พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับรายการวิทยุออนไลน์ "เล่าสู่กันฟัง” (Talk around the World) ออกอากาศผ่านเว็บไซท์ www.thaksinlive.com ทุกวันอังคาร เวลา 20.30 น. – 21.30 น.
เรียบเรียงจากการออกอากาศ วันอังคารที่ 29 กันยายน 2552 ขอบคุณชาวทวิตเตอร์...สื่อสารสองทาง พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้มีเรื่องเล่าหลายเรื่อง มีทั้งเมืองนอกและเมืองไทย มาคุยกับพี่น้อง พยายามหาเรื่องที่เป็นประโยชน์ในการมองโลกมองตัวเรา ก่อนอื่นขอขอบคุณพี่น้องชาวทวิตเตอร์ ขณะนี้มีสมาชิกเข้ามา 30,288 ท่าน เริ่มเมื่อ 26 กรกฎาคมก็สองเดือนเศษ ในแต่ละวันมีทวีทเข้ามา ต้องขออภัยบางวันที่ไม่ค่อยมีเวลา แต่ถ้าวันไหนมีเวลาก็คีย์กันทั้งวันเหมือนกัน อาจมีประเด็นมาก หน่อย เมื่อวานนี้ช่วงเช้ายุ่ง ช่วงบ่ายปรากฏว่าอินเตอร์เน็ตล่ม จึงมานั่งเตรียมตัวที่จะพูดกับพี่น้อง ทวิตเตอร์ก็มีหลายแบบ เขียนมาชม มีด่าบ้าง ให้ข้อแนะนำาบ้าง ตั้งคำาถามบ้างทั้งเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ สุขภาพของผม มีข้าราชการแจ้งข่าวมาว่ามีใครไปทำาอะไรไว้บ้าง ถือว่าได้ความ รู้สองทางจริงๆ ได้รับการประสานงาน ได้รับรู้จากพี่น้องคนไทย บางทีผมตอบคำาถามคนหนึ่ง พออีก หลายคนได้เข้ามาอ่าน ก็ได้ความรู้ไปด้วย ดีที่จะได้ติดต่อกันด้วยข้อความสั้นๆ แต่มีความหมาย ชัดเจนดี ต้องขอขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามา ถึงแม้เข้ามาด่าบ้าง ผมก็ให้ธรรมะกลับ ไปเพื่อให้สติเพราะบางทีไปฟังเขากรอกหูมา ถูกมอมเมา ถูกเขาใช้ไม่รู้ตัว ก็ต้องให้สติกันไป ไม่เช่น นั้นบ้านเมืองไปไม่ได้ บางคนเข้ามาใช้คำาพูดหยาบคายเกินกว่าที่จะตอบไป เปิดผลสำารวจภาพรวมเศรษฐกิจแย่ลง เมื่ออาทิตย์กว่าๆ มานี้ ทางราชภัฏสวนดุสิตได้ทำาโพลด้านเศรษฐกิจ ผลสำารวจโดยรวมบอก ว่าเศรษฐกิจแย่ลง ในนั้น 70.41% บอกเศรษฐกิจแย่ลง อีก 23.47% บอกว่าเหมือนเดิมและแค่ 6.12% เท่านั้นที่บอกดีขึ้น อันนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องทำาโพลล์ก็พอเดาได้ แต่โพลล์ทำาให้เห็น ตัวเลขที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ที่เราต้องทำาคือไปคิดต่อว่าจะแก้ไขกันอย่างไร และไม่ใช่แก้กันแบบเขา
1
ไม่สบาย ต้องการการรักษาโดยฉีดยาหรือผ่าตัด แต่กลับเอายาหอม ยาดมไปให้ อย่างนั้นไม่ได้ช่วย อะไร ส่วนผลสำารวจเรื่องรายได้ 57.10% บอกว่ารายได้ไม่เปลี่ยนแปลง ซึง่ คนไทยส่วนใหญ่เป็น มนุษย์เงินเดือน เป็นข้าราชการ 38.78% บอกว่ารายได้ลดลง ส่วนใหญ่เป็นพวกตกงาน พวกพึ่งพา พ่อแม่ หรือพวกค้าขายหาเช้ากินคำ่า ส่วนที่บอกว่ารายได้เพิ่มขึ้นมีอยู่ 4.08% อาจเป็นนักธุรกิจบาง กลุ่มที่อยู่ได้ ไปได้ดี ภาษาทุนนิยมเขาบอกว่า only the strongest will survive ใครแข็งแรงที่สุด จะ รอด นั่นคือธุรกิจใหญ่ที่มั่นคง มีระบบดี จะยังฝ่าฟันไปได้ ตัวอย่างธุรกิจบ้านจัดสรรทั่วไปวันนี้ตาย หมด แต่บ้านขนาดใหญ่และราคาแพงยังไปได้ เวลาวิกฤตคนที่มีกำาลังซื้อ เขาจะเลือกซื้อสิ่งดีที่สุด ไม่ซื้อโครงการเล็กๆ กลัวว่าโครงการจะไม่รอด เขาถามว่าคนไทยเป็นหนี้เท่าไหร่ ปรากฏเป็นหนี้ 69.39% และไม่มีหนี้ 30.61% เขาถามคน มีหนี้ว่าอยากให้รัฐช่วยอะไร 46.88% บอกว่าให้ช่วยลดดอกเบี้ยให้หน่อย อันนี้น่าสนใจเพราะหนึ่ง. เขาเห็นดอกเบี้ยเงินฝากตำ่า ดอกเบี้ยเงินกู้สูง มีช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้มากไป สอง. การกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยสูง ยังมีอยู่มาก เมื่อถามว่าแน่ใจว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาหนี้สินให้ได้หรือไม่ 50.74% บอกไม่แน่ใจ 28.36% บอกไม่เชื่อ 20.90% เชื่อว่าช่วยได้ สรุปความรู้สึกของประชาชนต่อคำาว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี นั้น ขึ้นอยู่ที่... หนึ่ง. ล้วงเงินในกระเป๋ามีมากขึ้นหรือลดลง สอง. ภาวะหนี้สิน อยู่ในฐานะชำาระหนี้ ได้หรือไม่ สาม. ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของเขา ...ไม่ว่าจะทำาอะไร ประชาชนเขา จะดูสามเรื่องนี้ แนะนำาบทความ สะท้อนสภาพที่เป็นจริงของการต่อสู้ในสังคมไทย วันนี้มีคนส่งบทความมาให้อันหนึ่ง เขียนโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ รองศาสตราจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เขียนเนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีปฏิวัติ 19 กันยา ชื่อบทความว่า “ปฏิวัติประชาธิปไตยในกระแสโลกาภิวัตน์” มีประเด็นสำาคัญ 5 ข้อ คือ 1. ความท้าทายจากโลกาภิวัตน์ 2. พัฒนาการเศรษฐกิจไทย 3. ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมไทย 4. การต่อสู้ทางชนชั้น การต่อสู้สองแนวทาง 2
5.
ชูธงสามผืน ปฏิวัติประชาธิปไตย ปลดปล่อยประเทศไทยสู่ “สังคมความรู้”
ผมคงจะอ่านข้อที่สี่ ฟังชื่อแปลกๆ แต่เขียนแล้วมีเหตุผล เขาเขียนอย่างนี้... “ระบอบการเมืองไทยนับแต่รัฐประหาร 16 กันยายน 2500 เป็นต้นมามีเนื้อในที่เป็นระบอบ อำามาตยาธิปไตยของกลุ่มทุนขุนนางจารีตนิยมซึ่งผูกขาดอำานาจรัฐผ่านกองทัพและระบบราชการ แต่มีเปลือกนอกที่สลับกันไปมาระหว่างระบอบเผด็จการทหารแบบโจ่งแจ้งกับระบอบรัฐธรรมนูญที่มี การเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองและรัฐบาลที่อ่อนแอ มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนหุ่นเชิดของพวกเขา วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ได้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับกลุ่มทุนเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารพาณิชย์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กลุ่มทุนใหม่ได้รับความเสียหายน้อยมาก เปิดโอกาสให้มีการปฏิรูปการเมืองและรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ให้มีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีวินัย รัฐสภามีเสถียรภาพ และรัฐบาลมีความมั่นคง กลุ่มทุนใหม่ซึ่งมีพรรคไทยรักไทยเป็นตัวแทนนั้น มีความเข้าใจถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจ ไทยและเล็งเห็นความจำาเป็นที่จะต้องปฏิรูปโครงสร้างเพื่อให้ทันกับยุคโลกาภิวัตน์ พวกเขาอาศัย รัฐธรรมนูญ 2540 สามารถชนะการเลือกตั้งในปี 2544 และเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลที่ดำาเนินนโยบาย ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ มุ่งยกระดับเศรษฐกิจไทยจากการผลิตที่เน้นแรงงาน ไปสู่การผลิตที่เน้น ฝีมือและความรู้ แปรเศรษฐกิจสังคมไทยให้ทันสมัย เช่น แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เปิดเสรีการค้าและการ ลงทุน จัดทำาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าที่สำาคัญ ทยอยลดอัตราภาษีศุลกากร ปรับ โครงสร้างอุตสาหกรรม ปฏิรูปกฎหมายและระบบราชการ ปฏิรูปการศึกษา และลงทุนในการ ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งระบบ เป็นต้น ให้เศรษฐกิจไทยยกระดับความสามารถใน การแข่งขันและเติบโตได้ในกระแสโลกาภิวัตน์ แต่นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจดังกล่าวทำาให้กลุ่มทุนเก่าซึ่งบอบชำ้าอย่างหนักจากวิกฤต เศรษฐกิจ 2540 ต้องสูญเสียประโยชน์และถูกบั่นทอนอำานาจผูกขาดที่ครอบงำาเศรษฐกิจการเมือง ไทยมายาวนาน ในที่สุด กลุ่มทุนขุนนางจารีตนิยมจึงก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ฉีกเปลือก นอกที่เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ 2540 ทิ้ง และเผยให้เห็นเนื้อในที่เป็นระบอบเผด็จการ รัฐประหาร 19 กันยายน จึงเป็นปฏิกิริยาของกลุ่มทุนขุนนางจารีตนิยมที่ต่อต้าน โลกาภิวัตน์ และได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากบรรดาพลังปฏิกิริยาต่อต้าน โลกาภิวัตน์ในสังคมไทยที่เกาะกินแสวงหาประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกลุ่มทุน จารีตนิยม-ราชการ ได้แก่ ทุนใหญ่ผูกขาดเชื้อสายจีน ปัญญาชนขวาจัดและราษฎรอาวุโส ปัญญา 3
