ความมหัศจรรยแหงอัลกุรอาน (Edited version)
ฮารูน ยะหยา กลุมปญญากร
The Miracle (3rd Draft).doc
เขียน แปล
04/01/2005
Page 8
สารบัญ ความมหัศจรรยของอัลกุรอานที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร............................................................................................10 บทนํา ....................................................................................................................................................11 การกําเนิดจักรวาล .....................................................................................................................................12 การขยายตัวของจักรวาล ..............................................................................................................................14 การแยกตัวออกจากกันของชั้นฟาและแผนดิน ....................................................................................................16 วงโคจร ..................................................................................................................................................18 โลกมีสัณฐานกลม .....................................................................................................................................21 หลังคาเปนดังเกราะปองกัน ..........................................................................................................................22 ฟาที่กลับคืนมา .........................................................................................................................................26 ชั้นของบรรยากาศ .....................................................................................................................................28 หนาที่ของภูเขา .........................................................................................................................................31 การเคลื่อนไหวของภูเขา ..............................................................................................................................34 ความมหัศจรรยของเหล็ก.............................................................................................................................36 การสรางสรรคเปนคู ..................................................................................................................................37 สัมพันธภาพแหงเวลา .................................................................................................................................38 ดุลยภาพแหงฝน .......................................................................................................................................40 การกอตัวของฝน ......................................................................................................................................42 ลมที่ทําใหเกิดฝน ......................................................................................................................................46 ทะเลไมล้ําเขตกัน ......................................................................................................................................48 ความมืดในทะเล และคลื่นใตน้ํา ....................................................................................................................50 สวนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมนุษย...........................................................................................................53 การกําเนิดของมนุษย ..................................................................................................................................54 น้ํานมมารดา ............................................................................................................................................64 ลักษณะเฉพาะที่พบในลายนิ้วมือ ...................................................................................................................65
ขอมูลอนาคตที่ปรากฏในกุรอาน ..............................................................................................................66 ความนํา .................................................................................................................................................67 ชัยชนะของชาวไบเซนไทน ..........................................................................................................................68
ประวัติศาสตรกับความมหัศจรรยของอัลกุรอาน .........................................................................................72 “ฮามาน” ในอัลกุรอาน...............................................................................................................................73
ตําแหนงผูปกครองอียิปตในกรุอาน.................................................................................................................76
บทสงทาย อัลกุรอาน วจนะของพระผูเปนเจา.............................................................................................78 ความเขาใจผิดเรื่องวิวัฒนาการ .................................................................................................................80 The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 9
ความมหัศจรรยของอัลกุรอานที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 10
บทนํา กวา 14 ศตวรรษมาแลวทีเ่ อกองคอัลลอฮ (ซ.บ.) ไดประทานคัมภีรอัลกุรอาน ลงมายังมนุษยเพื่อใหเปน คัมภีรแหงทางนํา พระองคเรียกรองใหมนุษยรับการชีน้ ําสูสัจธรรมดวยการยึดมัน่ ตออัลกุรอาน นับตั้งแตวาระแรก แหงการประกาศโองการจวบจนกระทั่งถึงวันแหงการตัดสิน อัลกุรอานจะยังคงเปนทางนําหนทางเดียวสําหรับมวล มนุษยชาติ รูปแบบที่หาทีเ่ ปรียบไมไดของอัลกุรอาน ตลอดจนวิทยปญญาอันล้ําเลิศที่ปรากฏอยูในอัลกุรอาน เปน หลักฐานอยางชัดเจนวา อัลกุรอานนั้นเปนวจนะของเอกองคอัลลอฮ (ซ.บ.) ยิง่ ไปกวานัน้ อัลกุรอานยังไดแจงถึง เหตุการณที่อยูเหนือกฎเกณฑตางๆ เอาไวอยางมากมาย อันเปนขอพิสูจนวา อัลกุรอาน คือคัมภีรที่พระผูเปนเจา ประทานลงมา ลักษณะประการหนึ่งก็คือ เรื่องที่เปนความจริงทางวิทยาศาสตรจํานวนมาก ที่มนุษยเราเพิง่ คนพบ ดวยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 20 นัน้ มีกลาวอางอยูในอัลกุรอานเมื่อ 1,400 มาแลว แนนอนอัลกุรอานไมใชหนังสือวิทยาศาสตร แตอัลกุรอานก็ไดระบุถึงขอเท็จจริงทางดานวิทยาศาสตร ที่ คนพบดวยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 20 เอาไวอยางลึกซึ้งและรัดกุม ในชวงเวลาทีอ่ ัลกุรอานไดเริ่มเผยแพรนนั้ ขอเท็จจริงเหลานี้ยงั ไมเปนที่รูกัน จึงเปนขอพิสูจนได วาอัลกุรอาน เปนวจนะของพระผูเปนเจา เพื่อที่จะเขาใจความมหัศจรรยในเชิงวิทยาศาสตรของอัลกุรอาน เราควรจะทราบระดับของความรูทาง วิทยาศาสตรในขณะนัน้ ในชวงเวลาที่คัมภีรเลมนี้ประทานลงมา ในศตวรรษที่ 7 ซึง่ เปนชวงเวลาที่อัลกุรอานประทานลงมานัน้ สังคมอาหรับมีความเชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริย อยางไรเหตุผลทางวิทยาศาสตร เพราะขาดวิทยาการที่จะศึกษาตรวจสอบหรือตั้งขอสังเกตตอจักรวาลและ ธรรมชาติ ชาวอาหรับในยุคแรกๆ เชื่อเรื่องตํานานที่เลาสืบทอดกันมาตั้งแตบรรพบุรุษ ตัวอยางเชนพวกเขาเชื่อวา ภูเขาชวยหนุนฟาเอาไว โดยโลกนั้นมีลกั ษณะแบนราบ มีภูเขาขนาดใหญอยูที่ปลายทัง้ สองขางของโลก ภูเขา เหลานั้นคือเสาที่ค้ํายันหลังคาฟาเบื้องบน อยางไรก็ตามความเชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริยของสังคมอาหรับไดถูกขจัดออกไปโดยอัลกุรอาน ซูเราะฮอัร เราะอฺดฺ อายะฮที่ 2 ความวา “อัลลอฮ คือผูทรงยกชัน้ ฟาทั้งหลายเอาไวโดยปราศจากเสาค้ําจุน..” (13:2) อา ยะฮนี้ไดลบลางความเชื่อทีว่ า ทองฟาลอยอยูไดเพราะมีภูเขาค้ํายัน ยังมีขอเท็จจริงที่สาํ คัญอีกหลายเรื่องที่เปดเผย ขึ้นมาในชวงเวลาที่ผูคนยังขาดความรู ความเขาใจ อัลกุรอาน ซึง่ ถูกประทานลงมาในชวงเวลาที่มนุษยยังมีความรูอยางจํากัดในเรื่องดาราศาสตร ฟสกิ ส หรือ ชีววิทยานัน้ กลับปรากฏขอมูลที่สําคัญในเรื่องที่เกี่ยวของกับวิชาตางๆเหลานี้ เชน เรื่องการกําเนิดสุริยจักรวาล การกําเนิดมนุษย โครงสรางของชั้นบรรยากาศ และความสมดุลที่เหมาะสมที่สุดทีท่ าํ ใหชวี ิตบนโลกดํารงอยูได ทีนี้เรามาลองดูปรากฏการณตางๆทางวิทยาศาสตรทกี่ ลาวไวในอัลกุรอาน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 11
การกําเนิดจักรวาล การปรากฏของจักรวาลนัน้ กุรอานไดอธิบายไวในซูเราะฮอันอาม อายะฮที่ 101 ความวา “อัลลอฮเปนผูทรงประดิษฐชั้นฟาและแผนดิน...” (อัลกุรอาน 6:101) สิ่งที่ไดระบุไวในอัลกุรอานนัน้ สอดคลองกับการคนพบทางวิทยาศาสตรในปจจุบันซึง่ มีขอสรุปของวิชาฟสกิ ส ทางดาราศาสตรวา ทัว่ ทัง้ จักรวาลตลอดจนมิติตางๆของสสารและเวลา บังเกิดขึ้นสืบเนื่องจากผลของการระเบิด ครั้งใหญที่เกิดขึ้นอยางฉับพลัน เหตุการณครั้งนั้นเรียกวา “บิ๊กแบง (Big Bang)” ซึ่งพิสูจนวาจักรวาลเกิดขึ้นมา จากการระเบิดของสิ่งๆหนึ่ง วงการวิทยาศาสตรสมัยใหมยอมรับวา “บิ๊กแบง” เปนเหตุผลเดียวเทานั้นที่ใชอธิบาย การกําเนิดและปรากฏของจักรวาล กอนหนา “บิก๊ แบง” ไมมสี ิ่งใดปรากฏอยูเลยไมวา จะเปนสสาร พลังงานหรือแมแตเวลา บิ๊กแบงจึงเปน คําอธิบายเชิงอภิปรัชญาไดประการเดียวเทานั้นวา สิ่งเหลานั้นถูกสรางขึ้นมา ขอเท็จจริงทางฟสกิ สสมัยใหมที่เพิ่ง จะคนพบเมื่อไมนานมานีน้ นั้ เปนสิง่ ที่ปรากฏอยูในอัลกุรอานเมื่อ 1,400 ปมาแลว สวนที่เปนสีน้ําตาล เขมแสดงถึงรังสีที่ ปรากฏอยูกอน
สวนที่เปนสีชมพู ออน แสดงถึงสวนที่ ยังรอนอยู
สวนที่เปนสีชมพูเขม แสดงถึงพื้นที่ที่รอ น ที่สุด
สวนที่เปนสีน้ําตาล ออน แสดงถึงสวนที่ เย็น
เครื่องตรวจจับภาพบนดาวเทียม Cobe ซึ่งองคการนาซาสงขึ้นสูอวกาศในป 1992 ไดจับภาพรองรอยที่เหลืออยูของ “บิ๊กแบง” การคนพบครั้งนี้ถือเปนหลักฐานในการอธิบายเชิงวิทยาศาสตรไดวาจักรวาลนั้น ถูกสรางขึ้นจากความวาง เปลา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 12
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 13
การขยายตัวของจักรวาล อัลกุรอานประทานลงมาเมื่อ 14 ศตวรรษที่แลว ซึง่ ในขณะนัน้ ความรูทางดานดาราศาสตรยังอยูในชวงเริม่ ตน แตอลั กุรอาน ก็ได กลาวถึงการขยายตัวของจักรวาลไวแลว ในซูเราะฮอัซซาริยาต ความวา “และเราไดสรางฟามาใหแข็งแกรง และแทจริงเราเปนผูขยายมันออก” (อัลกุรอาน 51:47) คําวา “ฟา” ในอายะฮนี้ปรากฏอีกหลายแหงในอัลกุรอานโดยมี ความหมายถึงอวกาศและจักรวาล ในอายะฮนกี้ ็ใชในความหมายเชนนั้น กลาวอีกนัยหนึ่งวา อัลกุรอานไดเปดเผยวา จักรวาลนัน้ มีการแผขยายซึ่ง ก็เปนขอสรุปทีว่ ิทยาศาสตรเพิ่งคนพบนั่นเอง ตนศตวรรษที่ 20 นักฟสิกสชาวรัสเซียชือ่ อเล็กซานเดอร ฟรีด มันน (Alexander Friedmann) และนักดาราศาสตรชาวเบลเยี่ยม ชื่อวา จอรจ เลอแมตร (Georges Lemaitre) ไดคํานวณตามหลัก ทฤษฏีแลว พบวาจักรวาลนั้นมีการเคลื่อนไหวอยางคงที่และกําลัง คอยๆขยายตัวออก ขอเท็จจริงนี้ยงั ไดรับการพิสจู นอีกจากขอมูลในการศึกษา สังเกตในป ค.ศ.1929 นักดาราศาสตรชาวอเมริกนั เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) ซึ่งไดเฝาสังเกตทองฟาดวยกลองเทเลสโคปอยูนนั้ พบวา ดวงดาวตางๆและกาแลคซี ตางก็เคลื่อนตัวออกหางจากกัน อยางสม่ําเสมอ การที่สงิ่ ตางๆในจักรวาลเคลื่อนตัวออกหางจากกัน ยอมหมายความวาจักรวาลนัน้ มีการขยายตัวอยางตอเนื่อง นั้น การศึกษาสังเกตที่มีตอมาอีกหลายป ยืนยันไดวาจักรวาลแผ ขยายตัว ขอเท็จจริงในเรื่องนี้มีอธิบายอยูแ ลว ในอัลกุรอานตั้งแตยงั ไมมีผูใดรูเรื่องนี้เลย ทั้งนี้เพราะวาอัลกุรอานนั้นเปนวจนะของเอก องคอัลลอฮ (ซ.บ.) ผูทรงสรางและบริหารจักรวาล ทัง้ มวล
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
เอ็ดวิน ฮับเบิล และกลองเทเลสโคป ขนาดใหญของเขา
จอรจ เลอแมตร
Page 14
ในชวงเวลาที่เกิดปรากฏการณ “บิ๊กแบง” จักรวาลขยายตัวในอัตราคงทีด่ วยความเร็วสูงมาก นักวิทยาศาสตร ไดเปรียบเทียบการขยายตัวของจักรวาลเหมือนผิวของลูกโปงที่ขยายตัวออกมา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 15
การแยกตัวออกจากกันของชั้นฟาและแผนดิน อีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการสรางชัน้ ฟาปรากฏอยูใน ซูเราะฮ อัลอัมบิยาอฺ อายะฮที่ 30 ความวา “และบรรดาผูปฏิเสธศรัทธาเหลานัน้ ไมเห็นดอกหรือวาแทจริงชั้นฟาทั้งหลายและแผนดินนั้น แตกอนนี้รวมติดเปนผืนเดียวกันแลวเราไดแยกมันทั้งสองออกจากกัน เราไดทําใหทกุ สิ่งมีชีวิตจากน้ํา ดังนั้น พวกเขายังไมศรัทธาอีกหรือ” (อัลกุรอาน 21:30) คําวา “รอตะกอ” ตามพจนานุกรม แปลวาเย็บติดกัน ซึ่งหมายความวา แตละอยางผสมกัน หรือผสม กลมกลืนกัน คํานี้จะใชกับสิ่งสองสิง่ ที่ตางกันแตนํามารวมเปนสิ่งเดียวกัน สวนวลีที่วา “เราไดแยกออก” มาจาก คํากริยา “ฟะตะกอ” ซึง่ ใชกบั สิ่งที่เกิดขึ้นใหมจากการแยกออกหรือการทําลายโครงสรางของ ”รอตะกอ“ (ยึดติดกัน ไว) การที่เมล็ดพืชงอกขึน้ มาจากพืน้ ดิน เปนตัวอยางหนึ่งของความหมายของกริยานี้ จากความรูนเี้ ราลองกลับไปดูอายะฮนี้อีกครั้งหนึง่ อายะฮนี้กลาวไววา ชั้นฟาและแผนดินนั้น ในระยะแรกได อยูในสภาพของ รอตะกอ (ยึดติดกันไว) และตอมาจึงถูก ฟะตะกอ (แยกออกจากกัน) เปนเรื่องทีน่ าทึ่งมาก ถาหาก เรานึกไปถึงระยะแรกของบิ๊กแบง เราจะพบวาเพียงจุดจุดเดียวนัน้ ไดรวมทุกๆสิง่ ในจักวาล ทัง้ “ชั้นฟาและแผนดิน” ซึ่งในขณะนั้นยังไมไดบังเกิดขึ้นมาดวยซ้าํ ทุกสิ่งรวมอยูในสภาพ รอตะกอ (ยึดติดกันไว) และเมือ่ มีการระเบิดขึ้น อยางรุนแรงก็เปนเหตุใหเกิด ฟะตะกอ (แยกออกจากกัน) แลวจึงเริ่มขัน้ ตอนในการสรางจักรวาล เมื่อเปรียบเทียบสิ่งที่อายะฮนี้ไดอธิบายไวกับสิ่งทีว่ ิทยาศาสตรไดคนพบ เราจะเห็นวา ขอมูลทั้งสองตาง ยืนยันความถูกตองของกันและกัน แตทวาสิ่งทีน่ าสนใจยิง่ กวานั้นก็คือ การคนพบเรื่องเหลานีโ้ ดยทางวิทยาศาสตร เพิ่งจะปรากฏในศตวรรษที่ 20 นี้เอง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 16
ภาพนี้อธิบายถึง ทฤษฎีบิ๊กแบง ที่แสดงใหเห็นอีกครั้งหนึ่งวา พระผูเปนเจาไดสรางจักรวาลจากความวางเปลา บิ๊กแบง เปนทฤษฎีที่พิสูจนแลวโดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร แมวานักวิทยาศาสตรบางคนพยายามโตแยงทฤษฎีนี้ดวยทฤษฏี อื่นๆ แตหลักฐานทางวิทยาศาสตรที่เปนตนกําเนิดของทฤษฎีนี้ ก็เปนที่ยอมรับกันอยางกวางขวาง ในวงการ วิทยาศาสตร
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 17
วงโคจร การกลาวถึงดวงอาทิตยและดวงจันทรในอัลกุรอานนั้น มีการเนนย้ําวาทัง้ สองตางมีวงโคจรที่แนนอนเฉพาะ ตน ในซูเราะฮ อัลอัมบิยาอฺ ความวา “และอัลลอฮ ทรงสรางกลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตยและดวงจันทร ซึ่งทุกๆสิง่ ลวนโคจรในจักรราศี” (อัลกุรอาน 21:33) ในซูเราะฮยาซีนอายะฮหนึง่ กลาวเอาไวอกี วา ดวงอาทิตยนนั้ ไมไดอยูกับที่ แตเคลื่อนไปตามวงโคจรที่ แนนอน ความวา “และดวงอาทิตยยอมโคจรไปตามตําแหนงสถิตของมันเอง การนั้นเปนการกําหนดของผูทรงอํานาจยิ่ง ผูทรงรอบรูยิ่ง” (อัลกุรอาน 36:38) ความจริงทัง้ หลายทีป่ รากฏอยูในอัลกุรอานนัน้ เพิง่ ถูกคนพบโดยการศึกษาสังเกตทางดาราศาสตรในสมัย ของเรานี้เอง จากการคํานวณของนักดาราศาสตร ดวงอาทิตยจะเดินทางดวยความเร็วสูงถึง 720,000 กิโลเมตร/ ชั่วโมง ในทิศทางของดาวเวกา ที่วงโคจรเฉพาะตัว เรียกวาโซลาร เอเพ็กซ (Solar Apex) นั่นหมายความวา ดวง อาทิตยจะเดินทางประมาณวันละ 17,280,000 กิโลเมตร และทีเ่ ดินทางไปพรอมดวงอาทิตยดวยนัน้ มีทั้งดาว เคราะหตางๆและดาวบริวารในขอบเขตแรงดึงดูดของดวงอาทิตย ซึ่งโคจรไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งไปกวานัน้ ดวงดาวทัว่ ทัง้ จักรวาล ก็มีลกั ษณะการเดินทางที่ถกู กําหนดไวแลวเชนเดียวกัน ความจริงทีว่ า ทัง้ จักรวาลเต็มไปดวยเสนทางและวงโคจรที่มีลกั ษณะคลายกันเชนนี้ ไดปรากฏอยูในอัลกุรอานซูเราะฮ อัซซาริยาต วา “ขอยืนยันดวยฟากฟาที่มชี องการโคจร อยางมากมายยิ่ง” (อัลกุรอาน 51:7) ในจักรวาลมีกลุมดาวอยูประมาณ 2 แสนลานกลุม ในแตละกลุม มีดวงดาวประมาณ 2 แสนลานดวง ดวงดาวสวนใหญประกอบดวยดาวเคราะห และดาวเคราะหสวนใหญจะมีดาวบริวาร สวนประกอบของจักรวาล ทั้งหมดนี้ จะเคลื่อนไปในวงโคจรทีก่ ําหนดไวอยางเที่ยงตรง นับเปนเวลาหลายลานปมาแลวที่ดาวแตละดวง เดินทางหมุนเวียนอยูในวงโคจรอยางเปนระบบและสอดคลองกับดาวอื่นๆ ยิ่งไปกวานั้นยังมีดาวหางตางๆที่ เดินทางอยูในวงโคจรที่กําหนดไว
