พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
1
บทที่ 3 การจําลองดีเอ็นเอ (DNA replication) คํานํา การจําลองดีเอ็นเอในแตละโครโมโซม (chromosome) เกิดขึ้นในระยะเอสเฟต (S phase หรือ synthesis phase) ของระยะอินเทอรเฟต (interphase) ในกระบวนการแบงเซลลแบบไมโตซีส (mitosis) และไมโอซีส (meiosis) ทําให 1 โครโมโซมมี 2 ซีสเตอรโครมาติด (sisterchromatid) ซึ่งแตละโคร มาติดประกอบดวยดีเอ็นเอ 1 โมเลกุล ในป ค.ศ. 1953 Watson และ Crick ไดตั้งสมมติฐานเกีย่ วกับการ จําลองดีเอ็นเอสายคู (double helix) วามีการจําลองเปนแบบกึ่งอนุรักษ (semiconservative DNA replication) คือดีเอ็นเอสายคูมีการแยกออกจากกันเปนดีเอ็นเอสายเดีย่ ว (single strand DNA) 2 สาย ซึ่งแตละสายทําหนาที่เปนสายแมแบบ (template strand) ของดีเอ็นเอสายใหม (daughter strand) ที่มี ลําดับคูสมกัน (base complementary) กับดีเอ็นเอสายแมแบบทุกประการ เมื่อสิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอ จะได ดีเอ็นเอ 2 สาย ที่แตละโมเลกุลของดีเอ็นเอประกอบดวยดีเอ็นเอสายแมแบบ 1 สาย พันเกลียวกับ ดีเอ็นเอสายใหมอีก 1 สาย ดังมีรายงานการทดลองของ Mesclson และ Stahl (1958) คือทําการทดลอง โดยเลี้ยง E. coli ในอาหารที่มีธาตุไนโตรเจนกัมตรังสี (15N) โดยใช 15(NH4)2SO4 ซึ่งเปนองคประกอบ หลักของไนโตจีนัสเบส (nitrogenous base) เพื่อใหดีเอ็นเอของ E. coli ถูกติดฉลาก (label) ดวย 15N ทําใหได ดีเอ็นเอที่มีน้ําหนักมากคือ 15N/15N (heavy DNA) จากนั้นนําแบคทีเรียที่มีดีเอ็นเอชนิด 15 15 N/ N ดังกลาวไปเลี้ยงในอาหารที่มี 14N แลวปลอยใหเกิดการจําลองดีเอ็นเอผานไป 1 รุน (generation) จึงทําการสกัดดีเอ็นเอจากแบคทีเรีย จากนั้นนํามาปนเหวีย่ งใน CsCl gradient ไดแถบดี เอ็นเอ 1 แถบ คือแถบที่มีน้ําหนักที่ 15N /14N (hybrid DNA) แลวเมื่อมีการจําลองดีเอ็นเอในรุนที่ 2 ได แถบดีเอ็นเอ 2 แถบ ที่มีน้ําหนักอยูระหวาง 15N /14N กับแถบที่มีน้ําหนักเบา 14N /14N (light DNA) อยู ดานบน จากนัน้ เมื่อมีการจําลองดีเอ็นเอในรุนที่ 3 พบวาจะไดดีเอ็นเอที่น้ําหนักเบา 14N /14N เพิ่มมาก ขึ้น ซึ่งเห็นเปนแถบหนา จึงยืนยันไดวาการจําลองดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตเปนแบบกึ่งอนุรักษ (รูปที่ 3.1)
รูปแบบของการจําลองดีเอ็นเอ (DNA replication mode) แบงไดเปน 3 รูปแบบ คือ 1. การจําลองดีเอ็นเอแบบทีตา (Theta mode of DNA replication) 2. การจําลองดีเอ็นเอแบบซิกมา (Rolling circle or sigma mode of DNA replication)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
2
3. การจําลองดีเอ็นเอแบบตัววาย (Y-shaped mode of DNA replication)
รูปที่ 3.1 การจําลองดีเอ็นเอเปนแบบกึ่งอนุรักษ (semiconservative DNA replication) ในการทดลองของ Mesclson และ Stahl (ที่มา : Hartl และ Jones, 1998) I. การจําลองดีเอ็นแบบทีตา (Theta mode of DNA replication) Cairna (1963) รายงานวา การจําลองดีเอ็นรูปวงแหวนปลายปดของ E. coli เปนแบบ theta mode กลาวคือ ที่ตําแหนง oriC ของดีเอ็นเอวงแหวนเกลียวคูจะแยกเปนดีเอ็นเอสายเดี่ยวโดยไมมีการ ตัดสายดีเอ็นเอวงแหวนใหเปดออก เรียกจุดแยกบนดีเอ็นเอนี้วา bubble โดยบริเวณ oriC จะมีเพียง 1 จุดบนดีเอ็นเอวงแหวน (ring DNA) ของ E. coli จากนั้นมีการการจําลองดีเอ็นแบบสองทิศทาง
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
3
(bidirectional replication) (รูปที่ 3.2) ไปตามเสนดีเอ็นเอของ E. coli ซึ่งทําหนาที่เปนดีเอ็นเอแมแบบ เมื่อการจําลองดีเอ็นดําเนินไปครึ่งกระบวนการ จะเห็นดีเอ็นเอวงแหวนมีรูปรางคลาย theta (θ) และเมื่อ สิ้นสุดกระบวนการการจําลองดีเอ็น จะไดดีเอ็นเอวงแหวน 2 โมเลกุล ซึ่งแตละโมเลกุลประกอบดวย ดีเอ็นเอ 2 สาย สายหนึ่งเปนสายแมแบบ และอีกสายหนึ่งเปนสายใหม (รูปที่ 3.3) หมายเหตุ จุด oriC ประกอบดวยเบสจํานวน 245 คูเบส (base pairs) โดยมีลําดับเบสจํานวน 9-13 เบส เรียงซ้ําๆ กัน ที่เรียกวา repeating sequences of 9 and 13 bases (9 mers และ 13 mers)
รูปที่ 3.2 การจําลองดีเอ็นแบบสองทิศทาง ของโปรคารีโอตและยูคารีโอต (ที่มา : Russell, 1991)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
4
รูปที่ 3.3 การจําลองดีเอ็นแบบ theta mode ของ E. coli (ที่มา : http://bioweb.wku.edu/courses/biol22000/14Topoisomerase/images/F12-18.JPG, 2547)
II. การจําลองดีเอ็นแบบซิกมา (Rolling circle or sigma mode of replication) (รูปที่ 3.4) เปนการจําลองดีเอ็นเอแบบทิศทางเดียว (unidirectional replication) พบในเอฟแฟกเตอร (F-factor) ของแบคทีเรีย และไวรัสบางชนิด เชน bacteriophage, λ phage และ φ X 174 phage ซึ่งมี ขั้นตอนการจําลองตัวเองดังนี้ 1. สายใดสายหนึ่งของดีเอ็นเอเกลียวคูของวงแหวนดีเอ็นเอถูกตัดที่พันธะฟอสเฟอรไดเอส เทอร (phosphodiester bond) เกิดรอยขาด (nick) ทําใหเกิดปลาย 3/OH และปลาย 5/PO4 อิสระขึ้น 2. บริเวณจุดขาดที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอจะทําหนาที่เปนไพรเมอร (primer) สําหรับเอนไซม ดีเอ็นเอโพลีเมอรเรส (DNA polymerase) เพื่อสังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมใหยาวออกไปโดยใชดีเอ็นเอ อีกสายหนึ่งทีไ่ มไดถูกตัดซึง่ อยูในรูปวงแหวนสายเดีย่ วเปนแมแบบ 3. ขณะปลาย 3/OH ที่มีการสังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมไปรอบๆ สายดีเอ็นเอวงแหวนสาย เดี่ยวที่ทําหนาที่เปนแมแบบ ก็จะดันใหปลาย 5/PO4 ที่อยูบริเวณรอยขาดคลายตัวออกจากวงแหวนไป เรื่อยๆ หลุดมาเปนดีเอ็นเอสายเดี่ยว (linear single strand DNA) ซึ่งจะถูกใชเปนแมแบบในการ สังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมขึ้นมาอีก 1 สาย โดยดีเอ็นเอสายใหมที่สงั เคราะหขึ้นจะเปนดีเอ็นเอทอน สั้นๆ ที่เรียกวา Okasaki fragment เนื่องจากทิศทางการสังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมเปนแบบ 5/ → 3/ ดังนั้นทุกครั้งที่ดีเอ็นเอสายแมแบบที่มีปลาย 5/PO4 ถูกดันออกมาก็จะมีไพเมอรตวั ใหมเขาเกาะแลวเริ่ม กระบวนการสังเคราะหดีเอ็นสายใหมขึ้น จึงทําใหไดดีเอ็นเอสายใหมเปนทอนสั้นๆ 4. เมื่อการจําลองดีเอ็นดําเนินไปไดประมาณครึ่งกระบวนการ จะเห็นดีเอ็นเอวงแหวนมีรูปราง คลายกับ sigma (σ)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
5
5. เมื่อสิ้นสุดกระบวนการ การจําลองดีเอ็น จะเกิดเหตุการณ 2 แบบ คือ 5.1 บริเวณปลาย 5/PO4 ของดีเอ็นเอสายเดี่ยวที่ใชเปนแมแบบ อาจถูกตัดออกหรือไมถูกตัด ออกก็ได นั้น กลาวคือถาถูกตัดออกก็จะไดเปนดีเอ็นโมเลกุลใหม แตถาไมถูกตัดออกก็มีการสังเคราะห ดีเอ็นสายใหมตอไปเรื่อยๆ โดยใช ดีเอ็นเอสายเดี่ยวที่มีปลาย 5/PO4 กลาวเปนแมแบบ 5.2 สายดีเอ็นเอที่มีปลาย 3/OH วางอยูนนั้ ยังคงสังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมตอไป เพื่อเขาสูการ จําลองดีเอ็นในรอบที่ 2 และเปนเชนนี้ไปเรื่อย เมื่อสิ้นสุดการจําลองสาย DNA ดังกลาวก็ถูกตัดออกจาก ดีเอ็นเอวงแหวน
รูปที่ 3.4 การจําลองดีเอ็นแบบซิกมา (ที่มา : http://bricker.tcnj.edu/tech/le17/rollcir.gif , 2547 และ http://www.sci.sdsu.edu/~smaloy/MicrobialGenetics/topics/phage/roll-circle.GIF, 2547)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
6
III. การจําลองดีเอ็นแบบตัววาย (Y-shaped mode of replication) (รูปที่ 3.5) พบในยูคารีโอต และไวรัสบางชนิดที่มีดีเอ็นเอมีรูปรางเปนเสน (linear DNA) ซึ่งกระบวนการ จําลองดีเอ็นเอนั้นจะมีจุดเริ่มตน (ori) ของการเกิด replication bubble บนสายดีเอ็นเอ โดยในไวรัสนั้น มีจุด ori เพียงจุดเดียว แตยูคารีโอตมีจุด ori หลายจุดบนดีเอ็นเอสายเดียวกัน ซึ่งในแตละ bubble จะมี การจําลองดีเอ็นเอแบบสองทิศทาง และยังคงดําเนินตอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแตละ bubble มาบรรจบกัน กลายเปน bubble ใหญ ซึ่งการเคลื่อนที่ของ bubble ไปสูปลายดีเอ็นเอนั้นทําใหโครงสรางของดีเอ็นเอมี รูปรางเปน อักษร Y shape เมื่อสิ้นสุดกระบวนการจําลองดีเอ็นเอได ดีเอ็นเอ 2 โมเลกุล แตละโมเลกุล ประกอบดวยสายเดิมหนึ่งสายและสายใหมที่สังเคราะหขึ้นมาอีกหนึ่งสาย
รูปที่ 3.5 กระบวนการจําลองดีเอ็นเอแบบอักษรวาย (ที่มา Klug : และ Cummingd, 2000)
ปจจัยที่จําเปนตอกระบวนการจําลองดีเอ็นเอ 1. สารตั้งตน (substrate หรือ precursor) สารตั้งตนที่จําเปนในการจําลองโมเลกุลของดีเอ็นเอ คือ ดีออกซีไรโบนิวคลีโอไซดไทร ฟอสเฟต (deoxyribonucleoside triphosphate; dNTP) มี 4 ชนิด คือ ดีออกซีอะดีโนซีนไทรฟอสเฟต (deoxyadenosine triphosphate ;dATP) ดีออกซีกัวโนซีนไทรฟอสเฟต (deoxyguanosine triphosphate; dGTP) ดีออกไซทิดีนซีไทรฟอสเฟต (deoxycytidine triphosphate; dCTP), ดีออกซีไทมิดีนไทร
7
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
ฟอสเฟต (deoxythymidine triphosphate; dTTP) ซึ่งกระบวนการสังเคราะหนิวคลีโอไทดในเซลลนั้น 2 วิธี คือ 1) กระบวนการสังเคราะหขึ้นใหมจากสารโมเลกุลเล็ก (de novo synthesis) เปนกระบวนการ สั ง เคราะห nucleotide จากสารตั้ ง ต น ที่ มี โ มเลกุ ล เล็ ก เช น กรดอะมิ โ น (amino acid) คารบอนไดออกไซด (CO2) แอมโมเนีย (ammonia) และฟอเมต (formate) เปนตน 2) กระบวนการสังเคราะหโดยวิถีกูคืน (salvage pathway) คือ กระบวนการสังเคราะหนวิ คลี โอไทดจากสารอาหาร หรือการสลายกรดนิวคลีอิก หรือนิวคลีโอไทดในรางกาย กระบวนการสังเคราะหนิวคลีโอไทดดังกลาวเกิดขึ้นภายในเซลล โดยเริ่มสังเคราะหโมเลกุลพิ วรีน (purine nucleus) และโมเลกุลไพริมิดีน (pyrimidine nucleus) กอน จากนั้นทําการเชื่อมตออะตอม ของ C และ N ที่ไดจากสารตั้งตนเปนวงแหวนพิวรีน (purine ring) บนโมเลกุลของ 5/phosphoribosyl1-pyrophosphate (PRPP) ซึ่ง C และ N ที่ใชไดมาจากคารบอนไดออกไซด (CO2) ไกลซีน (glycine) กลูตามีน (glutamine) ฟอเมต (formate) และ แอสพาเตต (aspatate) สําหรับวงแหวนไพริมิดีน (pyrimidine ring) สวนประกอบของนิวเคลียสไดมาจากคารบอนไดออกไซด กลูตามีน และ แอสพา เตต (รูปที่ 3.6)
พิวรีน
ไพริมิดีน
รูปที่ 3.6 แหลง C และ N ของวงแหวนพิวรีน และไพริมิดีน (ที่มา : http://medlib.med.utah.edu/NetBiochem/pupyr/pupy12.gif, 2547)
2. ดีเอ็นเอแมแบบ (DNA template) คือดีเอ็นเอสายเดี่ยว (single strand DNA) ที่เกิดจากการแยกของดีเอ็นเอสายคู (double strand DNA) ซึ่งทําหนาที่เปนสายแมแบบในกระบวนการจําลองดีเอ็นเอเพื่อสังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมซึ่งมี เบสคูสมเขามาจับคู (complementary base pair) กับดีเอ็นเอสายแมแบบ โดยการจําลองดีเอ็นเอเปน
