1
ปากกา
เลอนิศ เหมมิตรเว นามที่หลายคนจะต้องเลิกคิ้วด้วยความทึ่ง สำานวนภาษาเขียน
เขา จัดจ้านและสวยงาม อ่านแล้วนึกภาพ พลางหลงใหลในกลวิธีการเขียนของเขา เลอนิศเป็นนัก เขียนที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้ งานอักษรมิมีใครเทียมได้ ประหนึ่งจอมยุทธกระบี่งาม ผู้ทรนงในฝีมือ แห่งยุค ยากจะหาใครมาประดาบด้วยนั้นไม่มี! เลอนิศคือคำาจำากัดความของจอมยุทธอักษร ราชา เหนือราชันย์ทั้งมวล ภายใต้โลกนี้ ตราบใดที่ยังมีอาชีพนักเขียน หนึ่งในตองอูจะต้องมีเขา เลอนิศ เหมมิตรเว! น่าเสียดายหัวใจเศร้า.. เพราะว่านั้นคืออดีต อดีตที่กัดเซาะตลิ่งแห่งความฝัน กาลเวลาเดินไปข้างหน้าสวนทางกับ เลอนิศ ที่ถดถอย ค่อยๆ หายไปจากสังคมนักเขียนด้วยกัน อักษรที่เลอนิศบรรจงประดิษฐ์เป็นที่เลื่อง ลือในหมู่คนอ่าน ค่อยๆ เดินหายไปจากสายตาแฟนๆ โครงเรื่องอันลือลั่นเป็นที่บูชาของนักเขียนมือ ใหม่ ค่อยๆ กลายเป็นความจำาเจถึงขั้นน่าเบื่อ ณ วินาทีที่กำาลังจรดปากกาอยู่นี้ เลอนิศ เหมมิตรเว กลายเป็นอดีตนักเขียน จากดาวฟากฟ้ากลายเป็นพลุที่เปรี้ยงสนั่นเวหา ไม่นานรอก็จางหายไปใน กาลเวลา ข้าพเจ้าโตมากับงานเขียนของเขา ชืน่ ชมในสำานวนชั้นครูของเลอนิศ เป็นแรงบันดาลใจให้ ข้าพเจ้าเลือกทางเดินชีวิตแบบขัดใจบุพการี คือเป็นนักเขียน “เอ็งอยากมาตกอับ เหมือนเลอนิศก็ตามใจเอ็ง” แม่ข้าพเจ้าปิดท้ายวลีนี้หลังด่าเป็นชุด ทำาให้พิสูจน์ความเป็นเลอนิศ เหมมิตรเวได้ว่า แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างแม่ขา้ พเจ้า ก็ยังรู้จัก เลอนิศ ข้าพเจ้ายอมตกอับเป็นเลอนิศ ถ้างานเขียนตัวเองรำ่าลือ มีชื่อเสียงลั่นกันในหมู่คนอ่านและ สังคมวรรณกรรม เพียงแต่ข้าพเจ้าต้องไม่ท้อและถอย งานเขียนมันต้องฝึกหัด เคี่ยวกรำาราวเนื้อวัวที่ ต้องต้มจนเปื่อยจึงจะได้รสที่นุ่มลิ้น เหมือนดินสอที่ต้องเหลาให้คม พร้อมสร้างสรรค์อักขระบน หน้ากระดาษ ข้าพเจ้าเดินทางมาไกลในเส้นทางสายนี้ ผ่านสารพัดคำาชม สารพัดคำาด่า อดทนต่อคำา ปรามาสและคำาเยาะเย้ย ข้าพเจ้ายืนหยัดราวเปลียวเทียนกลางพายุที่เชี่ยวกราก ถ้าไม่ดับก็สว่าง ข้าพเจ้าเลือกชีวิตแบบนี้ ถ้าไม่ตายเป็นนักเขียนไส้แห้งไร้คนจดจำา ก็ต้องโด่งดังประจักษ์ฝีมือให้ได้ เรียกได้ว่าการดับเครื่องชน ไม่รุ่งก็ร่วงล่ะวะ... “คุณพนมธูปครับ! ผมต้องขอถามตามตรงเลยว่า เรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นที่สุด ในโลกนี้ ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ ทัว่ โลกกว่า ๕๐ ภาษานั้น มีที่มาเป็นอย่างไรครับ”
2
พิธีกรชายถามข้าพเจ้าในรายการโทรทัศน์ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าออกโทรทัศน์ และคำาถาม ของเขาทำาข้าพเจ้ากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง “เป็น..เรื่อง..ของ..เลอนิศ เหมมิตรเว” เสียงแหบๆ ของข้าพเจ้ากล่าวขึ้น “เลอนิศ เหมมิตรเว...” พิธีกรฉงนพร้อมกับเลิกคิ้ว “ใครหรอครับ!?!” ข้าพเจ้าหัวเราะในใจ “เลอนิศ เหมมิตรเว เป็นนักเขียนต้นแบบของผมน่ะครับ เขาดังมาก สมัยผมเริ่มอ่านหนังสือ คุณพิธีกรก็น่าจะรู้จักน่ะครับ” ข้าพเจ้าขอสอนเชิงพิธีกรหน่อยเถอะ ข้อหา ไม่เตรียมข้อมูลทำาการบ้านก่อนที่จะสัมภาษณ์ข้าพเจ้า “อ๋อ...คุณเลอนิศ เหมมิตรเว นักเขียนเจ้าของฉายา จอมยุทธอักษรไร้เทียมทานใช่ไหม ครับ” ข้าพเจ้าคาดการณ์ผิดพลาด พิธีกรชายไม่ได้ไม่เตรียมข้อมูล ทำาการบ้าน แต่เขาใช้วิธีการ ของพิธีกร คือ ไม่โง่กว่าแขกรับเชิญ แต่ไม่ฉลาดลำ้ากว่าเขา ข้าพเจ้ายกย่องเขาด้วยความทึ่งในมนตร์ เสน่ห์แห่งวงการโทรทัศน์เสียจริง “ใช่ครับ! เลอนิศ เหมมิตรเว นักเขียนผู้ยิ่งยงซึ่งมาตายเพราะปากกาแท่งเดียว” ข้าพเจ้า บอก “อืม...” พิธีกรยิ้มฉีกปากเห็นฟันเป็นระเบียบ “ผมว่าคงให้คุณพนมธูป เล่ามากไม่ได้ เพราะเรื่องราวของเลอนิศนั้น มันอยู่ในเรื่องสั้นชื่อ ‘ปากกา’ ถ้าคุณผู้ชมอยากรู้ ต้องหาอ่านเอาใช่ ไหมครับ” พิธีกรเบนสายตามาทางข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยักหน้า และเริ่มตอบคำาถามต่อๆ ไป กว่าจะสามารถเอนหลังพิงโซฟา เบาะนุ่มๆ ได้นนั้ ก็ต้องกลับบ้าน ใช้หลังเอนพิงโซฟาสีขาวหม่นๆ แต่นุ่ม ในบ้านหลังใหญ่ดูสวยงาม ซึ่งมาจาก นำ้าพักนำ้าแรงในงานเขียนของข้าพเจ้า ก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ข้าพเจ้าเหนื่อยกับการไป ประชาสัมพันธ์เรื่องสั้นนาม ‘ปากกา’ ที่กำาลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ จุดบุหรี่ยี่ห้ออย่างดีขึ้นสูบ แล้วลุกไปเปิดตู้เซฟอย่างเบามือ หยิบซองสีนำ้าตาลออกมา พลาง เหลือบไปดูเวลานัดหมายในปฎิทินที่ผู้ช่วยข้าพเจ้าจัดการให้ พรุ่งนี้ต้องไปพูดเรื่องเดิมอีกเกือบหกที่ – ข้าพเจ้ายิ้ม พลังโฆษณาเท่านั้นที่จะทำาให้ข้าพเจ้าไม่เป็นนักเขียนไส้แห้ง แม้จะเสี่ยงต่อการดูถูก จากเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน แต่ทำาไงได้ล่ะ! ถ้างานเขียนของข้าพเจ้าไม่ได้พลังการโฆษณา ประชาสัมพันธ์อย่างหนักหน่วง ก็คงไม่มีเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ไว้ครอบครองหรอก - ข้าพเจ้าคิด ก่อนเปิดแฟ้มสีนำ้าตาล หยิบต้นฉบับ คะเนราคาได้ว่าเกือบสิบล้านบาท ข้าพเจ้ามองมันอย่างอาดูร มันเป็นต้นฉบับความยาว ๕- ๖ หน้า เป็นเรื่องสั้นนามว่า ‘ปากกา’ เรื่องราวของเลอนิศ เหมมิตรเว นักเขียน (ผู้เคย) โด่งดัง ข้าพเจ้ายลและพินิจ เริ่มอ่านอีกครั้ง โดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย...
3
ปากกา เลอนิศ เหมมิตรเว นามที่หลายคนจะต้องเลิกคิ้วด้วยความทึ่ง สำานวนภาษาเขียนเขา จัดจ้าน และสวยงาม อ่านแล้วนึกภาพ พลางหลงใหลในกลวิธีการเขียนของเขา เลอนิศเป็นนักเขียนที่โด่งดัง ที่สุดในยุคนี้ งานอักษรมิมีใครเทียมได้ ประหนึ่งจอมยุทธกระบี่งาม ผูท้ รนงในฝีมือแห่งยุค ยากจะ หาใครมาประดาบด้วยนั้นไม่มี! เลอนิศคือคำาจำากัดความของจอมยุทธอักษร ราชาเหนือราชันย์ทั้ง มวล ภายใต้โลกนี้ ตราบใดที่ยังมีอาชีพนักเขียน หนึ่งในตองอูจะต้องมีเขา เลอนิศ เหมมิตรเว! น่าเสียดายหัวใจเศร้า.. เพราะว่านั้นคืออดีต อดีตที่กัดเซาะตลิ่งแห่งความฝัน กาลเวลาเดินไปข้างหน้าสวนทางกับ เลอนิศ ที่ถดถอย ค่อยๆ หายไปจากสังคมนักเขียนด้วยกัน อักษรที่เลอนิศบรรจงประดิษฐ์เป็นที่เลื่อง ลือในหมู่คนอ่าน ค่อยๆ เดินหายไปจากสายตาแฟนๆ โครงเรื่องอันลือลั่นเป็นที่บูชาของนักเขียนมือ ใหม่ ค่อยๆ กลายเป็นความจำาเจถึงขั้นน่าเบื่อ ณ วินาทีที่กำาลังจรดปากกาอยู่นี้ เลอนิศ เหมมิตรเว กลายเป็นอดีตนักเขียน จากดาวฟากฟ้ากลายเป็นพลุที่เปรี้ยงสนั่นเวหา ไม่นานรอก็จางหายไปใน กาลเวลา
ในบ้านหลังเล็กๆ ชายแก่หัวหงอกกำาลังกระวนกระวาย พิมพ์ดีดที่ใช้ทำางานเป็นครั้งคราว
