English Grammar

  • May 2020
  • PDF

This document was uploaded by user and they confirmed that they have the permission to share it. If you are author or own the copyright of this book, please report to us by using this DMCA report form. Report DMCA


Overview

Download & View English Grammar as PDF for free.

More details

  • Words: 45,585
  • Pages: 590
English Grammar ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Yindii English Grammar ซ่งึ ทางเราจะได้ทำาการ update เพ่ิมเน้ือหา และแบบทดสอบในส่วนต่างๆต่อไปอีกเราหวังเป็ นอย่างย่ิงว่าคุณคงจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้ รวมแบบทดสอบในแต่ละ section คำานำา คำาคุณศัพท์ คำากริยาวิเศษณ์ คำากริยา กาล คำาบุพบท คำาสรรพนาม คำานาม กริยาท่ีเติม ing คำานำาหน้านาม กริยาช่วย การเปรียบเทียบ คำาสันธาน เคร่ ืองหมายวรรคตอน กริยารูปพิเศษ

Introduction Adjectives Adverbs Verbs Tenses Prepositions Pronouns Nouns Gerunds Articles Auxiliary verbs Comparisons Conjunctions Punctuation Irregular Verbs

The Tenses The simple Tenses 1. Present Simple 2. Past Simple 3. Future Simple

S + V 1 (s, es) S + V2 S + will, shall + V1

The Continuous (Progressive) Tenses 1.Present Continuous S + is, am, are + Ving 2.Past Continuous (Progressive) S + was, were + Ving 3.Future Continuous (Progressive) S + will, shall + be + Ving The Perfect Tenses 1.Present Perfect 2.Past Perfect 3.Future Perfect

S + has, have + V3 S + had + V3 S + will, shall + have + V3

The Perfect Continuous Tenses 1.Present Perfect Continuous 2.Past Perfect Continuous 3.Future Perfect Contunuous

S + has, have + been + Ving S + had + been + Ving S + will, shall + have been + Ving

www.chrisdelivery.com Chris Delivery Episode 3 Chris Delivery Episode 4 Chris Delivery Episode 5 Chris Delivery Episode 6 Chris Delivery Episode 7 Chris Delivery Episode 8 Chris Delivery Episode 9 Chris Delivery Episode 10 Chris Delivery Episode 11 Chris Delivery Episode 12 Chris Delivery Episode 13 Chris Delivery Episode 14 Chris Delivery Episode 15 Chris Delivery Episode 16

Isan_Poem Isan_Poem_1 Isan_Poem_2 Isan_Poem_3 Isan_Poem_4

I love you. I really love you. I love you with all my heart. I miss you. I feel so lonely. I’m so lonely without you. I don’t want to be here without you. Can you be my boy / girlfriend? I am single. I don’t have anyone in my heart. I want to be with you. I want to be with you all the time. I want to be with you forever. Why do you love me? Because you are……… I can’t forget you. I dream about you all the time. I will dream about you every night. I will dream about you tonight You’re the woman of my dreams. I want to know all about you. This is my first love.

ฉันรักคุณ ฉันรักคุณจริงๆ ฉันรักคุณหมดหัวใจ ฉันคิดถึงคุณ ฉันเหงามาก ไม่มีคุณ ฉันเหงามาก ฉันไม่อยากอยู่ท่ีนี ถ ้ ้าไม่มีคุณ คุณเป็ นแฟนฉันได้ไหม ฉันเป็ นโสด ไม่มีใคร อยู่ในหัวใจ ฉันอยากอยู่กับคุณ ฉันอยากอยู่กับคุณ ตลอดเวลา ฉันอยากอยู่กับคุณตลอดไป ทำาไมคุณถึงรักฉัน เพราะว่าคุณ……….. ฉันลืมคุณไม่ได้ ฉันฝั นถึงคุณ ตลอดเวลา ฉันจะฝั นถึงคุณ ทุกคืน คืนนี ฉ ้ ันจะฝั นถึงคุณ คุณคือผู้ชายในฝั น ฉันอยากรู้เร่ ืองของคุณ น่ีเป็ นรักครัง้แรกของผม

You are very beautiful. You are very handsome. You are very charming. You are very cute. You are very beautiful eyes. You have a cute nose. I like your smile. I like your outfit. I like looking at you.