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 18
วงโคจรตางๆในจักรวาลนัน้ ไมไดมีเฉพาะวงโคจรของดวงดาวเทานัน้ กาแลคซีตางๆก็โคจรดวยความเร็วสูง มากบนวงโคจรที่คํานวณและกําหนดไวเชนกัน ในระหวางวงโคจรนัน้ จะไมมีดาวดวงใดเลยที่จะโคจรตัดขามไปยัง วิถีโคจรของดาวดวงอื่นหรือเกิดการปะทะกันกับดาวดวงอื่น
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 19
ในชวงที่อัลกุรอานประทานลงมานัน้ ยังไมมีกลองดูดาวอยางทุกวันนี้ และไมมีเทคโนโลยีที่ทนั สมัย ในการศึกษาสังเกตอวกาศทีห่ างไกลออกไปนับ ลานๆกิโลเมตร อีกทั้งยังไมมีความรูท างฟสกิ สหรือดาราศาสตรที่ทนั สมัย ดังนัน้ ในชวงเวลาดังกลาว เปนไปไมไดที่จะใชความรูท างวิทยาศาสตรในสมัย นั้น มาอธิบายวา อวกาศ “เต็มไปดวยเสนทางและวงโคจร” เหมือนดังที่ปรากฏ อยูในอายะฮอลั กุรอาน ซึ่งเปนหลักฐานหนึ่งที่ยนื ยันวา อัลกุรอานนั้นเปนวจนะ ของพระผูเปนเจา
ดาวหางฮัลเลยก็เหมือนดาวหางอื่นๆในจักรวาล ที่โคจรตาม วงโคจรที่ถูกกําหนดไว เปนวงโคจรที่เฉพาะเจาะจงและมี เสนทางเดินอยางเปนระเบียบรวมกับดาวอื่นๆบนทองฟา ดาวทุกดวงบนทองฟารวมทั้งดาวเคราะหและดาวบริวาร ดาว ฤกษ หรือแมแตกาแลคซี ตางก็มีวงโคจรที่เปนของตนเอง ซึ่ง ไดถูกกําหนดไวจากการคํานวณอยางละเอียด และผูที่สราง ระบบที่สมบูรณแบบเชนนี้ขึ้นมา พรอมกับดูแลรักษาระบบ นั้น ก็คือพระผูเปนเจาผูทรงสรางสรรพสิ่งทั่วทั้งจักรวาล
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 20
โลกมีสัณฐานกลม “พระองคทรงสรางชั้นฟาทั้งหลาย และแผนดินดวยความจริงอันชัดแจง พระองคทรงให กลางคืนที่คาบเกี่ยวเขาไปในกลางวัน และทรงใหกลางวันคาบเกี่ยวเขาไปในกลางคืน…” (อัลกุรอาน 39:5) ในอัลกุรอาน คําที่ใชบรรยายถึงจักรวาลนั้นนาสนใจยิ่ง คํา ภาษาอาหรับวา “ ตักวีร ” หมายความวา “สิ่งหนึ่งเกยซอนกับอีก สิ่งหนึ่ง เหมือนกับการพับผา” (พจนานุกรมภาษาอาหรับอธิบาย วา เปนการพันสิ่งหนึ่งเขากับอีกสิ่งหนึ่ง) ขอความในอายะฮ เกี่ย วกับเวลากลางวันและกลางคืน ที่ คาบเกี่ยวซึ่งกันและกัน แสดงขอมูลที่ถูกตองเกี่ยวกับสัณฐานของ โลก การคาบเกี่ยวกันในลักษณะดังกลาวจะเปนไปไดก็ตอเมือ่ โลก มีรูปทรงกลมเทานั้น ความจริงขอนี้ไดปรากฏชัดอยูในอัลกุรอาน ตั้งแตศตวรรษที่ 7 แลว ทั้งที่ในขณะนั้นเรื่องสัณฐานกลมของโลก ยังไมมีใครรูเลย อย า งไรก็ ต ามเราควรตระหนั ก ว า ความเข า ใจทางดารา ศาสตรในเวลานั้น ทําใหเรารับรูเกี่ยวกับโลกไดแตกตางกัน แต กอนนั้นเคยเชื่อกันวา โลกแบน การคํานวณและการอธิบายทาง วิทยาศาสตรลวนอาศัยความเชื่อนี้ แตทวาขอความในอัลกุรอาน กลั บ มี ข อ มู ล ที่ ม นุ ษ ย เ พิ่ ง จะค น พบกั น เมื่ อ ศตวรรษที่ แ ล ว นี้ เ อง เนื่องจากอัลกุรอานเปนวจนะของพระผูเปนเจา ทุกถอยคําในอัลกุ รอานจึงเปนจริงเสมอ รวมทั้งเรื่องที่กลาวถึงจักรวาลก็เชนกัน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 21
หลังคาเปนดังเกราะปองกัน พระผูเปนเจาทรงสอนใหเราตระหนักถึงลักษณะทีน่ า สนใจยิ่งของทองฟา ไวในอัลกุรอาน ซูเราะฮอัลอัมบิยาอ: “ และเราไดทําใหชั้นฟาเปนหลังคา ถูกรักษาไวไมใหหลนลงมา และพวกเขาก็ยังหันหลังใหสัญญาณตางๆของมัน ” (อัลกุรอาน 21:32) ลักษณะดังกลาวไดรับการพิสูจนแลวจากการวิจยั ทางวิทยาศาสตรในศตวรรษที่ 20 บรรยากาศที่ลอ มรอบโลกนัน้ มีหนาที่สาํ คัญตอการดํารง อยูของสิ่งมีชวี ติ สะเก็ดดาวทั้งเล็กและใหญจะถูกทําลายขณะที่ เขามาใกลพนื้ โลก เปนการปองกันมิใหตกสูพนื้ โลกและเปน อันตรายตอสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ ชั้นบรรยากาศยังกรองรังสีทเี่ ปนอันตรายตอ สิ่งมีชีวิตเอาไวดวย ที่นา สนใจก็คือจะมีเพียงรังสีที่ไมเปน อันตรายและมีประโยชนเทานัน้ ที่ผา นมายังโลกเรา นัน่ คือ แสงที่ สามารถมองเห็นได รังสีใกลอัลตราไวโอเลตและคลื่นวิทยุ ซึ่ง จําเปนตอสิง่ มีชีวิต รังสีใกลอัลตราไวโอเลต ซึ่งจะผานชั้น บรรยากาศลงมาบางสวน ใชสําหรับการสังเคราะหแสงของพืช และการดํารงอยูของสิ่งมีชวี ติ ทั้งหลาย สวนรังสีอัลตราไวโอเลต เขมขนจากแสงอาทิตยสวนใหญจะถูกกรองโดยชัน้ โอโซน มี เฉพาะบางสวนที่จาํ เปนเทานั้นที่มาถึงผิวโลก หนาที่ในการปองกันโลกยังไมหมดเพียงเทานี้ ชัน้ บรรยากาศยังปองกันโลกจากความหนาวเย็นของอวกาศที่มี ชั้นบรรยากาศจะปลอยใหแสงที่เปนประโยชน ตอสิ่งมีชีวิตผานมายังพื้นโลกเทานั้น ดัง อุณหภูมิถึง -270 องศาเซลเซียส อีกดวย ตัวอยางของรังสีอัลตราไวโอเลตที่สามารถผาน ลงมายังโลกเพียงบางสวน เฉพาะที่จําเปนใน การสังเคราะหแสงของพืช และในการดํารงชีพ ของสิ่งมีชีวิต
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 22
ภาพสะเก็ดดาวที่พุงมายังโลก เปนวัตถุที่ลองลอยอยูในอวกาศ และอาจเปนอันตรายอยางยิ่งตอ โลก แตพระผูเปนเจาทรงสรางทุก สิ่งอยางลงตัว ไดทรงสรางชั้น บรรยากาศมาเปนหลังคาปกปอง โลก ทําใหสะเก็ดดาวตางๆ กลายเปนเศษเล็กเศษนอยในชั้น บรรยากาศ กอนที่จะตกลงมาถึง โลก
ผูคนสวนมากที่มองทองฟามักไมไดนึกถึงความสําคัญของชั้นบรรยากาศในการปกปองโลก เราแทบไมทันคิดกันเลยวา โลกจะเปนอยางไรถาปราศจากระบบปองกันเชนนี้ ภาพนี้เปนภาพหลุมยักษอันเกิดจากสะเก็ดดาวที่ตกลงมายังเมือง อริโซนา สหรัฐอเมริกา หากไมมีชั้นบรรยากาศ สะเก็ดดาวจํานวนนับลานคงจะตกมายังโลก ซึ่งจะทําใหไมเหลือ สิ่งมีชีวิตอยูบนโลกอีกตอไป ชั้นบรรยากาศซึ่งทําหนาที่ปกปองโลกจึงชวยใหสิ่งมีชีวิตดํารงอยูไดอยางปลอดภัย นี่คือ การที่พระผูเปนเจาทรงปกปองคุมครองมนุษย นับเปนความมหัศจรรยทปี่ ระกาศไวในอัลกุรอานโดยแท
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 23
พลังเผาผลาญที่ปะทุจากดวงอาทิตย มีความ รุนแรงมากเกินกวาที่มนุษยจะประมาณได การ ปะทุเพียงครั้งเดียวเทากับ แรงระเบิดปรมาณูที่ ถลมเมืองฮิโรชิมาถึงหนึ่งแสนลานลูก แตโลกนี้ ก็ไดรับการปกปองจากชั้นบรรยากาศและแนว แวนอัลเลน
เหนือจากชั้นบรรยากาศของโลกขึ้นไป จะเปนอากาศที่ หนาวจัด โลกไดรับการปกปองจากชั้นบรรยากาศใหพน จากความหนาวจัดที่มีอุณหภูมิถึง - 270 องศาเซลเซียส
ชั้นบรรยากาศแมกเนโตสเฟยร เกิดจากสนามแมเหล็กโลกซึ่งทําหนาที่เปนเกราะปองกันโลกจากรังสีคอสมิกและจาก วัตถุตางๆในอวกาศ ภาพนี้แสดงชั้นบรรยากาศแมกเนโตสเฟยร ซึ่งเรียกไดอีกอยางวา “แนวแวนอัลเลน” แนวเหลานี้ อยูเหนือโลกขึ้นไปถึง 1,000 กิโลเมตร ทําหนาที่ปกปองสิ่งมีชีวิตในโลกจากอันตรายตางๆในอวกาศ ซึ่งการคนพบทาง วิทยาศาสตรพิสูจนแลววา เปนการปกปองที่ไดผล สิ่งที่สําคัญก็คือ การปกปองดังกลาวนี้ปรากฏอยูในอัลกุรอาน 1,400 ปมาแลวในอายะฮที่วา “เราไดทําใหชั้นฟาเปนหลังคาที่ปกปองและคุมครอง” The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 24
ไมเพียงแตชั้นบรรยากาศเทานั้นที่ปกปองโลกจากสิ่งอันตรายตางๆ ยังมีชั้นบรรยากาศที่เรียกวา แนวแวนอัล เลน (Van Allen Belt ) ซึ่งเกิดจากสนามแมเหล็กของโลก ทําหนาที่เปนเกราะปองกันอนุภาคกัมมันตรังสีจากดวง อาทิตยและดาวอื่นๆ หากไมมีแนวแวนอัลเลน พลังงานที่เกิดจากการปะทุบนดวงอาทิตย (พลังงานโซลาร) มี ความรุนแรงจนสามารถทําลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้ ดังคํากลาวของ ดร. ฮิวจ รอสส (Dr. Hugh Ross) ดังนี้ “ในความเป น จริ ง แล ว โลกเป น ดาวที่ มี ค วามหนาแน น มากที่ สุ ด ในระบบสุ ริ ย จั ก รวาล แกนโลกซึ่ ง ประกอบดวยธาตุเหล็กและนิกเกิลนี้ ทําใหเกิดสนามแมเหล็กที่กอใหเกิดแนวแวนอัลเลน ซึ่งเปนเกราะปองกันมิให รังสีตางๆพุงตรงเขามา หากปราศจากเกราะกําบังนี้ สิ่งมีชีวิตตางๆก็ไมสามารถดํารงอยูไดในโลก ดาวพุธเปนดาว เคราะหอีกเพียงดวงเดียวที่มีสนามแมเหล็ก แตก็มีพลังนอยกวาโลกถึง 100 เทา แมแตดาวศุกรซึ่งมีลักษณะ ใกลเคียงกับโลก ก็ยังไมมีสนามแมเหล็ก แนวแวนอัลเลนจึงนับวาออกแบบมาเปนเอกลักษณเฉพาะโลกเราจริงๆ” 1 พลังโซลารจากดวงอาทิตยที่เพิ่งตรวจพบเมื่อเร็วๆนี้ เมื่อ เทียบกับแรงระเบิดปรมาณู ที่ถลมเมืองฮิโรชิมาก็จะเทากับ 1 แสนลานลูก หลังจากการปะทุ 58 ชั่วโมงจะสังเกตไดวาเข็มทิศชี้ ตางไปจากเดิม และที่ 250 กิโลเมตรเหนือชั้นบรรยากาศของ โลก อุณหภูมิจะสูงขึ้นถึง 2500 องศาเซลเซียส กลาวโดยสรุปวา ระบบที่สมบูรณแบบดังกลาวมาแลวนั้น ช ว ยปกป อ งโลกและป อ งกั น อั น ตรายจากนอกโลกนั้ น นักวิทยาศาสตรเพิ่งจะเรียนรูไมนานมานี้เอง แตพระผูเปนเจาได บอกแกเราในอัลกุรอานมาหลายศตวรรษแลว
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 25
ฟาที่กลับคืนมา อายะฮที่ 11 ซูเราะฮอัฏฏอริก ไดกลาวถึง “การกลับคืน” ของทองฟาไวดังนี้ “ ขอสาบานดวยชั้นฟาทีห่ ลั่งน้าํ ฝน” (อัลกุรอาน 86:11) คําวา “หลั่ง” ในอัลกุรอานมีความหมายถึง “สงกลับ” หรือ”การกลับคืนมา (วัฏจักร)” ดวย ดังที่รูกนั วา บรรยากาศรอบโลกนัน้ มีอยูห ลายชัน้ แตละชั้นลวนมีประโยชนตอสิ่งมีชวี ิตทั้งสิน้ จากงานวิจยั พบวา บรรยากาศชั้นตางๆมีหนาที่สะทอนสสารและรังสีกลับขึ้นไปยังอวกาศหรือสะทอนกลับลงมายังผืนโลก ลอง พิจารณาหนาที่ “วัฏจักร” ของชั้นบรรยากาศตางๆดังนี้ ชั้นโทรโพสเฟยร สูง 13 – 15 กิโลเมตรเหนือผิวโลก สามารถกลั่นไอน้ําที่ขึ้นมาจากผิวโลกใหยอนกลับลง มาเปนน้าํ ฝน ชั้นโอโซน ที่ระดับความสูง 25 กิโลเมตร สามารถสะทอนรังสีทเี่ ปนอันตรายและแสงอัลตราไวโอเลต ยอนกลับไปสูห วงอวกาศ ชั้นไอโอโนสเฟยร ทําหนาที่สะทอนคลื่นวิทยุจากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่นๆบนผิวโลก เชนเดียวกับระบบ ดาวเทียมสื่อสารทางเดียว ซึง่ ทําใหการสื่อสารไรสาย การสงกระจายเสียงวิทยุ และการถายทอดโทรทัศนไดใน ระยะไกลมากขึ้น ชั้นแมกเนโทสเฟยร สะทอนอนุภาคกัมมันตรังสีที่เปนอันตรายจากดวงอาทิตยและดาวอื่นๆกลับไปยังหวง อวกาศกอนทีจ่ ะถึงโลก ขอมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของชั้นบรรยากาศที่คนพบเมื่อไมนานมานี้ กลับมีปรากฎอยูใ นอัลกุรอานหลาย ศตวรรษมาแลว เปนการย้ําอีกครั้งวา อัลกุรอานเปนวจนะของพระผูเปนเจา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 26
น้ําในโลกนี้เปนสิ่งสําคัญสําหรับสิ่งมีชีวิต ปจจัย หนึ่งที่สําคัญตอการกําเนิดของน้ําก็คือ ชั้นโทร โพสเฟยร ซึ่งจะทําใหไอน้ําทีล่ อยขึ้นมาจากผิว โลกเกิดการควบแนนเปนฝนกลับไปตกลงบน พื้นโลก
โอโซโนสเฟยร คือ ชั้นบรรยากาศที่ชวยปองกัน รังสีที่อาจเปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตบนโลก เชน อัลตราไวโอเลต โดยจะสะทอนรังสีนั้นกลับไป ยังอวกาศ
ชั้ น บรรยากาศแต ล ะชั้ น เป น ประโยชน ต อ สิ่งมีชีวิต ตัวอยาง ชั้นไอโอโนสเฟยรซึ่งเปนชั้น บรรยากาศสูงสุดชวยในการกระจายคลื่นวิทยุ เปนระยะทางไกลๆได
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 27
ชั้นของบรรยากาศ ขอเท็จจริงหนึง่ เกี่ยวกับจักรวาลที่ปรากฏในอัลกุรอาน คือ ทองฟาถูกสรางใหมี 7 ชั้น ดังซูเราะฮอัลบะเกาะ เราะฮ.: “พระองคคือผูที่ไดสรางสิง่ ทั้งมวลในโลกไวสาํ หรับพวกเจา ภายหลังไดทรงมุง สูฟากฟา และไดทําใหมันสมบูรณขนึ้ เปนเจ็ดชั้นฟา และพระองคนั้นทรงรอบรูในทุกสิ่งทุกอยาง ” (อัลกุรอาน 2:29) ซูเราะฮ อัลฟุศศิลัต : “ดังนั้นพระองคทรงสรางมันสําเร็จเปนชั้นฟาทั้งเจ็ดในระยะเวลา 2 วัน และทรงกําหนดในทุกชัน้ ฟาซึ่งหนาทีข่ องมัน ” (อัลกุรอาน 41:12) คําวา “ทองฟา” ซึ่งกลาวไวหลายอายะฮในอัลกุรอาน หมายถึง ทองฟาที่อยูเ หนือผิวโลก หรือหมายถึง จักรวาลทั้งหมดก็ได นั่นแสดงวา ทองฟาหรือบรรยากาศทีห่ อหุมโลกนัน้ มี 7 ชั้น ในปจจุบันมีการศึกษาพบวา บรรยากาศของโลก ประกอบดวยชั้นหลายชั้นที่แตกตางกัน และยิง่ กวานั้นยังพบวามี 7 ชั้น ดังที่ไดกลาวไวในอัลกุ รอานดวย
คุณสมบัติตางๆทั้งหมดของโลกลวนจําเปนตอสิ่งมีชีวิต ซึ่งสิ่ง หนึ่งคือ ชั้นบรรยากาศซึ่งทําหนาที่เปนเกราะกําบังแกสิ่งมีชีวิต ปจจุบันมีขอเท็จจริงที่วา ชั้นบรรยากาศประกอบดวยชั้นที่ แตกตางกันทับซอนกันอยู 7 ชั้น ตรงตามที่อัลกุรอานไดกลาว ไว แนนอนวานี่คือความมหัศจรรยประการหนึ่งของอัลกุรอาน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 28
แหลงขอมูลดานวิทยาศาสตรไดอธิบาย เรื่องดังกลาวไวดังนี:้ นักวิทยาศาสตรพบวา บรรยากาศ ประกอบดวยชั้นตางๆ ซึ่งมีความแตกตาง กันทางกายภาพ ในเรื่องความดัน และ ชนิดของกาซที่เปนองคประกอบ โดยชัน้ โทรโพสเฟยร (TROPOSPHERE) เปนชัน้ ที่อยูใกลพื้นโลกมากที่สุด และมีมวลถึง 90 เปอรเซ็นตของบรรยากาศทั้งหมด ชัน้ ที่อยูถัดขึ้นไปคือ ชั้นสตารโทสเฟยร (STARTOSPHERE) และชั้นโอโซนซึ่ง เปนสวนหนึง่ ของชั้นสตารโทสเฟยร มี หนาที่ดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต ชั้นที่อยู ถัดขึ้นไปอีกคือ ชั้นเมโสสเฟยร (MESOSPHERE) ถัดไปคือ ชั้นเทอรโมส เฟยร (THERMOSPHERE) ซึ่งมีกาซแตก ตัวเปนประจุเกิดเปนอีกชัน้ หนึง่ อยูภายใน เรียกวา ชัน้ ไอโอโนสเฟยร (IONOSPHERE) สวนชัน้ ทีอ่ ยูนอกสุดมี ขอบเขตประมาณ 480 ถึง 960 กิโลเมตร เหนือพืน้ โลก คือชั้นเอกโซสเฟยร (EXOSPHERE) 2
เมื่อกวา 1,400 ปกอน ยังมีความเชื่อกันวา ทองฟาเปนสวนเดียวกันทัง้ หมด แตอัลกุร อานไดแสดงความมหัศจรรย โดยกลาววา ทองฟาประกอบดวย 7 ชั้น ในขณะที่ นักวิทยาศาสตรเพิ่งจะคนพบ ความจริง ดังกลาว เมื่อไมนานนี้ The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 29
หากเรานับจํานวนชั้นที่ไดรับการกลาวอางไวแลว จะพบวาชัน้ บรรยากาศประกอบดวย 7 ชั้น ดังนี้ 1. ชั้นโทรโพสเฟยร ( TROPOSPHERE ) 2. ชั้นสตารโทสเฟยร ( STARTOSPHERE ) 3. ชั้นโอโซโนสเฟยร ( OZONOSPHERE ) 4. ชั้นเมโสสเฟยร ( MESOSPHERE ) 5. ชั้นเทอรโมสเฟยร ( THERMOSPHERE ) 6. ชั้นไอโอโนสเฟยร ( IONOSPHERE ) 7. ชั้นเอกโซสเฟยร ( EXOSPHERE ) ความมหัศจรรยอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีกลาวไวในอายะฮที่ 12 ของซูเราะฮ อัลฟุศศิลัต ความวา “...และ(พระองค)ทรงกําหนดในทุกๆชั้นซึ่งหนาทีข่ องมัน...” หมายความวาพระองคไดสรางใหแตละชัน้ ฟามี หนาทีเ่ ฉพาะแตกตางกัน ซึ่งมีความสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งมีชีวิตตางๆบนโลก เชน การเกิดฝน, การปองกันรังสีที่เปนอันตราย, การสะทอนคลื่นวิทยุ และการปองกันภัยจากอุกกาบาต หนาที่ดงั กลาวปรากฏ ในแหลงขอมูลทางวิทยาศาสตรเปนตัวอยางหนึ่งดังนี้ : ชั้นบรรยากาศมีทั้งสิน้ 7 ชั้น ชั้นลางสุดคือ ชั้นโทรโพสเฟยร ซึ่งเปนเพียงชั้นเดียวเทานั้นที่มีการเกิดฝน หิมะ และลม3 ขอเท็จจริงที่ไมสามารถคนพบไดหากปราศจากเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 20นั้น อัลกุรอานไดเปดเผยแกเรา ตั้งแตเมื่อ 1,400 ปมาแลว นับเปนความมหัศจรรยอยางยิ่ง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 30
หนาที่ของภูเขา อัลกุรอานไดกลาวไวเกี่ยวกับคุณสมบัติทางดารธรณีวทิ ยาที่สาํ คัญของภูเขาดังซูเราะฮอัลอัมบิยาอ : “และเราไดทาํ ใหเทือกเขามั่นคงในแผนดิน เพื่อมันจะมิไดเคลื่อนไหวภายใตพวกเขา…” (อัลกุรอาน 21:31) ภูเขามีรากฝงลึกลงไปในพื้นผิวดิน (Earth Press and Siever , p 413 )
ภาพตัดของภูเขาแสดงใหเห็นถึงลักษณะ เหมือนหมุดฝงลึกลงไปในพื้นดิน (Anatomy of the Earth , Cailleux , p 220)
ภาพแสดงวาภูเขามีลักษณะเหมือนหมุด จากการทีร่ ากฝงลึกลงไปในพื้นดิน ( Earth Science ,Tarbuck and Lutgens , p 158 )
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 31
ดังที่ปรากฏในอายะฮขางตนวา ภูเขามีหนาที่ในการปองกันการสั่นไหวของแผนดิน ความรูทางธรณีวิทยาทีเ่ พิง่ คนพบเมื่อไมนานมานี้ เปนขอเท็จจริงทีย่ ังไมมีผูใดรูในขณะที่อัลกุรอานประทาน ลงมา จากการคนพบวาภูเขาเกิดจากการเคลื่อนที่เขาปะทะกันของแผนทวีปขนาดใหญทกี่ ลายเปนผิวโลก แผนที่ แข็งกวาจะแทรกเขาไปใตอีกแผนหนึ่ง ชัน้ ที่อยูขางบนจะมีการโคงงอเกิดเปนภูเขาขึน้ ชั้นที่อยูขา งใตจะเปนสวนที่ ลึกลงไปดานลาง นัน่ หมายถึง จริงๆแลวภูเขาที่เราเห็นวาสูงตระหงานเสียดฟานั้น มีสวนที่ลกึ ลงไปใตดินพอๆกับ สวนที่เราเห็นบนผืนโลก ขอความทางวิทยาศาสตรไดอธิบายโครงสรางของภูเขาไวดังนี้ :
ลักษณะที่ภูเขาฝงลึกลงไปในพื้นดินและยื่นขึ้นเหนือพื้นโลก ทําใหมี คุณสมบัติเหมือนหมุดที่ยึดผิวโลกเขาไวดวยกัน เปลือกโลกประกอบดวยสวน ที่ยังคงมีการเคลื่อนตัวอยางสม่ําเสมอ การยึดติดของภูเขานี้ชวยปองกันการ สั่นสะเทือนอยางรุนแรงของเปลือกโลก ซึ่งมีโครงสรางที่เคลื่อนไหวได
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 32
“แผนทวีปสวนทีห่ นากวาไดแกสวนที่เปนเทือกเขานัน้ เปลือกโลกชัน้ นอกฝงลึกลงไปในเปลือกโลกชั้นใน” 4 อัลกุรอานไดเปรียบเทียบหนาที่ของภูเขาเหมือนกับตะปูหมุด ดังซูเราะฮอันนะบะอ : “เรามิไดทําใหแผนดินเปนพื้นราบดอกหรือ และมิไดใหเทือกเขาเปนหลักตรึงไวดอกหรือ” (อัลกุรอาน 78:6–7) กลาวอีกอยางหนึง่ ไดวาภูเขาจะยึดชัน้ หินใตเปลือกโลกเขาไวดวยกันโดยมีจุดยึดทัง้ ดานบนและดานลางของ ผิวโลก ทําใหเปลือกโลกไมไหวเลื่อน อาจเปรียบไดวาภูเขาเหมือนตะปูที่ตรึงแผนไมเขาไวดวยกัน ลักษณะการยึดของภูเขาในทางวิชาการเรียกวา “ดุลเสมอภาคของเปลือกโลก” (Isostasy) ซึ่งมีความหมาย วา : “เปลือกโลกรักษาภาวะสมดุลได ดวยการเคลื่อนไหวเปนครั้งคราวของหินใตเปลือกโลก” 5 หนาที่สาํ คัญของภูเขาที่คน พบจากความรูดา นธรณีวิทยา ซึ่งเปนตัวอยางการสรางสรรคอันยิ่งใหญของพระ ผูเปนเจา มีกลาวไวในอัลกุรอานมากอนหนาแลว ดังซูเราะฮอัลอัมบิยาอ. “ และเราไดทําใหเทือกเขามั่นคงในแผนดิน เพื่อมันจะมิไดหวัน่ ไหวไปกับพวกเขา และเราไดทําใหหุบเขาเปนทางกวางในแผนดินนั้น เพื่อวาพวกเขาไดใชเปนทางเดินอยางถูกตอง ” (อัลกุรอาน 21:31)
