บทที่ 15 การสรางเสริมภูมิคุมกันโรคและภูมิคุมกันบําบัด (Vaccination and Immunotherpy) วัชระ กสิณฤกษ บทนํา เปนที่ยอมรับกันโดยทัว่ ไปแลววาวิธกี ารทีด่ มี ากวิธหี นึง่ ในการปองกันโรคก็คอื การใชวคั ซีน (vaccine) เพื่อกระตุนใหเกิดภูมคิ มุ กันตอโรคนัน้ ๆ ขึ้น ซึ่งเมื่อคนนั้นๆ ไดรบั เชือ้ โรคนัน้ อีกในภายหลัง ระบบภูมิคุมกันที่ถกู กระตุน ใหเกิดขึน้ แลวนัน้ จะเขาทําลายเชือ้ โรค ทําใหผทู ไ่ี ดรบั เชือ้ โรคไมเปนโรค ดังที่ไดเรียนกันมาแลววาเมือ่ รางกายไดรบั แอนติเจน แอนติเจนจะไปกระตุน ระบบภูมคิ มุ กัน ทั้งชนิด humoral mediated immunity และ cell-mediated immunity (รวมถึง cytotoxic T cell response หรือ CTL response) ขึ้น นอกจากนีแ้ อนติเจนดังกลาวยังกระตุน ใหเกิด immunological memory ขึ้น (รูปที่ 15-1) ซึ่ง immunological memory ทัง้ memory B lymphocytes และ memory T lymphocytes ทําใหเกิดการจดจําของระบบภูมคิ มุ กัน และเมือ่ รางกายไดรบั แอนติเจนชนิดเดิมอีกใน ครั้งตอๆ ไป การกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันจะเกิดไดมากและรวดเร็วกวาการกระตุน ในครัง้ แรก (รูปที1่ 5-2) ดังนั้นการใหวัคซีนจึงเปนการกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันใหเตรียมพรอมกอนทีร่ า งกายจะเจอเชือ้ โรคจริงใน โอกาสตอไป
รูปที่ 15-1 แสดง immune responses และ immunological memory 15-1
รูปที่ 15-2 แสดง primary และ secondary antibody response
การสรางเสริมภูมคิ มุ กันโรค (Immunization) การสรางเสริมภูมคิ มุ กันโรคหรือการกระตุน ใหรา งกายเกิดภูมติ า นทานโรค สามารถแบงออก เปน 2 ชนิดใหญๆ คือ passive immunization และ active immunization
Passive immunization หมายถึงการนําเอาภูมคิ มุ กันโรค (จากคนหรือสัตวอน่ื ) มาใหแกผรู บั โดยตรง เพื่อใหผรู บั เกิด ภูมิคุมกันโรคขึ้น วิธี passive immunization นี้เปนการนําเอาซีรมั ทีม่ แี อนติบอดีทจ่ี าเพาะต ํ อแอนติเจน ที่สนใจ (อาจเรียกวา แอนติซรี มั ; antiserum) มาฉีดใหแกผูรับ หรืออาจหมายถึงการนําเอา immune cells เชน lymphocytes จากผูที่มีภูมิคุมกันโรคแลวมาใหผูรับ เพื่อใหผูรับเกิดภูมิคุมกันโรคขึ้นมา โดยไมตอ งสรางเอง จะเห็นไดวา โดยวิธี passive immunization นี้ ไมไดมกี ารฉีดกระตุน ผูร บั ดวย แอนติเจนเลย แตเปนการนําเอาภูมคิ มุ กันทีม่ อี ยูแ ลวจากบุคคลอืน่ หรือจากสัตวอน่ื มาให เพื่อใหผูรับ มีภูมิคุมกันโรคขึ้น (รูปที่ 15-3) ภูมิคุมกันที่นามาให ํ ผรู บั ใน passive immunization ไดแก ซีรัม (บางที่ เรียกวา แอนติซรี มั ; antiserum) หรือ โกลบูลนิ เขมขน (concentrated immunoglobulin) จากคนปกติ
15-2
ที่ไดรับการกระตุนกอนแลวดวยแอนติเจนทีส่ นใจ หรือจากคนทีห่ ายจากโรคติดเชือ้ นอกจากนีย้ งั อาจ ใชซีรัมจากสัตวทไ่ี ดฉดี กระตุน กอนดวยแอนติเจนทีส่ นใจ (รูปที่ 15-3)
รูปที่ 15-3 แสดง ขัน้ ตอนการผลิตและการให passive immunization เพื่อปองกันโรคบาทะยัก นอกจากการใหแอนติบอดีแลว ปจจุบนั ยังมีการนําเอา lymphocytes จากคนที่มีภูมิคุมกันโรค (เรียกวา immune lymphocytes) หรือ macrophages มาใหผูรับเพื่อเสริมสรางภูมิคุมกันชนิด cellmediated immunity การนําเอาเซลลจากคนหนึ่งไปใหอีกคนหนึ่งเพื่อเสริมสรางภูมิคุมกันนี้อาจเรียก อีกอยางวา adoptive immunization วิธี adoptive immunization นี้ปจจุบันยังไมประสบผลสําเร็จ เทาทีค่ วร ทั้งนี้เพราะเซลลที่ใหเขาไปอาจมี histocompatibility antigen หรือ HLA แตกตางจากผูรับ ทําใหเกิดมีปฏิกริ ยิ าตอตานซึง่ กันและกัน การให passive immunization แบบ adoptive immunization นี้ยังอยูใ นระหวางการศึกษาวิจยั 15-3
ตัวอยางของแอนติบอดีทใ่ี ชใน passive immunization และการใชงานดังแสดงในตารางที่ 15-1 ตารางที่ 15-1 แสดงการให passive immunization เพื่อการปองกันโรคตางๆ โรค ที่มาของแอนติบอดี การใชงาน Measles Hepatitis A Hepatitis B Rubella Varicella Botulism Diphtheria Rabies Tetanus