คุณสวยมาก คุณหล่อมาก คุณมีเสน่ห์มาก คุณน่ารักมาก ตาของคุณสวยมาก จมูกของคุณน่ารักมาก ฉันชอบยิม ้ ของคุณ ฉันชอบชุดท่ีคุณใส่ ฉันชอบมองคุณ

I want to share my life with you. ฉันอยากใช้ชีวิตกับคุณ Love at first sight. รักแรกพบ I’ve never met a man like you. ฉันไม่เคยเจอผู้ชายอย่างคุณ I’ve never met a woman like you. ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างคุณ I’ve never loved anybody like this before. ฉันไม่เคยรักใครอย่างนีม ้ าก่อน I’m serious about you. ฉันจริงใจกับคุณ I’m crazy about you. ฉันคลัง่ไคล้คุณ I love you, not your money. ฉันรักคุณ ไม่ใช่เงินของคุณ I don’t care how much money you have. ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ I’m so happy being around you. ฉันมีความสุขท่ีอยู่ใกล้คุณ Are you really serious about me? คุณจริงจังกับฉันจริงหรือเปล่า * Really จริงๆ * Yes, I’m serious and sincere. ฉันทัง้จริงจังและจริงใจ * I like you as a friend. ฉันชอบคุณแบบเพ่ ือน

* I don’t know yet. ฉันยังไม่รู้ My heart is all yours. You mean everything to me. You are my precious thing. I love you only. I’m so happy being around you. I will always love you. I can’t love anyone else. I can’t wait to see you again. I want to see you as soon as possible. I don’t want to leave you. You can trust me. I will be faithful to you. I will never cheat on you. I still remember the moment we met. I have fallen in love with you I love you with all my heart. You’re mine. It’s hard to say how I feel. Think about me sometimes. You are my sweetheart. Don’t forget me.

หัวใจของฉันเป็ นของคุณ คุณคือทุกส่ิงทุกอย่างสำาหรับฉัน คุณเป็ นส่ิงมีค่าของฉัน ฉันรักคุณคนเดียว ฉันมีความสุขมากท่ีได้อยู่ใกล้คุณ ฉันจะรักคุณตลอดไป ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว ฉันอยากจะเจอคุณเร็วๆ ฉันอยากเจอคุณ ให้เร็วท่ีสุด ฉันไม่อยากไปจากคุณ ขอให้เช่ ือใจฉัน ฉันจะซ่ ือสัตย์ต่อคุณ ฉันจะไม่นอกใจคุณ ยังจำาได้ตอนท่ีเราเจอกัน รักคุณเข้าแล้ว รักคุณหมดใจ คุณเป็ นของฉัน ยากท่ีจะบอกความรู้สึก คิดถึงฉันบ้าง คุณคือสุดท่ีรัก ของฉัน อย่าลืมฉัน

กลับไปยังหน้าเดิม

Introduction

 What is a sentence? ความหมายของประโยค ประโยคคือกลุ่มของคำาท่ีมีประธานและส่วนขยาย

What are the parts of speech? ชนิดของคำา แบ่งออกได้เป็ น 8 ชนิดคือ คำานาม คำากริยา คำาสรรพนาม คำากริยาวิเศษณ์ คำาคุณศัพท์ คำาบุพบท คำาสันธานและคำาอุทาน verbs nouns pronouns adverbs adjectives prepositions conjunctions interjections

กลับไปยังหน้าเดิม

คำากริยา คำานาม คำาสรรพนาม คำากริยาวิเศษณ์ คำาคุณศัพท์ คำาบุพบท คำาสันธาน คำาอุทาน

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives คำำคุณศัพท์

Descriptive adjectivesDemonstrative adjectivesProper Adjectives Numeral Adjectives Possessive Adjectives Quantitative Adjectives คำาคุณศัพท์คือคำาท่ีทำาหน้าท่ีขยายคำานามหรือคำาสรรพนาม ท่ีสำาคัญมีดังนี้ Descriptive adjectives คือคำาคุณศัพท์ท่ีบอกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง ของคำานามท่ีมันประกอบเช่น beautiful ugly new old big small clean dirty good bad

สวยงาม ขีเ้หล่ ใหม่ เก่า ใหญ่ เล็ก สะอาด สกปรก ดี เลว

She is beatiful. Daeng's room is dirty. Tammy is a good tennis player. 1. การเรียงลำาดับคำาคุณศัพท์ท่ีมีอยู่ในประโยคเรียงได้ตามนี้ คำาคุณศัพท์ท่ีบอกสี blue red

