เราจะเรียกมันวา
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 1 of 7
เราจะเรียกมันวา “คํานํา” นาจะไมใชเรื่องงายถาผมจะบังอาจถายทอดความรูทางดานคอมพิวเตอรใหกับใครตอใคร เพราะเปนที่รูๆ กันอยูวา ตัวผมเองก็ไมไดร่ําเรียนมาทางดานนี้โดยตรง และทั้งเนื้อทั้งตัวก็ เต็ ม ไปด ว ยสู ต รสํ า เร็ จ ประเภท “ยาผี บ อก ” ซะเป น ส ว นใหญ . . . จะว า ไปก็ น า จะแค “เอาตัวรอด” ไปไดเมื่อยามที่ไมมีใครใหถามเทานั้น !! นอกจากจะไมไดร่ําเรียนมาโดยตรง ตัวเองก็กลับไมนิยมวิธีการเรียนการสอนที่พบเห็นอยู ทั่วๆ ไปอีกตางหาก . . . เขาขาย “อวดดี” โดยสมัครใจ . . . วางั้น !? ผมเองมักเชื่อเสมอวา การศึกษาคอมพิวเตอรก็คือการศึกษาตัวเอง มีหลายๆ อยางใน กระบวนการเรียนรูที่เราไมสามารถจับตองได มีหลายๆ อยางที่เราไมสามารถอธิบายได ดวยคําพูดหรือถอยคําใดๆ แตเปนสิ่งที่เรารู . . . เปนความรูที่เกิดจากการปะติดปะตอกับ ประสบการณ ห รื อ เรื่ อ งราวหรื อ สิ่ ง ของที่ เ ราคุ น เคย แล ว สร า งเป น ภาพที่ ต อ เนื่ อ งใน กระบวนการคิดของเราเอง จากนั้นถายทอดมันกลับออกมาเปนการลองผิดลองถูกเพื่อเก็บ เกี่ยวประสบการณใหมๆ ตลอดเวลา โดยเหตุผลแลว สิ่งที่จะสาธยายตอไปในเอกสารชุดนี้ ไมนาจะสามารถเขียนเปนตําราหรือ ตัวอักษรใดๆ เพราะมันนาจะเปนเรื่องเลาโดยคําพูดมากกวา แตเพราะเวลาอันจํากัดที่ไม สามารถกําหนดใหทุกคนวางพรอมๆ กัน ผมจึงตัดสินใจเขียนมันออกมาเปนตัวหนังสือ ดวยภาษาที่เลวรายอยางที่นักภาษาศาสตรทั้งหลายตองแชงชักหักกระดูก กฎขอที่หนึ่งของการเรียนคอมพิวเตอรก็คือ . . .
จงเชื่อใน “กฎแหงกู” อยาเชื่อใน “กฎแหงกรรม” คอมพิวเตอรไมใชเทวทูต สิ่งที่มันบอกเราผานหนาจอก็ไมใชพระวจนะของทวยเทพ และ เราก็ไมไดกอกรรมทําเข็ญอะไรไวถาเราเพียงแตบังคับมันไมได . . . มันไมใชพระเจา แต เราเองนี่แหละที่เปนเจาของมัน . . . นี่คือ “กฎแหงกู” บางครั้งมันก็อาจจะบังคับใหเราตองยอมรับสภาพอยูบาง แตการเรียนคอมพิวเตอรไมใช การปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นตองมีซักครั้งที่มีรายการ “เอาคืน” ตองมีซักครั้งที่เราตอง จัดการมันจนเราพอใจ . . . ลืมเรื่องเวรกรรมที่ยอมระงับดวยการไมจองเวรซะ . . . เพราะ การไมจองเวรกับมันมีทางเดียวก็คืออยาไปยุงเกี่ยวกับมันเทานั้น !! ปจจุบันนี้ คอมพิวเตอรกลายเปนเครื่องมือที่เขามาเกี่ยวของกับชีวิตการทํางานของเราจน เกือบแยกไมออกแลว อยางนอยก็วันละ 6-8 ชั่วโมง หรือประมาณ 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 3 ของชีวิตที่เหลือของเรา . . . มันไมใชเวรกรรมของเราที่จะตองมารูจักกับเครื่องมือชนิดนี้ แตเปนเวรกรรมของมันที่ตองมาอยูกับเราตางหาก เพราะจริงๆ แลวคอมพิวเตอรแตละตัว จะหมดสิ้นอายุขัยของมันในเวลาเพียงประมาณ 5 ปโดยถัวเฉลี่ย จะโดยฝมือของเราหรือ ของมันเองก็แลวแต . . . มันตายกอนเราแน . . . รับรอง !!