Human Human Human Human Human Equine Equine Human and Equine Human and Equine
Post exposure Pre exposure; Post exposure Post exposure Post exposure Prophylaxis in immunosuppressed individuals Post exposure and treatment Post exposure Post exposure Post exposure and treatment
ขอดีของวิธี passive immunization 1. เปนการเสริมสรางภูมติ า นทานโรคเพือ่ ใหเกิดผลการปองกันโรคอยางทันทีทนั ใด เชนการให anti-rabies antibody แกคนที่ถูกสุนขั ทีเ่ ปนโรคพิษสุนขั บากัด 2. เปนการเสริมสรางภูมคิ มุ กันโรคแกบคุ คลทีไ่ มสามารถสรางแอนติบอดีไดเอง เชน ในผูป ว ย immunodeficiency diseases หรือในเด็กแรกคลอด
ขอดอยของวิธี passive immunization 1. วิธี passive immunization ภูมิคุมกันที่ไดรับจะอยูในรางกายไมนาน (short-lived immunity) 2. ผูรับอาจเกิดการแพอยางรุนแรงหลังไดรับแอนติซีรัม เชน เกิด acute anaphylaxis ซึ่งอาจ ทําใหผรู บั ซีรัมนัน้ เสียชีวติ ได หรือเกิดการแพชนิด serum sickness ในเวลาตอมา 3. ผูรับอาจติดเชือ้ จากซีรมั ทีใ่ ห เชน HIV หรือ Hepatitis virus เปนตน 4. ในกรณีของ adoptive immunization immune lymphocytes ที่ใหอาจเปนอันตรายกับ ผูร บั ได (graft versus host reaction) 5. แอนติบอดีท่ีใหสามารถกดการกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันของ active immunization (ดูความ หมายของ active immunization ในหัวขอตอไป) 15-4
Active immunization หมายถึงการฉีดแอนติเจน (หรือทีเ่ รียกวาวัคซีน; vaccine) เขาไปในรางกายเพือ่ กระตุน ใหรา งกายผูร บั สรางภูมคิ มุ กันโรคขึน้ เอง การใหวคั ซีนเปนการกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันและ immunological memory ใหเกิดขึ้น และเมือ่ รางกายไดรบั เชือ้ โรคจริงๆ ตัวเชือ้ โรคเองจะกระตุน memory T และ B lymphocytes และทําใหเกิดภูมคิ มุ กันโรคทีม่ าก และรวดเร็ว สุดทายทําใหเชือ้ โรคทีร่ บั เขามาถูก ทําลาย Active immunization สามารถแบงตามชนิดของแอนติเจนทีใ่ ชเปนวัคซีนไดเปน 3 กลุมใหญๆ (รูปที่ 15-4) คือ 1. Killed vaccine หรือ inactivated vaccine เปนวัคซีนที่ไดจากการนําตัวเชือ้ โรคมาฆาดวยความรอน หรือสารเคมี แลวนํามาใชเปนวัคซีน เมื่อใหวคั ซีนชนิดนีเ้ ขาไปในรางกาย killed vaccine จะทําหนาทีเ่ ปนแอนติเจนชนิด exogenous antigen ดังนั้นวัคซีนชนิดนีส้ ามารถกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันชนิด humoral mediated immunity คือ กระตุนการสรางแอนติบอดีได และสามารถกระตุน ภูมคิ มุ กันชนิด cell-mediated immunity ไดเฉพาะ ในสวนของ CD4+ lymphocytes คือสามารถกระตุน CD4+ lymphocytes ใหทํางานได แต killed vaccine ไมสามารถกระตุน CD8+ lymphocytes หรือ cytotoxic T cells (CTL) responses ได เนื่องจาก CTL responses เปนภูมิคุมกันที่มีบทบาทสําคัญในการกําจัดเชือ้ โรคจําพวก intracellular microorganism โดยเฉพาะไวรัส ดังนัน้ killed vaccine จึงใชไมไดผลในการปองกัน virus infection หลายชนิด นอกจากนี้ความรอนหรือสารเคมีทใ่ี ชในการฆาเชือ้ โรคเพือ่ เตรียมเปนวัคซีน อาจทําลาย antigenic determinant บางชนิดของตัวเชื้อ ทําใหเสียคุณสมบัตขิ องการเปน immunogen ในการ กระตุน ระบบภูมคิ มุ กัน killed vaccine ยังอาจจะไมปลอดภัย หากระบบการฆาเชือ้ โรคกอนนําไปใช เปนวัคซีนไมสมบูรณ 2. Sub-unit vaccine เปนวัคซีนทีไ่ ดจากการแยก (purified sub-unit vaccine) หรือสังเคราะหสว นประกอบบางชนิด ของเชื้อโรคโดยอาศัยวิธที าง molecular biology techniques (recombinant vaccine) แลวนํามา ใชเปนวัคซีน นอกจากนี้ sub-unit vaccine อาจเปน toxin ที่เชื้อโรคสราง แลวนํามาทําใหหมดฤทธิ์ ดวยสารเคมี เชน hydrogen peroxide หรือ formaldehyde เรียก toxin ที่หมดความเปนพิษนีว้ า toxoid แลวใชเปนวัคซีน เชนเดียวกับ killed vaccine วัคซีนชนิด sub-unit vaccine นี้จดั เปน exogenous antigen จะกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันชนิด humoral mediated immunity และ CD4+ lymphocytes แตไมสามารถกระตุน CTL response ได Sub-unit vaccine มักมีคุณสมบัติในการ 15-5