ท่ีมา(มาจากไหน) American Thai

วัสดุ(ทำาจากอะไร) leather silk

2. ถ้ามีคำาคุณศัพท์ท่ีบอกขนาด ความสูง ความยาวจะวางไว้ข้างหน้าจากข้อหน่ ึง a small blue car a thick glass bottle 3. ถ้ามีคำาว่า first, last และ next จะวางไว้หน้าจำานวนนับ the first two weeks the next three men Demonstrative adjectives คือคุณศัพท์ชีเ้ฉพาะได้แก่ This, That, These, Those This ใช้กับคำานามเอกพจน์ท่ีอยู่ใกล้ (นี้) That   ใช้กับคำานามเอกพจน์ทอ ่ี ยูไ่ กล (นัน ้ ) These ใชักับคำานามพหูพจน์ท่ีอยู่ใกล้(เหล่านี้) Those ใชักับคำานามพหูพจน์(เหล่านัน ้ )

This is my pen. That is my motorcycle. These books are theirs. Proper Adjectives คือคำาคุณศัพท์ท่ีเก่ียวกับเช้ือชาติเป็ นคำาศัพท์ท่ีมีรูปมา จากช่ ือของประเทศเช่น Thailand Canada U.S.A. China Switzerland

Thai Canadian American Chinese Swiss

คนไทย คนแคนาดา คนอเมริกัน คนจีน คนสวิส

Numeral Adjectives คือคุณศัพท์ท่ีบอกจำานวนนับ ลำาดับท่ีและจำานวนท่ีไม่แน่นอน จำานวนนับได้แก่ one,two, three, four,five,six,seven,eight, nine,ten...... ลำาดับท่ีได้แก่ first,second,third,fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, nineth,tenth..... บอกจำานวนท่ีไม่แน่นอนได้แก่คำาว่า many มาก much มาก double ทัง้สอง few /a few น้อย จำานวนน้อย สองสาม several หลาย a little/little เล็กน้อย all ทัง้หมด no ไม่มี some มีบา้ ง enough. เพียงพอ I have three dogs. That's his second wife. I will be away several weeks. Possessive Adjectives คือคำาคุณศัพท์ท่ีแสดงความเป็ นเจ้าของ my ของฉัน her ของเธอ his ของเขา its ของมัน your ของคุณ our ของพวกเรา their ของพวกเขา My book is on the table. I lost her coat. May I borrow your pen?

Quantitative Adjectives คือคุณศัพท์ท่ีแสดงปริมาณบอกถึงความมากน้อยของส่ิงนับไม่ได้ได้แก่คำาว่า some บ้าง much มาก little น้อย enough เพียงพอ all ทัง้หมด no ไม่มี any บ้าง whole ทัง้หมด Give me some food. I do not have enough water. Do you have any money? กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำาท่ีไปทำาหน้าท่ีขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนัน ้ ว่า เป็ นอย่างไร? ได้แก่คำาว่า good ดี bad เลว tall สูง dirty สกปรก wise ฉลาด red แดง fat อ้วน thin ผอม this นี้ those เหล่านัน ้ short สัน ้ white ขาว ชนิดของ Adjective Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ น 11 ชนิด คือ 1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ 2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ 3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ 4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอน 5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชีเ้ฉพาะ 6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำาถาม

7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ 8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก 9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ 10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน 11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์

1. Descriptive Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำาท่ีใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ ส่ิงของและสถาน good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, a ตัวอย่างเช่น : The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่) A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนท่ีฉลาดสามารถตอบปั ญหายากได้ The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำาตัวนัน ้ จับนกได้) ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็ นคุณศัพท์บอกลักษณะ 2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำาท่ีไปขยายนามเพ่ ือบอกสัญชาติ ซ่ ึงอันท่ีจริงมีรูปเปล่ียนมาจาก Proper Noun Proper Adjective (เป็ นนามเฉพาะ) (เป็ นคุณศัพท์บอกสัญชาติ) England English America American Thailand Thai India Indian Germany German Italy Italian Japan Japanese Chinese China ตัวอย่างเช่น : John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหน่ ึง) Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรัง่เศสหรือ) The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็ นคำาคุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantitive Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำาท่ีไปขยายนาม เพ่ ือบอกให้ทราบปริมาณของส่ิงเหล่านัน ้ ว much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc. He ate much rice at school yesterday. (เขากินข้าวมากท่ีโรงเรียนเม่ ือวานนี้) Linda did not give any money to her younger brother. (ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน) Take great care of your health. (เอาใจใส่ต่อสุขภาพของคุณให้มากหน่อย) ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทัง้ 3 เป็ นคำาคุณศัพท์บอกปริมาณ ตัวอย่างเช่น :

