Introduction to OFDM and its PAPR Drawback Dr. Prapun Suksompong
หลักการเบื้องตนของ OFDM OFDM ซึ่งยอมาจาก Orthogonal Frequency Division Multiplexing เปนระบบที่มีการวิจัยอยางแพรหลายในปจจุบัน มีการนําไป ประยุกตใชกับการสื่อสารไรสายหลายประเภท ขอดีเบื้องตนของระบบ OFDM คือ เปนระบบที่สามารถสงผานขอมูลดวยอัตรา ความเร็วสูงเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ อีกทั้งยังใชยานความถี่ที่มีอยูอยางมีประสิทธิภาพซึ่งจะไดกลาวถึงในสวนตอไป ในสวนนี้ เราจะอธิบายหลักการทํางานเบื้องตนของ OFDM โดยเริ่มจากระบบที่ไมซับซอนเพื่อใหเขาใจไดงาย หลังจากนั้นเราจะชี้ใหเห็น ถึงปญหาและการแกปญหาโดยการเพิ่มเติมคุณลักษณะของ OFDM ลงไปในระบบ การสงขอมูลโดยใชคลื่นพาหเดียว (Single Carrier Transmission) เทคนิคการสงสัญญาณแบบ OFDM เปนรูปแบบของการสงขอมูลแบบขนานโดยอาศัยหลายคลื่นพาห (Multi-Carrier Transmission) ซึ่งเราจะนําเสนอโดยเปรียบเทียบกับการสงขอมูลโดยใชคลื่นพาหเดียว (Single Carrier Transmission) ในการสง ขอมูลโดยใชคลื่นพาหเดียวนั้น การสงชุดขอมูล (block of symbols) ที่ประกอบดวย s1 , s2 ,…, sN สามารถทําไดโดยการสง pulse p ( t ) ที่เปลี่ยนขนาดไปตาม s1 , s2 ,…, sN เรียงกันไปตามลําดับ โดยสามารถเขียนเปนสมการไดดังนี้ N −1
s ( t ) = ∑ sk p ( t − kT ) k =0
โดย T เปนเวลาที่ใชในการสงแตละสัญลักษณขอมูล (symbol interval) ตัวอยางของ pulse p ( t ) ที่งายที่สุดก็คือ pulse รูป สี่เหลี่ยม (rectangular pulse) ซึ่งเขียนสมการไดเปน ⎧1, t ∈ [ 0, T ) p ( t ) = 1[0,T ) ( t ) = ⎨ ⎩0, otherwise. เราจะเห็นวาขอมูล s1 นั้นเมื่อนําไปคูณกับ pulse p ( t ) แลวจะอยูระหวางเวลา t ∈ [ 0, T ) ในแกนเวลา สวนขอมูล s2 นั้นจะ
อยูระหวางเวลา t ∈ [T , 2T ) ดังนั้น เมื่อใช pulse รูปสี่เหลี่ยมขางตนสัญญาณที่ไดจะไมมีการซอนทับกันในแกนเวลา รูปที่ 1a แสดงตัวอยางของสัญญาณ s ( t ) สําหรับขอมูล ( s1 , s2 ,… , s8 ) = (1,0,1,1,0,1,0,1)
1|P a g e
(a)
1.2
(b)
1 1
0.8 0.6
0.8 0.4 0.6
0.2
0.4
-0.2
0
-0.4 0.2 -0.6 -0.8
0
-1 -0.2 -1
0
1
2
3
4 Time
5
6
7
8
9
-1
0
1
2
3
4 Time
5
6
7
8
9
รูปที่ 1: (a) ตัวอยางของสัญญาณ s (t ) เมื่อขอมูลเปน ( s1 , s2 ,… , s8 ) = (1,0,1,1,0,1,0,1) (b) ตัวอยางของสัญญาณ x(t ) ที่เกิดจากการ modulate สัญญาณ s (t ) กอนที่สัญญาณ s ( t ) ดังกลาวจะถูกสงออกไปจากเครื่องสง สัญญาณจะถูกแปลงความถี่ดวยสัญญาณพาหโดยกระบวนการที่ เรียกวา modulation ถาเราวิเคราะหสัญญาณในแกนความถี่ (frequency domain) ผลของการ modulation ก็คือสัญญาณจะยายแถบ ความถี่ของตัวเองจากรอบ ๆ ความถี่ศูนยไปยังรอบ ๆ ความถี่ของสัญญาณพาห ดังนั้นเราจึงเรียกสัญญาณที่ถูก modulate แลววา สัญญาณแบนดพาส (bandpass signal) สําหรับสัญญาณที่ยังไมไดผานการ modulation เราจะเรียกวาสัญญาณเบสแบนด (baseband signal) เราสามารถเขียนสมการของสัญญาณแบนดพาสไดดังตอไปนี้
{
x ( t ) = Re s ( t ) e j 2π fc t
}
โดยที่ f c เปนความถี่ของคลื่นพาห ถาเราให S ( f ) เปน spectrum ของสัญญาณเบสแบนด s ( t ) ผลของการ modulation ใน แกนความถี่ก็คือ spectrum X ( f ) ของสัญญาณ bandpass x ( t ) สามารถเขียนไดเปน X(f)=
1 ( S ( f − fc ) + S * ( − f − fc )) 2
จะเห็นไดวา spectrum S ( f ) ของ s ( t ) ไดยายไปอยูที่ ± fc นอกจากนี้ถาสัญญาณเบสแบนด s ( t ) เปนจํานวนจริงเสมอ สมการของสัญญาณแบนดพาสขางตนจะเหลือเพียง x ( t ) = s ( t ) cos ( 2π f ct )
