีเอ็นเอท่ีถก ู แสงยูวน ี านจะทำาลายดีเอ็นเอโดยทำาให้ขาดและเกิดการจับคู่ (dimerisation) ถ้า ดีเอ็นเอจะต้องนำาไปใช้ต่อไม่ควรจะส่องด้วยแสงอัลตราไวโอเลทเป็ นเวลานาน ผู้ปฏิบัติในข้ันตอนน้ี

ต้องสวมหน้ากากป้ องกันตาจากแสงยูวี และสวมถุงมือในการจับเจลเน่ ืองจากเอธิเดียมโบรไมด์เป็ น สารก่อมะเร็ง

ตารางที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของอะกาโรสท่ีเหมาะสำาหรับแยกชิ้นดีเอ็นเอขนาดต่างๆ

อะกาโรส (%)

ปริมาณอะกาโรส (gm.) สำาหรับปริมาตร 50 มล.

ขนาดของดีเอ็นเอท่ีแยกได้ดี (kb)

0.7

0.35

1 - 12

0.8

0.4

0.5 - 5

1.0

0.5

0.2 - 2

1.2

0.6

0.1 - 1

วัสดุ อุปกรณ์ 1. ถาดพลาสติกสำาหรับหล่อเจลอะกาโรส

2. แผ่นพลาสติกคล้ายหวีสำาหรับทำาหลุมหยอดตัวอย่าง (comb) 3. เทปกระดาษสำาหรับปิ ดด้านข้างของถาดพลาสติก 4. อะกาโรสในฟลาสขนาด 125 มล.

5. ดีเอ็นเอมาตรฐาน (standard DNA marker, ladder) 6. บัฟเฟอร์ TBE (0.5%)

7. บัฟเฟอร์สำาหรับหยอดตัวอย่าง (loading buffer) เข้มข้น 6 เท่า

8. หลอดไมโครฟิ วจ์ 1.5 มล.สำาหรับผสมตัวอย่างกับ loading buffer 9. ออโตไปเปตขนาด 10-100 ไมโครลิตร 10.ไมโครเวฟ

11.กล่องอีเล็กโตรโฟรีซิส (electrophoresis tank)

12.เคร่ ืองควบคุมกำาลังไฟฟ้ า (stabilised power supply) 13.สารละลายเอธิเดียมโบรไมด์

14.ตูแ ้ สงอัลตราไวโอเลทพร้อมกล้องบันทึกภาพต่อเช่ ือมกับคอมพิวเตอร์ 15.หน้ากากกันแสงยูวี 16.ถุงมือยาง

Medical Biotechnology Laboratory Manual

7

2552 / 2

17.ภาชนะใส่เจลท่ีใช้แล้ว

18.ภาชนะใส่ถุงมือใช้แล้ว 19.ภาชนะใส่ทพ ิ ใช้แล้ว วิธีทำา

เตรียมเจลอะกาโรส 1. พิจารณาจากตารางเปอร์เซ็นต์อะกาโรส เลือกเปอร์เซ็นต์ท่ีเหมาะสมสำาหรับการแยก ดีเอ็นเอในการทดลองน้ี

2. เตรียมถาดสำาหรับหล่อเจล โดยนำาถาดท่ีล้างสะอาดไม่มีดีเอ็นเอติดจากการใช้คร้ังก่อน และ แห้งสนิท ปิ ดด้านข้างถาดด้วยเทปเพ่ ือไม่ให้อะกาโรสท่ียง ั เหลวอยู่ไหลออก นำาไปแล้ววาง บนแผ่นกระดาษทิชชูบนโต๊ะพ้ น ื ราบ

3. นำา comb ท่ีสะอาดขนาดท่ีเหมาะกับงานและสามารถทำาให้เกิดหลุมหยอดตัวอย่างมากเท่า ท่ีต้องการ อย่าลืมเผ่ ือ 1 หลุมสำาหรับหยอดดีเอ็นเอมาตรฐาน วาง comb ตรงตำาแหน่งวาง comb บนถาดท่ีแถวบน ในบางคร้ังถ้าต้องการจำานวนหลุมมากขึ้นอาจวาง comb อีกหนึ่ง อันท่ีตรงกลางถาด

4. ช่ังอะกาโรสสำาหรับเตรียมเจลปริมาตร 50 มล. ใส่ในฟลาสก์ท่ีแห้งสะอาดท่ีผ่านการนึ่งออ โตเคลฟแล้ว

5. เติมบัฟเฟอร์ TBE ลงไป 50 มล. เขย่าฟลาสก์เบาๆเพ่ ือกระจายอะกาโรสในบัฟเฟอร์ 6. นำาฟลาสก์ในข้อ 5 ไปหลอมในตู้ไมโครเวฟ ประมาณ 1 นาที ให้สารละลายเดือดเพียงนิด เดียว สวมถุงมือและใช้กระดาษซับจับฟลาสก์แกว่งจนผสมดีแล้วให้ความร้อนอีกคร้ังจน

เดือดเล็กน้อย ทำาเช่นน้ีจนกว่าอะกาโรสจะหลอมหมดจนเห็นเจลเหลวใส ระมัดระวังขณะท่ี

เดือดจะเดือดมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากเกินจนดันเจลล้นออกจากฟลาสก์ ดังน้ันอย่าปล่อยให้ เดือดมากกว่า 10 วินาที

7. ปล่อยให้ฟลาสก์เย็นลงประมาณ 5-10 นาที แกว่งฟลาสก์เป็ นคร้ังคราว 8. เติมเอธิเดียมโบรไมด์ 2 ไมโครลิตรแล้วผสม จากน้น ั ค่อยๆเทลงในถาดท่ีเตรียมไว้ (เพ่ ือให้ ล้างฟลาสก์ได้ง่ายให้ชะเจลด้วยน้ำก่อนท่ีเจลท่ีเหลอในฟลาสก์จะแข็งตัว)

9. ถ้ามีฟองใช้ปลายทิพเข่ียให้อยู่ข้างๆ

10.ปล่อยให้เจลแข็งตัว ระหว่างอย่าเคล่ ือนย้ายถาด 11.เม่ ือเจลแข็งตัวให้ดึง comb ออก ให้ดึงขึ้นตรงๆระวังอย่าทำาให้หลุมหยอดตัวอย่างแตก

12.ถ้ายังไม่ใช้ทันทีสามารถเก็บได้นาน 1 เดือน โดยห่อด้วยพลาสติกห่ออาหารแล้วเก็บในตู้ เย็น

Medical Biotechnology Laboratory Manual

8

2552 / 2

อีเล็กโตรโฟรีซิส วางแผนว่าจะใส่ตัวอย่างใดในหลุมใด ปรกติตว ั อย่างท่ีจะเปรียบเทียบกันหยอดใส่ในหลุมติด

กัน ส่วนตัวอย่างท่ีจะหาขนาดแน่นอนให้หยอดในหลุมติดกับ ladder

1. ไปเปต 2 ไมโครลิตรของ loading buffer (6x) ใส่ในหลอดไมโครฟิ วจ์ตามจำานวนตัวอย่าง และ 1 ไมโครลิตรใส่ในหลอดไมโครฟิ วจ์สำาหรับ ladder

2. ไปเปตตัวอย่างดีเอ็นเอ 10 ไมโครลิตรและ ladder 5 ไมโครลิตรใส่ในหลอดข้อ 1 ใช้ไปเปต ดูดขึ้นลงเพ่ ือผสมให้เข้ากัน

3. วางถาดเจลท่ีเตรียมในข้ันตอนแรกวางลงในกล่องอีเล็กโตรโฟรีซิส

4. เติมบัฟเฟอร์ 0.5xTBE ลงในกล่องจนท่วมเจลประมาณ 1-2 มิลลิเมตร 5. ดูดตัวอย่างและ ladder ท่ีผสม loading buffer แล้วลงในหลุม วางหลอดเป็ นลำาดับเพ่ ือ ช่วยเตือนความจำาว่าหลุมใดเป็ นตัวอย่างอะไร (และจดบันทึกในสมุดบันทึกต่อไป)

6. ปิ ดฝากล่องแล้วต่อสายเข้าเคร่ ืองให้กระแสไฟฟ้ า ให้ข้ัวลบอยู่ใกล้กับหลุมท่ีหยอดตัวอย่าง ดีเอ็นเอ

7. เปิ ดเคร่ ืองให้กำาลังไฟฟ้ า โดยต้ง ั ค่าศักย์ไฟฟ้ าท่ี 90 โวลต์ จะเห็นฟองเล็กๆออกจากข้ัวอีเล็ก โทรด สังเกตว่าสีเคล่ ือนทีออกไปจากหลุมอย่างถูกต้อง