กระตุน ระบบภูมคิ มุ กันไดไมดี (low immunogenicity) และกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันไดในระยะสัน้ ดังนัน้ การใชวคั ซีนชนิดนี้ จึงมักตองมีการกระตุน ซํ้า (booster) หลายครั้ง เพือ่ ใหการกระตุน ระบบภูมคิ มุ กัน เกิดไดดยี ง่ิ ขึน้
3. Live attenuated vaccine เปนวัคซีนที่ไดจากการนําเชื้อโรคมาเลี้ยงในสภาวะที่ทาให ํ เชือ้ โรคนั้นออนแอลง และไมทําให เกิดโรค (non-pathogenic) (รูปที่ 15-5 แสดงขัน้ ตอนการเตรียม live attenuated virus) วัคซีนชนิดนี้ เปนตัวเชื้อทีย่ งั มีชวี ติ สามารถกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันไดทกุ ระบบ ทัง้ humoral mediated immunity, CD4+ lymphocytes และ CTL responses แตวัคซีนชนิดนี้มขี อ ดอยคืออาจทําใหเกิดโรคกับผูร บั วัคซีนได โดยเฉพาะกับผูท ม่ี กี ารทํางานของระบบภูมคิ มุ กันบกพรอง live attenuated vaccine อาจ กลายพันธุก ลับสูส ภาพทีก่ อ โรคได (virulent form)
รูปที่ 15-4 แสดง Vaccines ชนิดตางๆ เพื่อใชใน active immunization
15-6
รูปที่ 15-5 แสดง การเตรียม live attenuated virus เพื่อใชเปนวัคซีน เมื่อพิจารณาถึง active immunization โดยรวม จะเห็นไดวา เปนการใหแอนติเจนของเชือ้ โรค ไปกระตุนระบบภูมคิ มุ กันในรางกาย ดังนัน้ การกระตุน ภูมติ า นทานโรคโดยวิธนี จ้ี งึ ตองใชเวลา และเมื่อ ภูมิตานทานโรคเกิดขึ้นแลวจะอยูไดนานกวา passive immunization ตัวอยาง active immunization ที่ใชอยูในปจจุบัน ดังแสดงในตารางที่ 15-2 และ 15-3
ขอดีของวิธี active immunization 1. เปนการกระตุนระบบภูมติ า นใหเกิดขึน้ ในผูร บั วัคซีนเอง ภูมติ า นทานโรคจึงอยูไ ดนาน 2. สามารถกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันใหเกิดขึน้ เฉพาะที่ (local immunity) ได โดยเลือกทางให (route) วัคซีนที่เหมาะสม
ขอดอยของวิธี active immunization 1. ผูไดรับวัคซีนโดยทั่วไปมักเกิดอาการขางเคียง เชนมีไข ครัน่ เนือ้ ครัน่ ตัว หรือปวดบริเวณที่ ฉีดวัคซีน บางชนิดอาจมีอาการจําเพาะ เชน วัคซีนหัดเยอรมัน ทําใหเกิดอาการปวดขอ หรือขออักเสบ เปนตน 2. วัคซีนบางชนิดอาจทําใหเกิดอาการแพไดในบางคน ซึ่งโดยทั่วไป มักเปนการแพสารทีป่ น เปอนในวัคซีน เชนแพโปรตีนของไขที่ใชเลี้ยงเชื้อไวรัสที่ใชทําวัคซีน 3. ผูที่มีภูมิคุมกันบกพรอง หากไดรบั วัคซีนชนิด live attenuated vaccine อาจเกิดโรคจาก การใหวคั ซีนได 4. ในสตรีทก่ี าลั ํ งตั้งครรภ ไมควรไดรับ live attenuated vaccine เพราะเชือ้ ทีเ่ ปนวัคซีนอาจ เปนอันตรายตอทารกในครรภได 15-7
ตารางที่ 15-2 แสดง active immunization ในการปองกันและรักษาโรคตางๆ โรค วัคซีนทีใ่ ช Bacterial diseases
Anthrax Tuberculosis Cholera Diphtheria Hemophilus Meningococcus Whooping cough Plague Pneumococcus Tetanus Typhoid
Purified proteins Modified live (BCG) Killed organisms Toxoid Capsular polysaccharide Capsullar polysaccharide Killed organism or purified proteins Killed organisms Capsular polysaccharide Toxoid Killed or modified live organism
Viral disease
Maesles Mumps Rubella Poliomyelitis Influenza Hepatitis B Rabies Yellow fever
Modified live organisms Modified live organisms Modified live organisms Killed or modified live organisms Killed organisms Recombinant antigen Killed organisms Modified live organisms
15-8