สวน spectrum X ( f ) ก็จะเปน 1 ( S ( f − fc ) + S ( f + fc )) 2 รูปที่ 1b แสดงตัวอยางของสัญญาณ bandpass ที่ไดจากสัญญาณ baseband ในรูปที่ 1a X(f)=
สัญญาณที่ถูก modulate แลวจะถูกสงผานไปยังชองสัญญาณ (Channel) ในสวนถัดไปเราจะอธิบายลักษณะของ ชองสัญญาณสําหรับการสื่อสารแบบไรสาย
2|P a g e
การสื่อสารไรสายและการจางหายแบบหลายเสนทาง (Wireless communication and Multipath fading) การสื่อสารแบบไรสายไดกลายเปนสวนสําคัญในการดํารงชีวิตประจําวัน ในขณะเดียวกัน ความตองการสงขอมูลเปนปริมาณ มากในเวลารวดเร็วไดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อยางไรก็ตาม การสื่อสารผานชองสัญญาณแบบไรสายนั้นมีขอจํากัดมากมาย คุณลักษณะของชองสัญญาณสามารถเปลี่ยนแปลงตามองคประกอบตาง ๆ ได เชน สิ่งแวดลอมทางกายภาพ ความเร็วในการ เคลื่อนที่ของอุปกรณภาครับหรือสง และ อุณหภูมิ เปนตน นอกจากนั้นยังมีสัญญาณรบกวน (noise) ซึ่งเราควมคุมไดยาก ใน สวนนี้เราจะกลาวถึง การจางหายแบบหลายเสนทางของชองสัญญาณ ในการสื่อสารแบบไรสาย สัญญาณที่ถูกสงออกมาจะกระจายออกเปนหลายทิศทาง ดังนั้นจึงมีการสูญเสียของสัญญาณ สูง เมื่อคลื่นสัญญาณเดินทางผานตัวกลางก็จะมีการลดทอน (Attenuation) ของสัญญาณเกิดขึ้น นอกจากนี้สัญญาณที่กระจาย ออกนอกเสนทางยังสามารถสะทอนกลับมายังเครื่องรับไดอีกดังรูปที่ 2 สัญญาณที่สะทอนกลับมาเหลานี้เดินทางมาถึงเครื่องรับ ลาชากวาสัญญาณที่มาจากเสนทางตรงเพราะระยะทางที่เพิ่มขึ้น เราจะเรียกเวลาการเดินทางที่เพิ่มขึ้นนี้วา คาหนวงเวลา (excess delay) โดยปกติแลวสัญญาณสะทอนจะมีมากกวาหนึ่งสัญญาณ โดย ขนาด และ คาหนวงเวลาของแตละสัญญาณ ก็จะแตกตาง กันไป เราเรียกการเดินทางของสัญญาณแบบหลายเสนทางนี้วา multipath propagation และเรียกสัญญาณเหลานี้วา multipath waves
รูปที่ 2: Multipath propagation เมื่อเกิด multipath propagation สัญญาณที่เครื่องรับไดรับก็จะมีการผิดเพี้ยน (smearing) ไปจากสัญญาณที่ถูกสงออกมา จากเครื่องสงดังแสดงในรูปที่ 3 ปญหานี้เราเรียกวา การจางหายแบบหลายเสนทาง หรือ multipath fading สังเกตวาพลังงาน บางสวนของสัญลักษณแรกซึ่งควรจะถูกจํากัดอยูระหวางเวลา 0 ถึง T ไดล้ําเขาไปอยูในสวนของสัญลักษณที่สอง ปญหานี้ เรียกวา การสอดแทรกระหวางสัญลักษณ (Inter-symbol Interference:ISI)
3|P a g e
(a)
(b)
1
1
0.8
0.8
0.6
0.6
0.4
0.4
0.2
0.2
0
0
-0.2
-0.2
-0.4
-0.4
-0.6
-0.6
-0.8
-0.8
-1
-1
-1
0
1
2
3
4 Time
5
6
7
8
9
0
2
4
6 Time
8
10
12
รูปที่ 3: (a) Multipath fading เมื่อ T (symbol interval) มีขนาดใหญเมื่อเทียบกับคาหนวงเวลา จะเห็นไดวาสัญญาณไมได เปลี่ยนไปมากนักจากสัญญาณ x (t ) ในรูปที่ 1 (b) Multipath fading เมื่อ T (symbol interval) มีขนาดใกลเคียงกับคาหนวงเวลา จะเห็นไดวาสัญญาณนั้นแตกตางไปจาก สัญญาณ x (t ) ในรูปที่ 1 อยางมาก เราสามารถจําลองลักษณะของชองสัญญาณที่มี multipath fading ไดดวยสมการทางคณิตศาสตรที่อธิบายผลตอบสนอง อิมพัลสของชองสัญญาณ (channel impulse response) ดังตอไปนี้ v
h ( t ) = ∑ βiδ ( t − τ i ) i =0
เมื่อสัญญาณ x ( t ) เดินทางผานชองสัญญาณ สัญญาณ r ( t ) ที่ปรากฏที่เครื่องรับจะเปน v
x ( t ) ∗ h ( t ) + n ( t ) = ∑ βi x ( t − τ i ) + n ( t ) i =0