ชน “อีแอบ” ตีสองหน้า ครูอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชน นักคิดและปัญญาชนชาตินิยมและชุมชนนิยม เป็นต้น ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากรัฐธรรมนูญ 2540 และจาก นโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทยรักไทย พวกเขาเกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างไม่เคยเป็น มาก่อน เข้าใจได้เป็นครั้งแรกว่า “ประชาธิปไตยนั้นกินได้และเห็นหัวคนจน” พวกเขากลายเป็น ฐานพลังอันเข้มแข็งที่สนับสนุนผู้นำาพรรคไทยรักไทยและเป็นมวลชนพื้นฐานที่ต่อต้านรัฐประหาร 19 กันยายนและระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 จากการต่อสู้กับเผด็จการตลอดกว่าสามปีมานี้ พวกเขาได้ยกระดับจิตสำานึกทางการเมือง และความรับรู้สูงถึงขั้นรู้แจ้งว่า แท้จริงแล้ว อะไรคือปัจจัยขัดขวางประชาธิปไตย ความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองและการกินดีอยู่ดีของประชาชน ตลอดจนเป็นรากเหง้าของ รัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายสิบปีมานี้ ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ต้นปี 2549 เป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างกลุ่มทุน ขุนนางจารีตนิยม ทุนเก่าและปัญญาชนขวาจัดด้านหนึ่ง กับกลุ่มทุนใหม่ ปัญญาชน ประชาธิปไตยและชนชั้นล่างในเมืองและชนบทในอีกด้านหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็เป็นการ ต่อสู้สองแนวทางระหว่างระบอบเผด็จการอำามาตยาธิปไตยและระบบทุนนิยมขุนนางอันล้า หลังของพวกจารีตนิยม-ทุนเก่าด้านหนึ่ง กับระบอบประชาธิปไตยที่อำานาจอธิปไตยเป็น ของปวงชนและแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง การต่อสู้นี้ยืดเยื้อยาวนาน ยากลำาบากและอันตราย ถึงปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นตอน “สงครามกลางเมืองที่ไม่หลั่งเลือด” และอาจจะพัฒนายกระดับไปเป็นสงครามชนชั้นที่เปิดเผยได้ หากฝ่ายเผด็จการอำามาตยาธิปไตยยังคงดื้อดึงฉุดรั้งสังคมไทยให้ถดถอยต่อไป ผลลัพธ์จะตัดสินว่า ประเทศไทยจะเดินไปทางไหนระหว่างการเป็นประเทศด้อย พัฒนาที่เป็นเผด็จการ เศรษฐกิจหยุดนิ่งและวัฒนธรรมล้าหลังเสื่อมโทรม กับการเป็น ประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า สังคมวัฒนธรรมทันสมัย และหลากหลาย” ผมเคยเจอหน้าผู้เขียนครั้งหนึ่ง เป็นนักวิชาการยังหนุ่มอยู่ ไม่ได้สนิทกัน แต่มีคนส่งบทความ นี้มาให้อ่าน จริงแล้วถามว่าถึงขั้นนั้นหรือไม่ ผมไม่อยากเห็นอย่างนั้น ประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้ กันทางความคิด ไม่ได้ต่อสู้กันด้วยอารมณ์ หรือเพื่อพวกพ้อง แต่จะต่อสู้ด้วยหลักการ ความคิด ใคร
4
มีชอบแบบไหน ก็เชียร์แบบนั้นไป ไม่มีความแตกแยก แต่วันนี้กลายเป็นความแตกแยกเพราะมีเรื่อง ผลประโยชน์เข้ามา แนะนำาหนังสือ บังเอิญได้อ่านหนังสืออีกเล่ม เขียนในปี 2009 นี้เอง ชือ่ False Economy แปลว่า เศรษฐกิจ ที่ผิดๆ คนเขียนชื่อ Alan Beatti เมื่อก่อนอยู่ไฟแนลเชียล ไทมส์ เขาสำารวจวิวัฒนาการของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่าประเทศนั้นจะดีหรือ แย่เพราะอะไรและเมื่อภาวะวิกฤตเกิดขึ้นแล้วแต่ละประเทศเป็นอย่างไร เป็นหนังสือที่ทันต่อ เหตุการณ์ เขียนหลังจากที่อเมริกาเจอวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว มีบางตอนที่คล้ายกับที่อาจารย์พิชิต เขียน คือ... • อนาคตเศรษฐกิจอยู่ในมือของเรา วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นเมื่อปี 2007 และกระจายทั่วโลกในปี 2008 ช่วงที่เลห์แมน บราเธอร์ ล้มนั้นเป็นการเตือนให้รู้ว่าเศรษฐกิจนั้นเปราะบางและสามารถเกิดแล้วเกิดอีกได้ เป็น เครื่องเตือนให้เรารู้ว่าอนาคตอยู่ในมือของเรา เราจะทำาเศรษฐกิจให้เละเทะอย่างไร เราก็สามารถ แก้ไขให้หลุดจากความเละเทะนั้นได้ • เศรษฐกิจที่ผิดพลาด เพราะติดอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์ หนังสือยังบอกว่าถ้าเราอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เราต้องไม่แค่จดบันทึกมันเหมือน