8. ทำาอีเล็กโตรโฟรีซิสนาน 1 ช่ัวโมงหรือจนกว่าสีของ loading buffer เคล่ ือนมาถึงประมาณ กลางเจล หรือถ้าตัวอย่างมีขนาดเล็กมากควรปิ ดเคร่ ืองให้กำาลังไฟเม่ ือสีเคล่ ือนมา 1 ใน 4 ของเจล

9. นำาเจลไปส่องดูด้วยแสงยูวี ใช้ซูมปรับภาพให้โฟกัสชัดเจน และถ่ายภาพท้ังตอนท่ีสีเคล่ ือน มาท่ี 1 ใน 4 ของเจล และอีกคร้ังเม่ ือสีเคล่ ือนไปมากขึ้นซึ่งจะทำาให้ชิ้นดีเอ็นเอขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นชัดเจน

ภาพที่ 5 ให้ต่อข้ัวลบของคาโธดเข้ากับข้ัวอิเล็กโทรดด้านท่ีหยอดตัวอย่าง สังเกตว่าข้ัวลบใช้สายสีแดงและ ข้ัวบวกใช้สายสีดำา

Medical Biotechnology Laboratory Manual

9

2552 / 2

ภาพที่ 6 เอธิเดียม โบรไมด์จะจับระหว่างช้ันของเบสในโมเลกุลของดีเอ็นเอ เม่ อ ื ถูกแสงยูวีจะปรากฏการ เรืองแสงเป็ นสีส้มแดง

วิเคราะห์หาขนาดของดีเอ็นเอของ PCR และพลาสมิด 1. ขณะถ่ายภาพให้มีไม้บรรทัดฟลูออเรสเซ็นต์ในภาพด้วย

2. วัดแต่ละแถบดีเอ็นเอจากก้นหลุมไปจนถึงตรงกลางแถบดีเอ็นเอตัวอย่างและดีเอ็นเอ มาตรฐาน

3. นำากระดาษกราฟลอการิธึมสองไซเคิลมา ส่วนบนของไซเคิลแรกเท่ากับ 1 kb และส่วนบน ของไซเคิลอันบนเท่ากับ 10 kb ทำาเคร่ ืองหมายตรงตำาแหน่งขนาดของ ladder ท่ีรู้โดย ตำาแหน่งท่ีทำาเคร่ ืองหมายน้น ั ควรจะมีช่วงเหมือนกับท่ีปรากฏบนเจล

4. แบ่งแกน x (แนวระนาบ)เป็ นเซ็นติเมตร สำาหรับการเคล่ ือนท่ีของดีเอ็นเอ แถบดีเอ็นเอท่ี เคล่ ือนท่ีเร็วท่ส ี ุดจะอยู่ใกล้ขอบขวาของกระดาษ เขียนกราฟตำาแหน่งของชิ้นดีเอ็นเอใน ladder

5. ลากเส้นต่อจุดดีเอ็นเอของ ladder ให้สม่ำเสมอเป็ นเส้นโค้งเรียบๆ บริเวณใกล้ๆ 1.6 kb ควรจะเกือบเป็ นเส้นตรง แต่เป็ นเส้นโค้งเล็กน้อยท่ีส่วนปลาย

6. หาตำาแหน่งบนแกน x สำาหรับแถบดีเอ็นเอของตัวอย่าง แล้วลากเส้นมาจด ladder แล้ว ลากไปทางซ้ายมือเพ่ ือหาขนาด

7. ความคลาดเคล่ ือนเกิดตรงตำาแหน่งท่ีโค้งหรือใส่ตัวอย่างมากเกิน (ตัวอย่างมากเกินทำาให้ แถบดีเอ็นเอเคล่ ือนท่ีล้ำหน้ากว่าท่ีควร) ดังน้น ั ต้องพิจารณาเลือกตำาแหน่งบนแถบดีเอ็นเอท่ี เหมาะสมในการวัด หมายเหตุ

1. การทดลองน้ีต้องการทราบขนาดของพลาสมิดและดีเอ็นเอจาก PCR โดยประมาณ เท่าน้ัน จึงไม่ต้องทำาการสร้างกราฟ

2. ให้สังเกตในหลุมตัวอย่างพลาสมิดว่ามีก่ีแถบ และการเคล่ ือนท่ีของพลาสมิดรูปร่างต่าง กันแตกต่างกันอย่างไร

Related Documents


More Documents from "somchais"