Mr. Z @กรุงเทพฯ, 07.12.2002
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 2 of 7
เราจะเรียกมันวา “โตะทํางาน” ภาพเปรี ย บเที ย บที่ ใ กล ตั ว ที่ สุ ด สํ า หรั บ คอมพิ ว เตอร ก็ คื อ “โต ะ ทํ า งาน ” แต จ งลื ม เรื่ อ ง คําศัพทที่มันใชเรียกสวนประกอบบนหนาจอของตัวมันเองไปกอนชั่วคราว เพราะผมกําลัง จะเลาที่เรื่องอื่น . . . สมมุติวาคอมพิวเตอรทั้งตัวนั่นแหละเปน “โตะทํางาน” สวนประกอบที่สําคัญที่สุดของมันก็คือ hard disk หรือพื้นที่ที่เราใชจัดเก็บขอมูล ผมจะ บอกวามันก็ไมตางอะไรกับ “ลิ้นชัก” . . . แนนอนที่โตะบางโตะมีหลายลิ้นชัก hard disk ก็อาจจะมีไดหลายตัว หรืออาจจะมีตัวเดียวแตแบงยอยออกเปนหลายลิ้นชักก็ได การแบง hard disk ออกเปนหลายๆ ชองเก็บเขาเรียกกันวาเปนการแบง partition . . . ซึ่งเจาตัว หลังนี้ แปลกันตามคําศัพทของมันก็แปลวา “ฉากกั้น” อีกตัวนึงที่เกี่ยวกับการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอรก็คือ RAM ยอมาจาก Random Access Memory เขาแปลเปนไทยแบบชาตินิยมวา “หนวยความจํา” . . . หลายคน มักจะสับสนระหวาง hard disk กับ RAM เพราะเชื่อวามันมีเอาไวจําดวยกันทั้งคู การที่ RAM นอยกับการเพิ่มขนาดของ hard disk เปนคนละเรื่องกัน . . . เพราะถาจะใหเห็น ภาพที่ชัดเจนผมก็จะเปรียบเทียบ RAM กับ “หนาโตะ” เทานั้น “ลิ้นชัก” กับ “หนาโตะ” ตางกันขนาดไหน hard disk กับ RAM ก็ตางหนาที่กันอยางนั้น เราล วงมือลงไปทํา งานใน “ลิ้ น ชัก ” ไมได แตเราตองหยิบ งานขึ้น มาทําบน “หนา โตะ ” ถูกมั้ย? . . . “หนาโตะ” มีไวเปนพื้นที่ในการทํางาน สวน “ลิ้นชัก” มีไวเก็บงานที่เราทํา
เสร็จแลว RAM
ที่มีมากจึงหมายถึงพื้นที่ที่เราสามารถหยิบงานขึ้นมาทําพรอมๆ กันไดหลายชิ้น หรือหยิบงานขนาดใหญๆ ขึ้นมาทําไดงาย เพราะไมตางอะไรกับการที่เรามี “หนาโตะ” ใหญๆ เอาไวเบงทับใครๆ วากูนี้เปนคนสําคัญ . . . ทํานองนั้น ☺
สวน hard disk ที่มีขนาดใหญๆ ก็ไมตางอะไรกับการที่เรามีตูเก็บเอกสาร หรือมี “ลิ้นชัก” กวางๆ ลึกๆ ที่เก็บงานไวไดประมาณ 3 ชั่วอายุคน โดยไมตองลบทําลายเลย แตขนาดของ RAM หรือ hard disk นี้ไมไดวัดกันที่รูปทรงภายนอก แตวัดจากความ หนาแนนของสารแมเหล็กที่ใชและชิ้นสวนประกอบที่เรียกวา IC บนแผงวงจรอิเล็คโทรนิค เปนสําคัญ ไมอยางนั้นแลวเราคงตองเพาะกายประกอบการเรียนคอมพิวเตอรไปดว ย เพราะเราจําเปนตองมีขนาดของ RAM และ hard disk มากขึ้นๆ ตามปริมาณและ จํานวนประเภทของโปรแกรมที่เราจะตองใชงานอยูทุกวันๆ คอมพิวเตอรเปนตัวอะไรที่มีความเรียบรอยมาก ทุกครั้งที่เราปดเครื่อง มันจะจัดการเก็บ กวาด “หนาโตะ” ใหเรียบเสมอ . . . เพราะฉะนั้นถาเราเองที่ลืมเก็บงานเขาลิ้นชัก เจาตัว ประหลาดนี่จะจัดการกวาดงานของเรานั้นทิ้งไปหนาตาเฉย . . . มันนั่นแหละที่หนาตาเฉย สวนไอที่หนาเหยเกก็คือเราที่ทะลึ่งไมเก็บงานซะเอง . . . แตถึงกับทําใหงานที่เคยเก็บอยู ในลิ้นชักแลวหายไปมั้ย จริงๆ มันก็ไมโหดรายขนาดนั้น เพราะมันจะจัดการทิ้งไปเฉพาะ สวนที่ยังไมไดจัดเก็บเทานั้นเอง . . . นี่คือธรรมชาติของมันและเราก็ไมสามารถกลาวโทษ ตําหนิมันได เพราะเราตองโทษตัวเองที่เก็บงานไมเรียบรอย
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 3 of 7
หนวยวัดขนาดของ RAM และ hard disk เรียกกันเปน “ไบท” (bite) แตปกติเราจะไม คอยเห็นหนวยพื้นฐานอยางนี้ เพราะเรามักจะเห็นเปน “เม็กกะไบท” (MB) หรือ “กิกกะ ไบท” (GB) แบบเดียวกับที่เราเห็นหนวยวัดระยะทางเปน “กิโลเมตร” (km) ยังไงอยางงั้น เลย . . . ซึ่งจริงๆ แลวมันเปนหนวยวัดมาตรฐานสากลที่เปลี่ยนชื่อหนาหนวยนับทีละ 1000 หนวย คือ 1000 เมตร = 1 กิโลเมตร, 1000 กิโลเมตร = 1 เม็กกะเมตร, พอ 1000 เม็กกะเมตร = 1 กิกกะเมตร, 1000 กิกกะเมตร = 1 เทอราเมตร . . . ในหนวยที่ เปน bite (B) ก็คลายๆ กัน มันก็จะมี kB, MB, GB แลวก็ TB เปน step ของมันไป (แตก็รูไวใชวา ในระบบคอมพิวเตอรที่ใชระบบเลขฐานสอง มันจะกระโดดขามหนวยกัน คราวละ 1024 ไมใช 1000 พอดีๆ เทานั้นเอง) ประมาณกันวา 1 bite ก็คือ 1 ตัวอักษร แตก็เปนอักษรทางคอมพิวเตอรนะ อยาพยายาม นับตัวอักษรที่เห็นบนจอก็แลวกันเพราะนอกจากจะเสียเวลาแลวมันก็ไมคอยจะตรงกับที่ เราเขาใจซักเทาไหร เพราะในขอมูลที่จัดเก็บนั้น โปรแกรมแตละตัวจะมีการเขียนรหัส บางอยางควบคุมเอาไวเพื่อการใชงานดวยเสมอ และเปนสวนที่เราไมสามารถมองเห็นดวย สายตา ใหรูวาหนวยนับของมันเรียกวาอะไรและประมาณไหนเทานั้นก็พอ ตัวที่เอยมากอนตรงนี้คือ RAM และ hard disk คือตัวที่เราจะตองเกี่ยวของเสมอไม ทางใดก็ทางหนึ่ง การเลือกขนาด hard disk ทําไดงายกวาขนาดของ RAM เพราะมันมี หนาที่เพียงการจัดเก็บขอมูล สวน RAM นั้นเกี่ยวกับพื้นที่ในการทํางาน ซึ่งไปเกี่ยวของ กับเรื่องของโปรแกรมที่เราจะเลือกใชงานดวย
2
ในระบบการทํางานของคอมพิวเตอร เราแยกกันคุยเปน 2 เรื่อง เรื่องนึงก็คือ hardware สวนอีกเรื่องนึงก็คือ software hardware