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 33
การเคลื่อนไหวของภูเขา จากอายะฮหนึ่งในซูเราะฮ อันนัม ทําใหเราไดรูวา ภูเขาที่เราเห็นเหมือนวามิไดเคลื่อนไหวใดๆ แทจริงแลว ภูเขานั้นเคลื่อนไหวอยูเสมอ “และเจาจะเห็นขุนเขาทัง้ หลาย เจาจะคิดวามันติดแนนอยูกับที่ แตมันลองลอยไป เชนการลองลอยของเมฆ นั่นคือการงานของอัลลอฮซึ่งพระองคผูทําทุกสิ่งทุกอยางเรียบรอย แทจริงพระองคเปนผูทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจากระทํา” (อัลกุรอาน 27:88) การเคลื่อนไหวของภูเขาเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกชัน้ นอกที่อยูเหนือเปลือกโลกชัน้ ในทีห่ นาแนน กวา ในชวงตนศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตรชาวเยอรมันทีช่ ื่อ อัลเฟรด เวเกเนอร (Alfred Wegener) เสนอ สมมุติฐานเปนครั้งแรกในประวัติศาสตรวา ทวีปตางๆนัน้ แตเดิมเปนผืนเดียวกัน ตอมาไดเคลื่อนตัวแยกออกจาก กัน นักธรณีวทิ ยาเพิง่ เขาใจและยอมรับทฤษฎีนี้ในทศวรรษ 1980 ซึ่งเปนเวลากวา 50 ป หลังจากที่เวเกเนอร เสียชีวิตไปแลว เวเกเนอรอธิบายไวในบทความที่ตีพิมพในป 1915 วา เมื่อประมาณ 500 ลานปกอน พืน้ โลก ปจจุบันซึง่ เปนทวีปตางๆ ยังเปนผืนเดียวกัน อยูบริเวณขั้วโลกใต เรียกวา ปนเจีย (Pangaea) ประมาณ 180 ลานปกอน ปนเจียแยกออกเปนสองสวนและ เคลื่อนออกจากกัน สวนหนึ่งเรียกวา กอนดวา นา (Gondwana) ประกอบดวยทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย แอนตารกติกา และอินเดีย และอีกสวนหนึง่ เรียกวา ลอเรเซีย (Laurasia) ประกอบดวยทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชีย (ยกเวนอินเดีย) อีก 150 ลานปตอมา กอนด วานาและลอเรเซียตางก็แยกออกเปนสวนยอยๆ ทวีปตางๆทีเ่ กิดจากการแยกของปนเจียนัน้ ปจจุบนั ยังคงเคลื่อนตัวอยูห ลายเซ็นติเมตรตอปซึ่งทําใหสัดสวน ของผืนดินกับผืนน้าํ บนโลกนี้เปลี่ยนไปดวย ตนศตวรรษที่ 20 มีการศึกษาทางธรณีวิทยาและพบวาการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเปนดังนี้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 34
ภาพทางดานซายแสดงตําแหนงของ ทวีปในอดีต ถาเราคาดเดาเอาวาการ เคลื่อนตัวของทวีปนั้น จะยังคงดําเนิน ไปในลักษณะนี้ ในอีกลานปขางหนา ตําแหนงของมันจะอยูในลักษณะดัง ในภาพทางดานขวา
เปลือกโลกชัน้ นอกกับสวนบนสุดของเปลือกโลกชัน้ ใน ซึง่ หนาประมาณ 100 กิโลเมตร ถูกแบงออกเปนสวน เรียกวา แผนทวีป (Plate) ประกอบดวย 6 แผนทวีปใหญ และหลายแผนทวีปเล็ก ตามทฤษฎีการแปรโครงสราง แผนทวีปเหลานี้จะเคลื่อนตัวจนทําใหทวีปและพื้นมหาสมุทรเคลื่อนที่ไปดวย การเคลื่อนตัวของทวีปวัดได ประมาณ 1-5 เซนติเมตรตอป การเคลื่อนตัวของแผนทวีปนั้นทําใหลักษณะทางภูมิศาสตรของโลกเปลี่ยนแปลงไป อยางชาๆ เชน มหาสมุทร แอตแลนติค จะกวางออกเล็กนอยในแตละป 6 ประเด็นสําคัญมากที่จะกลาวถึงในทีน่ ี้ก็คอื อัลลอฮไดตรัสเรื่องการเคลื่อนไหวของภูเขานี้ไวในอายะฮกุรอาน แลว ในปจจุบัน นักวิทยาศาสตรสมัยใหมไดใชคําวา การเลื่อนของทวีป (Continental Drift) เพื่อแสดงถึงการ เคลื่อนไหวเหลานัน้ 7 เปนที่แนชัดแลววานี่คือ ความมหัศจรรยประการหนึ่งของอัลกุรอาน ที่ไดเปดเผยขอเท็จจริงที่วทิ ยาศาสตร เพิ่งคนพบ
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 35
ความมหัศจรรยของเหล็ก เหล็กเปนธาตุหนึง่ ที่อัลกุรอานกลาวถึงไวในซูเราะฮ อัล ฮะดีด ซึง่ หมายถึงเหล็ก ความวา “...และเราได (สงลงมา) ใหมีเหล็กขึ้นมา เพราะในนั้นมีความแข็งแกรงมาก และมีประโยชนมากหลายสําหรับมนุษย...” (อัลกุรอาน 57:25) คําวา “สงลงมา” ในทีน่ ี้หากพิจารณาในเชิงอุปมาอุปมัยก็อาจหมายความวา “ประทานลงมาเพื่อเปน ประโยชนแกมนุษย” แตเมื่อเราพิจารณาความหมายตามตัวอักษร จะหมายถึง “วัตถุนนั้ ถูกสงลงมาจากฟากฟา จริงๆ ” ซึ่งทําใหเราประจักษวาอายะฮนี้มนี ัยแสดงความมหัศจรรยทางวิทยาศาสตรที่สําคัญยิ่ง นั่นก็เพราะวาในปจจุบันมีการคนพบทางดาราศาสตรวา เหล็กที่พบในโลกนั้นมาจากดาวฤกษขนาดใหญใน อวกาศ โลหะหนักในจักรวาลกําเนิดจากนิวเคลียสของดาวฤกษขนาดใหญ ซึ่งใน ระบบสุริยะของเราไมมีโครงสรางของสภาวะทีจ่ ะทําใหเหล็กเกิดขึ้นได โดยที่เหล็ก จะเกิดขึ้นเฉพาะในบรรดาดาวฤกษที่ใหญกวาดวงอาทิตยมากที่มีอุณหภูมิสูงถึง 23 รอยลานองศาเซลเซียส เมื่อเหล็กมีจํานวนมากขึ้น จนถึงระดับที่ดาวดวงนัน้ รับไม ไหว ดาวดวงนัน้ ก็จะระเบิดขึ้น เรียกวา โนวา (nova) หรือ ซุปเปอรโนวา (supernova) ซึ่งทําใหเกิดอุกกาบาตที่มีสว นประกอบของเหล็กกระจายอยูในอวกาศ จนกระทัง่ เขาสูแรงโนมถวง ของดาวตางๆ ความจริงดังกลาวที่วา เหล็กไมไดกําเนิดบนโลก แตมาจากการระเบิดของดาวฤกษ และเกิดเปนอุกกาบาต ในอวกาศสงมายังโลก ตรงกับที่กลาวไวในอัลกุรอาน จึงเปนที่แนชัดแลววา ขอเท็จจริงที่เพิ่งมารูกนั เมื่อคริส ศตวรรษที่ 7 นั้น อัลกุรอานไดประกาศไวกอนแลว
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 36
การสรางสรรคเปนคู อัลกุรอานใน ซูเราะฮ ยาซีน ความวา “มหาบริสทุ ธิย์ ิ่งแดพระผูทรงสรางทุกสิง่ ทั้งหมดเปนคูๆจากสิ่งทีแ่ ผนดินได (ใหมัน) งอกเงยขึ้นมา และจากตัวของพวกเขาเอง และจากสิ่งที่พวกเขาไมร”ู (อัลกุรอาน 36:36) แมวาบทสรุปโดยทั่วไปที่กลาวถึงเรื่องของ คําวา”คู” หรือ “สองสิ่ง”มักจะหมายถึง ชาย-หญิง, เพศผู-เพศเมีย แตโองการทีก่ ลาววา “จากสิ่งที่พวกเขาไมรู” มีความหมายที่มากกวานัน้ และในปจจุบัน หนึง่ ในความหมาย ดังกลาว ก็เปนที่เขาใจแลว นักวิทยาศาสตรชาวอังกฤษ ที่ชื่อ พอล ดิรัก (Paul Dirac) ไดรับรางวัลโนเบล สาขาฟสิกส ในป 1933 จาก การเสนอสมมติฐานวาสิง่ ตางๆ ถูกสรางมาเปนคูๆ การคนพบครั้งนี้เรียกวา ปาริเต (Parite´) ซึ่งหมายถึง สิง่ ตางๆ จะมีสิ่งที่มีคุณสมบัติตรงกันขามเปนคูกนั ตัวอยางเชน อิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบ มีสิ่งที่ตรงกันขาม คือ โปรตอนที่มี ประจุบวก ขอเท็จจริงดังกลาวนี้มีระบุไวในแหลงขอมูลทางวิทยาศาสตรวา “…..ทุกอนุภาคมีอนุภาคที่มปี ระจุตรงกันขาม… และ ความสัมพันธที่ไมมีความแนนอนตายตัวนั้น บงบอกวาการกําเนิดเปนคู และการสูญสิน้ เปนคูเกิดขึ้นในทุกเวลาทุกสถานที่ “ 8
Prof. Paul Dirac
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 37
สัมพันธภาพแหงเวลา ในปจจุบันนี้เรือ่ งสัมพันธภาพแหงเวลาไดรับการพิสูจนทางวิทยาศาสตรแลวจากทฤษฎีสัมพันธภาพของ อัลเบิรต ไอนสไตน ในศตวรรษที่ 20 แตกอนนั้นมนุษยยังไมรูวา เวลามีมิติสัมพันธภาพ สามารถเปลี่ยนแปลงตาม สภาพแวดลอมได จนกระทัง่ นักวิทยาศาสตรที่ยิ่งใหญอยางอัลเบิรต ไอนสไตน ไดคนพบขอพิสูจนเกีย่ วกับทฤษฎี สัมพันธภาพวา เวลาขึน้ อยูกบั มวลและความเร็ว ในประวัติศาสตรแหงมนุษยชาติไมมีใครสามารถสรางความ กระจางในเรื่องนี้ไดมากอน อยางไรก็ตามอัลกุรอานไดกลาวถึงขอมูลเกี่ยวกับสัมพันธภาพของเวลาในซูเราะฮ อัลฮัจญ ความวา “และพวกเขาไดเรงเราเจา ใหมีการลงโทษ แตวาอัลลอฮ (ซ.บ.) นั้น จะไมทรงผิดสัญญาของพระองคเปนอันขาด และแทจริง วันนั้น ณ ทีพ ่ ระเจาของเจานั้น เทากับหนึ่งพันป ตามที่พวกเจาคํานวณนับ” (อัลกุรอาน 22: 47)
เวลาเปนเรื่องที่ขึ้นอยูกับเงื่อนไขของผูสังเกตทั้งสิ้น ขณะที่ชวงเวลาหนึ่งดูเหมือนวาจะยาวนาน สําหรับคนคนหนึ่ง แต กลับสั้นสําหรับอีกคนหนึ่ง เพื่อความเขาใจที่ตรงกัน เราจึงตองมีสิ่งที่บอกเวลา เชน นาฬิกา หรือปฏิทิน เราจะไม สามารถตัดสินเกี่ยวกับเวลาไดอยางเที่ยงตรงเลย ถาปราศจากสองสิ่งนี้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 38
ซูเราะฮ อัซซัจญดะฮ. “พระองคทรงบริหารกิจการจากชั้นฟาสูแผนดิน แลวมันจะขึน้ ไปสูพระองคในวันหนึง่ ซึ่งกําหนดของมันเทากับหนึ่งพันปตามที่พวกเจานับ” (อัลกุรอาน 32:5) ซูเราะฮ อัลมะอาริจญ “มาลาอิกะหและอัรรูห (ญิบริล) จะขึน้ ไปหาพระองค ในวันหนึ่งซึ่งกําหนดของมันเทากับหาหมื่นป (ของโลกดุนยานี้)” (อัลกุรอาน 70:4) บางอายะฮในอัลกุรอาน บงบอกไววามนุษยสามารถรับรูเวลาที่แตกตางกัน บางครั้งมนุษยจะรูสึกวา ชวงเวลาสัน้ ๆนั้นแสนยาวนาน ตัวอยางทีด่ ีในเรื่องนี้ปรากฏอยูในอัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลมุอ.มินูน ความวา “พระองค ตรัสวา พวกเจาพํานักอยูใ นแผนดินนี้เปนจํานวนกี่ป พวกเขากลาวตอบวา เราพํานักอยูว ันหนึ่งหรือสวนหนึ่งของวัน ขอพระองคโปรดถามนักคํานวณที่เชีย่ วชาญเถิด พระองคตรัสวา พวกเจามิไดพํานักอยู เวนแตเพียงเล็กนอยเทานัน้ หากพวกเจารู (อัลกุรอาน 23:112-114 ) การที่เรื่องสัมพันธภาพของเวลามีกลาวไวอยางชัดเจนในอัลกุรอาน เปนเวลา 14 ศตวรรษมาแลวนัน้ ยืนยันไดวาเพราะอัลกุรอานเปนวจนะของพระผูเปนเจา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 39
ดุลยภาพแหงฝน อัลกุรอานกลาวถึงฝนที่ตกลงสูพนื้ โลกนัน้ วา มีปริมาณที่เหมาะสม ดังความในซูเราะฮ อัซซุครุฟ ความวา “และเปนผูทรงหลั่งน้ําลงมาจากฟากฟาตามปริมาณ และดวยน้ํานั้นเราไดทําใหแผนดินที่แหงแลง มีชีวิตชีวาขึน้ และเชนนั้นแหละพวกเจาจะถูกใหออกมา(จากกุบรู )” (อัลกุรอาน 43:11) เรื่องปริมาณของฝนนั้นมีการคนพบโดยการวิจัยสมัยใหม ประมาณวาในหนึ่งวินาทีมีปริมาณน้ําระเหยจาก พื้นดิน 16 ลานตัน ในหนึง่ ปมีจํานวนน้าํ ประมาณ 513 ลานลานตันที่ระเหยจากพื้นโลก เปนปริมาณเทากับฝนที่ ตกมาบนพืน้ โลกในหนึง่ ป นัน่ ยอมหมายความวาการหมุนเวียนของน้าํ ในโลกมีปริมาณที่สมดุลและตอเนื่องเปน วงจร สรรพชีวิตบนโลกลวนตองอาศัยวงจรของน้ํานี้ แมในปจจุบันมนุษยสามารถใชเทคโนโลยีทั้งหลายที่มีอยูใน โลกก็ไมสามารถทําใหเกิดวงจรของน้าํ ดังกลาวได หากวันใดดุลยภาพนั้นเกิดการเบี่ยงเบนเพียงเล็กนอย ก็ จะเกิดความไมสมดุลของระบบนิเวศครั้งใหญจนทําใหสงิ่ มีชีวิต ไมอาจดํารงอยูได อยางไรก็ตามเหตุการณทํานองนีย้ ังไมเคย เกิด ทุกปฝนก็ยงั ตกอยูอ ยางสม่ําเสมอดวยปริมาณที่แนนอน เหมือนในโองการที่ปรากฏอยูในอัลกุรอาน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 40
ในทุกๆปปริมาณของน้ําที่ระเหยและตกลงสูพื้นโลกในลักษณะของฝน จะมีปริมาณที่คงที่ 513 ลานลานตัน โดย ปริมาณที่คงที่นั้น ถูกกลาวไวในอัลกุรอานในโองการที่วา “…น้ําลงมาจากฟากฟาตามปริมาณ” ปริมาณที่คงที่นี้มี ความสําคัญมากความตอเนื่องในการตกนัน้ จะมีความสําคัญมากตอระบบนิเวศวิทยาที่สมดุลและตอสิ่งมีชีวิต.
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 41
การกอตัวของฝน การที่ฝนกอตัวขึ้นไดอยางไรนั้นเคยเปนทีส่ งสัยมาเปนเวลายาวนาน จนกระทั่งหลังจากมีการประดิษฐเครื่อง ตรวจวัดสภาพอากาศ เราจึงรูขั้นตอนที่ฝนกอตัวขึน้ การกอตัวของฝนนัน้ มีอยู 3 ขั้นตอน โดยในขั้นตอนแรกนั้น ไอน้ําซึง่ เปน ”วัตถุดิบ” ของฝน จะลอยตัวขึ้นสู อากาศโดยการพัดพาลม หลังจากนัน้ ก็กอ ตัวขึ้นเปนเมฆ และสุดทายก็กลายเปนเม็ดฝนตกลงมา อัลกุรอานไดอธิบายขัน้ ตอนการกอตัวของฝนไวในซูเราะฮ อัรรูม ความวา “อัลลอฮทรงเปนผูสงลมทัง้ หลาย แลวมันไดรวมตัวกันเปนเมฆ แลวพระองคทรงใหมัน แผกระจายไปตามทองฟา เทาที่พระองคทรงประสงค และพระองคทรงทําใหมันเปนกลุมกอน แลวเจาจะเห็นฝนตกลงมาจากทามกลางมัน เมื่อมันไดตกลงมายังผูที่พระองคทรงประสงค จากปวงบาวของพระองค เมื่อนั้นพวกเขาก็ดีใจ” (อัลกุรอาน 30:48) เรามาพิจารณาถึงการกอตัวของฝนตามหลักวิชาการ ทัง้ 3 ขัน้ ตอนทีก่ ลาวไวในอายะฮดังกลาวขางตน ดังนี้ ขั้นตอนแรก: “อัลลอฮทรงเปนผูสงลมทัง้ หลาย...” ฟองอากาศจํานวนมหาศาลที่เกิดในมหาสมุทรจะแตกตัวอยางตอเนื่อง และกลายเปนอนุภาคเล็กๆของน้ํา พุงขึ้นสูท องฟา โดยแรงลมจะพัดพาอนุภาคที่เต็มไปดวยเกลือนี้ขนึ้ สูชนั้ บรรยากาศ ซึ่งอนุภาคของน้าํ ที่แขวนลอย อยูในอากาศนีเ้ รียกวาแอโรซอล (Aerosol) ทําหนาทีก่ ักเก็บน้ํา โดยดึงไอน้ําที่อยูรอบๆมากอตัวเปนหยดน้าํ เล็กๆ ขั้นตอนที่สอง: “...แลวมันไดรวมตัวกันเปนกอนเมฆ แลวพระองคทรงใหมันแผกระจายไปตาม ทองฟาเทาทีพ ่ ระองคทรงประสงค และพระองคทรงทําใหมนั เปนกลุมกอน...” เมฆกอตัวขึ้นจากไอน้าํ ที่เกาะอยูรอบๆผลึกเกลือหรือฝุน ละอองในอากาศ เนื่องจากหยดน้าํ ในเมฆนั้นมี ขนาดเล็กมาก (โดยมีเสนผาศูนยกลางอยูระหวาง 0.01 ถึง 0.02 มิลลิเมตร) จึงลอยอยูในอากาศได และกลายเปน เมฆแผกระจายเต็มทองฟา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 42
ภาพนี้แสดงใหเห็นละอองน้ําที่ระเหยขึ้นสูอากาศ ซึ่งเปนขั้นตอนแรกของการกอตัวของฝน หลังจากนั้น ละอองน้ํา เหลานี้จะกอตัวเปนเมฆ และแขวนลอยอยูในอากาศกอนที่จะกลั่นตัวเปนเม็ดฝน ขั้นตอนทั้งหมดนี้ไดกลาวไวแลว ในอัลกุรอาน
ขั้นตอนที่สาม:“...แลวเจาจะเห็นฝนตกลงมาจากทามกลางมัน...” อนุภาคของน้าํ ที่อยุรอบๆผลึกเกลือและฝุน ละอองจะควบแนนแลวกอตัวเปนเม็ดฝน เม็ดฝนที่มีนา้ํ หนัก มากกวาอากาศ จะแยกตัวจากกอนตกลงสูพื้นดิน จะเห็นไดวา ทุกๆขั้นตอนในการกอตัวของฝนนั้นสอดคลองกับอัลกุรอาน นอกจากนัน้ ยังเปนไปตามลําดับ ขั้นตอนอยางถูกตอง ปรากฏการณธรรมชาติอีกหลายอยางในโลกก็เชนกัน อัลลอฮ (ซ.บ.) ไดใหคําอธิบายอยาง ถูกตองที่สุดไวแลวในอัลกุรอาน ใหมนุษยไดเรียนรูหลายศตวรรษ กอนหนาที่จะมีการศึกษาคนพบเสียอีก ยังมีอีกอายะฮหนึง่ ที่ใหขอมูลเกี่ยวกับการกอตัวของฝนดังนี้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 43
ซูเราะฮ อันนูร “เจาไมเห็นดอกหรือวา แทจริงนั้นอัลลอฮไดทรงใหเมฆลอย แลวทรงทําใหประสานตัวกัน แลวทรงทําใหรวมกันเปนกลุมกอน แลวเจาจะเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุม เมฆนั้น แลวพระองคทรงใหมันตกลงมาจากฟากฟา มีขนาดเทาภูเขา ในนั้นมีลกู เห็บ แลวพระองคจะทรงใหมันหลนลงมาโดนผูที่พระองคทรงประสงค และพระองคจะทรงใหมันผานพนไป จากผูที่พระองคทรงประสงค แสงประกายของสายฟาแลบเกือบจะเฉี่ยวสายตาผูมอง” (อัลกุรอาน 24:43) นักวิทยาศาสตรที่ศึกษาชนิดของเมฆไดคนพบคําตอบทีน่ าประหลาดใจเกี่ยวกับการกอตัวของฝน เมฆฝนกอ ตัวเปนรูปรางตามระบบและขั้นตอนที่แนนอน เมฆฝนขนาดใหญที่เรียกวา เมฆคูมโู ลนิมบัส (Cumulonimbus) นัน้ มีขั้นตอนการกอตัวดังนี้ 1. พัดพา: ลมพัดพาเมฆกอนเล็กๆ 2. รวมตัว: เมฆกอนเล็กๆทีเ่ รียกวาเมฆคูมูลสั (Cumulus) นี้ จะรวมกันเขา กอตัวขึน้ เปนเมฆที่ใหญขึ้น 3. กองสุม: เมื่อเมฆมีขนาดใหญขึ้น แรงดันภายในกอนเมฆก็เพิ่มมากขึ้น บริเวณสวนกลางของกอนเมฆจะมี แรงดันสูงมากจนทําใหกอนเมฆโปงขึน้ ดานบนในแนวตั้ง สวนของกอนเมฆที่สูงขึ้นไปนั้นจะกระทบกับ ความเย็นของชั้นบรรยากาศจึงกลัน่ เปนหยดน้ําและลูกเห็บที่มีขนาดใหญขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหยดน้ําและ ลูกเห็บเหลานีห้ นักเกินกวาแรงดันของเมฆจะรับไวได ก็จะตกลงมาเปนฝนและกอนลูกเห็บ
เราตองไมลืมวานักอุตุนยิ มวิทยาเพิ่งจะรูรายละเอียดการกอตัวของฝนไดเมื่อไมนานนี้ โดยใชเครื่องมืออัน ทันสมัย เชน ดาวเทียม หรือ คอมพิวเตอร เปนตน นี่กเ็ ปนหลักฐานอันชัดแจงที่อลั ลอฮ (ซ.บ.) ไดใหขอมูลที่ไมมี ผูใดลวงรูมากวา 1,400 ปมาแลว The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 44
A เมฆกอนเล็กๆ (เมฆคูมูลัส) B เมื่อรวมตัวกันเขาเปนเมฆกอนใหญ แรงดันที่อยูภายในก็เพิ่มขึ้น จึงดันใหกอนเมฆขยายตัวขึ้นในแนวตั้ง แรงดันภายในกอนเมฆทําใหเมฆขยายตัวขึ้นในแนวตั้ง เมื่อสวนบน ของกอนเมฆขึน้ ไปสัมผัสบริเวณทีเย็นกวา จึงกอตัวเปนหยดน้ําและ ลูกเห็บทีใหญขึ้นๆ เมื่อหยดน้ําและลูกเห็บมีขนาดใหญจนเกินกวา แรงดันของกอนเมฆจะรับไหว จึงตกลงมาเปนฝนและลูกเห็บ ขอเท็จจริงทางวิทยาศาสตรนี้ปรากฏอยูในอายะฮที่ 43 ซูเราะฮอันนูร เมื่อ 14 ศตวรรษมาแลว “...แลว (พระองค) ทรงทําใหรวมกันเปนกลุม กอน แลวเจาจะเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุมเมฆนั้น...” (อัลกุรอาน 24:43) เมฆกอนเล็กๆ (เมฆคูมูลัส) ถูกลมพัดไปรวมตัวกัน อัลกุรอานตรัสไววา “...อัลลอฮทรงเปนผูสงลมทั้งหลายแลวมันไดรวมตัวกันเปนกอนเมฆ...”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 45
ลมที่ทําใหเกิดฝน ในซูเราะฮอัลฮิจร อายะฮที่ 22 ไดกลาวถึงลมที่ทาํ ใหเมฆกอตัวขึ้นจนกลายเปนฝนวา “และเราไดสง ลมผสมเกสร* แลวเราไดใหน้ําลงมาจากฟากฟา แลวเราไดใหพวกเจาดื่มมัน…” (อัลกุรอาน 15:22) ในอายะฮนี้ ไดบงชี้วา ขั้นตอนแรกในการกอตัวของฝนคือลม ซึ่งในตอนตนคริสตศตวรรษ 20 ผูคนรูจัก ความสัมพันธระหวางลมและฝนแตเพียงวา ลมนั้นพัดพาเมฆฝน อยางไรก็ตามความรูทางอุตุนิยมวิทยาในสมัยนี้ แสดงใหเห็นวาลมทําหนาทีอ่ ยางไรในการกอตัวของฝน กระบวนการของลมในการทําใหเกิดฝนมีดงั นี้ บนพืน้ ผิวของทะเลและมหาสมุทรอันกวางใหญ มีฟองอากาศเกิดขึ้นมากมายนับไมถวน เนื่องจากปฏิกิริยา การแตกตัวของน้าํ ซึง่ อนุภาคน้ําที่แตกตัวออกมาในอากาศนั้นมีขนาดเศษหนึ่งสวนรอยมิลลิเมตร อนุภาคที่ แขวนลอยในอากาศเหลานี้จะผสมกับฝุน ละอองที่ลมพัดมาจากแผนดิน และถูกลมพัดพาขึ้นไปสูชั้นบรรยากาศ เบื้องบน เมื่อไปปะทะกับไอน้ําในชั้นบรรยากาศขางบน ก็จะเกิดการควบแนนรอบๆอนุภาคนัน้ ทําใหเกิดเปนหยด น้ําเล็กๆขึ้น และหยดน้ําเหลานี้กจ็ ะรวมตัวกันเปนเมฆฝน จากนั้นจึงตกลงมาบนพื้นโลก กลายเปนน้าํ ฝน เปนทีป่ ระจักษวา ”ลมผสมเกสร*” นัน้ นําไอน้ําในอากาศมาผสมกับอนุภาคของฟองอากาศที่แตกตัวจาก ทะเลมาชวย ในการกอตัวใหเกิดเมฆฝน ถาลมไมมีคุณสมบัตินี้ หยดน้ําเล็กๆในบรรยากาศเบื้องบน ก็จะไมกอตัวขึ้นเปนเมฆฝน และฝนก็จะไมตกลง มา สิ่งสําคัญที่สุดในทีน่ ี้ก็คือ อัลกุรอานไดชี้ใหเห็นถึงหนาที่ของลมทีท่ ําใหเกิดฝน มานานหลายรอยปแลว ในขณะที่ผูคนในยุคนัน้ ยังมีความรูเพียงนอยนิดเกีย่ วกับปรากฏการณทางธรรมชาติ