โดยที่ n ( t ) คือสัญญาณรบกวน และ เครื่องหมาย * แสดงถึงการประสาน (convolution) ของสัญญาณ x ( t ) กับ h ( t ) เมื่อ เราวิเคราะหสมการดังกลาว เราจะเห็นวามีการรวมของสัญญาณ βi x ( t − τ i ) ซึ่งก็คือ สัญญาณ x ( t ) ที่มีคาหนวงเวลา τ i และขนาดถูกลดทอนไปเปน βi นั่นเอง ใน รูปที่ 3a เราใช h ( t ) = 0.5δ ( t ) + 0.2δ ( t − 0.2T ) + 0.3δ ( t − 0.3T ) + 0.1δ ( t − 0.5T )
สวนในรูปที่ 3b เราใช h ( t ) = 0.5δ ( t ) + 0.2δ ( t − 0.7T ) + 0.3δ ( t − 1.5T ) + 0.1δ ( t − 2.3T )
ขอสังเกตอีกอยางจากรูปที่ 3 ก็คือปญหา multipath fading จะมีนอยมากถา symbol interval T มีขนาดใหญเมื่อเทียบ กับคาหนวงเวลา อยางไรก็ตาม ความตองการสงขอมูลอยางรวดเร็วทําใหไมสามารถเพิ่มขนาดของ T ไดโดยตรงเพราะจะทําให อัตราการสงขอมูลลดลง การแกปญหา multipath fading นี้สามารถทําไดโดยการใชการปรับแตงชองสัญญาณ (Equalization) ซึ่ง ยุงยากและซับซอน อีกวิธีหนึ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงปญหา multipath fading และเปนหลักการพื้นฐานที่ถูกนํามาใชใน OFDM ก็ คือการสงขอมูลโดยแบงขอมูลไปยังหลายแถบความถี่ซึ่งจะไดกลาวถึงในสวนถัดไป 4|P a g e
Multi-carrier transmission ดังที่ไดอธิบายในสวนที่แลว ปญหา multipath fading นั้นจะมีผลกระทบนอยมากถาเราสงสัญญาณดวยคา T ที่มีขนาดใหญ แต ความตองการสงขอมูลอยางรวดเร็วทําใหไมสามารถลดคา T ไดโดยตรงเพราะจะทําใหอัตราการสงขอมูลลดลงตามไปดวย การ สงขอมูลโดยใชหลายคลื่นพาหเปนเทคนิคหนึ่งซึ่งหลีกเลี่ยงปญหา multipath fading ได โดยใชหลักการพื้นฐานที่ไมไดแตกตาง ไปจากหลักการในการสงขอมูลโดยใชคลื่นพาหเดียวที่กลาวมาขางตนเลย หากแตมีการแบงขอมูลออกเปนหลาย ๆ สวนขนาน กันไป (parallel data stream) โดยแตละสวนยอย ถูกสงออกไปดวยคลื่นพาหยอย (subcarrier, SC) ที่มีความถี่ตางกัน เมื่อขอมูล ถูกแบงเปนหลายสวน แตละสวนจึงไมจําเปนตองมีอัตราการสงที่สูง ดังนั้นจึงสามารถใช T ที่มีขนาดใหญได ยิ่งเพิ่มจํานวนของ สัญญาณพาหยอยมากขึ้นเทาใดก็ยิ่งสงขอมูลไดมากขึ้นโดยไมกระทบตอ T วิธีนี้เรียกวา การมัลติเพล็กซโดยการแบงความถี่ (Frequency Division Multiplexing: FDM) การสงขอมูลแบบ FDM นั้นมีขอจํากัดหลายประการ ประการแรก เนื่องจากมีการใชคลื่นพาหหลายความถี่ เครื่องรับ สัญญาณจะตองทําการแยกสัญญาณที่ถูกสงมากับแตละคลื่นพาหโดยการกรองสัญญาณ ดังนั้นเราจะตองจัดใหความถี่ของ คลื่นพาหอยูหางกันมากพอสมควรเพื่อลดการทับซอนของสัญญาณในแกนความถี่ทําใหไมสามารถใชยานความถี่ที่มีอยูอยาง เต็มที่ อีกปญหาของ FDM เปนเรื่องของความซับซอนของระบบ นั่นคือ ยิ่งเราแบงขอมูลออกมากสวนเทาใด ความซับซอนของ เครื่องสงและรับสัญญาณก็ยิ่งมากขึ้นตามไปดวยเพราะจะตองรองรับการทํางานภายใตจํานวนความถี่ของคลื่นพาหที่มากขึ้น เครื่องสงสัญญาก็จะตองมีวงจรกําเนิดความถี่ (oscillator) ที่หลากหลาย ปญหาทั้งสองประการเปนอุปสรรคที่สําคัญของระบบ แบบ FDM ในสวนถัดไป เราจะกลาวถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของ FDM ดวยการสงสัญญาณที่ตั้งฉากซึ่งกันและกัน การตั้งฉาก (Orthogonality) ในสวนนี้จะกลาวถึงการสงสัญญาณที่ตั้งฉาก (orthogonal) ซึ่งกันและกัน สังเกตวาอักษร O ในคํายอ OFDM นั้นมาจากคําวา orthogonality ซึ่งก็คือ การตั้งฉากที่เราจะกลาวถึงในสวนนี้เอง สมมติวาเราตองการสงขอมูล s1 , s2 ,…, sN เราสามารถทําไดโดยการสง pulse p ( t ) ในแกนเวลาที่เปลี่ยนขนาดไป ตาม s1 , s2 ,…, sN เรียงกันไปตามลําดับ N −1
s ( t ) = ∑ sk p ( t − kT ) k =0