คือสวนที่จับตองได เรียกวาเปนวัตถุที่สามารถจับตองได เชนเดียวกับสาย ไฟฟาแรงสูงที่ดูเหมือนจับตองได เพราะบางสวนก็ไมควรไปจับตองเหมือนกัน ในกรณีของ RAM และ hard disk ถือเปน hardware (ฮารดแวร) แลวก็ยังมีสวนอื่นๆ เชน keyboard หรือชองเสียบอุปกรณตางๆ เหลานี้ถือเปน hardware ทั้งหมด เรียกแบบนักภาษาศาสตรชาตินิยมกินกบาลวา “ละมุนภัณฑ” ปกติเรามักจะ ไดยินชาวบานที่ไมรักภาษาไทยเขาเรียกกันวา “โปรแกรมคอมพิวเตอร” สวนนี้คือสวนที่ไม สามารถสัมผัสไดดวยมือ แตตองสัมผัสทางอารมณเทานั้น เพราะบางครั้งมันก็กวนโมโห โดยที่เราไมเห็นตัวมันเอาซะเลย โดยเฉพาะเวลาที่มันทําอะไรที่ไมใชอยางที่ใจเราตองการ . . . software แบงออกเปน 2 ประเภท เรียกวา โปรแกรมควบคุมระบบ (Operating System) และโปรแกรมประยุกต (Application Software)
software
ตัวอยางของ Operating
System ก็จะมีที่รูจักกันแพรหลายเชน DOS, Windows, OS2, Netware, UNIX, MacOS, Linux และอื่นๆ สวนมากมันก็คือ software ที่ ควบคุมการใชงานของชิ้นสวนทางดาน hardware เปนหลัก ถือเปนตัวประสานงานกับ
เราโดยตรงในการสั่งงานอุปกรณตางๆ ที่ติดตั้งอยูกับเครื่องคอมพิวเตอรนั้นๆ . . . โดย ปกติถือวาไมไดมีประโยชนในการใชงานอื่นใดเลย นอกจากจะมี Application หรือ โปรแกรมประยุกตสอดแทรกเขามาระหวางกลางอีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่ทําใหคอมพิวเตอรแสดงอิทธิฤทธิ์ไดอยางนาอัศจรรยก็คือโปรแกรมประยุกต หรือ Application นั่นเอง มันคือสวนที่สื่อสารกับเราโดยตรง ผานอุปกรณที่ตอพวงกับ คอมพิวเตอรอยาง keyboard และจอภาพ ซึ่งทั้งหมดนั้นอยูภายใตการควบคุมของ Operating System (OS) หรือโปรแกรมควบคุมระบบ ทั้งตัว Application และ OS
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 4 of 7
จะตองประสานกันเปนอยางดีกับ “ตัวเรา” จึงจะสามารถแสดงปาฏิหารยทางเครื่องจักรกล ชนิดนี้ได . . . อยาลืมวา “ตัวเรา” คือตัวแปรสําคัญในเรื่องนี้เสมอ เพราะนี่คือ “กฎแหงกู” Application ในวงการธุรกิจ แยกเปนกลุมหลักๆ แค 3 ประเภทเทานั้นคือ 1. Word Processor
เป น โปรแกรมประยุ ก ต ป ระเภทการประมวลคํ า หรื อ การพิ ม พ เ อกสารแทน เครื่องพิมพดีดนั่นเอง ทุกวันนี้คงไมตองพูดถึงตัวอื่นนอกจาก Microsoft Word 2. Database
เปนโปรแกรมประยุกตประเภทฐานขอมูล ทําหนาที่ในการจัดเก็บและบริหาร ฐานขอมูลตั้งแตขนาดเล็กๆ จนถึงขนาดใหญโตมโหฬารกระดับโลกไปเลยก็ได ถา hard disk มีพื้นที่พอใหทํากันขนาดนั้น กลุมนี้ถือเปนกลุมใหญที่สุดและมี ความหลากหลายมากที่สุด เกือบจะเรียกไดวาไมมีคายใดคายหนึ่งผูกขาดแต เพียงผูเดียว เนื่องจากความตองการในการจัดเก็บและการใชงานของฐานขอมูลมี ความแตกตางกันมากระหวางองคกรแตละแหง ในโลกของยุคขอมูลขาวสารนั้น software ในตระกูลนี้ถือเปนแกนหลักของ ระบบไปเลยก็วาได เพราะอิทธิฤทธิ์ของ software ในตระกูลอื่นๆ จะฉายฉาน ไดเต็มที่ก็ตอเมื่อสามารถนําขอมูลในระบบฐานขอมูลมาใชประโยชนไดมากนอย แคไหนดวยเสมอ Application ในกลุมนี้จะมีตัวหลักๆ ที่เราใชงานก็คือตระกูล XBase ที่มี dBase, FoxBase และ Clippers เปนหัวหอกในวงการ สวนพวกรุนใหมก็จะ มี Microsift Access และพวกที่เปน SQL ที่เรายังไมไดเริ่มใช เพราะความ