ลมผสมเกสร ในภาษาอาหรับคือ ละวากิฮ มีความหมายวา ทําใหเกิดผล ทําใหมีผล เชนการที่ลมพัดพาเกสรตัวผูไปผสมกับเกสร ตัวเมีย (จาก อัลกุรอานฉบับภาษาอังกฤษ The Glorious Qur’an, Translation and commentary, A Yusuf Ali 2nd Edition, 1977, หนา 641 หรือในความหมายเปรียบเทียบอีกอยางหนึ่ง คือลมที่พัดพาและทําใหเมฆอุมฝน ( Saheeh International หนา 346 ) The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 46
ภาพบนอธิบายขั้นตอนการกอตัวของคลื่น โดยคลื่นถูกสรางมาจากลมที่กําลังพัดอยูเหนือผิวน้ํา อนุภาคของน้ําเริ่ม เคลื่อนตัวในลักษณะหมุนวนเปนวงกลม การเคลื่อนไหวของน้ําในลักษณะนี้จะกอใหเกิดคลื่นลูกแลวลูกเลา และ กอใหเกิดฟองอากาศกระจายขึ้นไปในอากาศ และนี่คือขั้นตอนแรกในการกอตัวของฝน ซึ่งอัลกุรอานไดบอกถึง กระบวนการนี้เอาไววา “...และเราไดสงลมผสมเกสร แลวเราไดใหน้ําลงมาจากฟากฟา...”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 47
ทะเลไมล้ําเขตกัน ลักษณะทางภูมิศาสตรของทะเลประการหนึ่ง ที่เพิ่งคนพบเร็วๆนี้ เกี่ยวของกับสิ่งที่ไดกลาวไวแลวในอัลกุ รอาน ซูเราะฮ อัรรอห.มาน ดังนี้ “พระองคทรงทําใหนา นน้าํ ทั้งสอง (ทะเลและแมน้ํา) ไหลมาบรรจบกัน ระหวางมันทัง้ สองมีทกี่ ั้นกีดขวาง มันจะไมลา้ํ เขตตอกัน” (อัลกุรอาน 55:19-20) ลักษณะของทะเลดังกลาว ซึ่งเพิง่ คนพบเมื่อเร็วๆนี้โดยนักสมุทรศาสตร คือการที่ทะเลสองแหงมาบรรจบกัน แตน้ําจากทะเลทั้งสองนัน้ ก็ไมไดหลอมรวมเขาหากัน เนือ่ งจากลักษณะตามธรรมชาติที่เรียกวา “แรงตึงผิว” ซึ่งเกิด จากความหนาแนนของน้าํ ที่แตกตางกัน ทําใหนา้ํ จากทะเลแตละแหงไมผสานรวมกัน เหมือนกับมีแนวกัน้ บางๆมา ขวางไว 11 สิ่งทีน่ าสนใจก็คือ เรื่องราวเหลานี้ไดกลาวไวกอนแลวในอัลกุรอาน ตัง้ แตในยุคสมัยที่ผูคนยังไมมีความรูใน เรื่องวิชาฟสิกส แรงตึงผิว หรือ ลักษณะภูมิศาสตรทางทะเลมากอน
ในทะเลเมดิเตอรเรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นมีทั้งคลื่นขนาดใหญ กระแสน้ําที่เชี่ยวกราก และกระแสน้ําขึ้น น้ําลง น้ําจากทะเลเมดิเตอรเรเนียนไหลเขามาในมหาสมุทรแอตแลนติกผานชองแคบยิบรอลตา แตอุณหภูมิ ระดับ ความเค็ม และความหนาแนนของน้ําก็ยังคงไมเปลี่ยนแปลง เพราะมีแนวกั้นที่แบงแยกน้ําจากทะเลทั้งสองออกจากกัน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 48
ภาพถายจากดาวเทียมของชองแคบยิบรอลตา The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 49
ความมืดในทะเล และคลื่นใตน้ํา “หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในทองทะเลลึก มีคลื่นซอนคลื่นทวมมิดตัวเขา และเบือ้ งบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซอนกันชั้นแลวชั้นเลา เมื่อเขาเอามือของเขาออกมา เขาแทบจะมองไมเห็นมัน และผูใดที่อัลลอฮ ไมทรงทําใหเขาไดรับแสงสวาง เขาก็จะไมไดรับแสงสวางเลย” (อัลกุรอาน 24:40) หนังสือชื่อ “Oceans” ไดบรรยายสภาพทัว่ ไปของทะเลลึกไวดังนี้ ความมืดในทะเลลึกและมหาสมุทรนั้น เริ่มตั้งแตระดับความลึกที่ 200 เมตรลงไป เกือบจะไมมีแสงสวางอยู เลย และในระดับความลึกทีต่ ่ํากวา 1,000 เมตรลงไปนัน้ ไมมีแสงสวางแมแตนอย 12 ทุกวันนี้ เราไดเรียนรูลักษณะโครงสรางทั่วไปของทะเล ลักษณะของสิง่ มีชีวิตที่อาศัยอยูในทะเล ระดับ ความเค็ม ตลอดจนปริมาณน้ําในทะเล พืน้ ที่ของผิวน้ําและระดับความลึก นักวิทยาศาสตร สามารถรับรูขอมูล ตางๆเหลานี้ได โดยใชเรือดําน้าํ และอุปกรณพิเศษอื่นๆซึง่ พัฒนาขึน้ มาดวยเทคโนโลยีสมัยใหม มนุษยไมสามารถดําน้าํ ไดลึกมากกวา 40 เมตรโดยไมใชอุปกรณพิเศษชวย เราไมสามารถมีชีวิตรอดไดใต น้ําลึกและมืดมิดเชนในระดับที่ต่ํากวา 200 เมตรลงไป นักวิทยาศาสตรเพิง่ คนพบขอมูลรายละเอียดดังกลาว เกี่ยวกับทะเล เมื่อไมนานมานี้เอง แตคําวา “ความมืดในทะเลลึก” ปรากฏอยูในซูเราะฮอันนูร เมื่อกวา 1,400 ป มาแลว และนี่ก็เปนอีกสวนหนึ่งของความมหัศจรรยของอัลกุรอานโดยแทจริง ทีไ่ ดกลาวเรื่องราวเหลานี้ไวตงั้ แต ชวงเวลาที่ยงั ไมมีเครื่องมือหรืออุปกรณใดๆแมแตอยางเดียวทีท่ ําใหมนุษยสามารถเรียนรูเกี่ยวกับความลึกของ มหาสมุทรได นอกจากนัน้ ขอความในอายะฮที่ 40 ของซูเราะฮ อันนูร ยังไดกลาวอีกวา “...เปรียบเสมือนความมืดมน ทั้งหลายในทองทะเลลึก มีคลื่นซอนคลื่นทวมมิดตัวเขา และเบือ้ งบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซอนกันชั้น แลวชัน้ เลา…” ซึ่งขอความนี้ไดนําไปสูสงิ่ ทีน่ าสนใจอีกสิ่งหนึ่ง ที่สามารถยืนยันถึงความหัศจรรยของอัลกุรอานได เปนอยางดี เมื่อไมนานมานี้ นักวิทยาศาสตรคนพบวามีคลื่นใตน้ํามากมาย “ปรากฏอยูในบริเวณรอยตอของระดับชั้น ของน้ําที่มีความหนาแนนแตกตางกัน” คลื่นใตน้ําเหลานีค้ รอบคลุมไปทั่วบริเวณในระดับน้ําลึกของทัง้ ทะเลและ มหาสมุทร เนือ่ งจากน้าํ ที่อยูใ นระดับความลึกมากกวายอมมีความหนาแนนสูงกวาน้าํ ในชัน้ เหนือขึน้ ไป คลื่นใตนา้ํ นั้นมีลกั ษณะคลายคลื่นที่ผวิ น้าํ ซึง่ แตกสลายตัวได ทั้งนี้ เราไมสามารถมองเห็นคลืน่ ใตน้ําไดดวยตาเปลา แตเรา สามารถตรวจวัดไดจากการศึกษาระดับอุณหภูมิและระดับความเค็มที่เปลี่ยนไป ทีบ่ ริเวณใดบริเวณหนึ่ง 13
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 50
จากการวัดโดยใชเทคโนโลยีสมัยใหม ทําใหเราทราบวา แสงแดด 3-30เปอรเซ็นต ถูกสะทอนกลับที่บริเวณผิวน้ํา ใน ระดับความลึก 200 เมตรแรกนั้นองคประกอบทั้ง 7 สีของแสงเกือบทั้งหมด สามารถสองทะลุน้ําทะเลไดในระดับที่ แตกตางกัน ยกเวนแสงสีน้ําเงิน (ภาพเล็ก), ในระดับที่ต่ํากวา 1,000 เมตร นั้น ไมมีแสงสวางหลงเหลืออยูเลย (ภาพ บน) ขอเท็จจริงดังกลาว ซึ่งนักวิทยาศาสตรเพิ่งคนพบนี้ ไดกลาวไวแลว ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ อันนูร เมื่อกวา 1,400 ป มาแลว
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 51
ภาพซาย แสดงใหเห็นคลื่นใตน้ําที่เกิดขึน้ บริเวณรอยตอ ระหวางระดับชั้นของน้ํา 2 ระดับ ที่มีความหนาแนน แตกตางกัน น้ําในระดับที่ต่ํากวาจะมีความหนาแนนสูง กวา นักวิทยาศาสตรเพิ่งคนพบขอเท็จจริงเหลานี้ เมื่อไม นานมานี้เอง ซึ่งอัลกุรอาน ซูเราะฮ อันนูร อายะฮที่ 40 ไดเปดเผย อยางชัดแจงไวกอนหนานัน้ แลว เมื่อกวา 14 ศตวรรษที่ผานมา
เรื่องราวที่ไดกลาวมาขางตนนั้น สอดคลองอยางที่สุดกับขอความในอัลกุรอาน เพราะหากปราศจากการ คนควาวิจัยดังกลาว มนุษยจะมองเห็นแตเพียงคลืน่ ที่อยูบนผิวน้ําเทานั้น และเปนไปไมไดเลยที่เราจะไดรับรู เกี่ยวกับคลื่นที่อยูใตทะเล ทั้งนี้ อัลลอฮ (ซ.บ.) ไดทรงบอกพวกเราไวลวงหนาแลวในซูเราะฮอนั นูร ถึงเรื่องราว เกี่ยวกับคลื่นอีกชนิดหนึง่ ที่เกิดขึ้นภายใตระดับน้ําที่มีความลึกมากในมหาสมุทร และแนนอนทีส่ ุด ความจริงซึ่ง นักวิทยาศาสตรเพิ่งจะคนพบขอนี้เปนขอพิสูจนที่ชัดเจนอีกอยางหนึง่ วาอัลกุรอานนั้นเปนวจนะของพระผูเปนเจา โดยแทจริง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 52
สวนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมนุษย “มิใชเชนนั้น ถาเขายังไมหยุดยั้ง เราจะจิกเขาที่ขมอมอยางแนนอน ขมอมที่โกหก ที่ประพฤติชั่ว” (อัลกุรอาน 96:15-16) วจนะทีว่ า “ขมอมที่โกหกทีป่ ระพฤติชั่ว” ในอายะฮขางตนนัน้ นาสนใจเปนอยางยิง่ การวิจยั เมือ่ ไมกี่ปมานี้ ไดยืนยันวา บริเวณสวนสําคัญ ซึ่งเปนสวนที่ควบคุมการจัดการหนาทีก่ ารทํางานของสมองสวนตางๆแตละสวนนั้น อยูในบริเวณหนาสุดของกะโหลกศีรษะ เมื่อประมาณ 60 ปที่ผา นมา นักวิทยาศาสตรเพิง่ จะคนพบหนาทีก่ าร ทํางานของสมองสวนนี้ ซึ่งเปนสิ่งที่ไดกลาวไวในอัลกุรอาน เมื่อกวา 1,400 ปมาแลว หากเรามองเขาไปในกะโหลก ตรงบริเวณสวนหนาของศีรษะ จะเห็นดานหนาของสมองสวนทีเ่ รียกวา Cerebrum ในหนังสือ Essential of Anatomy and Physiology ซึ่งเปนหนังสือที่รวบรวมผลการวิจยั ลาสุดเกี่ยวกับสมองสวนนี้ กลาวไววา แรงจูงใจและการคาดการณเพื่อวางแผนและริเริ่มการเคลื่อนไหวตางๆ เกิดขึ้นในบริเวณที่อยูด านหนาของ รอยหยักสมองสวนหนา ซึ่งเปนสวนที่รวมสวนสําคัญตางๆไว..14. หนังสือเลมเดียวกันนี้ ยังกลาวอีกวา สมองสวนหนาสุดนี้ มีความสัมพันธกับแรงจูงใจ เพราะเปนศูนยกลางการทํางานของความกาวราว... ดังนัน้ พื้นที่สว นหนาของ Cerebrum นี้ จึงเปนสวนของสมองที่จะ ควบคุมการวางแผน, การสรางแรงจูงใจ และเปนสวนทีส่ รางพฤติกรรมที่ดี และไมดี และยังควบคุมการพูดเท็จ และการพูดความจริง อีกดวย เราจะเห็นไดอยางชัดเจนวา วจนะที่กลาวไววา “ขมอมที่โกหกที่ ประพฤติชั่ว” สอดคลองตรงกันอยางยิ่งกับกับผลงานวิจัยที่ไดกลาวขางตน ขอเท็จจริงซึง่ นักวิทยาศาสตรเพิ่งคนพบเมื่อ 60 ปที่ผา นมานี้ ไดบนั ทึกไว กอนแลวจากวจนะของพระผูเ ปนเจา ตั้งแตเมื่อพันกวาปกอนนั้น
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 53
การกําเนิดของมนุษย วิชาการหลากหลายแขนงไดบันทึกไวในอัลกุรอาน เพื่อเชิญชวนใหมนุษยมีความศรัทธา ทั้งในเรือ่ งสวรรค เรื่องสัตว เรื่องพืช ตางก็ไดบันทึกไวเปนหลักฐานแกมนุษยชาติโดยอัลลอฮ (ซ.บ.) อายะฮกุรอานหลายอายะฮได เรียกรองใหมนุษยหนั มาพิจารณาเรื่องการที่อัลลอฮ (ซ.บ.) สรางมนุษย มีการย้ําเตือนหลายครั้งวามนุษยชาตินั้น เกิดขึ้นมาไดอยางไร ไดผานขั้นตอนตางๆอะไรบาง และหัวใจสําคัญในเรื่องนี้ก็คือ “เรานั้นไดสรางพวกขึน้ มา ไฉนเลาพวกเจาจึงไมเชือ่ (ในวันฟนคืนชีพ) พวกเจาเห็นสิ่งทีพ ่ วกเจาหลั่ง ออกมา (อสุจิ) แลวมิใชหรือ พวกเจาสรางมันขึ้นมา หรือวาเราเปนผูสราง” อัลกุรอาน (56:57-59) การสรางมนุษยและความมหัศจรรยในเรื่องนี้ไดกลาวย้าํ ในอายะฮอ่นื ๆอีกหลายอายะฮดวยกัน บางหัวขอ ของเรื่องราวในอายะฮดังกลาว มีรายละเอียดมากและลึกซึ้งเกินกวาที่ใครก็ตามทีม่ ีชีวิตในชวงเวลาเมื่อ 1,400 กวา ปที่ผานมา จะมีความรูและเขาใจได ดังตัวอยางตอไปนี้ 1. มนุษยไมไดถูกสรางขึ้นมาจากน้าํ อสุจทิ ั้งหมด หากแตเกิดมาจาก สวนเล็กๆ(ตัวอสุจิ) สวนเดียวของมันเทานัน้ 2. ฝายชายจะเปนผูกําหนดเพศของทารก 3. ตัวออนของมนุษย (Embryo - ไขทไี่ ดรับการปฏิสนธิแลว) จะเกาะติดกับผนังดานในมดลูกของมารดา เหมือนกับตัวปลิง 4. ตัวออนจะพัฒนาขึ้น 3 ขั้นตอนในความมืดของมดลูกของมารดา บรรดาผูคนทีม่ ีชีวิตอยูในชวงเวลาที่อัลกรุอานไดถูกประทานลงมานั้น รูวาองคประกอบพืน้ ฐานของการ กําเนิดของมนุษยนนั้ เกีย่ วของกับน้ําอสุจทิ ี่หลัง่ ออกมาเมื่อมีเพศสัมพันธ และความเปนจริงทีว่ า ทารกจะคลอด ออกมาหลังจากอยูในครรภมารดาเปนระยะเวลาเกาเดือนนัน้ เปนที่รกู ันอยางชัดแจง โดยไมตองมีการคนหาขอมูล เพิ่มเติมใดๆ แตทวาเรื่องตางๆตามขั้นตอนที่ไดกลาวมาขางตนนัน้ เปนความรูซึ่งเกินกวาที่ผูคนในสมัยนัน้ จะเขาใจ ได และเพิ่งจะคนพบดวยวิชาการทางวิทยาศาสตรในศตวรรษที่ 20 นี้เอง เราจึงควรศึกษารายละเอียดของแตละสวนตามหัวขอดังตอไปนี้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 54
หยดหนึ่งของน้ําอสุจิ ในระหวางการมีเพศสัมพันธแตละครั้ง ฝายชายจะหลั่งอสุจิออกมาประมาณ 250 ลานตัว ตัวอสุจิตอง เดินทางแหวกวายอยูในรางของฝายหญิง เพื่อใหถงึ ไขของฝายหญิง ซึง่ จากจํานวนตัวอสุจิทงั้ หมด 250 ลานตัว จะ เหลือเพียง 1,000 ตัวเทานัน้ ที่จะสามารถมาถึงไขได และหลังจากการแขงขันกันกวา 5 นาที จะมีตัวอสุจิเพียงตัว เดียวเทานั้น ที่สามารถเจาะเขาไปในผนังของไขซึ่งมีขนาดเล็กเทากับครึ่งหนึง่ ของเม็ดเกลือ นัน่ หมายความวา สิ่งที่ สําคัญที่สุดจากฝายชายนั้นไมใชน้ําอสุจทิ งั้ หมด หากแตเปนเพียงสวนเล็กๆสวนหนึ่งเทานัน้ ซึง่ ในอัลกุรอานได กลาวไววา “มนุษยคิดหรือวา เขาจะถูกปลอยไวโดยไรจุดหมายกระนั้นหรือ เขามิไดเปนน้ํากามหยดหนึ่งจากน้ําอสุจิที่ถูกพุงออกมากระนัน้ หรือ” (อัลกุรอาน 75:36-37) เราไดเห็นแลววา อัลกุรอานบอกแกพวกเราวา มนุษยมิไดเกิดมาจากน้าํ อสุจิทงั้ หมด หากเกิดจากสวน เล็กๆของมันเทานั้น การเนนย้าํ เรื่องดังกลาวในอายะฮขา งตน ไดแสดงใหเห็นขอเท็จจริงซึง่ เพิ่งจะมีการคนพบดวย วิทยาศาสตรสมัยใหม เปนหลักฐานวา ถอยคําทีก่ ลาวไวในอัลกุรอานนัน้ เปนวจนะของพระผูเปนเจาโดยแทจริง ภาพดานซายคือภาพน้ําอสุจิที่หลั่งเขาสูมดลูก ตัวอสุจิ เพียงจํานวนไมมากนัก จากทั้งหมด 250 ลานตัวที่หลั่ง จากฝายชาย จะสามารถไปถึงไขที่อยูในมดลูกได ตัว อสุจิที่จะปฏิสนธิกับไขนั้น เปนเพียงตัวเดียวเทานั้นจาก จํานวนประมาณหนึ่งพันตัวทีร่ อดมาถึงไขได ความจริง ที่วามนุษยไมไดถูกสรางขึ้นมาจากน้ําอสุจิทงั้ หมด หากแตเกิดจากสวนเล็กๆของมันเทานั้น มีความสัมพันธ กับขอความในอัลกุรอาน ที่กลาวถึง “หยดหนึ่งจากน้ํา อสุจิที่พุงออกมา”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 55
สวนผสมในน้ําอสุจิ ของเหลวที่เรียกวาน้ําอสุจิ ซึ่งมีตัวอสุจิอยูนนั้ หาไดมีแตเพียงตัวอสุจิเทานัน้ ในทางตรงกันขาม มัน ประกอบดวยสวนผสมของของเหลวหลายชนิด ของเหลวตางๆเหลานี้มีหนาที่แตกตางกัน เชน มีน้ําตาล ซึ่งจําเปน สําหรับการใหพลังงานแกตัวอสุจิ ชวยลดความเปนกรดบริเวณปากมดลูก และชวยหลอลื่นใหตัวอสุจสิ ามารถ เคลื่อนเขาไปในมดลูกไดอยางสะดวก การที่อัลกุรอานไดกลาวถึงน้าํ อสุจิไว ก็เปนสิ่งที่นา สนใจมากพออยูแลว นอกจากนัน้ ยังไดกลาวถึงการทีน่ ้ํา อสุจิเปนของเหลวที่ประกอบไปดวยสวนผสมตางๆหลายสวน ซึ่งขอเท็จจริงนี้เพิ่งจะถูกคนพบดวยวิทยาการ สมัยใหมเมื่อไมนานมานี้ “แทจริงเราไดสรางมนุษยจากน้าํ เชื้อผสมหยดหนึ่ง เพื่อเราจะไดทดสอบเขา ดังนั้นเราจึงทําใหเขาเปนผูไดยิน เปนผูไดเห็น” (อัลกุรอาน 76:2) อีกอายะฮหนึง่ ไดกลาวถึงน้าํ อสุจิวา เกิดจากองคประกอบหลายสวนผสมกัน และยังย้ําอีกวา มนุษยนนั้ ถูก สรางขึ้นมาจาก สวนที่ดีที่สดุ ของสวนผสมนี้ “ผูทรงทําใหทุกสิ่งที่พระองคทรงสรางมันใหดีงาม และพระองคทรงเริ่มการสรางมนุษยจากดิน แลวทรงใหการสืบตระกูลของมนุษยมาจากสวนที่ดที ี่สุดจากน้ํา(อสุจิ)อันไรคา ” (อัลกุรอาน 32:7-8) คําวา – ﺳﻠﻠﺔ- (ซุลาละต) ในภาษาอาหรับ แปลวา สวนที่ ดีที่สุด ซึ่งหมายถึงสวนที่สําคัญหรือดีที่สุดของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออีกนัยหนึง่ หมายถึง สวนหนึ่งของทัง้ หมด ขอความ ขางตนนี้แสดงวา ถอยคําดังกลาวนัน้ เปนของผูที่มีความ รอบรูถึงการกําเนิดของมนุษยไดอยางละเอียดลึกซึ้งที่สดุ ซึ่งแทจริงก็คือ อัลลอฮ (ซ.บ.) ผูทรงสรางมนุษยชาติทงั้ มวล
หมายเหตุ ในอัลกุรอานฉบับ ภาษาไทย แปลวา “...ทรงใหการสืบตระกูลของมนุษย มาจากน้ํา (อสุจิ) อันไรคา ”... ซึ่งไมปรากฏความหมายของคําวา – ﺳﻠﻠﺔ-ใน - ﻣﻦ ﺳﻠﻠﺔ ﻣﻦ ﻣﺎء ﻣﻬﻴﻦคําวา - ﺳﻠﻠﺔ-ในพจนานุกรม อาหรับ-ไทย แปลวา สวนที่ดีที่สุด ดังนั้น ในที่นี้จึงเพิม่ ขอความใหมนี้มาดวย เปน “...ทรงใหการสืบตระกูลของมนุษย มาจากสวนที่ดีที่สุดจากน้ํา (อสุจิ) อันไรคา”... ซึ่งตรงกับอัลกุรอานฉบับ ภาษาอังกฤษ ฉบับ The Glorious Qur’an, Translation and commentary, A Yusuf Ali 2nd Edition, 1977, หนา 1094
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 56
เพศของทารก แมกระทัง่ เมื่อไมนานมานี้ ก็ยังมีความเขาใจวาเพศของทารกกําหนดโดยเซลลจากมารดา หรืออยางนอย ที่สุด ก็นาจะมาจากทัง้ เซลลจากฝายชายและฝายหญิงรวมกัน แตในอัลกุรอาน เราไดรับรูขอมูลที่แตกตางกันวา เพศชายและเพศหญิงนัน้ กําหนดขึ้นมาจาก “เชื้ออสุจิ เมื่อมันหลั่งออกมา” “และแทจริงพระองคทรงสรางสามีภรรยาคูหนึ่ง เปนเพศชายและเพศหญิง จากเชื้ออสุจิ เมื่อมันหลัง่ ออกมา” (อัลกุรอาน 53:45-46) ความรูในเรื่องหนวยพันธุกรรม(ยีน)และโมเลกุลทางชีวภาพที่มีการพัฒนาอยางตอเนือ่ ง ไดยืนยันความ ถูกตองตามหลักทางวิทยาศาสตรของขอมูลในอัลกุรอาน ซึ่งปจจุบนั เปนที่เขาใจกันเปนอยางดีวา เซลลของอสุจิ จากฝายชายเปนตัวกําหนดเพศ ไมใชจากฝายหญิง โครโมโซมนัน้ คือสวนหลักทีก่ ําหนดเพศของทารก โครโมโซม 2 แทง จาก 46 แทง ซึ่งเปนตัวกําหนด โครงสรางของมนุษย เรียกวา โครโมโซมเพศ ไดแก โครโมโซม “XY” ในเพศชาย และโครโมโซม “XX” ในเพศหญิง เนื่องจากรูปรางของโครโมโซมนัน้ มีลักษณะคลายกับตัวอักษรทัง้ สองตัวดังกลาว ในอัลกุรอานไดกลาวไววา เพศชายและเพศหญิงนั้น สรางมา จาก “เชื้ออสุจิ เมื่อมันหลั่งออกมา” อยางไรก็ตาม ยังคงมี ความเชื่อที่วาเพศของทารกนั้น กําหนดโดยเซลลจากมารดา จนกระทั่งเมื่อไมนานมานี้ ความรูทางวิทยาศาสตรในศตวรรษ ที่ 20 เพิ่งจะคนพบขอมูลที่ไดกลาวไวนานมาแลวในอัลกุรอาน ขอเท็จจริงและรายละเอียดอื่นๆในทํานองนี้ เกี่ยวกับการ สรางมนุษย ไดกลาวไวแลวในอัลกุรอาน เมื่อหลายรอยปที่ ผานมา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 57
โครโมโซม Y ประกอบดวยลักษณะของเพศชาย ในขณะที่โครโมโซม X ประกอบดวยลักษณะของเพศหญิง ในไขของ ฝายหญิงมีเพียง โครโมโซม X แตเพียงอยางเดียวเทานั้น ซึ่งเปนตัวกําหนดเพศหญิง ในน้ําอสุจิของฝายชาย มีทั้งตัว อสุจิที่มีลักษณะของเพศชาย และตัวอสุจิที่มีลักษณะของเพศหญิง ดังนั้น เพศของทารกจึงขึ้นอยูกับตัวอสุจิที่มา ปฏิสนธิกับไขนั้นมีโครโมโซม X หรือ Y อีกนัยหนึ่ง ปจจัยที่กําหนดเพศของทารกก็คือน้ําอสุจิที่มาจากฝายชาย ความรู ในเรื่องนี้ไมมผี ใู ดลวงรูมากอนในชวงเวลาทีอ่ ัลกุรอานไดประทานลงมา จึงเปนหลักฐานยืนยันวา อัลกุรอานนั้น เปน วจนะของอัลลอฮ (ซ.บ.)