โดยแตละ pulse ใชเวลา T หนวยดังที่เราไดอธิบายไปแลวในสวนของการสงขอมูลโดยใชคลื่นพาหเดียว สําหรับการสงขอมูล แบบ FDM นั้นในแตละชองเวลาที่มีขนาด T เราจะสงขอมูล s1 , s2 ,…, sN ไปพรอม ๆ กันโดยใชหลายแถบความถี่ ซึ่งสามารถ สรุปเปนสมการในแกนความถี่ไดวา N −1
S ( f ) = ∑ sk p ( f − k Δf ) k =0
โดยที่ Δf
เปนระยะหางระหวาง spectrum ของสัญญาณยอย สําหรับในการสงสัญญาณที่ตั้งฉากกันนั้น สัญญาณ p ( f − k Δf ) จะตองตั้งฉากซึ่งกันและกันดวย นั่นคือ สําหรับจํานวนเต็ม k และ j ที่แตกตางกัน เราตองการให
∫ p ( f − k Δf ) p ( f − jΔf )df = 0 ∗
5|P a g e
เห็นไดชัดวา ถา p ( f − k Δf ) ไมซอนทับกับ p ( f − jΔf ) ในแกนความถี่ ผลของการคูณกันจะไดศูนยเสมอ สงผลให คาที่ไดจากการ integrate เปนศูนยไปดวย นั่นคือสัญญาณทั้งสองก็จะตั้งฉากกันตามนิยามขางตนและไมรบกวนกัน นี่เปน หลักการพื้นฐานของ FDM อยางไรก็ตาม การที่จะแยกสงสัญญาณใหอยูในแถบความถี่ที่ไมซอนทับกันโดยสิ้นเชิงนั้นทําไดยาก ในทางปฏิบัติ และเปนสาเหตุใหระบบแบบ FDM ตองวาง spectrum ของสัญญาณยอยบนแกนความถี่ใหหางกันมาก อีกทั้งยังมี การเพิ่มแถบปองกัน (guard band) ระหวาง spectrum ของสัญญาณยอยอีก ทั้งหมดนี้นํามาซึ่งการสิ้นเปลืองยานความถี่ ที่จริงแลวการที่สัญญาณจะตั้งฉากกันนั้น ไมจําเปนที่จะตองหลีกเลี่ยงการทับซอนกันในแกนความถี่ ตัวอยางของชุด สัญญาณที่ตั้งฉากกันแบบนี้ก็คือสัญญาณในรูปของ ฟงกชัน sinc ซึ่งใช p( f ) =
⎛ f ⎞ 1 sinc ⎜ π ⎟ Δf ⎝ Δf ⎠
ดังแสดงในรูปที่ 4 จะเห็นวา spectrum ของสัญญาณยอยนั้นซอนทับกัน แตจุดสูงสุด (peak value) ของแตละ spectrum ของ สัญญาณยอยหนึ่งจะเปนจุดที่ spectrum ของสัญญาณยอยอื่น ๆ มีคาเปนศูนยทําใหไมมีการซอนทับกันที่จุดสูงสุดเหลานี้ สรุป แลว OFDM ก็เปน FDM แบบหนึ่งนั่นเองหากแตมีการจัดวางคลื่นพาหยอยใหอยูใกลกันที่สุดโดยยังคงความตั้งฉากกันอยู OFDM
FDM
f
รูปที่ 4: Spectrum ของ OFDM และ spectrum ของ FDM ถาเราวิเคราะหสัญญาณในแกนเวลาโดยใช inverse Fourier transform เราจะเห็นวาสัญญาณที่เปนฟงกชัน sinc ในแกน ความถี่นั้นเทียบเทากับสัญญาณรูปสี่เหลี่ยมในแกนเวลา การที่ peak ของสัญญาณ sinc นั้นถูกวางไวที่ความถี่ k Δf นั้นเทียบเทา กับการคูณดวย e j 2π k Δft ดังแสดงในสมการตอไปนี้ p ( f − k Δf ) ⎯F⎯⎯ →1⎡ −1
T T⎤ ⎢− 2 , 2 ⎥ ⎣ ⎦
( t ) e + j 2π k Δft
ดังนั้นสัญญาณขางตนจะถูกจํากัดอยูระหวางเวลา t ∈ ⎡⎢ − , ⎤⎥ โดยที่ T = เมื่อนําเอาสัญญาณยอยมารวมกันเราจะได Δf ⎣ 2 2⎦ T T
1
N −1
s ( t ) = ∑ sk e+ j 2π k Δft k =0
⎡ ⎤ สําหรับเวลา t ∈ ⎢− , ⎥ แตถาเราใช pulse p ( f ) อื่นที่ไมใช ฟงกชัน sync สัญญาณรวมก็จะเปน ⎣ 2 2⎦ T T
6|P a g e
N −1
s ( t ) = ∑ sk P ( t ) e+ j 2π k Δft k =0
โดย P ( t ) คือ inverse Fourier transform ของ p ( f ) ขอสังเกต: สัญญาณ s ( t ) ไมจําเปนตองเริ่มจากเวลา − T 2 หากเราตองการใหสัญญาณถูกจํากัดอยูในชวงเวลา [t0 , t0 + T ] ก็สามารถทําไดโดยใชสัญญาณ ⎛ ⎛ T ⎞⎞ s ⎜ t − ⎜ t0 − ⎟ ⎟ 2 ⎠⎠ ⎝ ⎝
แทน สัญญาณ s ( t ) ในสวนของเครื่องรับสัญญาณนั้น ถาเราใชฟงชัน sinc เปน pulse p ( f ) ดังที่ยกตัวอยางขางตน และไมเกิดการ รบกวนภายในชองสัญญาณ นั่นคือ ถาสัญญาณ r ( t ) ที่ไดรับนั้นเปนสัญญาณ s ( t ) โดยตรง เมื่อเราตองการดึงเอาขอมูล s1 , s2 ,…, sN ออกมาจาก r ( t ) ก็สามารถทําไดโดยการแปลง r ( t ) ใหอยูในแกนความถี่ R ( f ) ดวย Fourier transform แลวชักสัญญาณ (sample) ที่ความถี่ f = mΔf โดย m = 0,1,… , N − 1