กับแค่หาเหตุผลในการแก้ตัว ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลที่แต่ละประเทศผิดพลาดทางเศรษฐกิจ ส่วน ใหญ่แล้วอุปสรรคสำาคัญในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ คือ การตัดสินใจมัก จะไปติดอยู่ที่กลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม หรือหลายกลุ่มรวมกัน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เห็นผลประโยชน์ของ ตนในระยะสั้น กลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มไปควบคุมอำานาจประเทศทั้งทางตรง ทางอ้อม แล้วลาก ประเทศจนล่มจม บางประเทศสามารถที่จะบริหารตัวเองให้ได้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้าหรือบริการ แต่บางประเทศตกขบวนรถ ทำาให้พลาดโอกาสไป เขายกตัวอย่างที่เมืองโดฮา เมืองหลวงประเทศกาตาร์ ที่เคยจัดการประชุม Doha Round ปี 2001 เพื่อให้ประเทศที่เป็นสมาชิก WTO ทั้งหลาย มาตกลงการลดภาษี ผ่อนคลาย การนำาเข้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตร แต่การประชุมยืดเยื้อ ยังไม่จบ มาในเดือนกรกฎาคม 2008 ไป ประชุมกันที่กรุงเจนีวา ประเทศสวสเซอร์แลนด์ ประชุมกันเก้าวันเก้าคืน ยังไม่จบอีก เพราะแต่ละ 5
ประเทศต่างรักษาผลประโยชน์ของประเทศตนเอง แต่บางทีไม่ใช่ผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศ ตน แต่เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศนั้นมากกว่า ที่มีอิทธิพลต่อการเมือง ยกตัวอย่างเรื่องฝ้ายของอเมริกาที่ผลิตแบบ GMO ผลิตได้เยอะ ก็พยายามผลักดัน เรื่องภาษีฝ้าย หรือประเทศในแอฟริกา เช่น ชาด เลโซโท ประเทศเหล่านี้บรรพบุรุษถูกเกณฑ์มาเป็น ทาสที่อเมริกา พวกที่รอดจากการเป็นทาสก็ไปปลูกฝ้ายเองอยู่ที่แอฟริกาจนทุกวันนี้ รุ่นปัจจุบันนี้ยัง มาโดนอเมริกาปลูกฝ้ายมาดั้มพ์ราคาอีก • ยำ้าอนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง อีกประเด็นสำาคัญเขาบอกว่า ประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ไม่ได้ขึ้นอยู่ กับศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับธรณีวิทยา หรือวัฒนธรรม แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่จะเป็นคนกำาหนดจุด หมายปลายทางของชีวิตตนเอง อนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์ อย่างที่เคยเล่าว่าบาง ประเทศ ทำาไมเขาพัฒนาทะเลทรายที่ไม่มีนำ้า กลายเป็นที่น่าอยู่ มีต้นไม้เขียวชอุ่มไปหมด เป็นไปได้ ทั้งหมดอยู่ที่มนุษย์ ...เราเองสามารถเขียนบทให้ตัวเราเดินได้ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่ สรุปคือตอนนี้เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่การเมืองว่าจะตัดสินใจพาประเทศไป ทางไหน ฝีมือของคนที่จะพาไปนั้น จำาเป็นอย่างยิ่ง ปัญหาเศรษฐกิจยากขึ้นทุกวัน เราต้องบริหาร กันด้วยความรู้จริงๆ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเอาบ้านเมืองมาเล่น อย่างที่เรียกกันว่า เล่นการเมือง... อย่างนั้นไม่ไหว ระวังวงจรอันตราย ปล่อยให้เศรษฐกิจใต้ดินเฟื่องฟู กลับมาเรื่องที่ถามในทวิตเตอร์มาก คือ ทำาไมยาเสพติดจึงเยอะ บ่อนเยอะ หนี้นอกระบบ เยอะ มีข้าราชการตำารวจเขียนฟ้องมาว่า ผู้กำากับคนหนึ่งวิ่งเต้นขออยู่ที่เดิม ไม่อยากโยกย้ายไปไหน ปรากฏต้องจ่ายสองล้าน ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ เซ้งโรงพักเหมือนเซ้งห้องแถว ตำารวจก็ต้องทำา มาหากินมากขึ้นเพื่อเอาเงินมาเซ้ง เงินเดือนผู้กำากับไม่เท่าไหร่หรอก ประมาณสามหมื่น รวมเงิน ประจำาตำาแหน่งแล้วไม่เกินห้าหมื่น แต่ต้องจ่ายถึงสองล้าน ปีหนึ่งโยกย้ายสองหน ต้องคอยวิ่งชก ป้องกันตำาแหน่งอย่างนี้ สังคมไปไม่ได้ ผู้กำากับต้องหากิน ต้องเปิดบ่อน ปล่อยให้ขายยาเสพติด ขายหวยเถื่อน ทำาให้เศรษฐกิจใต้ดินสูงขึ้นเรื่อยๆ ประเทศใดปล่อยให้เศรษฐกิจใต้ดินมีอัตราโตสูงกว่าเศรษฐกิจบนดินนั้น ถือว่าอันตรายมาก แล้วยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีแล้วเราปล่อยให้สิ่งผิดกฎหมายโตมากกว่า แล้วไม่ถูกจับกุม จะทำาให้คนหันไป หากินในสิ่งผิดกฎหมายมากขึ้น เป็นไปตามทฤษฎีอาชญากรรมของ Robert Merton ที่เขียนไว้ 6