ยืดหยุนของโครงสรางขอมูลมีความซับซอนมากกวา 3. Spreadsheet
เปนโปรแกรมประยุกตที่เรียกกันวา “กระดานคํานวณ” เปน Application ที่ใช งานไมยากมาก แตอิทธิฤทธิ์นาตื่นตาตื่นใจสําหรับคนที่เริ่มใชงานคอมพิวเตอร ใหมๆ พอสมควร เพราะคํานวณอะไรตอมิอะไรไดอยางรวดเร็ว ซ้ํายังสามารถ จัดการกับฐานขอมูลขนาดยอมๆ ไดอยางสบายๆ อีกดวย จริงๆ แลวถาเริ่มใช เครื่ องคอมพิว เตอรใหมๆ แลว ถูกหลอกใหเ ลน โปรแกรมในกลุม นี้สํ า เร็จก็จะ สามารถทําใหคนๆ นั้นติดงอมแงมกับคอมพิวเตอรไปเลยก็วาได ในระยะหลังๆ นี้เมื่อเอยถึง Spreadsheet ก็คงเหลือเพียงหนึ่งเดียวใหพูดถึงคือ Microsoft Excel
ยังมี Application ในกลุมอื่นๆ อยูบางแตก็คอนขางเฉพาะงานเกินไป เชนโปรแกรม เกี่ยวกับการทํางาน graphic หรือตัดตอรูปภาพ(โป), โปรแกรมที่เกี่ยวกับการเขียนแบบ ทั้งงานดานสถาปตยกรรม และวิศวกรรม หรือโปรแกรมที่จัดการเกี่ยวกับงานพิมพขนาด ใหญ ซึ่งพวกเราเขาไปเกี่ยวของนอยมาก ก็คงละไวในฐานที่เขาใจวายังมีอีกเยอะ แตที่ เกี่ยวกับเราก็จะมีเพียง 3 กลุมหลักๆ ที่เอยไวนี้เทานั้น
“โตะทํางาน” ชักจะรกแลวนะ . . . เก็บกวาดซะหนอยดีกวา เดี๋ยวจะเลาเรื่องอื่นตอแลว !!
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 5 of 7
เราจะเรียกมันวา “งาน” ตอนที่แลวเราทําความรูจัก “โตะทํางาน” กับสวนประกอบของโตะไปบางแลว เลายอนยอๆ กันพอใหเห็นภาพวา . . . hard disk ก็เหมือนกับ “ลิ้นชัก” สําหรับเก็บเอกสาร RAM ก็เหมือนกับพื้นที่ “หนาโตะ” ทํางานของเรา Operating System หรือโปรแกรมควบคุมระบบ นาจะเหมือน “ปากกา” Application Program ก็นาจะเหมือนกับ “หมึกและกระดาษ”
แลวก็ “กู” ก็คือคนที่ใชปากกาที่มีหมึกเขียนอะไรๆ ลงไปที่กระดาษบนโตะกอนที่จะเก็บใส ลิ้นชักใหเรียบรอย
แลวเก็บยังไงถึงเรียกวาเรียบรอยโดยไมตองรองเรียกความชวยเหลือ? ปญหาใหญของการใชงานคอมพิวเตอรก็คือ ทุกอยางที่เรากระทําลงไปมันคลายกับภาพ สมมุติที่เราจะตองจิน ตนาการตามไปตลอดเวลา งานหรือขอมูลที่เ ราจัด เก็ บเขา ไป ดู เหมือนหายวับไปกับตา โดยที่เราจะเห็นมันอีกก็ตอเมื่อเราเปดมันขึ้นมาบนจออีกครั้ง ไม เหมือนการจัดเก็บเอกสารจริงๆ ที่เห็นกันเปนตั้งเปนกองเปนตูเปนพะเรอเกวียน มีใหนับมี ใหจับใหลูบคลําอยางหนําใจ . . . แตการเก็บงานในคอมพิวเตอรนั้น จะวาตูก็เปนตูหลอกๆ จะวาลิ้นชักก็ดูแคคลายๆ จะวาเปนงานก็สงสัยวามันเอาไปซุกไวที่ไหน สิ่งที่จัดเก็บไวในคอมพิวเตอรเราเรียกกันวา “ไฟล” อานจากภาษาอังกฤษคําวา File . . . บางคนชอบแปลเปนไทยวา “แฟมขอมูล” แตแลวก็ใบกินเมื่อมาเจอคําวา Folder ที่ แปลวา “แฟม” อีกเหมือนกัน . . . ตกลงวาชาตินิยมไดครึ่งเดียว . . . สมน้ําหนา!! เราจะเรียกมันวา “ไฟล” ก็แลวกัน (สะกดดวยภาษาไทยเพื่อจะไมแสลงใจพวกชาตินิยม แลวนะเอา !!) แตใหลองนึกภาพของการจัดเก็บเอกสารใหดีๆ เราจะไมยัดเอกสารทั้งหมด ไวในลิ้นชักเดียวถูกมั้ย หรือไมอยางนั้นเราก็ไมไดยัดมันไวรวมๆ กันทุกๆ เรื่องอยูในชอง เดียวกันจริงรึเปลา อยางนอยเราก็ยังพยายามจัดหมวดหมูของมัน ดวย clip หนีบบาง ดวยแฟมออนบาง ดวยแฟมแข็งบาง แยกออกจากกันเปนเรื่องๆ . . . ใชรึเปลา? การเก็บ “ไฟล” ในระบบคอมพิวเตอรก็เหมือนกัน เราจะเอา “ไฟล” เรื่องเดียวกันหรือที่ เกี่ยวของกันไวในที่เดียวกัน ไอที่เดียวกันที่วานี่แหละเราเรียกมันวา Folder (อานวา “โฟลดเดอร” ไมใช “โฟลดเยอร” นะ ตัวหลังสําหรับพวกนักภาษาสติแตกเขาเขียนกัน) สมัยกอนเขาเรียกกันวา directory แปลเปนไทยวาอะไรไมรู . . . ปวดใจนักภาษาศาสตร ยิ่งนัก !! ความไมเหมือนกันอีกอยางของระบบการจัดเก็บของไฟลในคอมพิวเตอรกับเอกสารฉบับ จริงๆ ก็คือ เราสามารถจัดเก็บไฟลใน folder ที่ซอนอยูใน folder ลงไปหลายๆ ชั้นก็ได ซึ่งในโลกของความเปนจริงไมสามารถทําอยางนั้นไดกับไฟลที่เปนกระดาษ และแทบจะ เปนไปไมไดที่ลิ้นชักเอกสารจริงๆ จะมีพื้นที่เพียงพอใหเราจัดเก็บกระดาษในแบบที่เราใช ในคอมพิเตอร . . . แตก็เอาเถอะ เพราะเราเอาวิธีคิดกับแนวความคิดเทานั้นที่นํามาใชใน การเปรียบเทียบนี้
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 6 of 7
เมื่อเราจะเก็บไฟลลงไปใน hard disk ตัวระบบเองก็จะถามหาชื่อเรียกที่เราจะตองเปน คนกําหนดขึ้นมา แบบเดียวกับที่เราตองเขียนอะไรซักอยางลงบนสันแฟมเพื่อใหตัวเองหา งายๆ อยางนั้นแหละ . . . ตรงนี้มีขอกําหนดเล็กนอยที่จะตองจําใหดีๆ 1.
ชื่อไฟลควรจะมีความยาวไมเกิน 8 ตัวอักษร (แมวาในระบบคอมพิวเตอรปจจุบัน จะสามารถทําไดมากกวานั้นก็ตาม แต Windows ที่เปนระบบปฏิบัติการยอด นิยมกลับทํางานแบบคลุมดีคลุมรายกับชื่อไฟลยาวๆ)
2.
หามใสเ ครื่องหมายวรรคตอนใดๆ หรือเครื่องหมายที่ไมใชตัวอักษร (ยกเวน ตัวเลข) ลงไปเปนสวนหนึ่งของชื่อ แมแตชองวางก็ไมควรใช เพราะ Windows ไมคอยเกงกับวิธีที่แสนชาญฉลาดของเรา
3.
นามสกุลหรือสวนขยายทายชื่อไฟล ปลอยใหเปนหนาที่ของ software นั้นๆ เปนตัวกําหนด อยาไปยุงกับมันถาไมจําเปน (ในกรณีที่เราอยากระบุลงไปเอง ให ใสไดไมเกิน 3 ตัวอักษรเทานั้น)
4.