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
8
แบบกึ่งอนุรักษ คือ เมื่อสิ้นสุดกระบวนการจําลองดีเอ็นเอ จะไดดีเอ็นเอ 2 โมเลกุล แตละโมเลกุล ประกอบดวยดีเอ็นเอสายเดิมหรือแมแบบ (template strand) 1 สาย กับสายใหมอีกหนึ่งสาย (daughter strand) 3. อารเอ็นเอไพเมอร (RNA primer) คือ อารเอ็นเอ (RNA) สายสั้นๆ (RNA oligonucleotide) ที่ประกอบดวยไรโบนิวคลีโอไทด (ribonucleotide) ประมาณ 5-15 เบส ซึ่งถูกสังเคราะหมาจากอารเอ็นเอโพลีเมอรเรส (RNA polymerase หรือ primase) โดยอารเอ็นเอไพเมอรนี้มีเบสที่เปนคูสม (complementary base) ที่สามารถเขาจับกับดี เอ็นเอแมแบบที่บริเวณจุด bubble โดยใชพันธะไฮโดรเจน นอกจากนี้ที่บริเวณปลาย 3/OH ของ อารเอ็นเอไพเมอรมีปลาย 3/OH อิสระ เพื่อใหดีเอ็นเอโพลีเมอรเรส (DNA polymerase) นําดีออกซี ไรโบสนิวคลีโอไซดไทรฟอสเฟต (dNTP) ที่มีเบสคูสมกับดีเอ็นเอแมแบบเขามาเชื่อมตอดวยพันธะ ฟอสฟอไดเอสเทอร (phosphodiester bond) ดีเอ็นเอสายใหมที่สรางขึ้นมีทิศทางการสังเคราะหแบบ 5/ → 3/ 4. เอนไซม (enzyme) เอนไซมที่เกีย่ วของกับกระบวนการจําลองดีเอ็นมีหลายชนิด ดังนี้ 4.1 Helix uncoiling protein (หรือ helicase) ทําหนาที่สลายพันธะไฮโดรเจนระหวางเบสของ 2 สายโพลีนิวคลีโอไทด เพื่อแยกใหเปน โพลีนิวคลีโอไทดสายเดีย่ ว ซึ่งการทํางานของ helicase เกี่ยวของกับโปรตีน 3 ชนิด คือ dnaA, dnaB และ dnaC ซึ่งโปรตีนเขาเกาะกับดีเอ็นเอสายคู โดยอาศัยพลังงานจากการ hydrolysis ATP 4.2 DNA topoisomerase หรือ DNA gyrase หรือ helix relaxing protein ทําหนาที่คลายปมเหนือจุดแยก (replication fork หรือ replication bubble) โดยการตัดสายใด สายหนึ่งหรือทั้งสองสายของดีเอ็นเอ ณ ตําแหนงเหนือบริเวณจุดแยกเพื่อคลายปมของดีเอ็นเอไมให เกิดปมเวียนขาว (positive suppercoils) หลังจากคลายปมแลวจะเชื่อมตอรอยตัดเขาอยางเดิม ซึ่ง ปฏิกิริยาดังกลาวตองอาศัยพลังงานจากการ hydrolysis ATP 4.3 DNA polymerase ในโปรคารีโอต (Prokaryote) พบวามี DNA polymerase 3 ชนิด ไดแก 1) DNA polymerase I (pol I)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
9
เปนเอนไซมตวั แรกที่ถูกคนพบวามีหนาที่เกี่ยวของกับการจําลองดีเอ็นเอ และซอมแซมดีเอ็น เอ มีโครงสรางเปนโพลีเปบไทด (polypeptide) สายเดี่ยว มีน้ําหนาโมเลกุลประมาณ 109,000 ดาลตัน ซึ่งการทํางานของ DNA polymerase I ตองการดีเอ็นเอแมแบบ หนาที่สําคัญของ DNA polymerase I คือ 1) Proofreading หรือ editing function ในกระบวนการจําลองดีเอ็นเอ ถาสายใหมของดีเอ็นเอ ที่สังเคราะหขึ้นมา (daughter strand) มีการนําเบสที่ไมใชเบสคูสมกับดีเอ็นเอสายแมแบบ DNA polymerase I เขาทําหนาที่ตรวจสอบและดําเนินการแกไข โดยใชคุณสมบัติ 5/ → 3/ exonuclease ตัดนิ วคลีโอไทดที่ผิดนั้นออกไป แลวนํานิวคลีโอไทดที่ถูกตองเขาเชื่อมตอแทน ซึ่งอาจเรียกกระบวนการนี้ วาการซอมแซมดีเอ็นเอ (excision repair) 2) Nick translation เมื่อเกิดการแตกหักของพันธะฟอสฟอไดเอสเทอรบนดีเอ็นเอสายใดสาย หนึ่งของดีเอ็นเอเกลียวคู เรียกวาเกิด nick (คือ รอยขาดบนสายโพลีนิวคลีโอไทดที่ขาดออกจากกัน เนื่องจากพันธะฟอสโฟไดเอสเทอรถูกทําลาย โดยรอยขาดนี้มีนวิ คลีโอไทดหางกันอยูเพียง 1 นิวคลีโอ ไทดเทานัน้ แตถาเกิดชองวางที่มีนวิ คลีโอไทดหายไปหลายตัว เรียกวาเกิด gap) พบวา DNA polymerase I จะเขาทําหนาที่ซอมแซม nick โดยใชคุณสมบัติทั้ง 5/ → 3/ exonuclease และ polymerase โดยตัด นิวคลีโอไทดที่จากปลาย 5/PO4 ของบริเวณที่เกิด nick ออกจากสายดีเอ็นเอ จากนั้นนํานิวคลีโอไทด ที่ถูกตองเขาเชื่อมตอที่ตําแหนงปลาย 3/OH ของบริเวณที่เกิด nick โดยใชการ ทํางานของ polymerase แต DNA polymerase I ไมสามารถเชื่อมตอระหวางนิวคลีโอไทดที่บริเวณ nick ได ดังนัน้ nick เคลื่อนตัวไปตามความยาวของสายดีเอ็นเอ ในทิศทางเดียวกับการสังเคราะหดีเอ็น เอ (5/ → 3/) 2) DNA polymerase II (pol II) เปนเอนไซมมนี ้ําหนักโมเลกุลประมาณ 90,000 MW มีจาํ นวนนอยใน E. coli อาจมีหนาที่ เกี่ยวกับการซอมแซมดีเอ็นเอ มีคุณสมบัติดังนี้ 2.1) มีคุณสมบัติ 3/→5/ exonuclease 2.2) ตองการดีเอ็นเอแมแบบ และไพรเมอร 2.3) ไมสามารถเกิดกระบวนการจําลองดีเอ็นเอที่มีขนาดยาวๆ ได (นอยกวา 100 nucleotides) 2.4)ไมสามารถทํางานไดถามี sulfidyl group (-SH) 3) DNA polymerase III (pol III)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
10