ตารางที่ 15-3 ตารางการฉีดวัคซีนในเด็ก อายุ ชนิดของวัคซีน แรกเกิด วัคซีนปองกันวัณโรค (BCG) วัคซีนปองกันตับอักเสบ บี ครัง้ ที่ 1 1 เดือน วัคซีนปองกันตับอักเสบ บี ครัง้ ที่ 2 2 เดือน วัคซีนรวมปองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (DTP) ครั้งที่ 1 วัคซีนปองกันโปลิโอ (OPV) ครัง้ ที่ 1 4 เดือน วัคซีนรวมปองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (DTP) ครั้งที่ 2 วัคซีนปองกันโปลิโอ (OPV) ครัง้ ที่ 2 6 เดือน วัคซีนรวมปองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (DTP) ครั้งที่ 3 วัคซีนปองกันโปลิโอ (OPV) ครัง้ ที่ 3 วัคซีนปองกันตับอักเสบ บี ครัง้ ที่ 3 9-12 เดือน วัคซีนปองกันหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) ครัง้ ที่ 1 18 เดือน วัคซีนรวมปองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (DTP) ครั้งที่ 4 วัคซีนปองกันโปลิโอ (OPV) ครัง้ ที่ 4 วัคซีนปองกันโรคไขสมองอักเสบ (JEV) ครั้งที่ 1 และ 2 โดยใหหา งกัน 1-2 สัปดาห (เฉพาะในทองที่ที่มีโรคชุกชุม) 2 ปครึง่ วัคซีนปองกันโรคไขสมองอักเสบ (JEV) ครั้งที่ 3 (เฉพาะในทองทีท่ ม่ี โี รคชุกชุม) 4-6 ป วัคซีนรวมปองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (DTP) ครั้งที่ 5 วัคซีนปองกันโปลิโอ (OPV) ครัง้ ที่ 5
15-9
ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงตรงนี้จะเห็นไดวาวัคซีนที่มีใชในปจจุบันยังไมใชวัคซีนที่ดีที่สุด ซึ่งวัคซีน ที่ดีที่สุดนี้ ควรจะเปนวัคซีนทีก่ ระตุน ระบบภูมคิ มุ กันไดทง้ั ชนิด humoral mediated immunity และ cell-mediated immunity ทั้งการกระตุน CD4+ lymphocytes และ CTL responses และตองไมใช ตัวเชื้อโรคที่ยังมีชีวิตเปนวัคซีน จากแนวคิดดังกลาวทําใหนกั วิจยั ทางวิทยาศาสตรการแพทยไดศกึ ษา อยางจริงจังเพื่อพัฒนาวัคซีนและวิธีการใหวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากกวาเดิม และโดยอาศัยความรู ทาง molecular biology และ immunology จนในที่สุดก็ไดพบวิธกี ารหรือเทคนิคใหมๆ ทีเ่ รียกวา DNA vaccination ที่นาจะเปนวิธกี ารทีจ่ ะบรรลุวตั ถุประสงคดงั กลาว
DNA vaccine หลักการของ DNA vaccination (ดูรปู ที่ 15-6 ประกอบ) DNA vaccination หรือ DNA immunization เปนเทคนิคทีอ่ าศัยหลักการคือ เมือ่ นํายีนที่ กําหนดการสรางโปรตีนใดๆ ทีส่ นใจไปเชือ่ มตอใน eukaryotic expression plasmid vector ซึ่งภาย ใตสภาวะที่เหมาะสม ยีนที่เชื่อมตอใน plasmid vector นั้นจะสรางเปน encoded protein ออกมา ซึ่ง ถาการแสดงออกของยีนดังกลาวเกิดขึน้ ในรางกายของสิง่ มีชวี ติ และถา encoded protein นั้นๆ มี คุณสมบัตเิ ปน antigenic protein ก็จะไปกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันของรางกายและทําใหรา งกายเกิด ภูมิคุมกันตอบสนองตอโปรตีนนัน้ ๆ ขึ้น โดยพบวาระบบภูมคิ มุ กันทีถ่ กู กระตุน ใหเกิดขึน้ โดยวิธนี ม้ี ที ง้ั humoral mediated immunity, cell-mediated immunity ทั้งกระตุน CD4+ lymphocytes และ CTL response
รูปที่ 15-6 แสดงหลักการของวิธี DNA vaccination เพื่อปองกัน Influenza virus 15-10
กลไกการกระตุนระบบภูมิคุมกันโดย DNA vaccine กลไกการกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันโดยวิธี DNA vaccination ยังไมทราบแนชดั อยางไรก็ตาม เชื่อวานาจะมีกลไกดังนี้คือ เมื่อฉีด DNA ที่กําหนดการสรางโปรตีนทีส่ นใจและเชือ่ มตออยูใ น plasmid vector ที่เหมาะสมเขาสูรางกาย plasmid DNA จะเขาสูเซลลเปาหมายซึ่งอาจเปนเซลลกลามเนื้อ หรือเซลลใตผิวหนัง ทั้งนี้ขึ้นกับ route และวิธีการฉีด โดยอาศัย transcription และ translation mechanism ของเซลล ยีนทีแ่ ทรกอยูใ น plasmid vector จะถูกสรางเปน antigenic protein เมื่อ พิจารณาถึงตรงนี้จะเห็นวา antigenic protein ที่ถูกสรางขึ้นมานี้จะถูกสรางภายในเซลล ดังนั้นจึงถูก process และกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันคลายกับ endogenous antigen ทั่วๆ ไป กลาวคือ antigenic protein จะถูก process เปน peptide antigen ขนาดเล็กภายใน cytoplasm และสงไปจับกับ major histocompatibility complex (MHC) class I molecule จากนั้นจะถูกสงไปบนผิวเซลลเพื่อกระตุน CD8+ lymphocytes เกิดเปน cytotoxic T lymphocytes ซึ่งสามารถทําลาย infected cells ได (เรียกระบบภูมคิ มุ กันแบบนีว้ า CTL response) Antigenic protein สวนหนึง่ จะถูกปลอยออกนอกเซลล ซึง่ อาจเกิดจาก antigenic protein นั้นมีคณ ุ สมบัตเิ ปน secreted protein หรือเกิดจากการทีเ่ ซลลถกู ทําลาย ซึ่ง antigenic protein ที่ ออกมานอกเซลลเหลานี้จะถูก process และกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันเชนเดียวกัน exogenous antigen คือถูก uptake โดย antigen presenting cells จากนัน้ จะถูกตัดเปน peptide ทอนสัน้ ๆ แลวสงออก มาบนผิวเซลลรวมกับ MHC class II molecule และสงไปกระตุน CD4+ cells ใหหลั่ง lymphokines ออกมา ซึ่ง lymphokines เหลานี้สามารถกระตุน ใหเซลลตา งๆ ในระบบภูมิคุมกันเชน monocytes, macrophages, neutrophils, B lymphocytes, CD4+ lymphocytes, CD8+ lymphocytes และ NK cells ใหทํางานไดดยี ง่ิ ขึน้ การทํางานของเซลลเหลานีก้ อ ใหเกิดการทํางานของระบบภูมคิ มุ กันที่ เรียกวา cell-mediated immunity antigenic protein สวนหนึง่ สามารถกระตุน B lymphocytes และโดยความชวยเหลือของ lymphokines ที่ปลอยมาจาก activated CD4+ lymphocytes ทําให B lymphocytes ที่ถูกกระตุน แลวนีก้ ลายเปน plasma cells สรางแอนติบอดีออกมา แอนติบอดีทส่ี รางออกมานีส้ ามารถจับและ ทําลายเชื้อโรคได เกิดเปนการตอบสนองทาง humoral mediated immunity ขึ้น
15-11
Plasmid vector ที่ใชใน DNA vaccine ดังไดกลาวมาแลววาในงาน DNA vaccination จําเปนตองมีการเชือ่ มตอยีนทีส่ นใจเขากับ plasmid vector ที่เหมาะสมเพือ่ ควบคุมการแสดงออกของยีน โดยทัว่ ไป plasmid vector ที่ใชในงาน DNA immunization ควรประกอบดวยสวนตางๆ คือ 1. Transcriptional promoter ตองเปน promoter ที่สามารถทํางานไดใน eukaryotic cells ทําหนาทีค่ วบคุมให gene ที่สอดใสหลัง promoter นี้เกิดการ transcription 2. Enhancer element ทําหนาทีเ่ พิม่ กระบวนการ gene expression สวนนี้อาจจะมีหรือไมมี ก็ได 3. สวนของยีนทีก่ าหนดการสร ํ าง antigenic protein ที่สนใจ โดยแทรกเขาไปใน vector ใน ตําแหนงหลัง eukaryotic promoter 4. RNA-processing elements ไดแก polyadenylation signal และ intron element ทํา หนาทีช่ ว ยเพิม่ กระบวนการ transcription และทําให RNA ที่สรางออกมามีความคงตัวยิง่ ขึน้ นอกจากนี้ plasmid vector ยังตองประกอบดวย bacterium-specific genetic sequences 2 ชนิด ไดแก antibiotic selectable marker และ bacterium origin of replication โดยทัง้ 2 สวนนี้มี ประโยชนในการเตรียม DNA ใหไดปริมาณมากๆ ในแบคทีเรีย จากคุณสมบัตขิ อง plasmid DNA ดังกลาวนีท้ ําใหเมือ่ ฉีดเขาไปในรางกาย ยีนทีแ่ ทรกอยูใ น vector จะแสดงออกโดยสรางเปนโปรตีนโดย อาศัย transcription และ translation mechanisms ปกติของรางกาย
การประยุกตใช DNA vaccine จากหลักการของวิธี DNA vaccination ดังกลาวทําใหนกั วิทยาศาสตรเชือ่ วาวิธนี น้ี า จะ สามารถนํามาแทนวัคซีนทีม่ ใี ชกนั ในปจจุบนั จึงไดมกี ารศึกษากันอยางกวางขวางในสัตวทดลองชนิด ตาง ๆ ในโรคตาง ๆ มากมาย เชน Hepatitis B, Hepatitis C, Influenza, Malaria, Tuberculosis, Leishmaniasis, AIDS หรือแมแตมะเร็ง และพบวา DNA vaccine ใชไดผลดีมาก นอกจากการนํา วิธี DNA vaccination มาใชในแงของการปองกันโรคแลว ยังไดมีการนําวิธี DNA vaccination นี้มา ประยุกตใชในการผลิตแอนติบอดีตอ โปรตีนทีส่ นใจเพือ่ ใชงานอีกดวย
15-12