บัดนี้ก็จรลีอยู่ในโรงจำานำาเพื่อเอาเงินมายังชีพ คอมพ์ฯ ที่ใช้ในการผลิตงานเขียน(เคย)ชัน้ เลิศสู่โลก วรรณกรรม บัดนี้ก็โดนไวรัสเล่นงานจนใช้ไม่ได้ แม้จะมีโน๊ตบุ๊คสำารองเครื่องหนึ่ง ก็ดนั แบตฯ หมด อีกทั้งการจะไปเสียบปลั๊กนั้นก็หาทางยากลำาบากยิ่ง เพราะไฟฟ้าที่ใช้ส่องสว่างนำาทางสะดวก สบาย ก็เพิ่งถูกตัดไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เลอนิศ เหมมิตรเว กระฟัดกระเฟียด บ่นครวญและก่นด่าในโชคชะตาที่พลิกผันของตนเอง เคยรุ่งไปถึงจุดสุดยอดของชีวิต แต่ตอนนี้กลับร่วงเป็นเครื่องบินโดยสอย แหลกละเอียดดับพื้นโลก บาดเจ็บในใจเกินรับได้ ทุกวันนี้เงินจะแดกยังไม่ค่อยจะมี ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ลมหายใจจะหยุดสูด อากาศเสียที เขายอมรับว่า การมีเพื่อนแยะและชอบเข้าสังคมบ่อยๆ โดยเฉพาะยามราตรี จะผลาญเงิน ของเขาจนไม่เหลือเก็บ แต่ในจุดนั้นของชีวิต ใครจะคิดว่า งานเขียนที่เคยโด่งดัง สำานักพิมพ์ต่างวิ่ง มาขอซื้อไปลงพิมพ์ เงินที่เข้ามาเป็นกอบเป็นกำา วันหนึ่งงานเขียนของเขาจะกลายเป็นขยะอักษรที่ ไม่มีใครอยากอ่าน เป็นเขาเองที่ง้อสำานักพิมพ์ให้ลงตีพิมพ์เรื่องของเขาแทน เงินทีเ่ คยมีก็หายวับ เหมือนโดนตัดไฟ ด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกัน ชายแก่นามเลอนิศ ร้อนรน เขาเพิ่งได้รับอนุญาตให้เขียนเรื่องสั้นหนึ่งเรื่องลงตีพิมพ์ใน นิตยสารชื่อดัง หลังจากต้องลดตัว ลดทิฐิ ศักดิ์ศรี ไปขอให้ช่วยจ้างเขียนหน่อย เดชะบุญ ที่เจ้าของ นิตยสารชื่อดังเป็นลูกของเพื่อนเขา จึงอนุญาต แม้จะเสี่ยงกับการเอาขุนศึกอักษรหมดสภาพลงรบ ในสงครามวรรณกรรมก็ตาม
4
แต่เลอนิศยอมรับ เขาพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเลือกทางเดินชีวิตด้วยตนเอง ไม่ตายก็รอด เท่านั้น “ห่าเอ๊ย!!” เขาสบถ อุตส่าห์ได้รับอนุญาตให้เขียนต่ออายุตนเอง แต่เขากลับติดสันดาน ระยำาเดิม คือไม่ยอมทำาแต่เนิ่นๆ จวบจนได้เวลากำาหนดส่ง จึงร้อนรนหาเรื่องลงเขียน ราวกรรมสนองโชคชะตาแกล้ง! เจ้าไฟที่ถูกตัดยังไม่เท่าไหร่ เขาพร้อมบากหน้าไปขอยืมข้างบ้านเพื่อยืมต่อไฟมาใช้พิมพ์ งานหน่อย แต่ความซวยก็บังเกิดขึน้ เมื่อพายุฟ้าคะนองยำ่ามา ไฟทั้งหมู่บ้านดับสนิท ทุกอย่างตกอยู่ ในความมืดทันที ทุกอย่างช่างไม่เป็นใจเสียจริง รถยนตร์คันเดียว เก่าๆ โทรมๆ ของเขา ก็มานำ้ามัน หมดซะนี้ จะบากหน้าไปขอไฟจากใครก็ทำาไม่ได้ ช่างอาภัพอดสูเสียจริง ฝนลงห่าใหญ่ – เลอนิศหนาวสะท้านคว้าผ้าห่มเก่าๆ คลุมร่างไว้ หมายจะจุดเทียนให้สว่าง พอ แล้วนำาปากกาเก่าๆ ที่เจอใต้โต๊ะเมื่อครู่มาเขียนหนังสือ แต่เมื่อได้เทียน กะจะควานหาไม้ขีด ทันใดสะดุ้ง! จึงรู้สึกแค้นตัวเองอย่างยิ่ง ตาเขาเห็นบุหรี่วางอยู่บนที่เขี่ย เขาปล่อยมันไหม้ไปเรื่อยๆ - ไม่มีกระจิตกระใจจะสูบใน ตอนนี้ เจ็บชำ้าตัวเองเกินทน จะให้ไม่ชำ้าตัวเองได้อย่างไรเล่า.. ในเมื่อไม้ขีดไฟก้านสุดท้ายเพิ่งหมด ไปกับการจุดบุหรี่มวนเองสูบตัวนี้ “ไอ้สัตว์!!!!” เขาตะโกนสบถอย่างไม่พอใจ หมายจะออกฝ่าฝนไปยืมเทียนข้างบ้านก็ เกรงใจฟ้าที่อาจจะฟาดผ่าเขาตายได้ เพราะฝนที่กระหนำ่ามาหนัก ร่มก็เพิ่งเปลี่ยนมืออยู่กับเจ้าของ โรงรับจำานำา กะจะเรียกเพื่อนบ้านก็เกรงใจ เพราะว่าได้ขอความช่วยเหลือมาหลายครั้งแล้ว แต่ละ ครั้งก็มีบุณคุณที่ใช้กันในชาตินี้ไม่หมดด้วย เอาวะ! เลอนิศ เหมมิตรเวคิด เป็นไงเป็นกัน! เขากำาปากกาด้ามนี้ไว้แน่น มันคงเป็นปากกา ที่เขาเคยใช้เซ็นลายมือตัวเองใส่เช็คเพื่อเอาไปจ่ายสำาหรับการรำ่าสุรา เคล้านารีแน่นอน แล้วมันก็ถูก ละเลยเมื่อ.. เขาเลิกใช้ปากกาพลันที่รู้สึกว่าขี้เกียจเขียนให้ปวดมือ ในเมื่อมีอุปกรณ์อำานวยความสะดวก ทางงานเขียนให้เขาเยอะแยะ แต่ ณ วินาทีนี้ในยามนี้ และตอนนี้ เขาจำาเป็นต้องใช้มัน จำาต้องใช้ปากกาจรดลงบนกระดาษเอสี่ สามสี่แผ่น เขาต้องนั่งเขียน ด้วยลายมือตัวเอง เพื่อแลกกับเงินที่เขากำาลังต้องการ มิฉะนัน้ เจ้าหนี้นานาพันธุ์จะถลกหนังหัวเขาให้ สิ้นซาก โดยไม่ต้องรอให้ความหิวมาถลกหรอก เลอนิศ เหมมิตรเว อยู่ในความมืดมิดแห่งรัตติกาล เสียงฝนดังซ่าๆ ติดต่อกันสลับกับเสียง ฟ้าคำาราม เขาไม่รู้จะจรดปากกาเขียนเรื่องอะไร หัวมันตื้อไปหมด ความคิดที่หลายครั้ง คิดว่าเยี่ยม มัน กลับแย่ในสายตาคนอ่าน มันแย่ติดต่อกันจนสมองของเขาไม่อยากคิดอีกต่อไปแล้ว
5