เป น เอนไซม ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ กระบวนการจํ า ลองดี เ อ็ น เอ โดยทํ า หน า ที่ ก ระตุ น ให เ กิ ด การ สังเคราะหดีเอ็นเอสาย leading และ lagging strand ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ 3.1) ทําหนาทีข่ ยายยาวหรือสังเคราะหสายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหม โดยมีทิศทาง 5/ → 3/ 3.2) ตองการดีเอ็นเอแมแบบ และไพรเมอร ตองมี Mg+2 เปนตัว catarizer ในการจําลองดีเอ็นเอ 3.3) มีโครงสรางซับซอนกวา Pol I และ Pol II โดย Pol III เปน holoenzyme ที่ประกอบดวย โพลีเปบไทดจาํ นวน 10 หนวย มีน้ําหนักโมเลกุล 422,000 MW โดยเอมไซมหลัก (core enzyme) ประกอบดวยโพลีเปปไทด หลายสาย เชน α, β, Ψ, γ, χ และ δ เปนตน โดยมีน้ําหนักโมเลกุล ประมาณ 170,000 MW (รูปที่ 3.12) 3.4) มีคุณสมบัติ 3/ → 5/ exonuclease และ 5/ → 3/ exonuclease 3.5) ไมสามารถเชื่อมตอ 3/OH และ 5/-monophosphate group 3.6) สกัดใหบริสุทธิ์ไดยาก มักจะอยูรวมกับ DNA polymerase II 3.7) มีคุณสมบัติ 3→5 exonuclease และ 5→3 exonuclease 3.8) มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพในการทงานที่เ กี่ ย วของกั บ กระบวนการจํ า ลองดี เ อ็ น เอสู ง กว า DNA polymerase I ประมาณ 15 เทา และ สูงกวา DNA polymerase II ประมาณ 300 เทา
รูปที่ 3.12 องคประกอบของ DNA polymerase III ของ E. coli ในยูคารีโอต พบวามี DNA polymerase 3 ชนิด (รูปที่ 3.13) 1) DNA polymerase α หรือ maxi polymerase 1.1) มีน้ําหนักโมเลกุลประมาณ 220,000 ดาลตัน 1.2) มีปริมาณสูงในชวงระยะ S (Synthesis-DNA) ของการแบงเซลลในระยะอินเตอรเฟต 2) DNA polymerase β หรือ mini polymerase
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
11
2.1) มีน้ําหนักโมเลกุลประมาณ 45,000 ดาลตัน 2.2) ทําหนาที่เกี่ยวกับการซอมแซมดีเอ็นเอ 3) DNA polymerase γ หรือ mitochondrial polymerase 3.1) พบในนิวเคลียส และไมโตคอนเดรีย 3.2) มีน้ําหนักโมเลกุลประมาณ 60,000 ดาลตัน 3.3) ทําหนาที่เกี่ยวกับการจําลองดีเอ็นเอในไมโตคอนเดรีย
รูปที่ 3.13 DNA polymersae ชนิดตางๆ ของ Simian virus 40 (SV40) 5. RNA polymerase (RNA primase) 5.1 ทําหนาทีส่ ังเคราะห RNA primere ที่มีขนาดประมาณ 1-60 นิวคลีโอไทด ทั้งนี้ขึ้นอยูกับ ชนิดสิ่งมีชีวิต 5.2 ใช RNA polymerase เพื่อสังเคราะห RNA primer ในสาย leading strand โดย RNA polymerase ซึ่งไวตอการตอบสนองของ rifampicin 5.3 ใช RNA primase เพื่อสังเคราะห RNA primer ในสาย lagging strand โดย RNA primase ซึ่งไมตอบสนองตอ rifampicin 6. ทิศทาง 5/ → 3/ exonuclease ทําหนาที่ตัดนิวคลีโอไทดของโพลีนิวคลีโอไทดสายเดีย่ ว โดยตัดจากสวนปลาย 5/PO4 ไปยัง ดาน 3/OH (ทิศทาง 5/ → 3/) 7. ทิศทาง 3/ → 5/ exonuclease
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
12
ทําหนาที่ตัดนิวคลีโอไทดของโพลีนิวคลีโอไทดสายเดีย่ ว โดยตัดจากสวนปลาย 3/OH ไปยัง ดาน 5/PO4 (ทิศทาง 3/ → 5/) 8. Endonuclease ทําหนาที่ตัดบริเวณภายในของสายโพลีนิวคลีโอไทดของดีเอ็นเอ โดยทําลายพันธะฟอสฟอได เอสเทอร ทําใหเกิดปลาย 3/OH และ 5/PO4 ที่บริเวณจุดตัดเกิดเปนรอยขาดที่เรียกวา nick 9. DNA ligase ทําหนาที่เชื่อมรอยขาด nick ระหวางปลาย 3/OH ของนิวคลีโอไทดหนึ่งกับ 5/ monophosphate ของอีกนิวคลีโอไทดหนึ่ง ดวยพันธะฟอสฟอไดเอสเทอร (รูปที่ 3.14)
รูปที่ 3.14 การเชื่อมตอรอยขาดของดีเอ็นเอ โดยการทํางานของ DNA ligase (ที่มา : http://163.238.8.180/~davis/Bio_327/lectures/DNA_Repl_Chromosomes/ligase.gif, 2547)
ขั้นตอนกระบวนการจําลองดีเอ็นเอมี 3 ขั้นตอน คือ 1. การเริ่มตนการจําลองดีเอ็นเอ (initiation of DNA replication) 2. การขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหม (polymerlization of DNA replication) 3. สิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอ (termination of DNA replication)
กระบวนการจําลองดีเอ็นเอในโปรคารีโอต (DNA replication in prokaryote) การจําลองดีเอ็นเอในโปรคารีโอตมีขั้นตอนที่สําคัญ ดังนี้ I. การเริ่มตนการจําลองดีเอ็นเอ
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
13
เปนขั้นตอนที่เกี่ยวของกับการทํางานของเอมไซม และตองการตําแหนงเริ่มตนที่มีลําดับเบส จําเพาะบนสายดีเอ็นเอ ขั้นตอนการเริ่มตนการจําลองดีเอ็นเอมีดังนี้ 1. เฮลิเคส (helicase) ทําหนาที่ทําลายเกลียวคูของดีเอ็นเอ (double helix) เกิด replication fork หรือ bubble ขึ้น ณ บริเวณจุดเริ่มตนการจําลองดีเอ็นเอ (origin of DNA replication หรือ ori) ซึ่งมีเพียงจุดเดียวใน E. coli โดยมีลําดับเบสที่จําเพาะประมาณ 240-250 คูเบส ที่ เปนตําแหนงจดจําของ helicase ซึ่งทําหนาที่คลายเกลียวคูของดีเอ็นเอ โดยทําลายพันธะไฮโดรเจน ระหวางเบสที่อยูบนแตละสายของโพลีนิวคลีโอไทด เพื่อใหไดเปนดีเอ็นเอสายเดีย่ ว ขั้นตอนการเกิด replication fork มีดังนี้ 1) dnaA protein complex ประกอบดวยโปรตีน 10-20 หนวย เขามาเกาะ (binding หรือ interaction) กับ oriC ที่ตําแหนง 9 mers (A-T rich) โดยใชพลังงานจากการ hydrolysis ATP ทําให DNA อยูในสภาพเกลียวเวียนซาย (left-hand หรือ negative supercoil) ซึ่งงายตอการทําลายพันธะ ไฮโดรเจน ทําใหดีเอ็นเอเกลียวคูเปดออก (open complex) กลายเปนดีเอ็นเอสายเดีย่ ว (รูปที่ 3.15) 2) เกิด prepriming complex โดย dnaB protein (ทําหนาที่เปน helicase) รวมตัวกับ dnaC กลายเปน prepriming complex โดยใชพลังงานจากการ hydrolysis ATP แลวเขาเกาะกับดีเอ็นเอสาย เดี่ยว (ssDNA) บริเวณ open complex ที่อยูระหวาง dnaA และ oriC เมื่อ helicase จะเขาทําหนาทีค่ ลายเกลียวคู โดยทําลายพันธะไฮโดรเจน ระหวางเบสที่อยูบนแต ละสายโพลีนิวคลีโอไทด ทําใหเกิด replication fork หรือ bubble ซึ่งเปนจุดเริ่มตนการการจําลอง ดีเอ็นเอ (initiation point) โดย 1 bubble จะมี replication fork 2 จุด ที่มีทิศทางตรงขามกัน