กฎเกณฑเดียวกันนี้ ใหถือปฏิบัติกับชื่อของ Folder ขึ้นมาดวยเสมอ
ตางๆ ที่เราจะสรางมัน
และสวนที่ทั้ง OS และ Application จะตองเกี่ยวของกันอีกอยางก็คือ ไฟลนั้นถูกสราง โดย Application แต Folder จะตองถูกสรางโดย OS เทานั้น สวนใครจะเปนผูกําหนด วาตองสราง Folder หรือไมก็คือ “ตัวกู” นั่นเอง นี่คือหลักการพื้นฐานที่เราจะตองใชเพื่อการสรางไฟล หรือที่เราจะเรียกมันวา “งาน” นั่น แหละ การแยกชองเก็บ หรือแยกกลุมของไฟลเราตองเปนผูแยก หรือจําแนกเปนเรื่องๆ ดวยตัวของเราเอง ผานคําสั่งของ OS เพื่อแบงซอยพื้นที่ใน hard disk ใหเปนระเบียบ ตามที่เราตองการ การสรางไฟลจะสรางผาน Application เทานั้น สวนการลบไฟลออก จาก hard disk ก็ยอนกลับไปเปนเรื่องของ OS อีก เพราะมันเกี่ยวกับการบริหาร คอมพิวเตอรสวนที่เราเรียกวา hardware จําไดมั้ย? hard disk ถือเปน hardware ชิ้นนึงของระบบ ดังนั้นการจัดการอะไรกับ hard disk จึงตองใชคําสั่งของ OS เปนตัว จัดการ การโอนยายขอมูล หรือการ copy ที่เรียกวาทําสําเนาขอมูล ก็เปนเรื่องของการ จัดการ hard disk จึงเปนเรื่องของ OS สวน Application เปนเรื่องของการสรางไฟล ใหมเทานั้น ไมมีสวนเกี่ยวของกับการบริหารพื้นที่ใชสอยใน hard disk แตประการใด ทั้งสิ้น สําหรับคําถามวาเราจะสรางไฟลไดยังไง? เราจะเรียกไฟลออกมาใชงานไดยังไง? หรือ แมแตเราจะจัดการกับ hard disk ในลักษณะงานตางๆ ยังไง? เปนเรื่องของรายละเอียด ที่ไมใชหัวใจหลักของความรูพื้นฐาน . . . ที่สําคัญคือหลักการในการใชงาน สวนคําสั่งจะ เปนอะไรนั้นขึ้นอยูกับ software ที่เราเลือกและใชบนพื้นฐานที่ถูกตองนี้เทานั้นจึงจะ สมบูรณ หากทุกคนเริ่มตนจากการกระโดดใสที่การทองจําคําสั่งตั้งแตแรก การจัดเก็บใน ระบบขอมูลก็จะเลอะเทอะ และสรางปญหาใหตัวเองไวไปคอยโทษกฎแหงกรรมอยูร่ําไป การที่เครื่องคอมพิวเตอรดูเหมือนกับควบคุมไดยาก เพราะเราเองไมพยายามควบคุมมัน เองตั้งแตเริ่มหัดใชซะมากกวา . . . อยาไปโทษฟาโทษแผนดิน เพราะนี่เปนดินแดนของ “กฎแหงกู”
เราจะเรียกมันวา “Computer Basic” Page 7 of 7
เราจะเรียกมันวา “สรุป” ปกติผมก็สอนคอมพิวเตอรทุกคนแคนี้ เพราะที่เหลือเปนรายละเอียดที่สามารถหาอานเอา เองไดจากตําราหรือแผน CD ที่ไหนก็ได หรือไปหาเรียนเอาเองจากศูนยทีเขาเปดอบรม กันอยูดาษดื่นทั่วประเทศ หรือไมก็ตะบันใชงานมันไปเรื่อยๆ กับ software ที่เรา จําเปนตองใชงาน แตเอกสาร 5-6 หนานี้เทานั้นที่จะไมมีการเขียนหรือบอกเลาไวใหพวก เราเขาใจในที่อื่น (ยกเวนตําราที่ไมคอยมีคนนิยมอานกันบางเลมเทานั้น) แนนอนที่มันดูเปนเรื่องบาบออยางที่สุด