ขอดีของ DNA vaccine จากการศึกษาทีผ่ า นมาพบวาวิธี DNA vaccination มีขอดีหลายประการเมื่อเทียบกับวัคซีนที่ ใชอยูใ นปจจุบนั คือ 1. DNA vaccine สามารถกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันทัง้ ชนิด humoral mediated immunity และ cell-mediated immunity ทั้งการกระตุน CD4+ lymphocytes และ CTL response 2. การเตรียม DNA ทําไดงายและ DNA ที่เตรียมไดมีความคงตัวสูง 3. สามารถเตรียมเปน recombinant vaccine โดยการแทรกยีนทีก่ าหนดการสร ํ างโปรตีนของ เชื้อโรคหลายชนิดเขาไปใน vector อันเดียวกัน ทําใหการฉีดวัคซีนเพียงครัง้ เดียวไดผลกับโรคหลาย ชนิด
ขอดอยของ DNA vaccine อยางไรก็ตามปญหาทีย่ งั เปนทีก่ งั วลกันอยูใ นปจจุบนั ในการนํา DNA vaccine ไปใชคอื ความ ปลอดภัย มีคําถามตางๆ มากมายตอการนํา DNA vaccine ไปใช เชน 1. DNA ที่ใหเขาไป อาจไปแทรกอยูใ นโครโมโซมของผูร บั ทําใหเกิดการเปลีย่ นแปลงของ พันธุกรรมและมีผลตอการเกิดมะเร็ง 2. Viral promoter และ mammalian หรือ viral terminator และ polyadenylation signals ที่ใชควบคุม gene expression ใน vector จะมีผลตอยีนในโครโมโซมของผูร บั หรือไม 3. Antibiotic resistant genes ที่ใชใน vector จะมีผลอยางไรกับผูรับ 4. Plasmid DNA กระตุน ใหรา งกายสราง anti-DNA antibodies หรือไม 5. สารเคมีตางๆ ทีใ่ ชเตรียม DNA เปนพิษตอผูร บั หรือไม คําถามตางๆ เหลานีก้ าลั ํ งอยูใ นระหวางการศึกษาอยางเรงรีบ เพื่อหวังวา DNA vaccination นาจะเปนหนทางหนึ่งที่จะนํามาใชตอ สูก บั โรครายตางๆ ในอนาคต
Adjuvants Adjuvants คือสารใดๆ ที่เมือ่ ผสมกับแอนติเจนแลว ทําใหคณ ุ สมบัตใิ นการกระตุน ระบบ ภูมิคุมกันของแอนติเจนนั้นๆ ดีขน้ึ โดยทั่วไป การฉีดโปรตีนแอนติเจนชนิดสารนํา้ (soluble protein antigen) เขาสูรา งกายมักกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันไดไมคอ ยดี แตถานําโปรตีนแอนติเจนนัน้ มาผสมกับ adjuvant กอนแลวจึงฉีดเขาสูรางกายจะทําใหการกระตุน ภูมคิ มุ กันเกิดขึน้ ไดดยี ง่ิ ขึน้ กลไกการชวยกระตุน ระบบภูมคิ มุ กันของ adjuvant แบงไดเปน 2 กลไก คือ 15-13
1. Adjuvant เปลี่ยนสภาพของแอนติเจนจากที่เปน soluble form ไปเปน particulate form ซึ่งแอนติเจนชนิด particulate form จะถูกจับและ process โดย antigen presenting cells ไดดกี วา แอนติเจนชนิด soluble form 2. Adjuvant บางชนิดมี bacteria หรือ bacterial product ผสมอยู ซึง่ มีคณ ุ สมบัตไิ ปกระตุน เซลล macrophages ใหกลายเปน activated macrophages และหลั่ง cytokines ออกมาหลายชนิด cytokines เหลานีส้ ามารถกระตุน ให lymphocytes ทํางาน นอกจากนี้ activated macrophages ยังมี ความสามารถในการเปน antigen presenting cells ทีด่ ี Adjuvants ที่นิยมใชในปจจุบนั และกลไกการกระตุน ระบบภูมคิ มุ กัน ดังแสดงในตารางที่ 15-4 ตารางที่ 15-4 แสดง adjuvants ที่ใชทั่วไป และการใชงาน ชนิดของ adjuvant สวนประกอบ กลไกการออกฤทธ Incomplete Freund’s adjuvant Complete Freund’s adjuvant Freund’s adjuvant with MDP
Alum (Aluminum hydroxide) Alum plus Bordetella pertussis Immune stimulatory complxes (ISCOMs)
Oil-in water emulsion
Delayed release of antigen; enhanced uptake by macrophages Oil-in water emulsion with Delayed release of antigen; enhanced uptake dead mycobacteria by macrophages; induction of co-stimulators in macrophages Oil-in water emulsion with Similar to complete Freund’s adjuvant muramyldipeptide (MDP), a constituent of mycobacterium Aluminum hydroxide gel Delayed release of antigen; enhanced uptake by macrophages Aluminum hydroxide gel Delayed release of antigen; enhanced uptake with killed B. pertussis by macrophages; induction of co-stimulators Matrix of Quil A Delivers antigen to cytosol; allows induction of containing viral protein cytotoxic T cells
15-14