รูปที่ 3.15 ขั้นตอนการเกิด open complex ที่บริเวณ oriC และหนาทีข่ องโปรตีน dna B ชวย ให primase เขาเกาะกับดีเอ็นเอ เพื่อเริ่มตนสังเคราะห RNA primer (ที่มา : Klug และ Cumming, 1994)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
14
2. อารเอ็นเอไพเมสทําหนาที่สังเคราะหอารเอ็นเอไพเมอร (primase catalyses formation of RNA primer) dnaB นอกจากทําหนาที่เปน helicase เพื่อเขาเกาะกับ ssDNA ที่ตําแหนงเฉพาะบนตําแหนง open complex แลวยังทําหนาที่กระตุนให primase หรือ RNA polymerase เขามาเกาะที่ตําแหนง ssDNA open complex (oriC) ทั้ง 2 strands เพื่อทําหนาที่สังเคราะห RNA primer ที่มียาวประมาณ ประมาณ 1-60 คูเบส ที่เรียกวา RNA primer หรือ RNA oligonucleotide ที่มีปลาย 3' OH เปนอิสระ และเปนเบสคูสมกับสายดีเอ็นเอแมแบบ (single DNA template) การสังเคราะห RNA primer เริ่มตนดวยการเกิด complex ที่เรียกวา primosome (6 proteins + ss DNA + primase + helicase) ซึ่งประกอบดวย โปรตีน 6 ชนิด คือ n, n/, n//, τ, dna B และ dna C เขา จับกับดีเอ็นเอสายเดี่ยว โดยใช ATP จากนั้น primase จะเขารวมกับ preprimosome เกิดเปนหนวยที่ เรียกวา primosome ซึ่งโปรตีน n/ จะใชพลังงานจาการยอยสลาย ATP เพื่อใชสําหรับการเคลื่อนที่ primosome ไปตามความยาวของดีเอ็นเอ จนกระทั่งไปพบ priming site ซึ่งเลือกโดยสุม หลังจากนั้น โปรตีน dna B. จะเปลี่ยนแปลงโครงสรางของดีเอ็นเอ ตรวจหาตําแหนงที่คัดเลือก ทําให primase เริ่มตนสังเคราะห RNA primer ขึ้น (รูปที่ 3.16)
รูปที่ 3.16 โครงสรางของ primase (ที่มา : http://www.mun.ca/biochem/courses/3107/images/primase_model.gif, 2547)
เมื่อมีการสังเคราะห RNA primer แลว RNA primer จะเขาเกาะกับดีเอ็นเอแมแบบ เพื่อเริ่มตน การจําลองดีเอ็นเอ โดยอาศัยการทํางานของ polymerase III ที่นํานิวคลีโอไทดตัวใหมเขามาเติมที่ 3/OH ของ RNA primer (รูปที่ 3.17)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
15
รูปที่ 3.17 ไพรเมอรที่มีปลาย 3/– OH อิสระ เปนตัวเริ่มตนในการจําลองตัวเองของ ดีเอนเอ (ที่มา : http://www.cat.cc.md.us/courses/bio141/lecguide/unit1/prostruct/dnareppr/images/u4fg8b.jpg, 2547)
3. Single-stranded binding protein (SSBPs) SSBPs ประกอบดวยกรดอะมิโนประมาณ 100 ตัว ที่เกาะอยูกับดีเอ็นเอสายเดียว ( โดย SSBPs มีหนาที่สําคัญคือ ชวยให helicase ทํางานไดดีขึ้น และปองกันไมใหดีเอ็นเอสายเดี่ยว (ssDNA) ที่แยก จากกันแลวกลับเขามาสรางพันธะไฮโดรเจนเพื่อเกิดเปนดีเอ็นเอสายคูใหมอีกครั้ง นอกจากนี้ SSBPs ยังปองกันไมให ssDNA แตละสายมาสรางพันธะไฮโดรเจนภายในสายเดียวกันที่เกิดโครงสรางที่ เรียกวา hairpin loop ขึ้น รวมทั้งยังปองกันไมใหดีเอ็นเอสายเดี่ยวถูกยอยดวยเอนไซม นิวคลีเอส (nuclease) อยางไรก็ตามเมื่อ DNA polymerase ผานจุดนี้ไปแลว พบวา SSBP ก็ถูกปลอยออกจาก โมเลกุลของ ssDNA (รูปที่ 3.18)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
16
รูปที่ 3.18 ขั้นตอนการจําลองดีเอ็นเอที่เกี่ยวของกับเอนไซมตางๆ (ที่มา : Klung และ Cumming, 1194)
II. การขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอไทด (รูปที่ 3.19) เหตุการณที่สําคัญในขั้นตอนการขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอไทด มีดังนี้ 1. การสังเคราะหโพลีนิวคลีโอไทดสายใหม 2 สาย โดยการทํางานของ DNA polymerase III กระบวนการจําลองดีเอ็นเอเปนแบบกึ่งอนุรักษ ดีเอ็นเอเกลียวคูประกอบดวย 2 สายโพลีนิวคลี โอไทด ซึ่งมีทิศทางแบบ antiparallel คือ สายหนึ่งมีทิศทาง 5/ → 3/ สวนอีกสายหนึ่งมีทิศทางตรงกัน ขามคือ 3/ → 5/ ดังนั้นเมื่อเกิด replication fork แลว RNA primer จะเขาเกาะกับดีเอ็นเอแมแบบทั้ง สองสาย จากนั้น DNA polymerase III ทําหนาที่ในการสังเคราะหโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมโดยนํา deoxynucleotide 5-triphosphate ที่มีเบสเปนเบสคูสมกับสายดีเอ็นแมแบบมาเชื่อมตอกับ RNA primer ที่มีปลาย 3/OH อิสระ โดยใชพันธะฟอสฟอไดเอสเทอร ดังสมการ poly (nucleotide) n –3/OH + dNTP → poly (nucleotide) n+1 3/OH + PP รูปแบบการสังเคราะหโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมโดยใชดเี อ็นเอแมแบบทั้งสองสาย มีดังนี้ 1) สาย leading strand
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
17