โครโมโซม Y มีหนวยพันธุกรรมที่มีรหัสเพศชาย ในขณะที่โครโมโซม X มีหนวยพันธุกรรมที่มีรหัสเพศหญิง การเกิดรูปรางของมนุษยเริ่มดวยการไขวสลับกันของแตละโครโมโซมเหลานี้ ซึง่ จับคูกันอยูในเพศชายและ เพศหญิง ในเพศหญิง นัน้ สวนประกอบทั้งสองสวนของเซลลเพศ ซึ่งถูกแบงออกเปน 2 สวนในระหวางอยูในรังไข เปนตัวนําโครโมโซม X, ในอีกดานหนึ่งเซลลเพศในผูชาย ผลิตตัวอสุจิแตกตางกัน 2 แบบ แบบหนึง่ มีโครโมโซม X อีกแบบหนึง่ มีโครโมโซม Y, ถาหากโครโมโซม X จากฝายหญิง ผสมกับตัวอสุจทิ มี่ ีโครโมโซม X ทารกที่เกิดมาจะ เปนเพศหญิง แตถาหากผสมกับตัวอสุจทิ มี่ ีโครโมโซม Y ทารกที่เกิดมาจะเปนเพศชาย หรืออีกนัยหนึง่ กลาวไดวา เพศของทารกนั้นกําหนดโดยโครโมโซมแทงใดแทงหนึ่งจากฝายชาย มาผสมกับ ไขของฝายหญิง ไมมีใครรูเรื่องราวตางๆเหลานี้จนกระทัง่ มีการคนพบหนวยพันธุกรรมในศตวรรษที่ 20 อันที่จริงแลว การที่ หลายๆสังคมเชื่อวาเพศของทารกกําหนดขึ้นจากรางกายของฝายหญิง ก็เปนสาเหตุที่ทาํ ใหผหู ญิงถูกประณามเมื่อ ใหกําเนิดทารกเพศหญิง อยางไรก็ตาม อัลกุรอานไดปฏิเสธความเชื่อที่ผิดเหลานี้ มานานกวา 1300 ปกอ นหนาการคนพบหนวย พันธุกรรมของมนุษย และอัลกุรอานยังมีขอสรุปถึงการกําหนดเพศของทารกวา ไมไดอยูที่ฝายหญิง แตอยูที่นา้ํ อสุจิจากฝายชาย
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 58
กอนเลือดที่เกาะติดกับมดลูก หากเรายังคงตรวจสอบขอเท็จจริงที่ประทานลงมายังพวกเราในอัลกุรอานอยางตอเนื่อง ในเรื่องที่เกี่ยวกับ การกอเกิดเปนรูปรางของมนุษย เราก็จะพบความมหัศจรรยทางวิทยาศาสตรที่สําคัญมากบางเรื่อง เมื่ออสุจิของฝายชายผสมกับไขของฝายหญิง นัน่ หมายความวา สวนสําคัญที่สุดในการสรางทารกได กอกําเนิดขึ้นแลว เซลลเดี่ยวที่เกิดขึ้นนี้ เรียกชื่อทางชีววิทยาวา “ไซโกต (Zygote) ”ซึง่ จะเริ่มแบงตัวในทันที ในไม ชาก็จะกอเกิดกอนเนื้อกอนหนึง่ ทีเ่ รียกวา “ตัวออน (Embryo)” และแนนอนที่สุด ทางเดียวที่มนุษยจะสามารถเห็น กอนเนื้อนี้ได ก็ดวยการใชกลองจุลทรรศนเทานัน้ อยางไรก็ตาม ตัวออนนี้ไมไดเติบโตอยูในที่เวิง้ วาง แตเกาะติดอยูกับผนังมดลูก เหมือนกับรากของตนไมที่ หยัง่ ลึกลงไปในพืน้ ดิน จากการที่มันเกาะติดไวอยางนี้ ตัวออนจะสามารถรับสารอาหารที่จําเปนในการพัฒนา ตัวเองมาจากรางกายของมารดาได และในขั้นตอนนี้เอง ที่ความมหัศจรรยที่สุดอยางหนึง่ ในอัลกุรอานไดถูกกลาวถึงอีกครั้งหนึ่ง ในการอางถึง ตัวออนทีก่ ําลังพัฒนา ในครรภมารดา พระองคใชคําวา “อะลัก” ในอัลกุรอาน “จงอาน ดวยพระนามแหงพระเจาของเจาผูทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษยจากกอนเลือด จงอานเถิด และพระเจาของเจานัน้ ผูทรงใจบุญยิ่ง” (อัลกุรอาน 96:1-3) ในชวงแรก ของการพัฒนา ความหมายของคําวา “อะลัก” ในภาษา ทารกในครรภมารดาจะอยู อาหรับ หมายถึง สิง่ ที่เกาะติดอยูกับที่ใดทีห่ นึง่ ซึง่ คํา ในรูปของ “ไซโกต” ซึ่ง นี้ ใชอธิบายลักษณะของปลิงที่เกาะติดกับรางกาย เกาะติดอยูกับผนังมดลูก คนหรือสัตวอนื่ เพื่อดูดเลือด ของมารดา เพื่อดูด สารอาหารตางๆจากเลือด แนนอนที่สุดวา การใชคําที่มีความหมาย ของมารดา ภาพนี้ แสดง ชัดเจนอยางทีส่ ุดเพื่ออธิบายลักษณะของตัวออนที่ ใหเห็นไซโกต ซึ่งดูเหมือน กําลังพัฒนาอยูในครรภมารดานี้ เปนเครื่องพิสูจนที่ กอนเนื้อกอนหนึ่ง ขอมูลซึ่งเพิ่งจะคนพบโดยนักวิทยา เอมไบรโอในสมัยนี้ ไดกลาวไวแลวในอัลกุรอาน เมื่อ ชัดเจนอีกครั้งวา อัลกุรอานนั้น เปนวจนะของพระผู 1400 ปกวาดวยคําวา “อะลัก” ซึ่งหมายถึง “สิ่งที่ เปนเจาแหงสากลโลก เกาะติดอยูกับที่ใดที่หนึง่ ” คําดังกลาวใชเพื่ออธิบาย ลักษณะของการที่ปลิงเกาะติดกับรางกายคนหรือสัตว อื่นเพื่อดูดเลือด
หมายเหตุ คําวา - - ﻋﻠﻖมีหลายความหมายคือ กอนเลือด ตัวดูดเลือด ปลิง และ สิ่งที่แขวนอยู ในบทนี้ คํา ﻋﻠﻖ- – นาจะหมายถึงสิ่งที่แขวนอยู หรืเกาะติดอยูติดแนน ซึ่งตรงกับอัลกุรอานฉบับ ภาษาอังกฤษ ฉบับ The Qur’an, Arabic Text with Corresponding English Meaning, English revised & edited by Saheeh International, 1977 The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 59
กลามเนื้อหอหุมกระดูก เรื่องสําคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ไดกลาวไวในอัลกุรอาน ก็คือเรือ่ งที่เกี่ยวกับขัน้ ตอนการเจริญเติบโตของทารกใน ครรภมารดา อัลกุรอานไดกลาวไววา ภายในครรภของมารดานัน้ กระดูกจะพัฒนาขึ้นกอน และตอมาจะมี กลามเนื้อกอตัวขึ้นมาหอหุม “แลวเราไดทาํ ใหเชื้ออสุจกิ ลายเปนกอนเลือด แลวเราไดทําใหกอ นเลือดกลายเปนกอนเนือ้ แลวเราได ทําใหกอ นเนือ้ เปนกระดูก แลวเราหุมกระดูกนั้นดวยเนื้อ แลวเราไดเปาวิญญาณใหเขากลายเปนอีก รูปรางหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ ทรงจําเริญยิ่ง ผูทรงเลิศแหงปวงผูสราง” (อัลกุรอาน 23:14) วิทยาเอมไบรโอ เปนสาขาวิชาหนึ่งของชีววิทยา ที่เปนการศึกษาการเจริญเติบโตของตัวออนในครรภมารดา นักวิทยาศาสตรในสาขานีม้ คี วามเขาใจมาโดยตลอดวา กระดูกและเนื้อนัน้ พัฒนาขึ้นพรอมกัน ดวยเหตุนี้เองที่มี การกลาวหากันมาอยางยาวนานวา อัลกุรอานอายะฮนี้ขัดแยงกับขอเท็จจริงทางวิทยาศาสตร แตดวย ความกาวหนาของเทคโนโลยีสมัยใหม ไดมีการทําวิจยั โดยใชกลองจุลทรรศนที่มีความสามารถสูงมากขึ้น และผล จากการวิจยั ไดแสดงใหเห็นวา วจนะที่กลาวไวในอัลกุรอานนั้นถูกตองทุกคํา จากการเฝาสังเกตโดยใชกลองจุลทรรศน ไดแสดงให เห็นวาพัฒนาการที่เกิดขึ้นในครรภมารดานั้น เหมือนกับ เรื่องราวที่ไดอธิบายไวในอัลกุรอานทุกประการ เริ่มจาก เนื้อเยื่อที่เปนสวนของกระดูกออนไดกลายเปนกระดูกทีแ่ ข็ง ขึ้น ตอมาเซลลของกลามเนือ้ โดยรอบของกระดูกแตละสวน กอตัวขึ้นและหอหุมกระดูกสวนนั้นไว เรื่องนี้ไดมีคําอธิบายใน วารสาร ทางวิทยาศาสตรชื่อ Developing Human ดังตอไปนี้ กระดูกทารกทีพ ่ ัฒนาเสร็จสมบูรณจะหอหุมดวย กลามเนื้อในชวงระยะเวลาหนึ่ง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 60
อัลกุรอานกลาวถึงขั้นตอนการพัฒนาของทารกในครรภมารดาไวใน อายะฮที่ 14 ซูเราะฮ อัล มุอมินูน วา กระดูกออนของตัวออนในครรภ มารดาจะถูกพัฒนากลายเปนกระดูก หลังจากนั้นจะมีกอนเนื้อมา หอหุม อัลลอฮ (ซ.บ.) ไดอธิบายการพัฒนาในขั้นตอนนี้ดวยอายะฮที่วา “...แลวเราไดทําใหกอนเลือดกลายเปนกอนเนื้อ แลวเราไดทําใหกอน เนื้อกลายเปนกระดูก แลวเราหุมกระดูกนั้นดวยเนื้อ...”
ในชวงระยะเวลา 7 สัปดาห เคาโครงของรางกายไดเริ่มพัฒนาขึ้นและกระดูกก็ปรากฏเปนรูปรางชัดเจน ในชวงสุดทายสัปดาหที่ 7 และภายในสัปดาหที่ 8 กลามเนื้อไดกอตัวขึ้นรอบๆกระดูก กลาวโดยสรุปไดวา การเจริญเติบโตของมนุษยในครรภมารดา ซึ่งไดกลาวไวในอัลกุรอานนั้น สอดคลองตรงกัน ทุกประการกับความเปนจริงทางวิทยาศาสตร ที่เพิง่ คนพบเมื่อเร็วๆนี้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 61
ทารกในครรภมารดา อัลกุรอานไดกลาวไวในซูเราะฮอัซซุมัร วา มนุษยถูกสรางขึ้นในครรภมารดาตามกระบวนการสามขัน้ ตอน “...พระองคทรงสรางพวกเจาในครรภของมารดาพวกเจา เปนการบังเกิดครั้งแลวครั้งเลาอยูในความมืด สามชัน้ นั่นคืออัลลอฮ พระเจาของพวกเจา พระอํานาจเปนสิทธิของพระองค ไมมีพระเจาอื่นใดที่เที่ยงแท นอกจากพระองค แลวทําไมพวกเจาจึงผินหนาไปทางอื่น?” (อัลกุรอาน 39:6) ขอความในอายะฮขางตน กลาววามนุษยจะถูกสรางขึน้ ภายในครรภมารดาจาก 3 ขั้นตอนที่แตกตางกัน ใน ความเปนจริง ชีววิทยาสมัยใหมก็ไดยนื ยันแลววา การเจริญเติบโตของตัวออนของทารกในครรภมารดานั้น แบง ออกเปน 3 ระยะดวยกัน ปจจุบนั วิชานี้เปนพืน้ ฐานของความรูเบือ้ งตนในหนังสืออางอิงทุกเลมที่ใชในการเรียนใน คณะแพทยศาสตร ตัวอยางเชน หนังสือ Basic Human Embryology ซึ่งเปนหนังสืออางอิงเบือ้ งตนของการศึกษา วิชาวิทยาเอมไบรโอ ไดกลาวถึงขอเท็จจริงในเรื่องนี้วา “ชีวิตในมดลูกนั้น มี 3 ระยะ คือ Pre-Embryonic (ระยะกอน เปนตัวออน) ในชวงแรกใชเวลาสองสัปดาหครึ่ง ,Embryonic (ระยะที่เปนตัวออน) คือเวลาหลังจากชวงแรกไปจน สิ้นสุดสัปดาหที่ 8 และ Fetal (ระยะทารกในครรภ)นับตั้งแตหลังสัปดาหที่ 8 ไปจนถึงชวงทีม่ ีการเจ็บทองเพื่อคลอด บุตร ทั้ง 3 ระยะนี้ไดบอกถึงขัน้ ตอนการเจริญเติบโตที่แตกตางกันของทารกในครรภ ลักษณะพัฒนาการในแตละ ขั้นตอนดังกลาวนั้นสามารถอธิบายโดยยอไดดังนี้ Pre-Embryonic Stage (ระยะกอนเปนตัวออน) ในชวงแรกนี้ ไซโกต (เซลลเดี่ยวทีเ่ กิดจากไขที่ไดรับการผสม แลว) จะเติบโตโดยการแบงตัว จนกลายเปนกลุมของเซลลกลุมหนึ่ง ซึ่งจะฝงตัวติดกับผนังของมดลูก เซลลเหลานี้ได จัดเรียงตัวเองเปน 3 ชั้นพรอมๆกับการแบงตัวอยางตอเนื่อง Embryonic Stage (ระยะที่เปนตัวออน) ชวงที่ 2 ใชเวลาประมาณ 5 สัปดาหครึง่ ทารกซึง่ เรียกวา ตัวออน (Embryo) ในชวงนี้ อวัยวะตางๆและระบบพื้นฐานของรางกายเริ่มทีจ่ ะปรากฏใหเห็นชัดขึน้ ในระหวางชัน้ ของเซลล Fetal Stage (ระยะทารกในครรภ) จากชวงเวลานี้เปนตนไป ตัวออน (Embryo) เรียกวา Fetus (ทารกในครรภ) ชวงนี้เริ่มจากหลังสัปดาหที่ 8 ของการตั้งครรภ ไปจนถึงนาทีที่คลอดออกมา ลักษณะเดนของการเจริญเติบโตใน ระยะนี้คือ ลักษณะของทารกในครรภ (Fetus) นัน้ จะดูเหมือนกับรางกายที่สมบูรณทุกอยางทั้ง ใบหนา มือ และเทา แมวาจะมีขนาดแค 3เซนติเมตรในตอนแรก แตอวัยวะตางๆก็ไดปรากฏใหเห็นอยางชัดเจนแลว ชวงระยะนี้ใชเวลา ประมาณ 30 สัปดาห และมีการพัฒนาอยางตอเนื่องไปจนกระทั่งคลอดออกมา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 62
ในอายะฮที่ 6 ของซูเราะฮ อัซซุมัร ไดระบุวามนุษยถูกสรางขึ้นภายในครรภมารดา โดยแบงเปน 3 ระยะ และในความเปนจริง วิทยาเอมไบรโอไดยืนยันในเรื่องนี้วา พัฒนาการของทารกเกิดขึน้ ใน 3 ขั้นตอนภายในครรภมารดา
ขอมูลของการเจริญเติบโตภายในครรภมารดานั้น เพิ่งจะเปนที่รับรูอยาง กวางขวางจากการเฝาสังเกต ดวยกลองจุลทรรศนขนาดเล็กที่มี ความสามารถสูงเทานัน้ จึงเหมือนกับขอเท็จจริงทางวิทยาศาสตรอีก มากมาย ที่ไดกลาวไวอยางนาอัศจรรยกอ นหนานี้แลวในอัลกุรอาน และ ความเปนจริงที่วา ขอมูลตางๆ ซึ่งมีรายละเอียดลึกซึง้ และมีความถูกตอง แมนยําเหลานี้ ไดกลาวไวแลวในอัลกุรอาน ตั้งแตในยุคที่ผูคนแทบจะไมมี ความรูในเรื่องแพทยศาสตรเลยนัน้ เปนหลักฐานชัดเจนที่พิสูจนไดวาอัลกุ รอานนัน้ ไมไดเปนคํากลาวของมนุษย หากแตเปนวจนะของอัลลอฮ (ซ.บ.) เทานัน้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 63
น้ํานมมารดา น้ํานมมารดาเปนสารอาหารที่ยงั ประโยชนแกมนุษยอยางไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน อัลลอฮ (ซ.บ.) สรางน้าํ นมมา เพื่อเปนแหลงอาหารอันยอดเยี่ยมของทารกและเปนสารที่กอใหเกิดภูมิคุมกันโรคตางๆใหแกทารก ถึงแมวา เทคโนโลยีในการผลิตนมเพือ่ ใชเลี้ยงทารกจะพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตาม ก็ไมสามารถที่จะทดแทนคุณคาของ สารอาหารอันนาอัศจรรยนี้ได วิทยาศาสตรไดคนพบคุณประโยชนใหมของน้าํ นมมารดาเพิ่มขึน้ ทุกวัน ขอเท็จจริงประการหนึ่งที่วทิ ยาศาตร คนพบก็คือ การเลี้ยงลูกดวยนมมารดาเปนเวลาอยางนอยสองปหลังการคลอดนัน้ ชวยลดภาวะเสี่ยงตอการเปนโรค ติดเชื้อตางๆในเด็ก19 ความจริงอัลลอฮ (ซ.บ.) ไดบอกขอมูลที่สําคัญนี้ไวแลวในซูเราะฮลุกมาน เมื่อสิบสี่ศตวรรษที่ ผานมา แตทวาวิทยาศาสตรเพิ่งคนพบไดไมนานมานี้
“และเราไดสั่งการแกมนุษย เกี่ยวกับบิดามารดาของเขา โดยที่มารดาของเขา ไดอมุ ครรภเขาจนออนเพลียครั้งแลว ครั้งเลา และการหยานมของเขาในระยะเวลาสองป เจาจง ขอบคุณขา และบิดามารดาของเจา ยังเรานัน้ คือการกลับไป ( อัลกุรอาน 31:14 ) ”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 64
ลักษณะเฉพาะที่พบในลายนิ้วมือ ในขณะที่อัลกุรอานบอกวา อัลลอฮ (ซ.บ.) ใหมนุษยฟน จากความตายนั้นเปนเรื่องงายดาย เรื่องราวของ ลายนิว้ มือก็ถกู เนนย้าํ ไวในซูเราะฮอัลกิยามะหเหมือนกันวา “แนนอนทีเดียว เราสามารถที่จะทําใหปลายนิ้วมือของเขาอยูในสภาพทีส่ มบูรณ” (อัลกุรอาน 75: 4)
แมแตแฝดแทที่หนาตาเหมือนกันก็ยังมีลายนิ้วมือที่ตางกัน ลักษณะเชนนี้สามารถนํามาพิสูจนบุคคลได ความเฉพาะตัวของ ลายนิ้วมือนั้นเทียบไดกับรหัสบารโคดที่ ใชอยูในปจจุบันนี้
การที่อัลกุรอานพูดถึงลายนิว้ มือนัน้ มีความหมายเปนพิเศษ เพราะลายนิ้วมือเปนอัตลักษณเฉพาะตัว ทุกๆคน ที่มีชีวิตอยูและที่เคยมีชีวิตอยูในโลกนี้ลว นแลวแตมีลายนิ้วมือเปนลักษณะเฉพาะตัวทัง้ สิ้น นี่เองที่เปนสาเหตุวาเหตุ ใดเราจึงใชลายนิ้วมือไวพิสจู นตัวบุคคล และประเทศตางๆทั่วโลกก็ใชลายนิ้วมือดวยวัตถุประสงคดังกลาวกันอยาง แพรหลาย ประเด็นสําคัญก็คือประโยชนของลายนิว้ มือเพิ่งจะถูกคนพบมาเมื่อไมนานนี้เองในปลายคริสตศตวรรษที่สิบ เกา แตกอนหนานั้นผูคนทัง้ หลายตางก็คิดวาลายนิว้ มือก็เปนเพียงแคเสนที่โคงๆไปมาหาความหมายพิเศษอะไรไมได แตในอัลกุรอานนัน้ อัลลอฮ (ซ.บ.) ไดชี้ใหเห็นความสําคัญของลายนิ้วมือเมื่อพันสี่รอยปมาแลว หากแตไมมีใครสนใจ ความหมายพิเศษนี้เลย เพิง่ จะเปนที่เขาใจกันในยุคปจจุบันนี้เอง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 65
ขอมูลอนาคตที่ปรากฏในกุรอาน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 66
ความนํา ความมหัศจรรยอีกดานหนึ่งของอัลกุรอาน คือการกลาวลวงหนาถึงเหตุการณสาํ คัญๆตางๆมากมายที่จะ เกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอยางเชน ในซูเราะฮ อัลฟตฮ อายะฮที่ 27 ที่ไดใหความมั่นใจแกผูศรัทธาวาพวกเขาจะไดยึด ครองนครมักกะห ซึง่ ในขณะนั้นอยูภายใตการยึดครองของกลุมผูปฏิเสธอิสลาม “โดยแนนอนอัลลอฮไดทรงทําใหความฝนนั้นสมจริงแกรอซูลของพระองค ดวยความจริงแนนอน พวกเจาจะไดเขาสูม ัสยิดฮะรอม อยางปลอดภัยหากอัลลอฮทรงประสงค โดย (บางคน) โกนผมของพวกเจา และ (อีกบางคน) ตัดผม พวกเจาอยาไดหวาดกลัว เพราะอัลลอฮทรงรอบรู สิ่งที่พวกเจาไมรู ดังนั้นพระองคจึงไดทรงกําหนดชัยชนะอื่นจากนั้น ซึ่งชัยชนะอันใกลน”ี้ (อัลกุรอาน 48:27) หากเราพิจารณาอยางถี่ถว นแลวจะพบวา อายะฮดังกลาวไดประกาศถึงชัยชนะที่จะเกิดขึ้นกอนชัยชนะที่มัก กะห นัน่ ก็คือการที่บรรดาผูศ รัทธาสามารถเขายึด ปอมไคเบอร ที่ชาวยิวครอบครองอยู และหลังจากนัน้ จึงเขายึด ครองมักกะห การประกาศถึงเหตุการณที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเชนนี้เปนหนึง่ ในความรอบรูทั้งปวงทีม่ ีอยูในอัลกุรอาน สิง่ นี้ เปนหลักฐานยืนยันไดอีกวา อัลกุรอานนัน้ เปนวจนะของอัลลอฮ (ซ.บ.) ผูทรงรอบรูทุกประการ ความพายแพของ อาณาจักรไบเซนไทนก็เปนเหตุการณในอนาคตอีกเหตุการณหนึ่งที่กลาวไวพรอมกับขอมูลอื่นๆ ที่ไมมีมนุษยคนใดใน สมัยนัน้ จะเขาใจได ประเด็นที่นา สนใจที่สดุ ในเหตุการณทางประวัติศาสตรนี้คือ ขอกลาวที่วา ชาวโรมันจะปราชัยใน ดินแดนที่ตา่ํ ทีส่ ุดของโลก ซึง่ จะไดกลาวถึงอยางละเอียดในบทตอไป สิ่งทีน่ าสนใจก็คือ คําวา “ดินแดนที่ต่ําที่สุด” ถูก เนนเปนพิเศษในอายะฮที่จะกลาวถึงนี้ ดวยเทคโนโลยีและความรูในสมัยนัน้ ไมมีทางที่จะสามารถวัดและกําหนดได วา ที่ใดคือ ดินแดนที่ตา่ํ ที่สดุ ของโลก นี่คือดํารัสของอัลลอฮ (ซ.บ.) ผูทรงรอบรูยิ่ง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 67
ทะเลเดดซี ซึ่งเปนสถานที่ที่ชาวไบเซนไทนปราชัยแกชาวเปอรเซีย ดานบนเปนภาพถายดาวเทียมในบริเวณที่กลาววา เปน ทะเลสาบแหงลูต ดินแดนที่ต่ําที่สุดของโลก ซึ่งต่ํากวาระดับน้ําทะเล 395 เมตร
ชัยชนะของชาวไบเซนไทน เราจะพบความมหัศจรรยอกี ประการหนึง่ ที่เกีย่ วของกับเหตุการณในอนาคตในอัลกุรอาน ไดในซูเราะฮอัรรูม อายะฮที่ 1-4 ซึ่งไดกลาวถึง อาณาจักรไบเซนไทน ซึ่งอยูทางทิศตะวันออกของบริเวณที่จะกลายเปนอาณาจักรโรมัน หลังจากนั้น อายะฮนี้กลาวถึงอาณาจักรไบเซนไทน ทีต่ องพบกับความพายแพครัง้ ยิ่งใหญครั้งหนึ่ง แตพวกเขาก็จะ กลับมาพบกับชัยชนะไดใหมไมนานหลังจากนัน้ ซูเราะฮ อัรรูม “อะลิฟ ลาม มีม พวกโรมันถูกพิชิตแลว ในดินแดนอันใกลนี้ แตหลังจากการปราชัยของพวกเขาแลวพวกเขาจะไดรับชัยชนะ ในเวลาไมกปี่ ตอมา พระบัญชาเปนสิทธิของอัลลอฮ ทั้งกอนและหลัง (ชัยชนะ) และวันนั้นบรรดาผูศรัทธาจะดีใจ” (อัลกุรอาน 30:1-4)
หมายเหตุ อัลกุรอานฉบับ ภาษาไทย แปลวา “...ดินแดนอันใกลนี้...” แตความหมายในบทนี้ จึงนาจะหมายถึง “ดินแดนต่ําสุด” ทั้งนี้ความหมายของคําวา คําวา – ادﻧﺎ- ในพจนานุกรม อาหรับ-ไทย แปลวา ใกล แตในพจนานุกรม อาหรับ-มลายู ยังแปลไดวา yang lebih hina ซึ่งหมายถึง ที่ซึ่งต่ํากวา The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 68
อายะฮนี้ไดถูกประทานมาในราวปค.ศ. 620 เกือบ 7 ป หลังจากที่ชาวคริสเตียนไบเซนไทนพา ยแพยับเยิน ตอ ชาวเปอรเซีย ผูบูชาเทวรูป อายะฮนี้ไดกลาวถึงชัยชนะของชาวไบเซนไทน ที่จะเกิดขึ้นในไมชา ซึ่งในขณะนัน้ ชาวไบ เซนไทนกาํ ลังทุกขยากจากความสูญเสียอยางหนัก จนดูเกือบจะไมสามารถมีชีวิตอยูตอไปได การกลับมาชนะอีกครั้ง จึงเปนเรื่องเหนือความคาดหมาย นอกเหนือจากชาวเปอรเซียแลว ชาวเอวาร ชาวสลาฟ และชาวลอมบาร ก็กําลัง คุกคามอาณาจักรไบเซนไทนอยูเชนเดียวกัน พวกเอวารไดเขามาประชิดกําแพงเมืองคอนสแตนตินโนเปล จักรพรรดิ เฮราคลิอุสแหงอาณาจักรไบเซนไทน ไดมีพระบัญชาใหนาํ ทองคําและเงินในโบสถไปหลอมเพื่อใชเปนคาใชจา ยใน สงคราม ในยามขัดสนนี้ แมกระทัง่ รูปปน สัมฤทธิก์ ็ถูกนําไปหลอมเพือ่ ใชเปนคาใชจายดังกลาว ผูปกครองเขตหลาย คนตางก็แสดงความกระดางกระเดื่องตอจักรพรรดิเฮราคลิอุส ทําใหอาณาจักรเสี่ยงตอการลมสลาย ดินแดนเมโสโป เตเมีย ซิลิเซีย ซีเรีย ปาเลสไตน อียิปต และอารเมเนีย ซึง่ เคยเปนของอาณาจักรไบเซนไทน ก็ถูกรุกรานโดยชาว เปอรเซีย ผูบูชาเทวรูป 20
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 69
กลาวอยางงายๆวา ในขณะนั้นทุกคนตางก็คาดวาอาณาจักรไบเซนไทนคงถึงการลมสลาย แต ณ เวลานั้นเอง ที่อายะฮแรกของซูเราะฮอัรรูม ไดประทานลงมาวา อาณาจักรไบเซนไทนจะไดรับชัยชนะในเวลาไมนานหลังจากนัน้ ชัยชนะครั้งนี้ดไู มนาจะเปนไปได จนชาวอาหรับผูไมศรัทธาทัง้ หลายตางก็เยยหยันขอความในอายะฮนี้ พวกเขาคิดวา ชัยชนะที่กลาวไวในกุรอานนี้ไมมีทางเปนไปได หลังจากที่อายะฮแรกของซูเราะฮ อัรรูม นี้ ไดถูกประทานลงมาเปนเวลา 7 ป ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 627 การ รบพุงระหวางชาวไบเซนไทน และชาวเปอรเซีย เกิดขึ้นทีน่ ิเนเวห ในครั้งนี้เองที่ชาวไบเซนไทน มีชัยชนะเหนือชาว เปอรเซียอยางเหนือความคาดหมาย อีกไมกี่เดือนหลังจากนัน้ ชาวเปอรเซียก็จําเปนตองทําขอตกลงกับชาวไบเซน ไทน โดยจํายอมที่จะคืนดินแดนที่ยึดครองไปทั้งหมดใหแกอาณาจักรไบเซนไทน 21 ในที่สุด “ชัยชนะของชาวโรมัน” ที่ประกาศไวในอัลกุรอาน โดยพระผูเปนเจาก็เปนจริงอยางนาอัศจรรย สิ่งมหัศจรรยอกี อยางหนึ่งคือคํากลาวที่เกี่ยวกับขอเท็จจริงทางภูมิศาสตร ซึ่งไมมีผใู ดสามารถลวงรูไดในสมัย นั้น ในอายะฮที่ 3 ของซูเราะฮอัรรูม นี้ กลาววา ชาวโรมันจะปราชัยในดินแดนที่ตา่ํ ทีส่ ุดบนพืน้ โลก คําในภาษา อาหรับ ที่วา “อัดนัลอัรด” หลายคนไดใหความหมายวาเปน “ดินแดนอันใกล” ซึ่งไมใชความหมายตามตัวอักษรของ คําดังกลาว หากแตเปนความหมายเชิงอุปมา คําวา “อัดนา” มีรากศัพท มาจากคําวา “ดีน”ี่ ซึ่งหมายถึง ต่ํา และคํา วา “อัรด” หมายถึงโลก ดังนั้น ค่ําวา “อัดนัลอัรด” จึงหมายถึงดินแดนที่ตา่ํ ที่สุดของโลก สิ่งทีน่ าสนใจที่สุดอีกอยางหนึง่ คือ ในชวงวิกฤตของสงครามระหวางอาณาจักรไบเซนไทนกับเปอรเซีย เมือ่ อาณาจักรไบเซนไทนประสบความปราชัยและตองเสียเมืองเยรูซาเล็มบนดินแดนทีต่ ่ําที่สุดของโลก ดินแดนแหงนั้น คือบริเวณทะเลเดดซี ซึ่งตั้งอยูตรงจุดกึ่งกลางของดินแดนของประเทศ ซีเรีย ปาเลสไตน และจอรแดน บริเวณ “เดดซี” แหงนี้ อยูตา่ํ กวาระดับน้าํ ทะเล 395 เมตร จึงเปนดินแดนที่ตา่ํ ที่สุดบนพื้นโลก
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 70
จากขอมูลดังกลาว อาณาจักรไบเซนไทน ประสบความปราชัยบนดินแดนที่ต่ําที่สุดบนพืน้ โลก จริงดังที่ไดกลาว ไวในอัลกุรอาน สิ่งทีนาสนใจในขอเท็จจริงเรื่องนี้คือ การวัดความลึกของบริเวณเดดซี จะสามารถทําไดโดยใชเทคโนโลยีใน สมัยใหมเทานัน้ กอนหนานี้ เปนไปไมไดเลยที่จะมีผูใดสามารถลวงรูว า ที่แหงใดเปนดินแดนที่ต่ําที่สุดบนพื้นโลก แต ดินแดนดังกลาวไดถูกกลาวไวแลวในอัลกุรอานวาเปนดินแดนที่ตา่ํ ที่สดุ บนโลก และนี่ก็เปนหลักฐานอีกประการหนึง่ วา อัลกุรอาน เปนวจนะของอัลลอฮ (ซ.บ.)