ประมาณ 30 กว่าปีที่แล้วว่า ถ้าช่องทางผิดกฎหมายให้ประโยชน์มากกว่า โอกาสถูกจับกุมน้อย จะ เป็นแรงจูงใจให้ทำาผิดกฎหมายมากขึ้นและจะไม่ม่ใครเลือกช่องทางหากินตามปกติที่มีกำาไรน้อยอีก ต่อไป อย่างนี้ไม่ดีเลยเพราะกำาลังบอกให้เจ้าหน้าที่รัฐช่วยไปขยายสิ่งที่ผิด อันตรายมาก ลูกหลาน จะตกเป็นเครื่องมือในอนาคต นึกถึง ดร.สังศิต พิริยะรังสฤษฏ์ เคยทำาวิจัยเรื่องนี้ เสนอแนะรัฐบาลว่าควรเอาหวยใต้ดินขึ้น บนดิน ซึง่ จะมีการตัดสินคดีหวยบนดินพรุ่งนี้ ทั้งที่รัฐบาลตอนนั้นทำาบนพื้นฐานที่ต้องการขจัด เศรษฐกิจใต้ดินนอกระบบ ให้เข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมาย การทำาก็ไม่มีใครเสียประโยชน์นอกจาก มาเฟีย รัฐเองก็ไม่เสียหายเพราะไม่เคยได้อะไรเลยจากเศรษฐกิจนอกระบบ เงินที่ได้มาก็เอามาให้ ทุนการศึกษาเด็กส่งไปต่างประเทศก็มี เพื่อให้เด็กเป็นคนดี มีความรู้ ปรากฏว่ากลายเป็นอาชญากร ไปเสียแล้ว ภาวะโลกร้อน เรื่องสำาคัญที่ต้องใส่ใจ ขอพูดเรื่องสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ น่าสนใจสำาหรับการประชุมสมัชชาแห่งสหประชาชาติ เลขาธิการสหประชาชาติ คือ นายบัน คี มุน ไปขั้วโลกเหนือเพื่อดูภาวะนำ้าแข็งละลาย บางที่เป็น คราบสีดำาเข้าใจว่าเกิดจากการขุดเจาะนำ้ามัน ต่างก็วิตกกันมากเรื่องโลกร้อน การปล่อยก๊าซเรือน กระจก หรือ CO2 มากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะจากรถยนต์ โรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำาให้เกิดภาวะโลก ร้อน อุณหภูมิเปลี่ยนไป นำ้าแข็งละลาย ระดับนำ้าในทะเลสูงขึ้น ในทะเลมัลดีฟซึ่งมีลักษณะเป็นเกาะเตี้ยๆ สูงกว่าระดับนำ้าทะเลเมตรกว่าๆ ก็วิตกกันว่าไม่กี่ปี จะจมหายไปทั้งประเทศ ไทยเราก็น่าสนใจเพราะอยู่ระดับห่างจากนำ้าทะเลไม่เท่าไหร่ หากระดับนำ้า ทะเลสูงขึ้น กรุงเทพฯ จะนำ้าท่วมถาวร เราก็ต้องเตรียมตัวว่าต้องสร้างเขื่อนป้องกันหรือไม่ ต้องเริ่ม คิดกันได้แล้ว ช่วงนี้อาการของโลกร้อน ทำาให้เกิดภาวะผิดปกติทั่วโลกเป็นระยะๆ ผู้นำาทั้งหลายเขาประชุม สมัชชาแห่งสหประชาชาติ ได้นำาเรื่องภาวะก๊าซเรือนกระจกมาถกกัน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ญี่ปุ่นที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราคงจะเห็นอาการเช่นไฟป่าเกิดขึ้นบ่อย ไหม้หนักและดับยาก ล่าสุดในออสเตรเลียในเขต ที่เรียกว่า Out Back หรือเขตที่มีประชากรอยู่น้อยมาก ทุรกันดาร จะเห็นลมหอบเอาฝุ่นแดงมาเต็ม ไปหมด นักสิ่งแวดล้อมชักหวั่นว่าฝุ่นเหล่านั้นจะมีสารกัมมันตภาพรังสีปนมาหรือไม่ ก็เป็นที่วิตกกัน
7