เมื่อ RNA primer เขาเกาะกับสายโพลีนิวคลีโอไทดสายแมแบบที่มีทิศทาง 3/ → 5/ พบวา DNA polymerase สามารถสังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมโดยเพิ่มจํานวนนิวคลีโอไทดไดอยางตอเนื่อง ตลอดสาย เรียกวา continuous หรือ leading strand ทั้งนี้เนื่องจากทิศทางการสังเคราะหสายโพลีนิวคลี โอไทดหรือการทํางานของ DNA polymerase III ทําในทิศทาง 5/ → 3/ ซึ่งมีทิศทางการสังเคราะหดี เอ็นเอสายใหมเปนทิศทางเดียวกับการคลายเกลียวของดีเอ็นเอเกลียวคู 2) สาย lagging strand ถาใชสายโพลีนิวคลีโอไทดอีกสายหนึ่งที่มีทิศทาง 5/ → 3/ เปนสายแมแบบ พบวาการ สังเคราะหดีเอ็นเอสายใหมไมสามารถสังเคราะหหรือเพิ่มจํานวนนิวคลีโอไทดไดอยางตอเนื่องที่ เรียกวา discontinuous หรือ lagging strand เพราะทิศทางการสังเคราะหดีเอ็นเอสวนทางกับการคลาย เกลียวของดีเอ็นเอเกลียวคู ฉะนั้นจึงมีการสังเคราะห DNA เปนทอนสั้นๆ ที่เรียกวา okazaki fragment ซึ่งมีจํานวนนิวคลีโอไทดประมาณ 1000- 2000 นิวคลีโอไทด และทุกครั้งที่เกิดจุด replication fork จุด ใหม RNA primer ก็จะเขาเกาะกับดีเอ็นเอสายแมแบบที่มีทิศทาง 5/ →3/ ใหม แลว DNA polymerse III ก็จะเขาทําหนาที่สังเคราะหโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมขึ้นมา DNA polymerase III มีคุณสมบัติที่สําคัญคือ 1) ทําหนาที่ polymersize ทั้งสาย leading strand และสาย lagging strand 2) ตองการดีเอ็นเอแมแบบ และ RNA primer ที่มีปลาย 3/OH อิสระ 3) เปน holoenzyme ขนาดใหญมากคือ มากกวา 600 กิโลดาลตัน ซึ่งประกอบดวยโพลีเบป ไทดที่แตกตางกัน 5-10 ชนิด โดยเอมไซมที่มีรูปรางแบบ asymmetric dimeric structure ประกอบดวย 2γ, β, α, δ, ε, และ τ subunit ซึ่งเปนสวนสําคัญในปฏิกิริยา polymerize 4) β subunit มีรูปรางเปน donut-shaped dimer ซึ่งมีลักษณะคลาย clamp ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ ไปตามความยาวของเสนดีเอ็นเอ (รูปที่ 3.20) เพื่อทําหนาที่สังเคราะหเพียงดีเอ็นเอสายสั้นๆ เทานั้น คือ ประมาณ 20 นิวคลีโอไทด 5) α subunit เปนตัวทําใหเกิดปฏิกิริยา polymeriztion สวน ε subunit ทําใหเกิดปฏิกิริยา 3/ → 5/ exnuclease 6) สวนอีก 5 subunits คือ 2γ, δ, ε, และ τ subunit รวมกันเปน γ complex ทําหนาที่เปนตัวนํา β subunit เขาเกาะกับ duplex DNA-primer substrate 7) τ subunit ทําหนาที่เกีย่ วกับการเกิด dimerize ของ core enzyme
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
18
รูปที่ 3.19 ขั้นตอนการขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอไทด
รูปที่ 3.20
β subunit มีรูปรางเปน donut-shaped dimer ซึ่งมีลักษณะคลาย clamp
2. เมื่อ helicase ทําหนาทีข่ ยายจุด replication fork ตอไปอีกสาย leading strand ก็จะ polymerize ตอไปเรื่อยๆ ในทิศทาง 5/→3/ สวนสาย lagging strand ก็จะสังเคราะห okazaki fragment
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
19
สายใหมขึ้นมาในทิศทาง 5/→3/ โดยมี RNA primer ตัวใหมเขากับดีเอ็นเอแมแบบที่บริเวณ replication fork ที่เกิดขึ้นใหม แลวเริ่มกระบวนการสังเคราะห okazaki fragment สายใหมขึ้นมา (รูปที่ 3.21 และ 3.22)
รูปที่ 3.21 การขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอไทดในกระบวนการสังเคราะหดีเอ็นเอ (ที่มา : http://opbs.okstate.edu/~petracek/Chapter%2025%20figures/Fig%2025-13.JPG, 2547)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
20
รูปที่ 3.22 การจําลองตัวเองของดีเอนเอ (ที่มา : http://www.groton.k12.ct.us/WWW/fsr/student/fall02/DNA/dnarep.jpg , 2547)
3. DNA topoisomerase หรือ DNA gyrase ขณะที่ helicase ทําลายพันธะไฮโดรเจนระหวางเบสที่อยูตางสายโพลีนิวคลีโอไทดนั้น พบวา บริเวณเหนือจุดแยกจะเกิดปมของสายดีเอ็นเอที่พันกันแนน (คลายกับการดึงปลายเชือกเสนคูใหแยก ออกจากกันเปนเสนเดี่ยว โดยกดใหปลายเชือกดานหนึ่งใหอยูกับที่ ก็จะทําใหเกิดปมเหนือจุดแยกขึ้น) ดังนั้น DNA topoisomerase จะมีทําหนาที่คลายปมเหนือจุดแยก (replication fork) ในขณะเกิด กระบวนการจําลองดีเอ็นเอ โดยการทําลายพันธะฟอสฟอไดเอสเทอรระหวางนิวคลีโอไทดภายในสาย โพลีนิวคลีโอไทดเดียวกัน เพื่อเปนการลดจํานวน supercoil ที่เกิดขึ้นเหนือบริเวณจุด replication fork
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
21
โดยใชพลังงานจาก ATP จากนั้นก็ทําหนาที่เชื่อมรอยขาดระหวางนิวคลีโอไทดดวยพันธะฟอสฟอได เอสเทอร DNA topoisomerase แบงออกเปน 2 ชนิด คือ 1) DNA topoisomerase I ทําหนาที่ตัดดีเอ็นเอสายเดีย่ วที่อยูเหนือจุด replication fork (บางครั้งอาจตัดทั้งสองสายของโพลีนิวคลีโอไทด) (รูปที่ 3.23) 2) DNA topoisomerase II (DNA gyrase) ทําหนาที่ตัดและเชื่อมตอดีเอ็นเอสายเดี่ยวที่อยู เหนือจุด replication fork (บางครั้งอาจตัดทั้งสองสายของโพลีนิวคลีโอไทด)
รูปที่ 3.23 คุณสมบัติของ gyrase หรือ topoisomerase ที่ทําหนาทีค่ ลายเกลียวเหนือจุดแยก III. การสิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอ เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนการจําลองดีเอ็นเอจะไดดีเอ็นเอ 2 โมเลกุล โดยแตละโมเลกุลประกอบดวย โพลีนิวคลีโอไทดแมแบบหรือโพลีนิวคลีโอไทดสายเดิม 1 สาย และอีกสายหนึ่งเปนโพลีนิวคลีโอไทด สายใหม ซึ่งโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมที่พบใน leading strand และ lagging strand นั้นมี RNA primer ติดอยูที่ปลาย 5/PO4 ซึ่ง RNA primer นี้จําเปนตองถูกขจัดออกไปโดยใช (1) ribonuclease (RNase) ที่ มีความจําเพาะกับ RNA primer หรือ (2) DNA polymerase I (5/→3/ exonuclease) ตัดที่ปลาย 5/PO4 ของ RNA primer โดยตัดที่ละโมเลกุล ขณะเดียวกันก็มีการเติมนิวคลีโอไทดตัวใหมเขาไปที่ปลาย 3/OH ของสายดีเอ็นเอสายใหมที่ถูกสังเคราะหขึ้น คลายกับการเกิด nick translation จนเหลือชองวางที่ เรียกวา nick จากนั้น DNA lygase จึงเขาทําหนาที่เปนเชื่อมรอยตอระหวางนิวคลีโอไทด (nick) โดย สรางพันธะฟอสฟอไดเอสเทอรที่ปลาย 3/OH ของนิวคลีโอไทดหนึ่ง กับ 5/PO4 ของอีกนิวคลีโอไทด หนึ่งที่อยูติดกันโดยใชพลังงานจากการ hydrolysis ATP (รูปที่ 3.24) เหตุการณที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการ สิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอ พอสรุปไดดังนี้