ที่ผมจะบอกทุกคนวาคอมพิวเตอรที่จําเปนตองรูก็ มีเพียงเทานี้เองที่สามารถบอกเลาเปนตําราได ที่เหลือก็จะตองเรียนจากของจริงเทานั้น คูมือหรือตําราทั้งหลายก็เพียงแตสรางเหตุการณณจําลองขึ้นมา เพื่อบอกเลาวิธีใชงานของ software แตละตัวเปนการเฉพาะ แตละตัวก็จะมีพื้นฐานที่แตกตางกันบาง แตหัวใจ หลักๆ ของการบริหารจัดการคอมพิวเตอรมีแคนี้จริงๆ พวกเราเชื่อหรือไมวานักแขงรถใชรถยนตที่มีจํานวนเกียรมากกวาของเรา หรือวาเขามี พวงมาลัยมากกวาหนึ่งที่ไมเหมือนกับรถของเรารึเปลา? มันก็อีหรอบเดียวกันทั้งนั้นครับ ผมเริ่มตนจากที่ตัวเองรูเทานี้ แลวก็ตะบันมันเขาไปอาทิตยละกวา 100 ชั่วโมงจนกระทั่ง ปจจุบัน . . . อืมม . . . ซักกวา 10 ปเห็นจะไดถึงจะเปนอยางที่ทุกคนเห็นในวันนี้ โดยไม คอยจะไดอานตํารับตําราดานนี้มากนัก (หนังสือตุนไวเยอะครับ แตเอาไวคนไมไดเอาไว อาน) มันเปนเรื่องที่ตองอาศัยเวลาในการบมเพาะพอสมควร ผมยังถือวาตัวเองเปนเพียง user รายหนึ่งของโลกเทานั้น ยังไมถึงขั้นที่จะเขียนโปรแกรม หรือพัฒนา software ตัวหนึ่งตัวใดขึ้นมาใชงานอยางจริงๆ จังๆ แตผมก็เปน “ผูใช” ที่ “ใช” จริงๆ ใชแบบ “โคตรใช” และสรรหาทุกวิถีทางที่จะใชบนพื้นฐานของ “กฎแหงกู” ที่วา มาทั้งหมดนี้ ปญหาสําคัญของ “การใชงาน” คอมพิวเตอรก็คือ เราจะตองรูจักตัวเอง ตองรูวาตัวเอง ตองการอะไร ตองการใหเครื่องคอมพิวเตอรทํางานอะไร ประเภทไหน และควรจะใช software ประเภทอะไรไปสั่งงานมัน . . . สั่งยังไงเปนเรื่องหลังสุดเสมอ . . . ในขณะที่ ตามโรงเรียนที่เขาสอนเขาจะสอนไลจากทายสุด คือสอนวิธีการใชคําสั่งกอน แลวคอยๆ ตอดเอาเงินเราไปเรื่อยๆ โดยไมยอมสอนพื้นฐานที่ถูกตองซะที !! เอาละ !! ตอนนี้มีเครื่องคอมพิวเตอรที่พรอมใชงานกันคนละเครื่องแลว ลองถามดูซิวา อยากใหมันทําอะไรใหเราบาง . . . ถาอยากใหมันทําทุกอยางแทน “กู” ละกอ . . . ไปเกิด ใหมไดเลย !! เพราะคอมพิวเตอรทําไมไดอยางเดียวคือ “การคิด” และหนาที่ในการคิดเปน หนาที่โดยตรงของพวกเรา . . . มันเปนแคเครื่องมือที่ชวยใหเรื่องที่เราคิดมันเสร็จเร็วขึ้น เทานั้นเอง . . . ผมถึงบอกไวแลวไงวาสวนผสมที่สําคัญที่สุดยังเปน “ตัวกู” เสมอ !! ลองคํานวณผลคูณของ 1458412563896 x 5695425845 แลวหารดวย square root ของ 125489653 แลวเอาทั้งหมดไปยกกําลัง 3 เพื่อหาจํานวนเต็มที่เกิดขึ้นดูสิ ถา นี่คือขอสอบสําหรับตัดสินวาใครจะไดขึ้นสวรรคหรือลงนรก โดยจํากัดจํานวนคนที่สามารถ ทําเสร็จกอน ซึ่งทุกคนจะตองแยงกันทําใหเสร็จเร็วที่สุดเทานั้น . . . คําวา “เร็วกวา” มี ความหมายประมาณนั้นในโลกปจจุบันครับ !!