ดานบนเปนภาพถายดาวเทียมบริเวณทะเลเดดซี ซึ่งระดับความลึกสามารถวัดไดโดยใชเทคโนโลยีสมัยใหมเทานั้น การ วัดดังกลาวทําใหพบวา เดดซี คือ “ดินแดนทีต่ ่ําที่สุดบนพื้นโลก”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 71
ประวัติศาสตรกับความมหัศจรรยของอัลกุรอาน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 72
“ฮามาน” ในอัลกุรอาน ข อ มู ล ความรู ใ นอั ล กุ ร อานที่ ไ ด ร ะบุ ไ ว เ กี่ ย วกั บ อี ยิ ป ต โ บราณนั้ น ได เ ป ด เผยถึ ง เรื่ อ งราวความจริ ง ทาง ประวัติศาสตรอยางมากมาย ที่ไมเปนที่เปดเผยจนกระทั่งเมื่อไมนานมานี้เอง ขอเท็จจริงเหลานี้ยังไดแสดงใหเราไดรู วา ทุกๆคําในอัลกรุอานนั้นกลาวจากภูมิปญญาที่แทจริง ฮามาน เปนผูที่มีชื่อปรากฎในอัลกรุอานคูกับชื่อ ฟาโรห เขาถูกกลาวถึง 6 ครั้งในที่ตางกันในอัลกุรอาน ใน ฐานะบุคคลที่ใกลชิดที่สุดของฟาโรห แตนาแปลกใจอยางยิ่งที่ชื่อ ฮามาน มิไดถูกกลาวถึงเลย ในคัมภีรเตารอต (Old Testament) สวนที่กลาวถึง ชีวิตของทานนบีมูซา อาลัยฮิสสลาม ( Moses) แตไปปรากฏอยูในบทสุดทายของคัมภีรดังกลาวในฐานะผูชวยของ กษัตริยบาบิโลน ผูกระทําทารุณชาวยิวอยางโหดเหี้ยมหลายครั้งเมื่อประมาณ 1,100 ป หลังจากสมัยนบีมูซา (อล.) ผูที่มิใชชาวมุสลิมบางคนกลาววา ทานศาสดามุฮัมมัด (ซล) ไดเขียนอัลกุรอานขึ้นมาเอง โดยการคัดลอก จากคัมภีรเตารอต และคัมภีรไบเบิ้ล (New Testament) ในระหวางการคัดลอกนั้น ทานศาสดามุฮัมมัด (ซล) ได คัดลอกเรื่องราวจากทั้งเตารอตและไบเบิ้ล มาไวในอัลกุรอานอยางผิดๆ ความไรสาระของการกลาวอางเหลานี้ เปนที่ประจักษชัดเมื่อมีการอานอักษรภาพของอียิปตโบราณออกมา เมื่อประมาณ 200 ปที่ผานมา และชื่อ ฮามาน ก็ถูกพบในตนฉบับเอกสารโบราณชิ้นนี้ กอนหนาการคนพบนี้ยังไมมีใครรูความหมายของบันทึก หรือจารึกของชาวอียิปตโบราณ เนื่องจากในยุคนั้น ภาษาของชาวอียิปตโบราณเปนอักษรภาพที่เกาแกมาก แตอยางไรก็ตามจากการขยายตัวของศาสนาคริสต รวมทั้ง อิทธิพลทางวัฒนธรรมตางๆในชวงคริสตศตวรรษที่ 2 และ 3 ชาวอียิปตก็ไดละทิ้งความเชื่ออยางโบราณๆ รวมไปถึง อักษรภาพดวย ตัวอยางอักษรภาพชิ้นสุดทายที่เปนที่รูจักกันดี ไดแก จารึกในป ค.ศ. 394 ซึ่งหลังจากนั้น ภาษาอักษร ภาพเหลานี้ไดก็ไดถูกลืมไป ไมมีผูใดที่สามารถอาน และเขาใจไดอีก ซึ่งนั่นเปนเหตุการณที่เกิดขึ้นเมื่อ 200 ป ที่ผาน มาแลว ปริศนาของอักษรภาพอียิปตโบราณไดถูกไขออกในป ค.ศ. 1799 ดวยการคนพบแผนศิลาจารึก ที่เรียกวา “โร เซ็ตตา สโตน” (Rosetta Stone) ซึ่งมีอายุเกาแกถึง 196 ปกอนคริสตกาล ความสําคัญของศิลาจารึกนี้ก็คือ เขียนดวย อักษร 3 รูปแบบตางกัน คือ อักษรภาพ อักษรเดโมติก (อักษรภาพอียิปตโบราณที่ดัดแปลงใหงายขึ้น) และอักษรกรีก และจากอักษรกรีกนี้เองทําใหสามารถถอดความจากบันทึกของชาวอียิปตโบราณได ผู ที่ แ ปลคํ า จารึ ก นี้ ไ ด เ สร็ จ สมบู ร ณ ช าวฝรั่ ง เศส ชื่ อ จอง ฟรองซั ว ส ชองปอลลิ ย ง (Jean-Francoise Champollion) ทําใหทั้งภาษาที่ไดสาบสูญไป และเหตุการณตางๆที่กลาวไวในจารึก เปนที่ประจักษ และความรู เกี่ยวกับอารยะธรรม ศาสนา และสังคมของชาวอียิปตโบราณ ก็กลายเปนเรื่องที่ผูคนสามารถศึกษาได
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 73
ชื่อ ฮามาน นั้น ไมเปนที่รจู ัก จนกระทั่งไดมีการถอดความจากอักษรภาพของชาวอียิปตโบราณในศตวรรษที่ 19 เมื่อ อักษรภาพเหลานั้นไดถูกถอดความออกมา ก็เปนที่รูกันวา “ฮามาน” ก็คือ บุคคลใกลชิดที่คอยชวยเหลือฟาโรห ในฐานะ “หัวหนาคนงานสกัดหิน” (ภาพขางบนแสดงถึง คนงานกอสรางชาวอียิปตโบราณ) ประเด็นที่สําคัญยิ่งก็คือ ฮามานไดถูก กลาวถึงในอัลกุรอานในฐานะผูควบคุมงานกอสรางตามคําสั่งของฟาโรห นั่นหมายความวา ขอมูลความรูที่ไมมีผูใดเคยรู มากอนในเวลานั้น กลับปรากฏอยูในอัลกุรอาน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 74
จากการถอดความอักษรภาพนั้น ขอมูลสําคัญชิ้นหนึ่งไดระบุถึงชื่อ “ฮามาน” ซึ่งปรากฏอยูในจารึกของชาว อียิปต และชื่อนี้ยังไดถูกนําไปไวในอนุสาวรียแหงหนึ่งในพิพิธภัณฑ ฮอฟ (Hof Museum) ในกรุงเวียนนา 22 ในพจนานุกรม “ประชาชาติในอาณาจักรใหม” (People in the New Kingdom) ซึ่งจัดทําขึ้นเพื่อรวบรวม จารึกทั้งหมดนั้น คําวา “ฮามาน” หมายถึง “หัวหนาคนงานสกัดหิน” 23 สิ่งนี้แสดงถึงขอเท็จจริงที่สําคัญมาก ซึ่งแตกตางไปจากคํายืนยันอยางผิดๆของฝายที่ขัดแยงกับอัลกุรอาน โดยที่อัลกุรอานไดระบุไววา ฮามาน คือ บุคคลที่มีชีวิตอยูในอียิปต ในสมัยทานนบีมูซา(อล) เขาเปนคนใกลชิด ของฟาโรห และมีหนาที่เกี่ยวของกับงานกอสราง ยิ่งกวานั้น อัลกุรอานยังไดบรรยายถึงเหตุการณ เมื่อฟาโรหไดสั่งใหฮามานสรางหอคอยขึ้น ซึ่งก็ตรงกับ หลักฐานตางๆทางโบราณคดี “และฟรเอานกลาววา โอปวงบริพารเอย ฉันไมเคยรูจักพระเจาอื่นใดของพวกทานนอกจากฉัน โอ ฮามานเอย จงเผาดินใหฉันดวย แลวสรางโครงสูงระฟา เพื่อที่ฉันจะไดขึ้นไปดูพระเจาของมูซาและแทจริงฉันคิดวาเขานั้นอยูในหมูผ ูกลาวเท็จ” (อัลกุรอาน 28:38) กลาวโดยสรุป การปรากฏชื่อ ฮามาน ในจารึกของชาวอียิปตโบราณนั้น มิไดเพียงแตทําใหคํากลาวอางที่ ฝายตรงขามกับอัลกุรอานที่สรรคแตงขึ้นมานั้นหมดความหมาย แตกลับสนับสนุน ยืนยันถึงความจริงอีกครั้งวา อัลกุ รอานนั้นมาจากพระผูเปนเจา ในแงความมหัศจรรย อัลกุรอานไดถายทอดใหเรารูถึงขอมูลทางประวัติศาสตร ซึ่งไม ผูใดสามารถอธิบาย หรือเขาใจมากอนเลยในชวงเวลาของทานศาสดามูฮัมมัด (ซล.)
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 75
ตําแหนงผูปกครองอียิปตในกรุอาน ทานนบีมูซา(อล.) (Moses) มิใชศาสดาเพียงทานเดียวที่อยูในดินแดนอียิปต ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร ของอียิปตโบราณ ทานนบียูซูฟ(อล.) (Joseph) ก็เคยอยูในอียิปตเชนเดียวกัน กอนหนาทานนบีมูซา(อล.)นานแลว มีบางอยางที่สอดคลองกัน ในเรื่องราวของทานนบีมูซา(อล.) กับทานนบียูซูฟ(อล.) การกลาวพระนาม ผูปกครองอียิปต ในชวงเวลาของทานนบียูซูฟ(อล.) นั้น ในอัลกุรอานใชคําวา “มาลิค”(พระราชา) “และกษัตริยต รัสวา จงนําเขามาหาฉันสิ ฉันจะแตงตั้งเขาใหเปนผูใกลชิดของฉัน เมื่อยูซุฟไดสนทนากับพระองคแลว พระองคตรัสวา แทจริงทานอยูตอหนาเรา เปนผูมีตําแหนงสูงเปนทีไ่ ววางใจ” (อัลกุรอาน 12:54) แตทวา ผูปกครองในชวงเวลาของทานนบีมูซา(อล.) กลับเรียกกันวา “ฟาโรห” “และโดยแนนอน เราไดใหแกมูซาสัญญาณตางๆ อันแจมชัด 9 ประการ ดังนั้น เจาจงถามวงศวานของอิสรออีล เมื่อเขา(มูซา) มายังพวกเขา ฟรเอาน ไดพูดกับเขาวา โอ มูซา เอย แทจริงฉันคิดวาทานถูกเวทยมนตอยางแนนอน” (อัลกุรอาน 17:101) บันทึกทางประวัติศาสตรที่มีในปจจุบัน แสดงใหเรารูถึงเหตุผลของขอแตกตางในการเรียกชื่อของผูปกครอง ทั้งสอง คําวา “ฟาโรห” นั้นเดิมเปนชื่อเรียกพระราชวังในสมัยอียิปตโบราณ ผูปกครองในราชวงศแตกอนไมไดใชคํานี้ เรียก มาเริ่มใชในยุค “อาณาจักรใหม” (New Kingdom) ของประวัติศาสตรอิยิปต สมัยราชวงศที่ 18 ราวป 1539 1292 กอนคริสตกาล และในยุคของราชวงศที่ 20 ในป 945 -730 กอนคริสตกาล คําวา “ฟาโรห” ก็ไดใชหมายถึง ตําแหนงที่ควรเคารพยกยอง ความมหัศจรรยของอัลกุรอานไดปรากฏใหเราไดรับรูอีกครั้งหนึ่งวา ทานนบียูซูฟ(อล.) (Joseph) มีชีวิตอยูใน ชวงเวลาของ “อาณาจักรเกา” (Old Kingdom) ซึ่งคําวา “มาลิค” ใชเรียกผูปกครองอียิปตมากอนคําวา “ฟาโรห” ในทางตรงกันขาม ในชวงเวลาของทานนบีมูซา (อล.) ใน “อาณาจักรใหม” นั้น ผูปกครองอียิปตจึงจะเรียกกันวา “ฟา โรห”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 76
เปนที่แนชัดวา เราตองมีความรูทางประวัติศาสตรของอียิปตเสียกอน ถึงจะสามารถเห็นขอแตกตางนี้ได แต อยางไรก็ตาม ประวัติของอียิปตโบราณก็ไดเลือนหายสาบสูญไปหมดสิ้นในศตวรรษที่ 4 เชนเดียวกับอักษรภาพ ซึ่ง ไมเปนที่เขาใจไดตั้งแตนั้นมา และเพิ่งจะมีการคนพบในศตวรรษที่ 19 ดังนั้น จึงไมปรากฏความรูทางประวัติศาสตร อียิปตโบราณอยางถี่ถวนเลย จนกระทั่งอัลกุรอานเผยแพรขึ้นมา สิ่งนี้จึงเปนขอเท็จจริงอีกประการหนึ่งจากบรรดา หลักฐานขอเท็จจริงจํานวนมาก ที่พิสูจนไดวา อัลกุรอานนั้น เปนวจนะของพระผูเปนเจา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 77
บทสงทาย อัลกุรอาน วจนะของพระผูเปนเจา
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 78
อัลกุรอาน วจนะของพระผูเปนเจา ทั้งหมดที่เราไดรับรูมาตั้งแตตนนั้น แสดงใหเราไดเห็นความจริงขอหนึ่งที่ชัดเจนวา อัลกุรอานนั้นเปนคัมภีร เพียงเลมเดียวที่ ขอมูลความรูทั้งหมด สามารถพิสูจนไดวาเปนความจริง ไมวาจะเปนขอเท็จจริงทางวิทยาศาสตร หรื อเรื่ อ งราวเกี่ ย วกั บ อนาคตที่ไมมี ผูใดรู ได เลยในขณะนั้น กลับ ปรากฏอยูใ นอั ลกุ ร อาน จากระดั บ ความรูแ ละ เทคโนโลยีในสมัยนั้น เปนไปไมไดเลย ที่ความรู เรื่องราวตางๆเหลานี้ จะมีใครรับรูได นี่ก็เปนหลักฐานชัดเจนวา อัลกุ รอานนั้นมิใชคําพูดของมนุษย แตอัลกุรอานนั้นเปนคําพูดของพระผูเปนเจา ผูทรงอํานาจ ผูทรงสรางทุกสรรพสิ่ง และ เปนผูเดียวที่กําหนดทุกสิ่งดวยความรูของพระองค ในอายะฮอัลกุรอาน พระผูเปนเจาตรัสไวใน ซูเราะฮอันนิซะอ ความวา “ไมเปนอันสมควรเลยที่พวกเหลานัน้ ไมพินิจพิเคราะหอัลกุรอาน ถาอัลกุรอานมิไดมาจากอัลลอฮแลว พวกนั้นยอมจะพบวาในนัน้ มีสวนขัดแยงกัน“ (อัลกุรอาน 4:82) ไมเพียงแต ไมมีความขัดแยงในอัลกุรอาน แตทุกๆเรื่องในกรุอานนั้นเต็มไปดวยสิ่งมหัศจรรยมากมายที่ถูก นํามาเปดเผย และจะถูกเปดเผยเพิ่มมากขึ้นทุกวันนี้ เปนหนาที่ของมนุษยที่จะตองยึดมั่นตอคัมภีรเลมนี้ที่มาจากพระผูเปนเจา และยอมรับคัมภีรเลมนี้ ในฐานะ ทางนําหนึ่งเดียวของชีวิตเทานั้น ดังเชนในอัลกรุอาน ซูเราะฮอัลอันอาม ที่พระผูเปนเจาไดกลาวา “และนี่แหละคัมภีรที่มีความจําเริญ ซึ่งเราไดใหคัมภีรลงมายังเจาจงปฏิบัตติ ามคัมภีรนนั้ เถิด และจงยําเกรง เพื่อวาพวกเจาเพื่อวาพวกเจาจะไดรบั ความเมตตากรุณา” (อัลกุรอาน 6:155) พระผูเปนจาไดกลาวไวใน ซูเราะฮอัลกะฮฟ อีกวา “และจงกลาวเถิด มูฮัมหมัด สัจธรรมนัน้ มาจากพระผูเปนเจาของพวกเจา ดังนั้นผูใดปราสงคกจ็ งศรัทธา และผูใดประสงค ก็จงปฏิเสธ.... “ (อัลกุรอาน 18:29) ซูเราะฮอัลอะบะซะ “มิใชเชนนั้น แทจริง(อัลกุรอาน)นั้นเปนขอเตือนใจ ดังนั้นผูใดประสงคก็ใหราํ ลึกถึงขอเตือนใจนั้น” (อัลกุรอาน 80:11-12)
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 79
ความเขาใจผิดเรื่องวิวัฒนาการ
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 80
ความนํา เราไดพิจารณาความมหัศจรรยบางประการแหงคัมภีรทอี่ ัลลอฮ (ซ.บ.) ไดประทานสูมวลมนุษยชาติ ดวยพระ เจาไดประทานสัญญาณตางๆวา อัลกุรอาน คือเปนคัมภีรแหงความจริงแท และไดเชิญชวนใหมวลมนุษย ใครครวญ ถึงความจริงแทนนั้ . ประการสําคัญยิ่งทีพ่ ระองคทรงเนนไวในอัลกุรอาน คือความเขาใจของมนุษยเรื่องการสรางสรรค มวลสรรพสิ่งในโลก และการที่มนุษยระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองคในเรื่องนี้ อยางไรก็ตาม ทุกวันนี้มี แนวความคิดตางๆทีท่ ําใหผคู นไมรูความจริงเรื่องการสรางสรรคและพยายามที่จะเบีย่ งเบนพวกเขาจากศาสนาดวย วิธีคิดที่ไรเหตุผล แนวความคิดดังกลาวที่สาํ คัญคือ แนวความคิดวัตถุนิยม ทฤษฎีดารวนิ หรือทฤษฎีวิวฒ ั นาการ เปนแนวความคิดสําคัญที่คติวัตถุนิยมยึดถือเปนพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร ในการอธิบายหลักการของตน ทฤษฎีนี้อางวาสิ่งมีชวี ิตถือกําเนิดจากสิง่ ที่ไมมีชวี ิตอยางบังเอิญ แตขออางนัน้ ก็ตกไป อยางสิน้ เชิงโดยขอเท็จจริงที่หนักแนนวาจักรวาลสรางสรรคโดยพระเจา พระเจาทรงสรางสรรคจักรวาล และทรงออกแบบแมรายละเอียดที่เล็กที่สุด ดังนัน้ จึงเปนไปไมไดเลยที่ทฤษฎี วิวัฒนาการจะอธิบายวา กําเนิดของสิง่ มีชีวิตไมไดมาจากการสรางสรรคของพระผูเปนเจา แตเกิดขึ้นจากเหตุบงั เอิญ ไมนาแปลกใจเลยเมื่อเราพิจารณาทฤษฎีววิ ัฒนาการ เราจะพบวาทฤษฎีนี้ตกไปเพราะการคนพบทาง วิทยาศาสตร การออกแบบชีวิตมีความสลับซับซอนและนาสนใจยิง่ ยกตัวอยางเชนในโลกของสิ่งที่ไมมีชวี ิต เราจะ สังเกตเห็นวาความสมดุลของอะตอมนัน้ เปนเรื่องละเอียดมาก ยิง่ กวานั้นในโลกของสิ่งมีชวี ิตเราจะสังเกตเห็นการ ออกแบบที่ซับซอนใหอะตอมมาอยูรวมกัน และความพิเศษของ กลไกและโครงสรางของสิ่งตางๆ เชน โปรตีน เอนไซม และเซลล นัน้ ราวกับผลิตออกมาจากโรงงาน ความพิเศษในการออกแบบชีวิต ทําใหทฤษฎีดารวินตกไปอยางสิน้ เชิงในปลายศตวรรษที่ 20 ไดมีการพิจารณาเรื่องนี้อยางละเอียดมามากแลวในการศึกษาของพวกเราและคงดําเนินตอไป แตอยางไรก็ ตามเราคิดวาการพิจารณาความสําคัญของเรื่องนี้ ถาจะสรุปสั้นๆไวตรงนี้กอนก็จะเปนประโยชนยงิ่
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 81
ความลมเหลวทางวิชาการของดารวิน ความเชื่อตามทฤษฎีววิ ัฒนาการมีมานานยอนไปถึงสมัยกรีก แตไดกาวหนาอยางยิ่งในศตวรรษที่ 19 นี้ สิง่ สําคัญที่ทาํ ใหทฤษฎีนี้กลายเปนประเด็นหลักในโลกวิทยาศาสตรก็คือตําราของ ชารลส ดารวิน ที่เขียนถึงเรือ่ ง จุด กําเนิดของสิ่งมีชีวิต (The Original of Species) ที่ตีพมิ พ ในป ค.ศ 1859 ในหนังสือนี้ ชารลส ดารวิน ไดปฏิเสธวา สิ่งมีชีวิตตางๆในโลกมิไดเกิดจากการสรางสรรคโดยเอกเทศของพระเจา เขาเชื่อวาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีกาํ เนิดมาจาก บรรพบุรุษเดียวกัน แตวิวฒ ั นาการไปตามกาลเวลาจนมีลักษณะที่ตา งกัน ทฤษฎีของชารลส ดารวิน ไมไดมีพื้นฐานที่เปนรูปธรรมทางวิทยาศาสตร และเขาก็ยอมรับวายังเปนแคเพียง “สมมติฐาน” ยิ่งไปกวานั้น ตัวดารวินเอง ไดสารภาพไวในตําราของเขาในบทที่ชื่อ “ความยากลําบากแหงทฤษฎี” วา ทฤษฎีของเขาไมสามารถตอบคําถามสําคัญๆได ดารวิน ฝากความหวังของเขาทั้งหมดไวกบั การคนพบของวิทยาศาสตรสมัยใหม ซึง่ เขาคาดวาจะเปนผูเฉลย ” ความยากลําบากแหงทฤษฎี” แตทวาการคนพบทางวิทยาศาสตรที่ไดขยายมิติตางๆก็กลับกลายเปนขอโตแยง สําหรับดารวนิ ไป ภาพหนา 82 Charles Darwin ขอบกพรองของดารวนิ ในทางวิทยาศาสตร อาจจําแนกไดเปน 3 ประเด็นดังนี้ 1. ทฤษฎีนี้ไมสามารถอธิบายไดวา ชีวิตเกิดขึน้ ไดอยางไร 2. ไมมีการคนพบทางวิทยาศาสตรที่สามารถแสดงใหเห็นวา “กลไกแหงการวิวัฒนาการ“ ที่เสนอโดยทฤษฎีนี้ จะเปนไปได 3. การพิสูจนซากฟอสซิลพบขอเท็จจริงที่แยงกับทฤษฎีววิ ฒ ั นาการ ในตอนนีเ้ ราจะพิจารณาทัง้ สามประเด็นหลักไปตามหัวขอตอไปนี้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 82
ปฐมเหตุแหงชีวิต ขัน้ ตอนแรกเริ่มที่มปี ญ หา ทฤษฎีววิ ัฒนาการ เชื่อวาสิง่ มีชีวิตทั้งหลายวิวฒ ั นาการมาจากเซลลเดี่ยว ซึง่ ปรากฏในระยะแรกเริ่มของโลก เมื่อสามพันแปดรอยลานปที่ผานมา แตการทีเ่ ซลลเดี่ยวใหกําเนิดสิ่งมีชวี ติ ที่ซับซอนนับลาน ในกรณีที่มีการ วิวัฒนาการจริง เหตุใดจึงไมปรากฏรองรอยในซากฟอสซิล นี่คือคําถามทีท่ ฤษฎีน้ไี มสามารถใหคาํ ตอบได อยางไรก็ ตาม สิง่ ที่สําคัญสุด ในกระบวนการวิวัฒนาการขั้นตอนแรกนัน้ จะตองตอบคําถามใหได วา อะไรคือปฐมเหตุแหงการ เกิดของเซลลเดี่ยวนี้ ทฤษฎีววิ ัฒนาการปฏิเสธการสรางสรรค และไมยอมรับวาทุกสิง่ ทุกอยางเกิดขึ้นจากความเหนือธรรมชาติ แตที่ เชื่อวาเซลลแรกเริ่มเกิดขึ้นโดยบังเอิญตามกฎแหงธรรมชาติ โดยปราศจากการออกแบบ แบบแผนและการจัด ระเบียบใดๆ. ทฤษฎีนี้อา งวาดวยวิธกี ารดังกลาวสิ่งไมมีชีวิตทําใหเกิดเซลลสิ่งมีชีวติ ขึ้นมาโดยบังเอิญ อยางไรก็ตาม คํากลาวอางนี้ ขัดกับกฎทางชีววิทยาทีย่ ังไมมีใครลบลางไดเลย