เราจะได N −1
N −1
k =0
k =0
R ( mΔf ) = ∑ sk p ( ( m − k ) Δf ) = ∑ sk
1 s sinc (π ( m − k ) ) = m Δf Δf
ซึ่งเทียบเทากับการรูคาของ sm เพราะเรารูคาของ Δf อยูกอนแลว จะเห็นไดวา การที่เราสามารถดึงเอาคา s1 , s2 ,…, sN ออกมาไดอยางงายดายก็เพราะจุด peak ของแตละฟงกชัน sync นั้น อยูตรงจุดที่ฟงกชัน sinc อื่นเปน 0 ทั้งสิ้น การนํา IDFT และ DFT มาใชใน OFDM การใช orthogonality ในสวนที่แลวนั้นทําให OFDM สามารถใชยานความถี่ไดอยางมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเกือบเทาตัว เมื่อเทียบกับ FDM แบบธรรมดา แตปญหาใหญอีกประการของ FDM ก็คือการที่เครื่องสงตองผลิตสัญญาณพาหที่มีความถี่ได หลากหลาย ซึ่งหาก N มีคามากก็เปนเรื่องที่ทําไดยาก ในสวนนี้เราจะอธิบายถึงที่มาของการประมวลสัญญาณดวย IDFT (inverse discrete Fourier transform) และ DFT (discrete Fourier transform) ใน OFDM ซึ่งทําใหสามารถสงสัญญาณทั้ง N ความถี่ไดใน เวลาเดียวกัน กอนอื่น เราจะลอง sample สัญญาณ s (t ) ที่เวลา t = nT =
n โดย n = 0,1,…, N − 1 Δf
ซึ่งผลที่ไดก็คือ N −1
s [ n ] = s ( nT ) = ∑ sk e+ j 2π kn k =0
จะเห็นไดวา 7|P a g e
( s [ n ])
N −1 n=0
{
= IDFT ( sk )k = 0
N −1
}
ดังนั้น หากไมเกิดการผิดเพี้ยนของสัญญาณในชองสัญญาณ เราจะได r [ n ] = r ( nT ) = s [ n ]
และสามารถดึงเอาขอมูลกลับมาไดโดยการใช DFT สรุปวาในการสงขอมูลแบบ OFDM นั้น เราจะแปลงขอมูลจากแบบอนุกรม ซึ่งก็คือขอมูลที่เรียงกันมาตามลําดับเปนขอมูลแบบขนาน แลวทําการประมวลขอมูลทั้งชุดในเวลาเดียวกันดวย IDFT จากนั้นจึง สงออกไปในชองสัญญาณ ที่เครื่องรับก็จะประมวลผลสัญญาณโดยใช DFT เพื่อใหไดขอมูลกลับคืนมาดังสรุปดวยแผนผัง ตอไปนี้
( sk )k = 0 → N −1
IDFT → ( s [ n ])n = 0
N −1
→ ( r [ n ])n = 0 → DFT → ( Rk )k = 0 = ( Sk )k = 0 N −1
N −1
N −1
นอกจากนี้ เพราะขอมูลผานการ IDFT กอนที่จะถูกสงออกไป เราจึงเรียกขอมูลเหลานี้วาสัญลักษณในแกนความถี่ (frequencydomain symbol) 1 1 เปน factor อยูดวย ดวยเหตุนี้จึงไมมี factor ใน IDFT เราสามารถนิยาม N N 1 DFT ใหมเพื่อใหการแปลงของ DFT และ IDFT คลายกันมากขึ้น ซึ่งทําไดโดยการใช factor ทั้งในสูตรของ DFT และ N 1 IDFT นิยามทั้งสองแบบนี้เทียบเทากัน หากเราเลือกที่จะใชนิยามใหมก็สามารถทําไดโดยการสง s ( t ) แทน s (t ) . N
ขอสังเกต: นิยามของ DFT ที่เราใชขางตนนั้นมี
เมื่อเราใช IDFT แลวก็ไมมีความจําเปนที่จะตองมี oscillator สําหรับแตละคลื่นพาหยอย เทคนิคการใช DFT/IDFT รวมกับ OFDM นี้เรียกวา Discrete Multi-Tone (DMT) [Weinstein71] นอกจากนี้สิ่งที่ลดปญหาความยุงยากของเครื่องรับสง แบบ OFDM ก็คือ การนําเอา IFFT หรือ Inverse Fast Fourier Transform มาแทน IDFT โดย IFFT นั้นสามารถประมวลผลได อยางรวดเร็วเมื่อเทียบกับ IDFT ในทํานองเดียวกัน สวน DFT ของ OFDM ก็ถูกแทนที่โดย FFT (fast Fourier transform) การ ประมวลผลโดย FFT สามารถลดจํานวนการคูณในการแปลงแบบ DFT จาก N 2 เปน N log N สําหรับขอมูลที่มีขนาด N นอกจากการนี้ยังมีการเพิ่มชวงเวลาปองกัน (guard time) เพื่อปองกันผลกระทบที่เกิดจาก multipath fading ที่เรา กลาวถึงขางตน โดยมีการเสริมสัญญาณดวย cyclic prefix ซึ่งเปนการคัดลอกเอาสัญลักษณสวนทายของแตละ block ขอมูลมา สอดไวกอน block ขอมูลนั้น ปญหาของ OFDM: อัตราสวนกําลังงานสูงสุดตอกําลังงานเฉลี่ย