ล่าสุดพายุกิสนาที่ถล่มฟิลลิปปินส์ คนตายไปแล้วสองร้อยกว่าคน หายไปสี่สิบกว่าคน คน อพยพกว่าสามแสนคน มีโคลนนองไปหมดแถบชานเมืองมนิลา น่าเห็นใจมาก รัฐบาลไทยในฐานะ ประเทศในอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะปีนี้เราเป็นประธานอาเซียน น่าจะให้การช่วยเหลือเพราะ ความช่วยเหลือที่เขาได้รับกระท่อนกระแท่นพอสมควรทีเดียว ขณะนี้พายุกิสนา แม้จะอ่อนตัวลง แต่กำาลังจะเข้าเวียดนาม ที่น่าห่วงคือต่อจากเวียดนาม จะเข้าไทยทางด้านอุบลราชธานี อำานาจเจริญ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ อยากให้ช่วยดูพี่น้องโดยเฉพาะที่อยู่ ใกล้เชิงเขา เป็นห่วงนำ้าท่วมฉับพลัน ดินถล่มลงมาอย่างที่เราเคยเจอที่แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ต้องเร่ง อพยพ เพื่อน ส.ส.ทั้งหลายต้องแวะเยี่ยมเยียนพี่น้อง ให้คำาแนะนำาและเตรียมช่วยเหลือ แม้ว่าภาวะ ของเราอาจจะไม่หนักเท่าประเทศฟิลลิปปินส์และเวียดนาม พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ แนวโน้มสำาคัญของโลก ผมได้พบนักธุรกิจบราซิลคนหนึ่ง บอกว่าแม้ประเทศเขาจะพบบ่อนำ้ามันมากมาย แต่ทุกวันนี้ เขายังใช้พลังงานก๊าซโซฮอล์ หรือนำ้ามันที่ทำาจากนำ้าหวานของนำ้าอ้อย หรือ Sugar Crane Juice เขา ไม่ใช้กากนำ้าตาล (Molasses) ทำา แต่เอานำ้าอ้อยมากลั่นเป็นเอทานอลแล้วเอาไปผสมนำ้ามัน ใช้งาน กันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาใช้เครื่องยนต์ที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการจ่ายนำ้ามันว่าจะใช้นำ้ามันแบบ ก๊าซโซฮอล์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ หรือจะใช้นำ้ามันธรรมดาก็ได้ หรือจะใช้แบบผสมกันก็ได้ คอมพิวเตอร์สามารถควบคุม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้แล้วแต่เราจะสั่ง ก๊าซโซฮอล์ที่นี่ราคาถูกกว่านำ้ามันธรรมดา เพราะบราซิลปลูกอ้อยเยอะมาก เขาเรียนรู้เรื่องนี้ มานานแล้ว ขนาดที่ว่ามีท่อส่งก๊าซโซฮอล์ที่ผลิตจากแหล่ง เขาทำากันอย่างจริงจัง เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีควันพิษ อยากฝากว่าการทำามาหากินกับพลังงานสี เขียว จะเป็นแนวโน้มของโลกในอนาคต แม้ว่าโลกยังจะพบแหล่งนำ้ามันมากขึ้น ง่ายขึ้นเพราะ เทคโนโลยีดีขึ้นราคาถูกลง แต่นำ้ามันยังราคาสูงอยู่ พลังงานสีเขียวทั้งหลายยังเป็นทางเลือก ไม่ว่าจะ เป็นพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์
8
มองเศรษฐกิจโลก • เตือนส่งออก ระวังค่าเงินแปรปรวน เรื่องเศรษฐกิจโลกที่น่าสนใจอีกประเด็น คือ ตอนนี้เงินปอนด์เริ่มอ่อนตัว เขาอ้างว่าที่ เป็นอย่างนี้เพราะรัฐบาลเอาเงินไปช่วยแบงก์ที่จะล้มเยอะมาก ทำาให้ต้องพิมพ์แบงก์ออกมาเพิ่มซึ่ง สิ่งที่ตามมาคือทำาให้เงินเฟ้อและต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ ขณะที่เงินเยนของญี่ปุ่นสูงขึ้น เทียบเงินเยนต่อดอลลาร์ เขาบอกว่าสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา ทำาให้หุ้นบริษัทในญี่ปุ่นตกไปเยอะ เนื่องจากแลกกลับมาเป็นเงินเยนน้อยลงเพราะ เงินเยนแข็ง อยากให้ผู้ที่ทำาส่งออก ต้องระวังเพราะช่วงค่าเงินจะแปรปรวนมากหน่อย • อเมริกาประกาศออมเงิน เสนอไทยปรับตัวเตรียมหาตลาดใหม่ วันก่อนเล่าให้ฟังว่า ต่อไปอำานาจทางตะวันตกจะย้ายมาสู่ตะวันออก สิง่ หนึ่งที่น่า สนใจคือ มีข่าวว่าประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากธนาคารฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้ที่เมื่อก่อนไป take over มิด แลนด์ แบงก์ ประธานคนนี้ทำางานอยู่ที่นิวยอร์ค ตอนนี้ขอย้ายกลับมาฮ่องกงเพราะแบงก์จะเน้น เอเชีย แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของเอเชียจะสูงมากขึ้น วันนี้ถ้าจะขายของต้องดูเอเชียให้ดี กำาลัง มาแรง กำาลังซื้อจะสูงขึ้น อีกสองประเทศที่น่าสนใจคือ อเมริกากับญี่ปุ่น อเมริกาเป็นประเทศที่เราส่งออกมากที่สุด แล้วเราได้เกินดุลกับอเมริกามากที่สุด สมมติว่าไทยไม่ได้ขายของให้อเมริกาประเทศเดียว ไทยจะขาดดุลการค้าทันที เพราะไทยได้กำาไร ตอนเศรษฐกิจดีนั้น ยอดรวมที่ได้จากทั้งโลก ยังน้อยกว่าอเมริกาประเทศเดียว สมัยผมจึงพยายาม จะเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับอเมริกา เรารู้ว่าถ้าไม่ตกลง คนอื่นก็จะมาตกลง จะมาแย่ง ตลาดเราหมด อเมริกาไม่ซื้อเรา เราขาดดุลหมด เศรษฐกิจเราจะอ่อนแอทันที อเมริกาจึงเป็น ตลาดที่น่าสนใจ มาดูการประชุม G20 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีคลังของอเมริกาออกมาแถลงว่า ต่อไปนี้ อเมริกาจะเน้นเรื่องเงินออม เมื่อก่อนไม่ออมเพราะเขาบริโภคนิยม มีเงินต้องใช้ ไม่มีเงินก็กู้มาใช้ เขาจึงบอกว่าที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ต่อไปจะส่งเสริมคนของเขาให้ออมเงินมากขึ้น ผลที่จะเกิดคือ ประเทศที่หวังจะเอาของไปขายอเมริกาเยอะๆ นั้น ขอให้ไปหาตลาดใหม่ได้แล้ว เขาจะออมเงิน บริโภคน้อยลง เขาส่งสัญญาณให้รู้แล้ว ตรงนี้จีนต้องฟังด้วย แต่จีนเขามีช่องทางของเขาอยู่ จุดสำาคัญคือ ไทยเราเองจะปรับตัวอย่างไร จะหาตลาดใหม่อย่างไร เพราะเรายังไม่ สามารถเปลี่ยนสัดส่วนเศรษฐกิจของเรา จากส่งออกถึง 65% ลดเหลือแค่ 40-50% ภายในชั่วข้าม 9
คืนนั้นไม่มีทาง ต้องใช้เวลานาน เศรษฐกิจภายในของเรายังเล็กอยู่ ถ้าเราปรับส่งออกไม่ได้ เศรษฐกิจของเราจะหดตัว • จับตากำาลังซื้อญี่ปุ่นลดลง มาดูที่ญี่ปุ่นบ้าง เพิ่งประกาศว่าดัชนีการบริโภค หรือ Consumer Price Index ลดลง 2.4% ญี่ปุ่นนี้เป็นตลาดสำาคัญ แม้เราจะขาดดุล แต่เราก็ต้องค้าขายด้วย ตอนนี้จึงเห็นว่ากำาลังซื้อ ของเขาลดลงเยอะ เขาเองต้องแข่งขันกับจีนโดยตรง เกาหลีเองก็มีความคล้ายกับญี่ปุ่นมาก • กรณีตัวอย่างเกาหลีใช้หนังดึงการท่องเที่ยว พูดถึงการท่องเที่ยวของเกาหลี เมื่อก่อนไม่มีคนไปเที่ยวเลย คนของเขาก็ต่างจากคน ไทย คือ ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยรับแขก แต่พอเขาทำาหนัง ยังจำาได้ประธานาธิบดีคิม แด จุง เจอกับผม การประชุมเอเปคที่เซี่ยงไฮ้ ปี 2001 เขาเล่าให้ฟังว่าเขาจะเน้นการทำาภาพยนต์เพื่อส่งเสริมการท่อง เที่ยวและเป็นรายได้ที่สำาคัญของเกาหลีต่อไป ผมฟังแล้วเห็นว่าน่าสนใจ แต่ยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ วันนี้ปรากฏว่าวัยรุ่นไทยติดหนังเกาหลีมาก นักร้องเกาหลีดังในบ้านเรามาก เมื่อ ก่อนญี่ปุ่นเป็นขมิ้นกับปูนกับเกาหลี ไม่เคยมาเที่ยวเลย แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปเกาหลีมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าภาพยนต์ของเขาสร้างอิทธิพลให้คนอยากไปเที่ยวเกาหลี ไปดูว่าคนเกาหลีน่ารักทั้งผู้ หญิงผู้ชาย เพราะมองไปเห็นเป็นหน้าดาราตลอดเวลา เป็นจิตวิทยาที่มีอิทธิพลมาก • จีนสุดยอดทางด้านยุทธศาสตร์ ส่วนจีนมีเรื่องน่าสนใจตรงยุทธศาสตร์ของเขา ถือว่าสุดยอดมาก ประเทศที่ผมถือว่า สุดยอดทางด้านยุทธศาสตร์ คือ จีนและอเมริกา แต่วันนี้จีนเดินนิ่งกว่าเยอะ ในโอกาสครบ 60 ปีของการสถาปนาเป็นสาธารณรัฐของจีน พรรคคอมมิวนิสต์ตั้งขึ้น เมื่อปี 1921 ประมาณ 80 กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันโลกไม่มีคอมมิวนิสต์แล้ว แต่จีนยังใช้ชื่อพรรคเดิม แต่ต้องเข้าใจว่าวันนี้จีนไม่ใช่คอมมิวนิสต์แบบเดิมๆ อีกแล้ว เขาเป็นทุนนิยมเต็มๆ เขาพยายาม เปลี่ยนการปกครอง แต่เพราะประเทศใหญ่มาก จึงเปลี่ยนฮวบฮาบไม่ได้ แต่เขาปรับตัวเร็วกว่าประ เทศเล็กๆ อย่างเรา ที่จริงแล้วเขากำาลังปรับตัวในลักษณะประชาธิปไตยแบบชี้นำา หรือ Guided Democracy โดยใช้พรรคเป็นแกนกลาง แต่ของไทยเราไม่รู้จะเรียกอะไร ขอเรียกประชาธิปไตยที่ถูก ควบคุม หรือ Controlled Democracy การที่ถูกควบคุมอย่างนี้ทำาให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้ยาก
10