ชีวิตมาจากชีวิต ดารวินไมเคยอางอิงถึงการกําเนิดของชีวติ ไวในตําราของเขาเลย ความเขาใจพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตรในสมัย ของเขาตั้งอยูบ น สมมุติฐานทีว่ าสิง่ มีชวี ติ มีโครงสรางที่แสนจะเรียบงาย ในยุคกลาง ซึ่งเปนสมัยของความเชื่อเรื่อง การกําเนิดขึ้นเอง แนวคิดวาสิ่งไมมีชวี ิตรวมตัวกันเปนอินทรียท ี่มีชวี ติ เปนทีย่ อมรับกันอยางกวางขวาง ผูคนเชือ่ กันวา แมลงเกิดขึ้นไดจากเศษอาหาร และหนูเกิดขึ้นจากขาวสาลี มีการทดลองเพื่อพิสูจนแนวคิดนี้ โดยเอาขาวสาลีวางบน ผาสกปรก เพราะเชื่อวาหนูจะถือกําเนิดขึน้ มาไดในเวลาตอมา ในทํานองเดียวกัน การทีห่ นอนเกิดจากเนื้อสัตว ก็เปน ขอสนับสนุนความเชื่อเรื่องการกําเนิดขึ้นเอง อยางไรก็ตามในเวลาตอมา จึงเขาใจกันไดวา หนอนไมไดเกิดขึ้นเองบน เนื้อ แมลงวันพามันมาในรูปของตัวออนซึ่งมองดวยตาเปลาไมเห็น แมแตในเวลาที่ดารวนิ ไดเขียนตําราเรื่อง จุดกําเนิดของสิ่งมีชวี ิต (The Origin of Species) ความเชื่อทีว่ า แบคทีเรียเกิดจากสิง่ ไมมีชีวติ ก็ยงั เปนที่ยอมรับอยางกวางขวางในโลกวิทยาศาสตร
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 83
อยางไรก็ตาม 5 ปหลังจากทีห่ นังสือของ ดารวนิ พิมพแพรออกมา ก็มกี ารคนพบของ หลุยส ปาสเตอร ที่ หักลางความเชื่อซึ่งเปนพืน้ ฐานของทฤษฏีวิวัฒนาการ ปาสเตอร สรุปขอคนพบหลังจากการศึกษาและทดลองที่เขา กลาวา “การกลาวอางวาสิ่งไมมีชีวิตสามารถเปนปฐมเหตุของสิ่งมีชวี ิตนัน้ ไดถูกฝงไวในประวัติศาสตรอยางไมมีวัน ฟนคืนชีพไดเลย” 24 แตทวาผูสนับสนุนทฤษฏีวิวฒ ั นาการกลับไมยอมรับขอคนพบของ ปาสเตอร อยูเปนเวลานาน อยางไรก็ตาม การพัฒนาทางวิทยาศาสตร ไดไขปริศนาเรื่องโครงสรางอันสลับซับซอนของเซลลสงิ่ มีชีวิต ทําใหแนวความคิดทีก่ ลาว วาสิง่ มีชีวิตเกิดขึ้นโดยความบังเอิญนัน้ พบทางตันที่ใหญยิ่ง
ความพยายามที่ยังหาขอสรุปไมไดในศตวรรษที่ 20 ในศตวรรษที่ 20 ผูที่เริ่มตนศึกษาเรื่องกําเนิดชีวิตตามทฤษฎีววิ ัฒนาการ คือ อเล็กซานเดอร โอพาริน (Alexander Oparin) นักชีววิทยาผูม ีชื่อเสียงชาวรัสเซีย โดยในชวงทศวรรษ 1930 เขาไดพยายามที่จะพิสูจนวาเซลล ของสิ่งมีชวี ิตเกิดขึ้นเองได แตทวาการศึกษาของเขาก็ดเู หมือนจะลมเหลว โดยที่โอพารินจําตองกลาวสารภาพวา “นา เสียดายที่ตนกําเนิดของเซลลนั้น ดูเหมือนจะยังคงเปนคําถามที่เปนสวนที่มืดมนทีส่ ุดจริงๆในทฤษฎีวิวัฒนาการ 25“ นักวิทยาศาสตรที่ศึกษาดานวิวัฒนาการรุนตอมา ไดพยายามทําการทดลองตางๆ เพื่อตอบปญหาจุดกําเนิด ของชีวิตตอไป การทดลองทีร่ ูจักกันมากทีส่ ุดไดแก การทดลองเมื่อป 1953 ของ สแตนลี่ มิลเลอร นักเคมีชาวอเมริกัน มิลเลอรไดทําการทดลองโดยรวมอากาศธาตุที่เขาอางวามีอยูในบรรยากาศชวงกําเนิดโลก เมื่อเพิ่มพลังงานเขาไปใน สวนผสมนัน้ เขาก็สังเคราะหไดออรแกนิก โมเลกุล กรดอะมิโน ทีพ่ บในโครงสรางของโปรตีน หลังจากนั้นเพียงสามปตอมา ปรากฏวาการทดลองทีน่ ําเสนอวาเปนกาวที่สําคัญของทฤษฎีวิวฒ ั นาการกลับ กลายเปนเรื่องที่เชื่อถือไมได กลาวคือ บรรยากาศที่มิลเลอรใชในการทดลองนั้นมีความแตกตางอยางมากจากสภาพ บรรยากาศจริงๆ ของโลก 26 หลังจากเงียบอยูนานมิลเลอรก็ยอมรับออกมาวา ที่เขาใชในการทดลองนัน้ มิใชบรรยากาศตามสภาพจริง 27 อาจกลาวไดวา นักวิวฒ ั นาการในศตวรรษที่ 20 ทีพ่ ยายามคนหาคําอธิบายถึงกําเนิดของชีวิตนัน้ ทายที่สุดก็ ประสบความลมเหลวอยางสิ้นเชิง ดังที่ เจอรรี่ บาดา นักธรณีเคมีจากสถาบันซานดิเอโก สคริปปส (San Diego Scripps) ไดเขียนบทความลงในนิตยสารเอิรท (Earth Magazine) ป 1998 โดยยอมรับวา “วันนีข้ ณะที่กําลังจะผาน พนศตวรรษที่ 20 ไปเราก็ยงั คงมีปญหาสําคัญที่สุด ที่มดื มนมาตัง้ แตเมื่อเราเริ่มเขาสูศตวรรษนี้วา ชีวิตกําเนิดขึน้ มา บนผืนพิภพนี้ไดอยางไร?”28
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 84
โครงสรางอันซับซอนของชีวิต เหตุผลสําคัญที่ทําใหทฤษฎีวิวัฒนาการตองพบทางตันในการคนหาจุดกําเนิดของสิ่งมีชีวิตก็คือ แมกระทั่ง สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนวาจะไมมีความซับซอนใด ๆ กลับประกอบดวยโครงสรางอันสลับซับซอนอยางไมนาเชื่อ เราจะเห็น ไดวาเซลลของสิ่งมีชีวิตนั้นมีความซับซอนกวาผลิตภัณฑทางเทคโนโลยีใด ๆ ที่มนุษยเปนผูสรางขึ้น ทุกวันนี้แมกระทั่ง หองทดลองที่มีความทันสมัยมากที่สุดในโลกก็ยังไมสามารถสรางเซลลของสิ่งมีชีวิตจากการประกอบสิ่งไมมีชีวิตเขา ดวยกัน เงื่อนไขจําเปนในการสรางเซลลนั้นมีมากมายเกินกวาที่จะอธิบายดวยการเกิดขึ้นจากความบังเอิญ ความเปนไป ไดที่โปรตีนซึ่งเปนหนวยยอยของเซลล จะถูกสังเคราะหโดยบังเอิญนั้นมีเพียง 1 ใน 10 950 สําหรับโปรตีน 1 หนวยที่ ประกอบขึ้นจาก กรดอะมิโน 500 ตัว หากคิดในเชิงคณิตศาสตรก็จะพบวาความเปนไปไดนั้นจะนอยกวา เศษ 1 สวน 1050 ซึ่งเปนไปไมไดในทางปฏิบัติ โมเลกุลของ DNA ที่บรรจุขอมูลพันธุกรรมซึ่งอยูในนิวเคลียสของเซลลนั้น ก็ถือไดวาเปนแหลงขอมูลที่มีขอมูล มากมายอยางไมนาเชื่อเลยทีเดียว โดยมีการคํานวณกันวาหากนําขอมูลที่มีอยูใน DNA มาเขียน จะไดหองสมุดขนาด ใหญ ที่มีสารานุกรม 900 เลม โดยแตละเลมตองมีความหนาถึง 500 หนา ปญหาที่สําคัญยิ่งก็ปรากฏขึ้น ณ จุดนี้ กลาวคือ ในกระบวนการถอดแบบพันธุกรรมจาก DNA นั้นจะตองใช โปรตีน (เอนไซม) เฉพาะเทานั้น และการสังเคราะหเอนไซม ก็จําเปนจะตองอาศัยรหัสที่ประกอบอยูใน DNA เทานั้น เชนกัน ดวยเหตุที่เอนไซมและ DNA ตางก็ตองพึ่งพาอาศัยกันจึงตองปรากฏขึ้นพรอม ๆ กันในกระบวนการถอดแบบ ขอคนพบนี้ ทําใหสมมุติฐานที่วา สิ่งมีชีวิตกําเนิดขึ้นมาเองนั้น ถึงทางตันและจุดจบ ศาสตราจารย เลสลี่ ออรเกล นักวิวัฒนาการผูมีชื่อเสียงแหงมหาวิทยาลัยซานดิเอโก รัฐแคลิฟอรเนีย ไดยอมรับ ความจริงขอนี้ในนิตยสาร Scientific American ฉบับเดือนกันยายน 1994 โดยกลาววา เปนไปไมไดอยางยิ่งที่โปรตีนและกรดนิวคลิอิก (Nucleic) ซึ่งตางก็มีโครงสรางสลับซับซอน จะเกิดขึ้นเองในเวลา และสถานที่เดียวกัน นอกจากนั้นยังเปนไปไมไดอีกเชนกันที่จะมีสิ่งหนึ่งโดยปราศจากอีกสิ่งหนึ่ง ดังนั้นหาก พิจารณาเพียงผิวเผินก็อาจสรุปไดวาตามความเปนจริง สิ่งมีชีวิตไมสามารถกอกําเนิดโดยกระบวนการทางทาง เคมีไดเลย 29
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 85
คําอธิบายใตภาพ:
น.86
ความจริงประการหนึ่งที่ยืนยันความเปนไปไมไดของทฤษฎีวิวัฒนาการ คือ ความสลับซับซอนของสิ่งมีชีวิต ตัวอยางสําคัญ ประการหนึ่งคือ โมเลกุลของ DNA ที่อยูในนิวเคลียสของเซลลของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย DNA เปนแหลงขอมูล ประกอบดวย โมเลกุลตางกัน 4 ชนิด ที่มีการเรียงลําดับที่แตกตางกัน แหลงขอมูลนี้บรรจุรหัสของลักษณะทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตเขาไว และเมื่อถอดรหัสพันธุกรรมออกมา คํานวณวาจะมีความยาวเทากับสารานุกรมประมาณ 900 เลม ดังนั้นจึงไมเปนที่นา สงสัยเลยวาขอมูลที่มีมากมายเพียงนี้จะลบลางแนวคิดเรื่องความบังเอิญได
แน น อนหากเป น ไปไม ไ ด ที่ สิ่ ง มี ชี วิ ต จะเกิ ด ขึ้ น จากธรรมชาติ ต อ งยอมรั บ ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต นั้ น เกิ ด ขึ้ น จาก “การ สรางสรรค” ของสิ่งที่อยูเหนือธรรมชาติ ในที่สุดทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งมีจุดประสงคหลักที่จะปฏิเสธ “การสรางสรรค” ก็ จะ ถูกลบลางโดยความจริงขอนี้ไดอยางสิ้นเชิง
กลไกอันเพอฝนของทฤษฎีววิ ัฒนาการ ประเด็นสําคัญประเด็นที่สองที่แยงทฤษฎีของดารวินคือ แนวคิดทั้งสองตาม “กลไกของวิวัฒนาการ” นั้น มิไดมี พลังในการเกิดวิวัฒนาการใดๆ ดารวินอิงทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาเขากับกลไก “การเลือกสรรของธรรมชาติ” ดังปรากฏเปนชื่อในหนังสือของ เขาวา “จุดกําเนิดของสิ่งมีชีวติ , โดยวิธีการเลือกสรรของธรรมชาติ” ตามแนวคิดเรือ่ งการเลือกสรรของธรรมชาตินั้น สิง่ มีชีวิตที่แข็งแกรงและเหมาะสมตอสภาพธรรมชาติจึงจะ สามารถมีชีวิตอยูรอดไดในภาวะการตอสูแยงชิง ตัวอยางเชน ฝูงกวางที่อาศัยอยูอยางเสี่ยงภัยจากสัตวปา อื่นๆนั้น จะตองสามารถวิ่งไดรวดเร็วจึงจะอยูรอด ดังนัน้ กวางในฝูงแตละตัวจึงมีรางกายแข็งแรงและวิ่งเร็ว แตอยางไรก็ตาม กลไกนี้ก็ไมไดเปนสาเหตุที่ทาํ ใหกวางวิวัฒนาการและกลายไปเปนสัตวชนิดอื่น เชน มา ไดเลย ั นาการได ดารวินเองก็ตระหนัก ดังนัน้ กลไกการเลือกสรรของธรรมชาติ จึงไมมีพลังใดๆทีส่ ามารถทําใหเกิดวิวฒ ถึงขอเท็จจริงนี้เปนอยางดีดังไดกลาวไวในหนังสือ จุดกําเนิดของสิ่งมีชวี ิต ของเขาวา: การเลือกสรรของธรรมชาติจะไมมีผลใดๆ จนกวาลักษณะความผันแปรที่เหมาะสมจะบังเอิญเกิดขึ้น
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 86
ผลกระทบของลามารค “ลักษณะความผันแปรที่เหมาะสม” จะเกิดขึ้นไดอยางไร? ดารวินพยายามอธิบายคําถามนี้จากความเขาใจ ทางวิทยาศาสตรในยุคสมัยของเขา โดยการอางอิงถึงนักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ชื่อ ลา มารค (Lamarck) ซึ่งมีชีวิตอยู ในชวงกอนดารวิน สิ่งมีชีวิตจะสงผานลักษณะเฉพาะทีต่ นเองมีอยูในชวงชีวิตไปยังรุนถัดไป ลักษณะเหลานีจ้ ะสะสม จากรุนหนึ่งไปยังอีกรุน หนึ่ง ทําใหเกิดสายพันธุใหมๆขึ้นมา ตัวอยางทีล่ ามารคกลาวไวคือ ยีราฟมีวิวัฒนาการมาจาก ละมั่ง เมื่อมันตองพยายามดิ้นรนหาใบไมตามตนไมสูงๆกิน คอของมันก็ยืดขยายมากขึ้นจากรุนแลวรุนเลา ดารวินเองก็ไดยกตัวอยางไวในหนังสือของเขาวา หมีบางชนิดหากินในน้าํ ทําใหมันวิวัฒนาการเปนปลาวาฬไป ในที่สุด แตทวากฎการสืบทอดทางพันธุกรรมซึง่ คนพบโดยเมนเดลและไดรับการพิสูจนโดยนักวิทยาศาสตรดาน พันธุกรรมในศตวรรรษที่ 20 ไดลบลางตํานานความเชื่อนี้ไปโดยสิ้นเชิง การเลือกสรรของธรรมชาติจึงไมอาจเปน กระบวนการของทฤษฎีวิวฒ ั นาการได นีโอ ดารวนิ และการกลายพันธุ เพื่อที่จะหาทางออก ผูน ิยมทฤษฎีดารวนิ จึงไดเสนอแนวคิด “ทฤษฎีการสังเคราะหสมัยใหม หรือรูจักกันในชื่อ วา นีโอ ดารวนิ ในชวงปลายทศวรรษ 1930 นีโอ ดารวนิ ไดเสนอทฤษฎีการกลายพันธุ (Mutations) วา พันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนรูปไปเพราะปจจัยภายนอก เชน กัมมันตรังสี หรือขอผิดพลาดในการถายแบบพันธุกรรมซึ่งอาจทํา ใหเกิดลักษณะที่เหมาะสม นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ ในปจจุบัน นีโอ ดารวิน คือทฤษฎีที่เปนแบบฉบับของแนวคิดเรื่องการวิวัฒนาการ เชื่อวาสิง่ มีชวี ติ มากมายบน โลกนีก้ อรางมาโดยที่อวัยวะที่สลับซับซอนของสิ่งมีชวี ิต เชน หู ตา และอื่นๆ ไดผานกระบวนการกลายพันธุ ซึง่ เปน ขอบกพรองทางพันธุกรรม แตทวาทฤษฎีนี้ไดถูกลบลางอยางสิน้ เชิงโดยขอเท็จจริงทางวิทยาศาสตร:การกลายพันธุ ไมไดกอใหเกิดการพัฒนาของสิ่งมีชวี ิต ในทางตรงกันขาม กลับกอใหเกิดอันตรายตอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เหตุผลงายๆก็คือวา DNA มีโครงสรางที่สลับซับซอนและผลกระทบโดยเหตุบงั เอิญนั้นเปนไปได แตจะ กอใหเกิดอันตรายเทานัน้ นักพันธุกรรมศาสตรชาวอเมริกา บี จี รังกะนาธาน (B.G. Ranganathan) ไดอธิบายไว ดังตอไปนี้ การกลายพันธุเกิดขึ้นเพียงเล็กนอย เกิดโดยบังเอิญและมีอันตราย แตก็ยากที่จะเกิด ที่เปนไปไดมากที่สุดคือ ไมมีผลกระทบใดๆ แสดงใหเห็นวาการกลายพันธุไมไดนําไปสูการพัฒนาดานวิวฒ ั นาการใดๆ การกลายพันธุ นั้นถาไมไร ผลก็เปนอันตราย เชน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในนาฬิกาเรือนหนึ่งไมไดทาํ ใหนาฬิกา เรือนนัน้ ทํางานดีขึ้นเลย มันอาจจะเกิดอันตราย หรือไมก็ไมเกิดผลกระทบใดๆเลย การเกิดแผนดินไหวไมทําให เกิดผลดีตอบานเมือง แตกลับกอใหเกิดความเสียหาย32 The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 87
ไมนาประหลาดใจเลยที่ไมมตี ัวอยางในเรื่องของการกลายพันธุทกี่ อใหเกิดประโยชน ทัง้ ๆทีห่ วังกันวาจะเปน การพัฒนาพันธุกรรม การกลายพันธลว นเปนอันตราย ที่กลาวกันวาเปนกลไกของการวิวัฒนาการนั้น ที่จริงมีผลตอ พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตและอาจทําใหพิการได (ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่รจู ักกันโดยทัว่ ไปของสิ่งมีชวี ิตก็คือ มะเร็งนั่นเอง) วิธกี ารที่กอใหเกิดการสูญเสียไมนาจะเปนวิธีของการวิวัฒนาการไดเลย การเลือกสรรของธรรมชาติก็ ไมสามารถสัมฤทธิผลไดดวยตัวมันเอง ดังที่ ดารวนิ ไดกลาวยอมรับไวแลว ขอเท็จจริงนี้แสดงใหเราเห็นวา ไมมีกลไก ของการวิวัฒนาการอยูจริงในธรรมชาติ ดังนัน้ กระบวนการที่เพอฝนที่เรียกวา การวิวัฒนาการจึงไมสามารถเกิดขึ้นได ดวย
หลักฐานจากซากฟอสซิล ไมมีรองรอยของรูปรางในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง สิ่งทีย่ ืนยันวา ทฤษฎีววิ ัฒนาการไมสามารถเกิดขึ้นได ก็คือ หลักฐานจากซากฟอสซิล ทฤษฎีววิ ัฒนาการเชื่อวา สิง่ มีชีวิตทุกชนิดเกิดมาจากบรรพบุรุษ หรือสิง่ ที่มีอยูกอนหนาซึง่ เมื่อเวลาผานไปก็จะ กลายไปเปนสิง่ อื่น สิ่งมีชวี ิตทั้งหลายตางก็เกิดในลักษณะนี้ โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน้ ดังกลาวตองใช เวลานับลานๆป ถาเปนจริงตามนั้นสิง่ มีชวี ิตที่อยูในขัน้ ตอนการเปลีย่ นแปลงจํานวนมากนาจะยังคงมีใหเห็นอยู ตัวอยางเชน นาจะมีสัตวครึง่ ปลาครึ่งสัตวเลื้อยคลานที่ไดลักษณะของสัตวเลื้อยคลานเพิม่ ขึ้นจากลักษณะของ ปลาที่มนั มีอยูเ ดิม หรือนาจะมีสัตวครึ่งนกครึ่งสัตวเลื้อยคลานที่ไดลักษณะของนกเพิ่มขึ้นจากลักษณะของ สัตวเลื้อยคลานที่มนั มีอยูเดิม ดวยเหตุที่สตั วเหลานี้อยูในระยะของการเปลี่ยนแปลงตามลําดับขั้น มันก็นาจะมี ลักษณะของความบกพรอง, ไมสมบูรณ หรือพิการอยู นักวิวัฒนาการพวกนี้ไดอางถึงสัตวในจินตนาการซึง่ เชื่อวาเคย มีในอดีตวาเปน “รูปแบบของการเปลีย่ นแปลง” ถาสัตวตางๆเหลานี้มีอยูจริง มันก็ควรจะมีอยูนับลานๆและหลากชนิด ที่สําคัญสุดก็คือ ควรจะมีซากฟอสซิ ลของสัตวประหลาดเหลานีป้ รากฎใหเห็นบาง ในหนังสือ จุดกําเนิดของสิ่งมีชวี ิต ดารวินไดอธิบายไววา หากทฤษฎีของขาพเจาเปนจริง สิง่ ทีอ่ ยูระหวางการเปลี่ยนแปลงจะมีจํานวนมากมายหลากหลายจนนับไม ถวน ทัง้ หมดนี้ยงั สามารถเชื่อมโยงกับกลุม ที่มีความเหมือนกันได ซึง่ หลักฐานตางๆของสิ่งที่มมี ากอนหนาจะ สามารถคนพบไดจากซากฟอสซิลเทานัน้ 33
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 88
ความหวังของดารวินดับวูบ แมวานักวิวัฒนาการพยายามคนหาซากฟอสซิลทั่วโลกตัง้ แตชวงกลางศตวรรษที่ 19 แตก็ยังคงไมพบซากที่อยู ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเลย ซากฟอสซิลทั้งหมดที่ขุดคนพบแสดงใหเห็นวา สิ่งมีชีวิตบนโลกมีความสมบูรณแบบ ในตัวมันเองแลว ซึง่ ตรงขามกับความคาดหวังของนักวิวฒ ั นาการ นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ดีเรค วี เอเกอร ยอมรับขอเท็จจริงนี้ ทั้งๆที่เขาก็เปนนักวิวัฒนาการคนหนึง่ เขากลาววา สิ่งที่ประจักษก็คือ เมื่อเราตรวจสอบซากฟอสซิลโดยละเอียดไมวาจะในระดับชั้นหรือชนิด เราจะพบซ้าํ แลวซ้าํ เลาวา ไมไดมีวิวัฒนาการอยางคอยเปนคอยไป แตเปนการกําเนิดของสิ่งมีชวี ิตกลุมหนึง่ พรอมกับการสิน้ สุด ของสิ่งมีชวี ิตอีกกลุมหนึง่ 34 นั่นก็คือ ซากฟอสซิลของสิง่ มีชีวิตทุกชนิดอุบัติขึ้นมาอยางสมบูรณ ไมไดเกิดการกลายรูปแตอยางใด ซึ่งตรงกัน ขามกับขอสันนิษฐานของดารวิน ซึง่ นับวาเปนหลักฐานสําคัญวา สิง่ มีชีวิตทัง้ หลายไดถูกกําเนิดขึ้นมา การที่สงิ่ มีชีวิต ทุกชนิดกําเนิดขึ้นมาอยางสมบูรณแบบโดยไมไดวิวัฒนาการมาจากอดีตยอมอธิบายไดวา สิ่งเหลานั้นถูกสรางขึ้นมา ดักลาส ฟูตูยามา นักชีววิทยาดานการวิวฒ ั นาการ ยอมรับความจริงขอนี้วา ขอโตแยงระหวางการกําเนิดกับการวิวัฒนาการนัน้ พูดกันมามากแลวในการอธิบายการกําเนิดสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่อุบตั ิขึ้นในโลกมีพัฒนาการที่สมบูรณแบบหรือยังบกพรองอยู หากยังบกพรองอยู ก็จะตองมี กระบวนการพัฒนาจากรุน กอนโดยกระบวนการเปลีย่ นแปลงบางอยาง แตหากสมบูรณแบบแลวก็แสดงถึงวา การกําเนิดดังกลาวตองมีผสู รางทีท่ รงอํานาจอยางแนนอน35 ซากฟอสซิลแสดงวา สิ่งมีชวี ิตถูกกําเนิดมาอยางสมบูรณแบบในโลกนี้ นั่นยอมแสดงวา “กําเนิดสิ่งมีชีวิต มี ที่มาจากการสรางสรรค มิใชจากวิวัฒนาการตามสมมติฐานของดารวนิ ”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 89