ปญหาที่สําคัญมากของระบบ OFDM ก็คือการที่สัญญาณมีอัตราสวนกําลังงานสูงสุดตอกําลังงานเฉลี่ย (Peak-to-Average Power Ratio, PAPR) ที่สูง เมื่อสัญญาณที่มีคา PAPR สูงเขาสูวงจรขยาย (amplifier) ของเครื่องสง วงจรขยายจะตองทํางานในชวงอิ่มตัว และทํางานแบบไมเปนเชิงเสน (non-linear) จึงเกิดการผิดเพี้ยนของสัญญาณ เปนผลใหอัตราความผิดพลาดบิตขอมูล (Bit Error Rate: BER) เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังทําให spectrum ของสัญญาณล้ําออกนอกแถบความถี่ของชองสัญญาณไปรบกวน ชองสัญญาณอื่น หากตองการการขยายสัญญาณเชิงเสน ก็จะมีผลตอประสิทธิภาพทางกําลังของ amplifier ที่ใชงาน ทําใหตองใช amplifier ที่มีราคาแพง 8|P a g e
ในสวนนี้เราจะใชทฤษฎีความนาจะเปนมาอธิบายวาเหตุใดคา PAPR จึงสูงตามคา N กอนอื่น ถาเรายอนกลับวิเคราะห สัญญาณของ OFDM หลังจากผาน IFFT จะเห็นวาสัญญาณมีคาดังนี้ s [ n] =
1 N
N −1
∑s e k =0
+ jωk
โดย ωk = 2π k
k
n และ n = 0,1,… , N − 1 N
ซึ่งโดยปกติแลว sk จะเปนจํานวนเชิงซอน หากมีการใชคลื่นพาหยอยจํานวนมาก (N มีคาสูง) ก็มีโอกาสสูงที่ s [ n] จะมีคา มาก เพราะเปนผลของการรวมกันของสัญญาณขอมูลหลังการทํา IFFT ในที่นี้ถาเราสมมติให s0 , s1,…, sN −1 เปนตัวแปรสุม เชิงซอน (complex random variable) ซึ่งหมายความวาแตละตัวแปรสุม sk จะสามารถแบงเปนสวนจริงคือ Re{sk } และ สวน เชิงซอนคือ Im{sk } โดยทั้งสองสวนเชื่อมกันดวยความสัมพันธ sk = Re {sk } + j Im {sk }
ดังนั้นเราจึงมีตัวแปรสุม 2N ตัวแปร ดังนี้ Re {s0 } , Im {s0 } , Re {s0 } , Im {s0 } ,…, Re {sN −1} , Im {sN −1}
โดยตัวแปรสุมทั้งหมดเปนจํานวนจริง ในสวนนี้เราจะใหตัวแปรสุมทั้งหมดมีลักษณะเปน iid (independent and identically distributed) โดย 2 2 Re{sk } = Im {sk } = 0 และ E ⎡( Re {sk } ) ⎤ = E ⎡( Im {sk } ) ⎤ = σ 2 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ 1) E [ sk ] = 0 2 2 2 2) E ⎡⎣ sk ⎤⎦ = E ⎡( Re {sk } ) ⎤ + E ⎡( Im {sk } ) ⎤ = 2σ 2 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ 3) E ⎡⎣( Re {sk } ) ( Im {si } ) ⎤⎦ = 0
4) ถาคา i ≠ k แลว a) E ⎡⎣( Re {sk } ) ( Re {si } ) ⎤⎦ = 0
b) E ⎡⎣( Im {sk } ) ( Im {si } ) ⎤⎦ = 0 c) E ⎡⎣ si sk* ⎤⎦ จะเปน 0 เพราะ si กับ sk นั้นเปนอิสระ (independent) จากกัน สงผลให E ⎡⎣ si sk* ⎤⎦ = E [ si ] E ⎡⎣ sk* ⎤⎦ = 0 × 0 = 0 ( iid )
ดังนั้นเราสามารถหาคาคาดหมายของคากําลังงานเฉลี่ยไดเปน 2 1 N −1 N −1 2 E ⎡ s [ n] ⎤ = E ⎡⎣ s [ n] s* [ n]⎤⎦ = ∑∑ E ⎡⎣ si sk* ⎤⎦ e+ jωi e− jωk = E ⎡ sk ⎤ = 2σ 2 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ N k =0 i =0 นอกจากนี้เรายังสามารถกระจาย s [ n] ออกเปนสวนจริงและสวนเชิงซอน โดยที่
Re {s [ n ]} =
1 N 1 Im {s [ n ]} = N
N −1
∑ ( Re {s } cos (ω ) − Im {s } sin (ω ) ) k =0
k
k
k
k
N −1
∑ ( Re {s } sin (ω ) + Im {s } cos (ω ) ) k =0
k
k
k
k
9|P a g e
หาก N นั้นมีคามาก เราสามารถใชทฤษฎีเซ็นทรัลลิมิตของ Lyapunov (Lyapunov Central Limit Theorem) ประมาณคาความ หนาแนนเชิงความนาจะเปน (probability density) ของตัวแปรสุมทั้งสองดวย ตัวแปรสุมแบบ Gaussian ที่มีคาคาดหมายและคา ความเบี่ยงเบนเดียวกันกับตัวแปรสุมทั้งสอง ในที่นี้เรารูแลววา E [ sk ] = 0 สําหรับคาความเบี่ยงเบนนั้น เพราะคาคาดหมาย เปน 0 เราจึงสามารถหาคาความเบี่ยงเบนจาก ⎡ 2 Var ⎡⎣ Re {s [ n ]}⎤⎦ = E ⎢ Re {s [ n ]} − E ⎡⎣ Re {s [ n ]}⎤⎦ ⎢ ⎢⎣ 0