ในความมืด เขาคลำาปากกา ลูบกระดาษ ฟังเสียงฝนตก เหมือนเสียงร้องไห้ ฟังเสียงฟ้าผ่า ราวฟ้าสะอื้นชำ้า มองไปในความมืดที่ไม่เห็นแม้แต่อะไร รูส้ ึกเหมือนจิตใจตัวเองสงบ ความวุ่นวาย ในการหาของสารพัดสารเพ มาประกอบการเขียนหนังสือ วุน่ จนรู้สึกว่าเหงื่อแตกยิ่งกว่าออกกำาลัง กาย ข้าวของที่ระเนระนาดเพราะชนไปทั่ว จนต้องเปิดปากสบถด่าไปหลายคำา แม้จะรู้วา่ ไม่มีใคร ได้ยินหรอก นอกจากตัวเองเท่านั้น ความวุ่นวายทั้งหลายแหล่ทั้งกายและจิต ครานี้กลับสงบอย่าง เหลือเชื่อ ตาที่มองความมืด หูที่ฟังเสียงฝน เท่านั้นที่รับรู้โลกภายนอก ใจต่างหากนิ่งเงียบ บังเกิดเป็น สมาธิ อันนำามาสู่ปัญญา เรื่องราวที่จะเขียนต่างบังเกิดในบัดดลกลางสมอง มันเป็นความคิดที่แปลก และใหม่ เหมือนกับที่สมองก้อนนี้เคยบันดาลให้เขากลายเป็นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงขจรมาแล้ว ความ รู้สึกและสัญชาตญาณเก่า ๆ ที่หายไป ตอนนี้ได้กลับมาสิงสถิตในร่างของเลอนิศ เหมมิตรเวอีกครั้ง ทันใดเมื่อมือขวาสะบัดออกพร้อมกับการปรากฎกายของตัวหนังสือที่มองไม่เห็น แต่เจ้าตัวรับรู้ได้ ว่าเป็นคำาว่าอะไร เลอนิศปิดตา และใช้ใจสัมผัสกระดาษผ่านทางปากกา เขากดตัวอักษรลงเบาๆ เหมือนจะกลัวว่ากระดาษจะชำ้า ขอแค่ใจเขาชำ้าอย่างเดียวก็พอแล้ว ทุกตัวอักษรร่ายออกมา มันไม่ขาดตอนและตันเหมือนที่เคยเป็น ปากยิ้มกว้าง เหมือนกลับ ไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนสมัยก่อน ๆ นูน้ เขาเป็นนักเขียนเก็บตัว ชอบอยู่กับเพื่อนฝูงอาชีพเดียวกัน เขียนเสร็จก็จบ หน้าที่การโหมประชาสัมพันธ์โฆษณาเป็นของสำานักพิมพ์ น้อยครั้งที่จอมยุทธอักษร จะออกมาพบปะ พูดคุยแจกลายเซ็นกับคนอ่าน เขาเชื่อว่าหน้าที่ของเขา นักเขียนคือการเขียน หนังสือ เขียนสื่อให้เป็นสารไปถึงผูร้ ับ เท่านั้นแหละนักเขียน คนอ่านรู้จักเขาเพราะตัวอักษร ไม่ใช้ หน้าตาหรือการพูดจาของนักเขียน เรื่องของชายแก่ที่ร่อนเรือหาปลา หลังไม่ได้ปลาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังฝืนออกเรือทุกวัน วัน นี้เขาได้เย่อสู้กับปลา จนได้ปลามาครอบครอง และกำาลังจะเข้าฝั่งไปประกาศศักดาชัยชนะของการ ไม่ยอมแพ้ของเฒ่าชรา นีค่ ือเรื่องสั้นที่ดีเรื่องหนึ่ง เลอนิศคิด และเขียนอย่างไม่หยุด ราวกับว่า ต้องการเดิมพัน เส้นทางอาชีพนักเขียนของเขา ว่าจะดับหรือสว่างวาบอีกครั้ง...