ภูมิคุมกันบําบัด (Immunotherapy) ภูมิคุมกันบําบัด เปนการนําเอาวิธกี ารทางภูมคิ มุ กันมาใชรกั ษาโรคตางๆ เชน โรคภูมคิ มุ กัน บกพรอง (immunodeficiency diseases) โรคติดเชือ้ ชนิดตางๆ (infectious diseases) โรคภูมติ า นทานตนเอง (autoimmune diseases) และโรคมะเร็ง (cancer) โดยการนําสารตางๆ มากระตุนการ ทํางานของระบบภูมิคุมกัน วิธีภูมิคุมกันบําบัด อาจแบงไดเปน 2 ประเภทใหญๆ คือ nonspecific immunotherapy และ antigen-specific immunotherapy
Nonspecific immunotherapy เปนภูมิคุมกันบําบัด เพือ่ หวังผลการกระตุน ภูมคิ มุ กันทัว่ ไปของผูป ว ย
โดยการใหสารตางๆ
ไดแก
1. Bacillus Calmette-Guerin (BCG) BCG เปน live attenuated strain ของเชื้อ Mycobacterium bovis การให BCG มีผล กระตุนเซลล macropahges ใหหลั่ง interleukin 1 (IL-1) ซึ่งสาร IL-1 นี้สามารถกระตุน การทํางาน ของ T lymphocytes ได จากการศึกษาในสัตวทดลองพบวา BCG สามารถใชรักษามะเร็งที่มีสาเหตุ จากสารเคมีและเชื้อไวรัสบางชนิดได BCG สามารถกระตุน natural killer cell (NK cells) ซึ่งมี คุณสมบัตใิ นการทําลายเซลลมะเร็งได BCG ใชไดผลดีมากในการรักษาโรคมะเร็ง melanoma และ bladder cancer อยางไรก็ตามการฉีด BCG มักทําใหเกิดแผลและอาจเกิด hypersensitivity reaction ในบางคน
2. Muramyl dipeptide (MDP) การใช BCG ในภูมิคุมกันบําบัด บางครัง้ ทําใหเกิดอาการขางเคียงทีร่ นุ แรง จึงมีความ พยายามแยกสวนของ BCG แลวนํามาใชในงานภูมิคุมกันบําบัดแทนการใช BCG เพื่อลดอาการ ขางเคียง Muramyl dipeptide (MDP) เปน substituted monosaccharide (N-acetyl-muramylL-alanyl-D-isoglutamine) ที่สกัดจาก cell wall ของ mycobacterium และนํามาใชแทน BCG MDP นี้มีคุณสมบัติเปน immunoadjuvant ที่แรงมาก และมีผลกระตุนการทํางานของ macrophages และ antigen presenting cells
15-15
3. Corynebacterium parvum C. parvum เปนแบคทีเรียชนิดกรัมลบ ใชรักษาโรคโดยใหกนิ หรือฉีดในหรือรอบๆ กอน มะเร็ง C. parvum สามารถยับยัง้ การเจริญของกอนมะเร็ง และยับยั้งการแพรกระจายของเซลลมะเร็ง ได พบวา C. parvum ออกฤทธิโ์ ดยการกระตุน macrophages มีการทดลองใช C. parvum รักษา โรคมะเร็งในคนหลายชนิด เชน malignant melanoma, lung cancer และ breast cancer โดยใชรวม กับการรักษาดวยยารักษามะเร็งอืน่
4. Thymic hormones Epithelium ของตอมไธมัสสามารถสรางสารหลายชนิด ซึง่ ออกฤทธิค์ ลายฮอรโมน และมี บทบาทในการควบคุมพัฒนาการของ T cells สารดังกลาวไดแก thymosin, facteur thymique serique (FTS) และ thymoprotein สารดังกลาวถูกนํามาใชรกั ษาผูป ว ยทีม่ คี วามผิดปกติของ T lymphocytes เชน Nezelof’s syndrome, Wiskott-Aldrich syndrome, ataxia-telangiectaxia และ immunodeficiency ที่มี enzyme deficiency โดยใหในรูป thymus extract
5. Levamisole ยาตัวนีเ้ ปนอนุพนั ธของ tetramisole ใชเปนยารักษาพยาธิในสัตว พบวา levamisole ชวยเพิม่ ความตานทานตอเซลลมะเร็ง สวนในคนพบวายาตัวนีช้ ว ยแกไขและเพิม่ delayed skin hypersensitivity ตอแอนติเจนชนิดตางๆ ในผูท ม่ี กี ารตอบสนองตํ่าหรือผูป ว ยโรคมะเร็ง levamisole ยังชวยใหผปู ว ยทีต่ ดิ เชือ้ ตางๆ เชน herpes labialis, herpes genitalis, หูด และ chronic staphylococcal infection และผูป ว ย gastric cancer ระยะที่ III มีอาการดีขึ้น แต levamisole มัก ทําใหผูปวยเกิดอาการขางเคียงได เชน เกิดคลืน่ ไส ครัน่ เนือ้ ครัน่ ตัว มีผื่น และทําใหเม็ดเลือดขาวลดตํา่ (granulocytopenia) อาการดังกลาวจะหายไปเมื่อหยุดยา