เรื่องราวการวิวัฒนาการของมนุษย ประเด็นทีห่ ยิบยกมากลาวอางกันมากทีส่ ุดตามทฤษฎีวิวัฒนาการคือ เรื่องการกําเนิดมนุษย นักทฤษฎีดารวนิ อางวา มนุษยในปจจุบันนี้มกี ําเนิดมาจากสัตวคลายลิงตามกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึน้ เมือ่ 4-5 ลานปมาแลว กระบวนการตาม และจากบรรพบุรุษของมนุษยมาถึงมนุษยปจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะบางอยาง ความคิดดังกลาว แบงได 4 ขั้นดังนี้ 1. ออสเตรโลพิเทคัส ( Australopithecus ) 2. โฮโม ฮาบิลิส ( Homo habilis ) 3. โฮโม อีเรคตัส ( Homo erectus ) 4. โฮโม เซเปยน ( Homo sapiens ) นักวิวัฒนาการเรียก บรรพบุรุษลิงในยุคแรกวา “ออสเตรโลพิเทคัส” ซึ่งหมายถึง “ลิงแอฟริกาใต” ซึ่งก็คือ ลิง พันธุดงั้ เดิมที่ไดสูญพันธุไปหมดแลว มีการวิจยั อยางละเอียดเกี่ยวกับสายพันธุตา งๆของออสเตรโลพิเทคัสโดยนัก กายวิภาคศาสตรชาวอังกฤษและสหรัฐอเมริกาคือ ลอรด ซอลลี่ ซัคเคอรแมน (Lord Solly Suckerman) และ ศาสตราจารย ชารลส อ็อกซนารด (Prof. Charles Oxnard) ไดพบวา สายพันธุน ี้เปนลิงในยุคแรก ซึ่งปจจุบันไดสูญ พันธุไปหมดแลว และไมมีสว นใดทีม่ ีความคลายคลึงกับมนุษยเลย 36 การวิวัฒนาการของมนุษยในขั้นถัดมาคือ “โฮโม” ซึ่งหมายถึง มนุษย นักวิวัฒนาการที่เชื่อวา สิง่ มีชีวิตในกลุม โฮโมมีการพัฒนามากกวาออสเตรโลพิเทคัส นักวิวฒ ั นาการไดอุปโลกนแนวคิดวิวัฒนาการขึ้นมาอยางแยบยล โดย จัดวางซากฟอสซิลของสิ่งมีชวี ิตตางๆเหลานี้ตามลําดับชัน้ แตกย็ งั เปนเรื่องเพอฝนเนื่องจากวามันไมสามารถจะ ั นาการคนสําคัญใน พิสจู นไดวา มีการวิวัฒนาการที่สัมพันธกันกับลําดับชัน้ ตางๆ เอิรน ส เมเออร นักทฤษฎีววิ ฒ ศตวรรษที่ 20 กลาวยอมรับขอเท็จจริงนี้วา “สายโซที่โยงถึงโฮโมเซเปยนไดสูญสิ้นไปแลว” จากการโยงสายโซในลักษณะดังนี้ “ออสเตรโลพิเทคัส > โฮโมฮาบิลิส > โฮโมอีเรคตัส > โฮโมเซเปยน” นัก วิวัฒนาการหมายความวา แตละกลุมพันธุตางก็เปนบรรพบุรุษของอีกกลุมหนึง่ ตางๆกันมา แตจากการคนพบลาสุด ของนักชีววิทยาเปดเผยออกมาวา ออสเตรโลพิเทคัส , โฮโมฮาบิลิส และโฮมโมอิเรคตัส อยูตางถิน่ กันในชวงเวลา เดียวกัน นอกจากนัน้ ยังปรากฏวามนุษยจากพวกโฮโมอิเรคตัสมีชีวิตตอเนื่องมาจนยุคปจจุบนั สวนโฮโมเซเปยนนีอนั ดารธาเลนซิส และโฮโมเซเปยนเซเปยน (มนุษยยุคใหม) นั้น ก็อยูรว มกันในถิน่ เดียวกัน39
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 90
ประเด็นนี้ชี้ใหเห็นชัดเจนวาคํากลาวอางทีว่ า มนุษยกลุมหนึ่งเปนบรรพบุรุษของอีกกลุมหนึง่ นัน้ เปนไปไมได นักฟอสซิลวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮารวารดชื่อ สตีเฟน เจย กลาวด (Stephen Jay Gloud) อธิบายการหยุดชะงัก ของทฤษฎีวิวฒ ั นาการเอาไว แมวา ตัวเขาเองจะเปนนักวิวัฒนาการก็ตาม ขั้นตอนของเราจะเปนอยางไร ถาหากมีการสืบสายตรงของโฮโมนิคทัง้ 3 ที่อยูในสมัยเดียวกัน ไดแก เอ แอฟ ริกานุส โรบุสออสเตรโลปเทซีนส และเอช ฮาบิลิส ซึ่งไมมีทางที่กลุมหนึง่ จะมาจากอีกกลุม หนึง่ ไดอยาง แนนอน นอกจากนั้นทั้ง 3 กลุมนีย้ ังไมแสดงลักษณะแนวโนมการวิวฒ ั นาการใดๆอีกดวย 40 กลาวโดยสรุปไดวา เรื่องของการวิวัฒนาการของมนุษย ซึง่ ปรากฏเปนภาพ “ครึ่งคนครึ่งลิง” ตามสื่อและตํารา เรียนนัน้ ที่จริงก็คือเรื่องราวโฆษณาชวนเชือ่ โดยไรพื้นฐานทางวิทยาศาสตรนั่นเอง ลอรด ซอลลี่ ซักเคอรแมน หนึง่ ในนักวิทยาศาสตรทมี่ ชี ื่อเสียงชาวอังกฤษ ไดทําการวิจัยเรื่องนี้เปนเวลาหลายป โดยเฉพาะไดศึกษาซากฟอสซิลออสเตรโลพิเทคัสเปนเวลาถึง 15 ป ขอสรุปของเขาซึ่งเปนนักวิวฒ ั นาการเองก็คือ ไม มีสาขาของการวิวัฒนาการของมนุษยมาจากลิงแตอยางใด ซักเคอรแมนยังไดเสนอแนวคิดเรื่อง “ขอบเขตของวิทยาศาสตร (Spectrum of Sience)” ที่นา สนใจอีกดวย ขอบเขตของเขา เริ่มตั้งแตสิ่งที่เปนวิทยาศาสตรไปจนถึงสิ่งที่ไมเปนวิทยาศาสตร ตามแนวคิดของซักเคอรแมน “วิทยาศาสตร” อาศัยขอมูลสําคัญที่สุดคือ ขอมูลที่เปนรูปธรรมทางดานเคมี และฟสิกส ถัดมาก็เปนขอมูลทาง ชีววิทยาและสังคมศาสตรตามลําดับ ตรงชายขอบของวิทยาศาสตรคือ สวนที่ไมใชวิทยาศาสตร ไดแก “ญาณรับรู พิเศษ” ดังเชน โทรจิต สัมผัสที่ 6 และสุดทายคือ วิวัฒนาการของมนุษย ซักเคอรแมนอธิบายเหตุผลของเขาดังนี้ แลวเราก็ออกจากความจริงที่เปนรูปธรรมไปสูวิธีการสันนิษฐานทางชีววิทยา เชน การใชสัมผัสที่ 6 และการ ตีความซากฟอสซิล มนุษยซึ่งสําหรับนักวิทยาศาสตรที่จริงใจแลวอะไรก็เปนไปได สวนผูท มี่ ีความเชื่อชนิดฝง หัวในเรื่องวิวฒ ั นาการนั้นบางทีกพ็ รอมจะเชื่อเรื่องตางๆที่ขัดแยงกันเองอยางยิง่ 41
ภาพ หนา 92 ไมมีหลักฐานฟอสซิลชิ้นใดๆที่จะสามารถสนับสนุนเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษยได ในทางตรงกันขาม ซากฟอสซิล กลับแสดงใหเห็นวา ระหวางลิงกับมนุษยมีสิ่งขวางกั้นที่ไมสามารถฝาขามถึงกัน ทั้งๆที่เผชิญกับความจริงเชนนี้นัก วิวัฒนาการก็ยังปกใจเชื่อตามภาพวาดและรูปจําลองที่ปรากฏ พวกเขาสงเดชทําหนากากครอบลงบนซากฟอสซิลแลว สรางภาพจินตนาการใหเปนใบหนาครึ่งคนครึ่งลิงออกมา
เรื่องราวการวิวัฒนาการของมนุษยนั้น ทายที่สุดก็ไมมีอะไรนอกจากการตีความดวยอคติจากหลักฐานซาก ฟอสซิลที่คน พบโดยคนบางกลุมทีย่ ึดติดกับทฤษฎีของตนอยางเหนียวแนน
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 91
เทคโนโลยีของตาและหู ประเด็นสําคัญที่ทฤษฎีวิวฒ ั นาการยังไมสามารถอธิบายได คือ “คุณสมบัติอันล้ําเลิศของประสาทสัมผัสแหง การมองเห็นและการไดยิน“ กอนที่จะพิจารณาเรื่องดวงตา เราลองมาตอบคําถามสั้นๆ ที่วา “เรามองเห็นไดอยางไร” เสียกอน รังสีของ แสงจากวัตถุตกกระทบบนจอตา (Retina) และสงผานในรูปของสัญญาณไฟฟาไปสูจุดเล็กๆ บริเวณดานหลังของ สมองที่เรียกวา ศูนยควบคุมการมองเห็น (Center of Vision) ซึ่งจะเปลี่ยนสัญญาณไฟฟาใหเปนรูปภาพ โดยผาน ขั้นตอนตางๆตามลําดับ จากหลักการดังกลาว ทําใหเราสามารถพิจารณาการทํางานของกระบวนการมองเห็นได ดังนี้ สมองเปนวัตถุทึบแสงที่อยูภายในทีท่ ี่มืดสนิทซึง่ แสงไมสามารถเล็ดลอดเขาไปถึงได บริเวณที่เรียกวาศูนย ควบคุมการมองเห็นนีจ้ ึงเปนพืน้ ทีท่ ี่อาจมืดมิดที่สุดแหงหนึง่ แตเราสามารถมองเห็นโลกอันสวางสดใสใบนี้ไดจาก ความมืดนี้เอง ภาพทีม่ นุษยมองเห็นนั้นมีความคมชัดมากเสียจนแมแตความกาวหนาจากวิทยาการในศตวรรษที่ 20 ยังไม อาจสรางขึน้ มาทัดเทียมได ตัวอยางเชน เมื่อมองดูหนังสือที่เรากําลังอานในมือ แลวเงยหนาพิจารณาไปรอบๆตัวจะ พบวาไมมีภาพอื่นใดที่ชัดเจนเทากับภาพหนังสือในมือที่เห็นอยู แมแตจอโทรทัศนทที่ ันสมัยที่สุดของบริษัทที่มี ชื่อเสียงที่สุดในโลก ก็ยงั ไมอาจสรางภาพสีสามมิตทิ ี่คมชัดเชนนี้ได เปนเวลากวาศตวรรษที่บรรดาวิศวกรตาง พยายามที่จะเลียนแบบคุณสมบัติเชนนี้ มีการสรางโรงงานหลายแหงบนเนื้อที่กวางใหญไพศาล รวมทัง้ มีงานวิจยั อีก หลายชิ้นที่ผลิตขึ้นเพื่อวัตถุประสงคดังกลาว เมื่อมองดูภาพจากจอโทรทัศนเปรียบเทียบกับหนังสือในมือ เราจะเห็น ความแตกตางอยางชัดเจนในเรื่องความคมชัดของภาพ นอกจากนี้ ในขณะที่จอโทรทัศนแสดงภาพสองมิติ เรา สามารถมองเห็นภาพสามมิติที่มีความลึกไดดวยสองตาเรานี่เอง
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 92
เปนเวลาหลายปมาแลวที่บรรดาวิศวกรไดพยายามคิดประดิษฐโทรทัศนแบบสามมิติที่มีคุณสมบัติในการ แสดงภาพไดดีเทากับดวงตา แมวาจะมีการสรางโทรทัศนแบบสามมิติได แตผูชมก็ตองใชแวนในการชม ภาพใน จอโทรทัศนเหลานี้จงึ เปนเพียงภาพสามมิติที่หลอกตาเราดวยวิธีการทีท่ ําใหภาพดานหลังมัวในขณะที่ภาพดานหนาดู คมชัดเหมือนจอกระดาษ ดวยเหตุผลดังกลาว โทรทัศนสามมิติ จึงไมอาจใหภาพทีค่ มชัดเทากับดวงตา เนื่องจากทั้ง กลองถายรูปและโทรทัศนนนั้ ขาดคุณสมบัติที่ดีในการแสดงภาพดังที่ดวงตามี นักทฤษฎีววิ ฒ ั นาการอางวากลไกของการเกิดภาพที่ชดั เจนนัน้ เกิดขึน้ โดยบังเอิญ ถาทฤษฎีดังกลาวเปนจริง แลว ภาพในโทรทัศนในหองนอนก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญเชนกัน อะตอมทั้งหมดบังเอิญมารวมตัวกันเขาเปน อุปกรณไฟฟาที่ผลิตภาพขึน้ มา อะตอมเหลานีท้ ําสิง่ ทีม่ นุษยสว นใหญยังไมอาจทําไดกระนั้นหรือ เราจะคิดอยางไร กับแนวคิดดังกลาว หากวาอุปกรณผลิตภาพที่ไมซับซอนเทาลูกตานัน้ ไมไดเกิดขึ้นโดยบังเอิญแลว ดวงตาและภาพที่มองเห็นก็ ไมอาจเกิดขึ้นไดโดยความบังเอิญเชนกัน สําหรับการไดยินก็เชนเดียวกัน เกิดจากหูชนั้ นอกที่รบั เสียงที่ไดยิน แลว สงไปยังหูชนั้ กลางซึง่ จะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนของเสียงแลวสงไปยังหูชนั้ ในและแปรเปนสัญญาณไฟฟาสงไปยังศูนย ควบคุมการไดยินในสมอง เชนเดียวกับระบบการมองเห็น ปรากฎการณที่เกิดขึ้นกับระบบการมองเห็นนัน้ เหมือนกับการไดยินในลักษณะทีว่ า สมองไมอาจสัมผัสทัง้ เสียงและแสงประเภทใดๆได ภายในสมองยังคงเงียบสนิทแมวาจะมีเสียงดังอึกทึกเกิดขึ้นภายนอก อยางไรก็ตาม สมองคือสวนที่รับรูเสียงไดชัดเจนที่สุด เราสามารถไดยินเสียงดนตรีบรรเลง เสียงประสานของวงมโหรี และเสียง อึกทึกในที่ชมุ ชนได ซึ่งถาหากลองใชเครื่องมือที่แมนยําวัดระดับเสียงดังภายในสมองในชวงเวลาใดก็ตาม จะพบ เพียงความเงียบสนิทเทานัน้
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 93
เชนเดียวกับการผลิตภาพทีเ่ ลียนแบบการเกิดภาพในดวงตา หลายทศวรรษมาแลวที่มนุษยพยายามสราง และลอกเลียนเสียงใหมีคุณสมบัติเชนเดียวกับตนเสียงเดิม ทําใหเกิดการผลิตเครื่องบันทึกเสียง ระบบไฮ-ไฟ และ ระบบความไวเสียง อยางไรก็ดี วิทยาการที่กา วหนาและความพยายามของบรรดาวิศวกรและผูเชี่ยวชาญก็ไมอาจ ผลิตเสียงทีม่ ีความคมชัดไดเทากับเสียงที่รบั รูดวยโสตประสาทไดเลย ถาพิจารณาการบันทึกเสียงดวยระบบไฮ-ไฟซึ่ง ถือวาเปนอุปกรณชั้นเยี่ยมทีผ่ ลิตโดยบริษัทที่มชี ื่อเสียงในวงการเพลงเสียงบางเสียงก็ยังสูญหายไปจากกระบวนการ บันทึกเสียง หรือแมกระทัง่ เมื่อเปดเครื่องเสียงระบบไฮ-ไฟ เรามักจะไดยินเสียงซากอนที่เสียงเพลงจะเริ่มขึ้นเสมอ อยางไรก็ดี เสียงที่รับรูโดยโสตประสาทของมนุษยนั้นเปนเสียงที่ชัดเจนและแจมชัดมาก ปราศจากเสียงซา หรือ เสียง จากการสรางบรรยากาศเชนระบบไฮ-ไฟ แตจะรับรูเสียงไดชัดเจนอยางที่เปนอยูจ ริง ซึง่ เปนลักษณะเฉพาะที่มีมา ตั้งแตเริ่มสรางมนุษย จะเห็นไดวา ไมมีเครื่องมือชนิดใดซึ่งมนุษยสรางขึน้ จะมีความละเอียดออนและมีคุณภาพดีในการรับรูทาง ประสาทสัมผัสไดดีเทากับหูและตาอีกแลว อยางไรก็ตาม ในเรื่องของการมองเห็นและการไดยินนี้ มีรายละเอียดทีล่ ึกซึ้งอีกมากมายที่ยงั ซอนเรนอยู
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 94
ใครคือผูสรางประสาทสัมผัสในการมองเห็นและไดยินในสมอง อะไรที่ทําใหเรามองเห็นโลกที่สวยงาม ไดยินเสียงประสานที่ไพเราะของนกและไดกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ สิ่งเราที่ตา หู และจมูกของเราไดรับและสงไปสูสมอง คือ การกระตุนประสาทดวยกระบวนการทางเคมีไฟฟา ในตํารา วิชาการสาขาตางๆไดแก ชีววิทยา ฟสกิ ส และชีวเคมีนั้น มีขอมูลเกี่ยวกับการเกิดภาพในสมองเปนจํานวนมาก อยางไรก็ตาม ยังไมมีผูใดเคยพบขอมูลทีส่ ําคัญที่สุดทีว่ า การกระตุนดวยกระบวนการทางเคมีไฟฟานัน้ ใครเปนผู แปรเปนรูป รส เสียง และ สัมผัส ถากลาววาจิตสํานึกในสมองรับรูสิ่งตางๆ เหลานี้โดยไมตองอาศัย ตา หู และจมูกแลว ก็จะเกิดคําถาม ตามมาอีกวาใครเปนผูสรางจิตสํานึก ซึ่งแนนอนวา เสนประสาท ชัน้ ไขมัน และเซลลประสาทที่ประกอบกันขึ้นเปน สมองนัน้ ไมอาจทําใหเกิดจิตสํานึกเหลานีไ้ ด แมแตนักวัตถุนิยมและนักนิยมทฤษฎีดารวินทีม่ ีความเชื่อวาทุกสิง่ ประกอบขึ้นจากสสารนั้นก็ยังไมอาจหาคําตอบมาอธิบายได เพราะจิตสํานึกคือจิตวิญญาณซึ่งพระผูเปนเจาทรงสรางขึ้น เปนสิง่ ที่ไมตองอาศัยดวงตาเพื่อมองดูภาพ ไม ตองใชหูเพื่อฟงเสียง และไมตองใชสมองเพื่อจะคิด หากวาผูใดไดรับทราบขอเท็จจริงทางวิทยาศาสตรที่ชัดเจนเชนนี้แลว ควรจะตระหนักถึงความยิ่งใหญในเด ชานุภาพของพระเจา และขอความคุมครองจากพระองค พระองคอลั ลอฮ (ซ.บ.) ผูทรงกรุณาปรานีไดยอจักรวาลอัน กวางใหญไพศาลใหมาอยูในที่อนั มืดมิดเพียงไมกี่ลูกบาศกเซนติเมตรในรูปแบบของภาพสามมิติ
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 95
ศรัทธาแหงวัตถุนิยม จากขอมูลที่กลาวมานี้ แสดงใหเห็นชัดเจนวาทฤษฎีววิ ฒ ั นาการนี้ขัดแยงกับวิทยาศาสตร เชน แนวความคิด เรื่องการกําเนิดชีวิต นอกจากนี้ ลําดับขั้นตอนของวิวัฒนาการดูไมนา เชื่อถือ ซากดึกดําบรรพที่อยูในระหวางขัน้ ตอน ั นาการนี้ควรจะถูกลบลางเนื่องจากไม ของวิวัฒนาการตามทีท่ ฤษฎีอางถึงก็ไมเคยมีจริง ดังนัน้ แนนอนวาทฤษฎีวิวฒ มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตรรองรับ ซึ่งเปนเหตุผลเดียวกันกับที่แนวความคิดเรื่องโลกเปนศูนยกลางของจักรวาลไมเปน ที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร อยางไรก็ตาม ทฤษฎีววิ ัฒนาการยังคงเปนประเด็นวิทยาศาสตรทมี่ กี ารกลาวถึงเสมอมา บางคนถึงกับเรียก การวิพากษวิจารณเกี่ยวกับทฤษฎีนี้วา เปน “การตอตานวิทยาศาสตร” เลยทีเดียว เพราะเหตุผลใด ทฤษฎีววิ ัฒนาการเปนความเชื่อที่จําเปนสําหรับคนบางกลุมที่เชื่อมั่นในแนวความคิดวัตถุนิยมและทฤษฎี ดารวินอยางไมลืมหูลืมตา เนื่องจากแนวความคิดวัตถุนิยมเปนสิง่ เดียวที่สามารถนํามาใชอธิบายสิ่งตางๆ ที่เกิดขึ้น ตามกลไกของธรรมชาติได ประเด็นทีน่ าสนใจ คือ บางครั้งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตรไดยอมรับเหตุผลที่ทาํ ใหแนวความคิดวัตถุ นิยมไดรับความเชื่อถือ เชน ริชารด ซี ลูวอนติน นักพันธุกรรมศาสตรที่มีชื่อเสียงและเปนนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มี ชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยฮารวารด ไดยอมรับวา “เคยเปนนักวัตถุนิยม กอนที่จะผันตัวเองมาเปนนักวิทยาศาสตร” ไมมีวิธีการและองคกรทางวิทยาศาสตรใดๆ ที่บีบบังคับใหเรานําแนวความคิดวัตถุนิยมมาอธิบาย ปรากฎการณตางๆ ในโลกนี้ ตรงกันขาม ความเชื่อมั่นในแนวความคิดวัตถุนิยมนี่เองที่สรางกลไกการ ตรวจสอบและทําใหเกิดคําอธิบายแบบเปนรูปธรรมตางๆ ถึงแมวา แนวคิดนี้จะคานกับสติปญญาหรือทําให ผูอื่นสนเทหกต็ าม ที่สําคัญ แนวคิดวัตถุนิยมถือเปนคําตอบของทุกสิง่ ดังนั้น เราจึงไมอาจเชื่อ ในพลัง อํานาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิน้ 42 คํากลาวนี้เปนการยอมรับอยางเปดเผยวาการที่ทฤษฎีดารวินยังคงไดรับความเชื่อถือก็เพียงเพื่อสนับสนุน แนวความคิดวัตถุนยิ มซึง่ เชือ่ วา ทุกสิง่ เริ่มตนจากสสาร วัตถุและสิ่งไมมีชีวิตสามารถสรางชีวิตขึน้ มาได ทฤษฎีนี้ยัง เนนวาสิง่ มีชวี ติ ชนิดตางๆ หลากหลายสายพันธุ ตัวอยางเชน นก ปลา ยีราฟ เสือ แมลง ตนไม ดอกไม ปลาวาฬ และ มนุษย ตางมีตนกําเนิดมาจากสิ่งไมมีชีวิตโดยการปฎิสัมพันธกันระหวางสิง่ ตางๆ เชน สายฝน แสงฟาแลบ ซึง่ เปน หลักการที่คานกับเหตุผลและวิทยาศาสตรโดยสิ้นเชิง แตผูนิยมทฤษฎีดารวนิ กลับยังคงยึดมั่นในความเชือ่ นี้เพียง เพราะวา “ไมอาจเชื่อในพลังอํานาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทัง้ สิ้น”
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 96
ใครก็ตามที่พจิ ารณาตนกําเนิดของสิ่งมีชีวติ โดยไมลําเอียงไปในทางวัตถุนิยมยอมจะมองเห็นสัจธรรม ตอไปนี้ไดชัดเจน กลาวคือ สิ่งมีชีวิตทั้งมวลลวนเปนสิ่งสรางสรรคของพระผูเปนเจา ผูท รงอํานาจ ผูท รงปรีชาญาณ และผูทรงรอบรู คือพระองคอัลลอฮ (ซ.บ.) ผูทรงสรางจักรวาลและสิง่ มีชีวิตทัง้ มวลจากความวางเปลาใหเปนรูปแบบ ที่งดงามสมบูรณที่สุด
………………………………….. พวกเขา (บรรดามะลาอิกะฮ) ทูลวา มหาบริสุทธิพ ์ ระองคทาน ไมมีความรูใดๆ แกพวกขาพระองคนอกจากสิ่งทีพ ่ ระองคไดทรงสอนพวกขาพระองคเทานั้น แทจริงพระองคคือผูทรงรอบรู ผูทรงปรีชาญาณ (อัลกุรอาน 2:32) ………………………………………..
The Miracle (3rd Draft).doc
04/01/2005
Page 97