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
22
1. การขจัด RNA primer บนสาย leading strand สายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมที่พบใน leading strand ที่มี DNA polymerase III ทําหนาที่ สังเคราะหสายโพลีนิวคลีโอไทดในทิศทาง 5/→3/ ไปเรื่อยจนสิ้นสุดสายดีเอ็นเอแมแบบ (3/→5/) จากนั้น DNA polymerase III จะหยุดทํางาน แตจะมี DNA polymerase I ชนิด 5/→3/ exonuclease เขามาทําหนาที่ตัด ณ ตําแหนงปลาย 5/PO4 ของ RNA primer โดยตัดทีละ 1 นิวคลีโอไทด ขณะเดียวกัน DNA polymerase I ก็นํานิวคลีโอไทดที่ถูกตองหรือมีเบสคูสมกับดีเอ็นเอแมแบบมาเชื่อมตอที่ปลาย 3/OH ของสาย leading strand (theta mode of DNA replication) คลายกับการเกิด nick translation จากนั้น DNA ligase เขาทําหนาที่เชื่อมชองหวางระหวางนิวคลีโอไทดโดยตอระหวางนิวคลีโอไทด ดวยพันธะฟอสฟอไดเอสเทอร กรณีของโปรคารีโอตดีเอ็นเอมีรูปรางเปน circular DNA พบวาไมมีปญหาเรื่องการเติม nucleotide ในสวนของชองวาง (gap) หลังจากที่มีการตัด RNA primer ออกไปแลว เนื่องจากมีการ จําลองดีเอ็นเอแบบ theta mode of DNA replication (รูปที่ 3.24) 2. การขจัด RNA primer บนสาย lagging strand สวนสายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมของ lagging strand นั้นจะประกอบไดดว ย okazaki fragment จํานวนมาก ซึ่งแตละสาย okazaki fragment จะถูกนํามาเชือ่ มตอเปนสายโพลีนิวคลีโอไทด ยาวตอเนื่อง (continuous strand) ได โดยการทํางานของ DNA polymerase III ซึ่งทําหนาที่นํานิวคลีโอ ไทดมาตอที่ปลาย 3/OH ของ okazaki fragment หนึ่งไปเรื่อยๆ จนถึงปลาย 5/PO4 ของ RNA primer ของอีก okazaki fragment หนึ่งที่อยูติดกันซึ่งถูกสังเคราะหขึ้นมากอนแลว จากนัน้ DNA polymerase III จะแยกออกจาก okazaki fragment (ทั้งนี้เพราะวา DNA polymerase III ไมสามารถ polymerization ตอไปได หรือ DNA polymerase III ไมสามารถทํางานไดบริเวณ nick ทีมีปลาย 5/ triphosphate อยูด วย (RNA primer) ยกเวนแตมเี อมไซมบางชนิดมาตัด triphosphate ใหเปน monophosphate) ดังนัน้ การ เชื่อมตอระหวางนิวคลีโอไทดที่อยูบริเวณ nick ตองอาศัยการทํางานของ DNA ligase จึงเขาทํางาน เชื่อมตอระหวางนิวคลีโอไทด (โดยทัว่ ไป DNA ligase จะอยูในสภาพ inactive เมื่อนิวคลีโอไทดอยูใ น รูปของ ribo-form แต DNA polymerase I สามารถทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพบริเวณรอยขาดนี้ คือ ทําใหเกิด nick translation ขึ้น)
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
23
รูปที่ 3.24 การขจัด RNA primer ที่ปลาย 5/ ของดีเอ็นเอสายใหม
กระบวนการจําลองดีเอ็นเอในยูคารีโอต (DNA replication in eukaryote) ขั้นตอนการจําลองดีเอ็นเอในยูคารีโอตมีลักษณะคลายกับโปรคารีโอตแตมีความซ้ําซอน มากกวา และมีชนิดของเอมไซม รวมทั้งวิธีการในแตละขั้นตอนแตกตางกันไปบาง ซึ่งสามารถสรุป ขั้นตอนการจําลองดีเอ็นในยูคารีโอตได ดังนี้ I. การเริ่มตนการจําลองดีเอ็นเอ ในสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม พบวามี DNA polymerase และเอมไซมหลายชนิดที่เกี่ยวของกับ กระบวนการเริ่มตนการจําลองดีเอ็นโดยขั้นตอนการคลายกับโปรคารีโอตแตตางกันเล็กนอย เชน ขั้นตอนการเริ่มตนการจําลองดีเอ็นเอของไวรัสชนิดsimian virus 40 หรือ SV40 (in vitro) สามารถสรุป ไดดังนี้ (รูปที่ 3.25) 1. T antigen เปนโปรตีนทีม่ ีหนาที่หลายอยาง (multifunctional proteins) โดย T antigen จะ เขาจับกับตําแหนงเริ่มตนบนสายดีเอ็นเอของไวรัส (SV40 origin) เพื่อคลายเกลียวคูของ duplex DNA ของไวรัสใหเปนดีเอ็นเอสายเดียว โดย T antigen ทําหนาที่คลายกับ helicase ในโปรคารีโอต 2. จากนั้น Replication protein A (RPA) เขามามาจับกับดีเอ็นเอสายเดี่ยว (ssDNA) โดย RPA ทําหนาที่คลาย single-strand binding protein (SSB) ในโปรคารีโอต 3. เกิด Complex โดย Primase เขาเกาะกับ DNA polymerase α จากนั้นจึงเขารวมกับ RFA (Replication protein A) เปน complex แลวจึงเขาเกาะกับ ssDNA template เพื่อเริ่มกระบวกการจําลอง
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
24