ขณะที่จีนค่อยๆ ปรับตัว คนหนุ่มรุ่นใหม่ทั้งที่ฟังเรื่องประชาธิปไตยจากทั่วโลกมา วัน นี้ยังเดินเข้าเป็นสมาชิกพรรค เพราะเขาปรับตัวกันตลอดตั้งแต่เป็นคอมมิวนิสต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ระบบคอมมูนทุกอย่างใช้คูปองแลก เด็กหนุ่มในจีนที่รวยที่สุดวันนี้มีเงินถึง 5.1 บิลเลียน ยูเอส ดอลลาร์ หรือประมาณแสนเจ็ดหมื่นล้านบาท จากไม่กี่ปีที่เปิดประเทศ อนุญาตให้คนเข้าไปค้าขาย ได้ จากที่จนเท่าๆ กัน กลับมีคนรวยขนาดนี้เกิดขึ้นได้ จีนปรับตัวให้เข้ากับโลกาภิวัตน์ ปรับยุทธศาสตร์และดูแลคนของเขาไปพร้อมกัน จีน ใช้รัฐวิสาหกิจที่เขามีอยู่มาก เป็นเครื่องมือในการทำาการค้า ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เอกชนเข้ามาทำา ด้วย แล้วรัฐวิสาหกิจของเขาสามารถทำาการค้าขนาดใหญ่ ชนกับรัฐวิสาหกิจของโลกได้ รัฐบาล สนับสนุนให้ค้าขายแบบทุนนิยมเต็มๆ ยุทธศาสตร์บริหารเงินทุนสำารองของจีน จีนมีทุนสำารองเงินตราต่างประเทศมากที่สุดในโลก เขาถือพันธบัตรสหรัฐฯ ไว้เยอะ ชักปอดๆ เหมือนกันแต่ไม่กล้าพูดดัง เพราะถ้าค่าเงินลดมาก ตนจะเสียหายมากเพราะถือไว้เยอะ จีนจึงเอาทุนสำารองทยอยซื้อทรัพย์สิน เช่น ให้บราซิลกู้หนึ่งหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ สามแสนล้านบาท แล้วมีข้อตกลงให้บราซิลส่งนำ้ามันให้จีนอย่างต่อเนื่อง เป็นยุทธศาสตร์มองไปข้าง หน้า ให้เงินยืม แต่อนาคตจีนจะมีนำ้ามันจากบราซิลมาใช้อีกแหล่งหนึ่ง ขณะนี้บราซิลเป็นประเทศที่พบนำ้ามันเยอะมาก แต่อยู่ในทะเลลึกลงไปเป็นพันเมตร แล้วต้องเจาะหินลงไปอีกสามพันเมตร ต้องผ่านนำ้าและเจาะหินลึกลงไปถึงสี่พันเมตรกว่าจะเจอ นำ้ามัน ด้วยเทคโนโลยีทำาให้มนุษย์สามารถทำาได้ เอานำ้ามันมาขายในราคาที่เขาเลือกได้ มนุษย์เก่ง ขึ้นเยอะ จีนตอนนี้ไปซื้อบริษัทต่างๆ เขาซื้อแบบชาญฉลาด ล่าสุดประธานบริษัทซิโน-เคม ที่ เคยตีกอล์ฟกับผมตอนอยู่ที่ปักกิ่ง เขาใช้เงินประมาณแปดหมื่นล้านซื้อบริษัท Nufarm ของ ออสเตรเลีย บริษัทนี้มีแล็ปเพื่อใช้วิจัยและผลิตสื่อเคมีที่ทำาให้ผลผลิตการเกษตรของเขาเจริญเติบโต ได้ดีในที่ทุรกันดาร เนื่องจากออสเตรเลียเป็นประเทศกว้างใหญ่ มีแต่ทะเลทราย ผืนดินไม่สมบูรณ์ นำ้าจะเพาะปลูกก็ไม่มี จีนมีความคล้ายกับออสเตรเลีย จีนรู้ว่าบริษัทนี้เก่ง สามารถทำาให้การปลูกพืช ได้ผลดีจนกระทั่งออสเตรเลียสามารถส่งออกพืชผลเกษตรได้
11
เมื่อจีนซื้อบริษัท Nufarm แล้วเขาได้อะไร... หนึ่ง. ได้สินค้า สอง. ได้ความรู้เพื่อเอา มาพัฒนาต่อที่จีน ช่วยเกษตรกรที่เมืองจีน จะเห็นว่าเขาคิดเป็นยุทธศาสตร์ชาติ มีเงินต้องใช้ให้เป็น ผมเปิดดูในอินเตอร์เน็ต ค้นคำาบริษัท Nufarm พบว่าเป็นบริษัทผลิตอาหารเสริมให้พืช ทำาให้เกษตรกรที่อยู่ในที่ไม่สมบูรณ์ สามารถเพาะปลูกได้อย่างดี คล้ายกับที่เคยเล่าให้ฟังว่าบริษัทหัว เหว่ยส่งทีมไปทำาแล็ปในประเทศที่เก่งเทเลคอมทั้งหลาย แล้วเอาความรู้ของคนเก่งที่นั่นกลับมาใช้ใน จีน พัฒนาเป็นความรู้ของตนเองที่เหนือกว่า หรือการไปซื้อวอลโวก็เพื่อต้องการแบรนด์ ต้องการ เทคโนโลยี จีนใช้วิธีนี้เดินเกมอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบกับไทย เรามียุทธศาสตร์อย่างนี้หรือไม่ เรามีรายได้ต่อคนสูงกว่าจีนนะ ทุนสำารองเราก็มีไม่น้อย แต่เราทำาไม่ได้ ตราบใดที่รัฐธรรมนูญปี 50 ยังอยู่ ใครเป็นรัฐบาลเข้ามาก็ ทำายากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนจะทำาเป็นฝ่ายทางผม จะโดนเหมือนกับคุณนพดลโดนวันนี้ ประเทศไปไม่ได้จริงๆ วันนี้เวลาหมด คราวหน้าจะพูดเรื่อง Health Care หรือระบบสาธารณสุขของอเมริกา ซึ่งกำาลังเป็นปัญหาของโอบามาอยู่ขณะนี้ จะปรียบเทียบกับ 30 บาทของเรา สำาหรับวันนี้ สวัสดี
...............
12