6. Cytokine therapy มีการนําสาร cytokines หลายชนิดมาใชในงานภูมิคุมกันบําบัด เชน interferon, tumor necrosis factor (TNF), IL-2 หรือ IL-4 โดยอาศัยหลักการวาสาร cytokines เหลานีม้ คี ณ ุ สมบัตใิ น การกระตุนการทํางานของเซลลเม็ดเลือดขาวชนิดตางๆ Cytokine therapy มีหลายชนิด เชน การให interferon เพื่อรักษาการติดเชือ้ ไวรัส และรักษาโรคมะเร็งอีกหลายชนิด เชน osteosarcoma, Hodgkin’s disease, multiple myeloma, cervical cancer, basal cell caracinoma, breast cancer non-Hodgkin’s disease และ neuroblastoma และพบวาการรักษามะเร็งจะใหผลดียิ่งขึ้น เมื่อให interferon รวมกับ TNF การให interleukin 2 ในผูปวยมะเร็งเชื่อวา IL-2 จะกระตุน specific tumor-reactive T cells ได โดยพบวา IL-2 สามารถรักษาผูป ว ย melanoma ไดผลประมาณ 25-40% 15-16
7. LAK therapy NK cells และ T lymphocytes บางชนิด เมื่อกระตุนดวย IL-2 เปนเวลา 4 วัน จะกลาย เปนเซลลทม่ี คี วามสามารถในการทําลายเซลลมะเร็งไดสูงมาก เรียกวา lymphokine-activated killer cells หรือ LAK cells ดังนัน้ จึงมีการนํา LAK cells มาใชในการรักษามะเร็งบางชนิด โดยนําเซลล ของผูป ว ยเองมากระตุน ดวย IL-2 นอกรางกาย จากนัน้ นําเซลลทถ่ี กู กระตุน ใหเปน LAK cells แลวนี้ ฉีดกลับเขาไปในรางกายอีกครั้ง เพื่อทําลายเซลลมะเร็งในรางกายผูป ว ยเอง (รูปที่ 15-7)
รูปที่ 15-7 แสดง LAK therapy
Antigen-specific immunotherapy เปนวิธีภูมิคุมกันบําบัดทีจ่ ําเพาะตอแอนติเจนทีส่ นใจ มีหลายวิธี ไดแก
1. Specific active immunotherapy เปนวิธีการแยกแอนติเจนจากเซลลมะเร็ง แลวนํามาใชเปนวัคซีนเพือ่ ฉีดใหผปู ว ยโรค มะเร็ง เพื่อกระตุน ใหเกิด humoral immune response และ cell-mediated immune response ตอ เซลลมะเร็ง แอนติเจนทีใ่ ชนอ้ี าจไดมาจากการนําเอาเซลลมะเร็งมาแตก แลวเอาไปฉีด (lysed whole tumor cells) หรือแยกเอาเฉพาะแอนติเจนจําเพาะจากเซลลมะเร็ง เชนการแยกเอา gangliosides 15-17
จาก melanomas หรือ mucins จาก carcinomas เปนตน หรือนําเซลลมะเร็งมายอยดวยเอนไซม neuraminidase เพื่อหวังผลในการเพิ่ม immunogenicity ของเซลลมะเร็ง แลวใหกลับเขาในผูป ว ย
2. Magic bullet therapy เปนวิธีที่นํายารักษามะเร็ง หรือสารพิษ หรือสารกัมมันตรังสีมาติดฉลากเขากับแอนติบอดี ที่จําเพาะตอเซลลมะเร็งแลวใหแกผูปวย แอนติบอดีนจ้ี ะไปจับกับเซลลมะเร็งทําใหสารพิษ หรือยา หรือสารรังสี ไปมีผลกับเซลลมะเร็งโดยตรง (รูปที่ 15-8)
รูปที่ 15-8 แสดง การใชแอนติบอดีรว มในการรักษามะเร็งแบบ magic bullet therapy
3. DNA vaccine วิธีนค้ี ลายกับวิธี specific active immunotherapy แตแทนที่จะฉีดแอนติเจนของเซลล มะเร็งเขาไป กลับนํายีนทีก่ าหนดการสร ํ างโปรตีนทีจ่ าเพาะกั ํ บเซลลมะเร็งมาตอกับ plasmid vector ที่ เหมาะสม (เชนเดียวกับทีใ่ ชในงาน DNA vaccination ที่กลาวมาแลว) แลวฉีดเขาในผูป ว ยมะเร็ง โดย ยีนที่ใหเขาไปจะไปสรางเปน tumor antigen ในผูปวย และกระตุนระบบภูมิคุมกันในที่สุด 15-18
เอกสารอานประกอบ 1. Abbas AK, Lichtman AH, Peter JS. Cellular and Molecular Immunology. 2nd ed. London: W.B. Saunders, 1994. 2. Janeway CA, Travers P, Walport M, Capra JD. Immunobiology. 4th ed. New York: Garland Publishing, 1999. 3. Kasinrerk W, Tokrasinwit N, Piluk Y. Production of mouse anti-CD4 antibodies by DNAbased immunization. Asian Pacific J Allerg Immun 1996; 14:99-105. 4. Kasinrerk W, Tokrasinwit N, Changtumroung K. Production of anti-CD4 antibodies in rabbits by DNA Immunization. Asia Pacific J. Mol Biol Biotech 1997; 5:123-129. 5. Kasinrerk W, Tokrasinwit N. Inhibition of PHA-induced cell proliferation by polyclonal CD4 antibodies generated by DNA immunization. Immunol letters 1999; 67: 237-242. 6. Male D, Champion B, Cook A, Owen M. Advanced Immunology. London: Grower Medical Publishing, 1991. 7. Roitt I, Brostoff J, Male D. Immunology. 2nd ed. London: Grower Medical Publishing, 1989. 8. Tizard IR. Immunology : An Introduction. 4th ed. London: Saunders College Publishing. 1995.
15-19