ดีเอ็นเอ โดย primase ทําหนาที่สราง RNA primer และ DNA polymerase α ทําหนาที่สังเคราะหสาย โพลีนิวคลีโอไทดสายใหม โดยไดรับการกระตุนจาก RFA II. การขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอไทดของยูคารีโอต กระบวนการจําลองดีเอ็นเอโดยทั่วไปเปนแบบ bidirectional DNA replication (แบบ Y mode) เมื่อสิ้นสุดกระบวนการจะไดดีเอ็นเอสาย 2 สาย คือ leading strand และ lagging strand คลายกับการ จําลองดีเอ็นเอในโปรคารีโอต โดยเหตุการณที่สําคัญในขั้นตอนการขยายยาวของสายโพลีนิวคลีโอ ไทดของยูคารีโอต (รูปที่ 3.25) มีดังนี้ 1. เหตุการณบนสาย leading strand สายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมของสาย leading strand พบวา มีโปรตีนที่เรียกวา proliferating cell nuclear antigen (PCNA) ซึ่งทําหนาที่คลาย β subunit ของ DNA polymerase III คือ เขาเกาะที่ ปลาย 3/OH RNA primer–template terminus เพื่อปลดปลอย DNA polymerase α และ primase ออก จากสายดีเอ็นเอแมแบบ จากนั้น DNA polymerase δ เขารวมกับ RFC-PCNA complex ที่ปลาย 3/OH ของ leading strand เพื่อทําหนาที่สังเคราะหหรือขยายยาวสายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมของสาย leading strand 2. เหตุการณบนสาย lagging strand สวนสายโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมของสาย lagging strand พบวา RFC-primase-polymerase α complex เขาเกาะที่ปลาย 3/OH ของ lagging strand เพื่อทําหนาที่ polymerization ในทิศทาง 5/→3/ โดยจะมีการสังเคราะหโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมของ lagging strand แบบไมตอเนื่อง ทําใหเกิด okazaki fragment ขึ้น ในขณะที่มีการสังเคราะหโพลีนิวคลีโอไทดสายใหมของทั้งสาย leading strand และ lagging strand ก็จะมีเอมไซม topoisomerase ทําหนาที่คลายปมเหนือจุด replication fork (หรือ replicon) คลายกับในโปรคารีโอต
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
รูปที่ 3.25 ขั้นตอนการเริ่มการจําลองดีเอ็นเอของไวรัสชนิด SV40 (in vitro) (ที่มา : http://www.rci.rutgers.edu/~molbio/Courses/MBB_408_512/DNAreplec3.pdf, 2547)
25
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
26
III. การสิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอ (รูปที่ 3.26) กระบวนการสิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอในยูคารีโอตจะมีความซับซอนมากกวาในโปรคารีโอต เนื่องจากดีเอ็นเอในยูคารีโอตมีลักษณะเปนเสน (linear DNA) โดยพบวามีลําดับเบสที่จําเพาะบริเวณ สวนปลายของโครโมโซมยูคารีโอต (eukaryotic chromosome หรือ telomere) ซึ่งเปนลําดับเบสที่ไมมี สวนของยีนอยู แตมีบทบาทสําคัญในการกําหนดกระบวนการสิ้นสุดการจําลองดีเอ็นเอ กลาวคือ บริเวณสวนปลายของโครโมโซมยูคารีโอตประกอบดวยจํานวนซ้ําหลายๆ ซ้ําของลําดับเบสทอนสั้น ของ G-C rich sequence ที่ตําแหนงปลาย 3/OH เชน ในสัตวมีกระดูกสันหลัง (vertibrate) พบวามี ลําดับเบส 5/ TTGGGG 3/ / 3/ AACCCC 5/ สวนในมนุษย พบวามีลําดับเบส 5/ TTAGGG 3’ / 3/ AATCCC 5/ sequence ที่เปนสวนสําคัญในกระบวนการสิ้นสุดการจําลองตัวเองของดีเอ็นเอ โดย สามารถสรุปขั้นตอนได (รูปที่ 3.24) ดังนี้ 1. การเพิ่มของ G-C rich sequences ที่บริเวณปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอแมแบบ ซึ่งจะทําการ เพิ่มลําดับเบส G-C rich sequence หลายๆ ชุด (copy) ที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอแมแบบ โดยการทํางาน ของ telomerase ซึ่งภายใน telomerase ประกอบดวยสายอารเอ็นเอแมแบบ (RNA template) ที่มีลําดับ เบส 5/ AACCCC 3/ ซึ่งจะเขาเกาะกับสายดีเอ็นเอแมแบบที่ปลาย 3/OH โดย RNA template มีลําดับเบส 5/ AAC 3/ ลอยอยูอิสระหรือที่ไมไดเขาเกาะกับดีเอ็นเอดีเนเอแมแบบ ซึ่งจะใช 5/ AAC 3/ นี้เปน อารเอ็นเอแมแบบ เพื่อสังเคราะหลําดับเบส 5/ TTG 3/ ที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอสายแมแบบ โดยการ ทํางานของ telomerase 2. การเคลื่อนที่ (translocation) ของ telomerase โดย telomerase มีการเคลื่อนที่ตอไปอีก 3 เบส ทําใหตําแหนง 5/ AAC 3/ ของอารเอ็นเอไพเมอรที่อยูใน telomerase ลอยเปนอิสระอีกครั้ง ดังนั้น จึงมีการสังเคราะห TTG ที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอสายแมแบบขึ้นมาอีก 3. การขยายยาวของลําดับเบส TTG ที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอสายแมแบบ โดยมีการ สังเคราะหนิวคลีโอไทดที่มีลําดับ 5/ TTG 3/ ที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอสายแมแบบเพิ่มขึ้นโดยใช อารเอ็นเอไพเมอรรวมกับทํางานของ telomerase ซึ่งอาจทําซ้ําหลายๆ ซ้ํา จนไดลําดับเบสดังกลาว เพิ่มขึ้นมากมาย (ทําใหมี G rich จํานวนมาก) 4. การสังเคราะห primer โดย primase เขามาเกาะที่ปลาย 3/OH ของดีเอ็นเอแมแบบ แลวเริ่ม กระบวนการสังเคราะห RNA primer (ใน tetrahymena มี RNA จํานวน 159 นิวคลีโอไทด ซึ่ง ประกอบดวย 5/ CAACCCCAA 3/) ซึ่งเขาเกาะกับดีเอ็นเอสายแมแบบ 5. DNA replication โดย DNA polymerase จึงเขาทําหนาที่นํานิวคลีโอไทดเขามาเชื่อมตอที่ ปลาย 3/OH ของไพรเมอรโดยมีลําดับเบสเปนเบสคูสมกับดีเอ็นเอสายแมแบบ
พันธุศาสตรโมเลกุลเบื้องตน (258444) ปการศึกษา 2/2547 กวี สุจิปุลิ
27
6. Primer remove เมื่อสิ้นสุดกระบวนการจําลองดีเอ็นเอพบวา RNA primer ที่ปลาย 5/PO4 ของสายโพลีนิวคลีโอไทดทสี่ ังเคราะหขึ้นมาใหมจะถูกตัดทิ้งไปประมาณ 12-16 เบส โดยไมมกี าร ทดแทนขึ้นมาอีก เพราะสวนที่ขาดหายไปคือ telomere sequence ซึ่งจะมีการสรางขึ้นมาทดแทนอยู เสมอโดย telomerase
รูปที่ 3.26 ขั้นตอนการขยายยาวของดีเอ็นเอสายใหม โดยการทํางานของ telomerase ในกระบวนการสิ้นสุดจําลองดีเอ็นเอ (ที่มา : http://www.rci.rutgers.edu/~molbio/Courses/MBB_408_512/DNAreplec3.pdf, 2547)