⎤ ⎥ = E ⎡ Re {s [ n ]} 2 ⎤ ⎥ ⎣⎢ ⎦⎥ ⎥⎦ 2 ซึ่งถาเราแทนคา Re{s [ n ]} ดวยสมการที่ประกอบดวยพจนที่มี cosine และ sine ขางตน คาของ E ⎡⎢ Re {s [ n ]} ⎤⎥ จะเปน ⎣ ⎦ N −1 N −1 ⎡1 ⎤ E ⎢ ∑∑ ( Re{si } cos (ωk ) − Im {si } sin (ωk ) ) ( Re {sk } cos (ωk ) − Im {sk } sin (ωk ) ) ⎥ ⎣ N k =0 i =0 ⎦ หลังจากกระจายผลคูณออกมา เราสามารถกําจัดพจนที่มี Im {si } Re{sk } และ Re{si } Im {sk } ไดเพราะมีคาคาดหมาย
) (
(
)
(
2
)
(
)
เปน 0 นอกจากนี้เมื่อ i ≠ k เรายังสามารถกําจัดพจนที่มี Re{si } Re{sk } และ Im {si } Im {sk } ได ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู คือ
(
2 2 2 1 N −1 E ⎡ Re{s [ n ]} ⎤ = ∑ E ⎡( Re{sk } ) ⎤ cos 2 (ωk ) + E ⎡( Im {sk } ) ⎤ sin 2 (ωk ) ⎦ ⎣ ⎦ ⎣⎢ ⎦⎥ N k = 0 ⎣ 2 2 เมื่อแทนคา E ⎡( Re {sk } ) ⎤ = E ⎡( Im {sk } ) ⎤ = σ 2 เราจะได ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ 2 E ⎡ Re {s [ n ]} ⎤ = σ 2 ⎣⎢ ⎦⎥
(
)
(
)
)
เราสามารถใชวิธีการเดียวกันหาคาอื่น ๆ ดังตอไปนี้ 2 1) E ⎡( Im {sk } ) ⎤ = σ 2
2)
⎣ ⎦ E ⎡ Re {s [ n ]} Im {s [ m ]} ⎤ = 0 ⎣ ⎦
(
)(
)
3) สําหรับ n ≠ m E ⎣⎡( Re {s [ n ]}) ( Re {s [ m ]}) ⎦⎤ = E ⎣⎡( Im {s [ n ]}) ( Im {s [ m ]}) ⎦⎤ = 0 ดังนั้นเราจึงสรุปไดวา เมื่อ N มีคามาก เราสามารถประมาณตัวแปรสุม Re {s [ 0]} , Im {s [ 0]} ,… , Re {s [ N − 1]} , Im {s [ N − 1]}
ดวยตัวแปรสุมแบบ Gaussian N ( 0,σ 2 ) ที่เปนอิสระจากกัน ดังนั้นตัวแปรสุม s [ 0] , s [1] ,…, s [ N − 1] 2
2
2
จึงมีลักษณะเปน iid โดยมีการกระจายแบบ exponential เพราะ
(
) (
s [ n ] = Re {s [ n ]} + Im {s [ n ]} 2
2
)
2
เปนการรวมกันแบบ Euclidean ของตัวแปรสุม Gaussian สองตัวแปรที่มีการแจกแจงแบบ iid โดยมีฟงกชันความหนาแนน (pdf) 2 เปนแบบเลขชี้กําลัง (exponential) ที่มีคาคาดหมายเปน E ⎡ s [ n ] ⎤ = 2σ 2
⎣
⎦
10 | P a g e
เราจะนิยามคา PAPR โดยสมการตอไปนี้ Γ=
max s [ n ]
0 ≤ k ≤ N −1
2 E ⎡ s [ n] ⎤ ⎣ ⎦
2
=
max s [ n ]
0 ≤ k ≤ N −1
2σ 2
2
= max
0 ≤ k ≤ N −1
s [n]
2
2σ 2
จะเห็นไดจากนิยามของ PAPR วาคาเศษเปนคากําลังงานสูงสุดและคาสวนเปนคากําลังงานเฉลี่ย ดังที่ไดอธิบายไปแลวขางตน เมื่อ N มีคามาก s [ n] จะมีการแจกแจงแบบ exponential เพราะฉะนั้น ตัวแปรสุม s [ n] 2σ 2 จึงมีการแจกแจงแบบ 2
2
exponential ดวย และมีคาคาดหมายเปน 1 เพราะ 2 ⎡ s [ n ] 2 ⎤ E ⎡ s [ n ] ⎤ 2σ 2 ⎥= ⎣ 2 ⎦ = E⎢ =1 2 2σ 2σ 2 ⎢ 2σ ⎥ ⎣ ⎦
เมื่อเปนเชนนี้ ตัวแปรสุม Γ จึงเปนการหาคาสูงสุดของตัวแปรสุมที่แจกแจงแบบ iid exponential จํานวน N ตัวแปร เราจึง สามารถหาความนาจะเปนที่ตัวแปรสุม Γ จะมีคาเกินจํานวนจริง γ ไดเปน P [ Γ > γ ] = 1 − (1 − e −γ )
N
เราจะสังเกตไดวาคาความนาจะเปนนี้เพิ่มสูงขึ้นเมื่อ N ซึ่งก็คือจํานวนของคลื่นพาหยอยมีคามากขึ้น มีงานวิจัยจํานวนมากที่นําเสนอวิธีการลด PAPR (PAPR reduction schemes) วิธีที่เราจะกลาวถึงก็คือ Signal distortion technique ซึ่งใชการบิดเบือนบริเวณสวน peak ของสัญญาณแบบไมเปนเชิงเสนตรง เพื่อไมใหสัญญาณมีคามากเกินไป โดยวิธีที่ งายที่สุดก็คือการ clip สัญญาณที่ระดับ γ ที่ตั้งไวกอน [2, 3] ซึ่งเทียบไดกับการคูณสัญญาณที่มีดวย ฟงกชันรูปสี่เหลี่ยมซึ่งเรา จะเรียกวา rectangular window ที่มีความสูงเทากับ γ หากเราใชวิธีนี้ แนนอนวาจะไมมีสัญญาณที่มีขนาดสูงกวา γ ออกมาจาก เครื่องสง อยางไรก็ตาม เมื่อสัญญาณถูก clip ไปก็จะมีรูปรางไมเหมือนเดิมซึ่งทําใหอัตราความผิดพลาดบิต (BER) ที่เครื่องรับ สูงขึ้นไปดวย นอกจากนี้ spectrum ของสัญญาณจะขยายขึ้น เพราะการคูณดวย Rectangular window ในแกนเวลาเทียบเทากับ การประสาน (convolve) สัญญาณดวยฟงกชัน sinc เมื่อ spectrum ของสัญญาณขยายขึ้นสัญญาณก็จะไปรบกวนสัญญาณในยาน ความถี่อื่น ดังนั้นเพื่อลดการไปรบกวนสัญญาณนอกแถบความถี่ จึงไดมีการเปลี่ยนเปน window แบบอื่นที่มี spectrum ที่ดีกวา เชน การใช window แบบ Gaussian [7], cosince, Kaiser, หรือ Hamming วิธีการลด PAPR นั้นยังมีอีกหลายวิธี ตัวอยางเชน การ ใชเทคนิค peak cancellation [8, 9] อีกวิธีหนึ่งก็คือการเขารหัสขอมูลกอนที่จะสงสัญญาณเพื่อกําจัดกลุมสัญลักษณที่มีคา PAPR สูงเกินไป [1, 10] ที่จริงแลว การพยายามลดคา PAPR ใหไดมากที่สุดนั้น อาจไมใชสิ่งที่ถูกตองนัก เพราะจุดมุงหมายที่แทจริงของการ สื่อสารก็คือการนําขอมูลสงไปใหถึงปลายทางอยางถูกตอง ดังนั้นนักวิจัยบางกลุมจึงใหความสนใจกับการหา efficient PAPR ซึ่ง ก็คือ PAPR ที่ดีที่สุดภายใตเกณฑที่นักวิจัยสรางขึ้น [11]
Reference [1] S. J. Shepherd, P. W. J. Van Eetvelt, C. W. Wyatt-Millington, and S. K. Barton, “Simple coding scheme to reduce peak factor in QPSK multicarrier modulation,” Electron. Lett., vol. 31, no. 14, pp. 1131–1132, July 1995. 11 | P a g e
[2] D.Wulich, “Peak factor in orthogonal multicarrier modulation with variable levels,” Electron. Lett., vol. 32, no. 20, pp. 1859–1860, Sept. 1996. [3] X. Li and L. J. Cimini Jr., “Effects of clipping and filtering on the performance of OFDM,” IEEE Commun. Lett., vol. 2, pp. 131–133, May 1998. [4] A. Papoulis, Probability, Random Variables, and Stochastic Processes, 2nd ed. New York: McGraw-Hill, 1984. [5] D. Wulich, N. Dinur, and A. Gilinowiecki, “Level clipped high order OFDM,” IEEE Trans. Commun., vol. 48, pp. 928930, June 2000. [6] Weinstein, S.B., Ebert P.M. Data Transmission By Frequency Division Multiplexing Using the Discrete Fourier Transform. IEEE Trans. Commun., Oct 1971; COM-19; 5: 628-634. [7] Pauli, M., and H. P. Kuchenbecker, “Minimization of the Intermodulation Distortion of a Nonlinearly Amplified OFDM Signal,” Wireless Personal Communications, Vol. 4, No. 1, January 1997, pp. 93–101. [8] De Wild, A., “The Peak-to-Average Power Ratio of OFDM,” M.Sc. thesis, Delft University of Technology, Delft, the Netherlands, September 1997. [9] May, T., and H. Rohling, “Reducing the Peak-to-Average Power Ratio in OFDM Radio Transmission Systems,” Proceedings of IEEE VTC’98, Ottawa, Canada, May 18–21, 1998, pp. 2774–2778. [10] Wilkinson, T. A., and A. E. Jones, “Minimization of the Peak-to-Mean Envelope Power Ratio of Multicarrier Transmission Schemes by Block Coding,” Proc. of IEEE Vehicular Technology Conference, Chicago, IL, July 1995, pp. 825–829. [11] Wulich, D., "Definition of efficient PAPR in OFDM," Communications Letters, IEEE , vol.9, no.9, pp. 832-834, Sep 2005
12 | P a g e