ข้าพเจ้าอ่านเรื่องสั้นนี้แล้วอ่านซำ้าอีก พลางย้อนนึกถวิลถึงการปรากฎตัวในงานศพของ
เลอนิศ เหมมมิตรเว แล้วรู้สึกเศร้ากับจำานวนคนมางานอย่างเบาตา นี่คือนักเขียนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง แต่ไม่มีใครใส่ใจจะมางานศพเขา ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่ง เขาเคยมอบหนังสือ วลี ประโยค เรื่องราวดี ๆ แก่ ผู้อ่าน แต่งานศพของเขากลับไม่มีใครสักคนที่มา ข้าพเจ้าไตร่ตรอง ถ้าเลอนิศไม่ตาย ใครจะรู้ว่าเรื่องสั้นดี ๆ ที่เขากำาลังเขียนนั้น อาจจะพลิก ผันให้กลับมาโชติช่วงชัชวาลย์ในเส้นทางสายนี้อีกครั้ง แล้วข้าพเจ้าเองที่คงจะมืดมนอนธกาลใน เส้นทางงานเขียนต่อไปก็เป็นได้
6
ข้าพเจ้าถอนหายใจ ก่อนจะกลั้นใจอ่านตอนจบของเรื่องสั้น ‘ปากกา’ ต่อ พร้อมกับคิด..ไม่ ผิดหรอกที่เลอนิศ เหมมิตรเว จะสิ้นใจเพราะปากกา... เลอนิศกระหนำ่าแนวคิดเขาใส่กระดาษอย่างเต็มที่ไม่หยุดหย่อนแต่นุ่มนวล ห้าชั่วโมงผ่าน ไป เขาก็กำาเนิดเรื่องสั้นที่หมายจะส่งให้นิตยสารแล้ว พร้อมวาดฝันการกลับคืนของเขาและสังหรณ์ ใจว่า เรื่องสั้นเรื่องนี้ต้องให้ผลอะไรแก่เขาสักอย่าง เลอนิศอดทน รอให้ถึงเช้าตรู่ คืนนี้เขาเขียนงาน โดยมีฝน พายุ และจันทราเป็นเพื่อน แต่รุ่ง เช้า เขาจะตรวจทานงานเขียนของเขา โดยมี ตะวัน ดอกไม้ แสงแดดเป็นสหาย คิดได้ดังนั้น เขาจึงทิ้งกายลงนอน อย่างเดียวดายเปลี่ยวเอกา ตะวันสาดส่องมา เลอนิศ เหมมิตรเวลุกขึ้น เดินไปหยิบงานเขียนที่เขามั่นใจว่าจะเหมือน งานบรมครูอีกเรื่องหนึ่งในหลายๆ เรื่องของเขาอ่านตรวจทาน เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ อากาศดี โชยเอาความสดชื่นมาด้วย แดดไม่ร้อนผ่าวมาก ลมโกรกเข้ามา ในบ้านสบาย ๆ เลอนิศ เพ่งสายตาอ่านอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงหน้ากระดาษอย่างฉับไว พลิกไปพลิกมา ด้วยท่าทีร้อนรน เมื่อมองจนครบ เขายังทำาแบบเดิมซำ้าแล้วซำ้าเล่า ดูและพลิกไปมา ก่อนจะเอา กระดาษมาปิดหน้าพร้อมกับสูดดมมัน หลังกระเพื่อมด้วยแรงร้องไห้ เสียงร้องดังทวีขึ้น เพิ่มเป็น เสียงกรีดร้องยากจะฟังออก เสียงสะอื้นตามมาดังกลบสรรพสำาเนียงใดในโลก เขาขยี้กระดาษอย่าง แรง แล้วเขวี้ยงมันทิ้ง เหลียวเห็นปากกาแท่งที่เขียนเมื่อคืน ก็ฉวยหยิบแล้วขว้างมันออกไปนอกบ้าน ให้มันไกลสุดลูกหูลูกตา พลางคิด..ตัวกำาลังจะได้งานเขียนดี ๆ สักงานอยู่แล้ว แต่เวรเอ๊ย! ...ปากกาดันหมึกหมด...
-0-