4. Numberal Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอน" หมายถึง คำาท่ีไปขยายนาม เม่ ือบอกจำานวนแน่นอนของนามว่า 4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ท่ีใช้บอกจำานวนนับท่ีแน่นอนของนาม ได้แก่ one, two, three, four, five, six, seven, etc. ตัวอย่างเช่น :

She gave me two apples and three organes. (หล่อนให้แอปเปิ ้ ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน) Bill wants to buy seven pens. (บิลต้องการซ้ือปากกาเจ็ดด้าม) ข้อสังเกต : two, three, seven เป็ นคุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอนวางไว้หน้านาม 4.2 Ordinanal Numberal Adjective คือ "คำาคุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเพ่ ือบอกลำาดับท่ีของนามนัน ้ ๆ ได้แก first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc. ตัวอย่างเช่น : Tom is the first boy to be rewarded in this school. (ทอมเป็ นเด็กคนแรกท่ีได้รับรางวัลในโรงเรียนนี้) Sam won the third prize last month and the second one last week. (แซมได้รับรางวัลท่ี 3 เม่ ือเดือนท่ีแล้ว และสัปดาห์ท่ีผ่านมา ได้รับรางวัลท่ี 2) I am the seventh son of my family. (ฉันเป็ นลูกคนท่ี 7 ของครอบครัว) ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็ นคุณศัพท์บอกลำาดับท่ีวางไว้หน้านาม 4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำานวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold ตัวอย่างเช่น : Some roses are double. (ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชัน ้ ) Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems. (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ) ข้อสังเกต : double, triple, เป็ นคำาคุณศัพท์บอกจำานวนทวีของนาม 5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชีเ้ฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คำาท่ีชีเ้ฉพาะให้กับนามใดนามหน่ึง ได้แก่ these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same ตัวอย่างเช่น: I invited that man to come in. (ฉันได้เชิญผู้ชายคนนัน ้ ให้เข้ามาข้างใน) Jan hated such things because they made her ill. (แจนเกลียดส่ิงเหล่านัน ้ เพราะมันทำาให้เธอไม่สบาย) They said the same thing two or three times. (พวกเขาพูดถึงส่ิงเดียวกันนี้2หรือ3ครัง้แล้ว) ข้อสังเกต: that,such,same เป็ นคุณศัพท์ชีเ้ฉพาะวางไว้หน้านาม 6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคำาถามหมายถึง คุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเพ่ ือให้เป็ นคำาถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose ตัวอย่างเช่น: What book is he reading in the room? (เขากำาลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง) Which way shall we go? (เราจะไปทางไหนกันน่ี?) Whose shoes are these? (รองเท้านีเ้ป็ นของใคร) ข้อสังเกต: what,which,whose เป็ นคุณศัพท์บอกคำาถามอยู่หน้าประโยค

7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คำาคุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเพ่ ือบอกความเป็ นเจ้า ตัวอย่างเช่น : This is my table.

(น่ีคือโต๊ะของฉัน) Her pen is on my desk. (ปากกาของหล่อนอยู่บนโต๊ะฉัน) Our nation needs solidarity. (ชาติของเราต้องการความสามัคคี) Their parents work hard every day. (พ่อแม่ของพวกเขาทำางานหนักทุกวัน) ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็ นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม

8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คำาคุณศัพท์ท่ีไปขยายนาม เพ่ ือแยกนามออกจากกันเป็ น อันหน่ึง หรือส่วนหน่ึงไ ตัวอย่างเช่น : The two men had each a gun. (ชายสองคนนีม ้ ีปืนคนละกระบอก) Every soldier is punctually in his place. (ทหารทุกคนเข้าประจำาท่ีของตัวตรงเวลาดี) Either side is a narrow lane. (ไม่ข้างใดก็ข้างหน่ ึงเป็ นซอยแคบ) Neither accusation is true. (ข้อกล่าวหาทัง้สองข้อไม่เป็ นความจริง) ข้อสังเกต: each,every,either,neither เป็ นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม 9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเพ่ ือเน้นความให้มีนำาหนักขึ้น ได้แก่ ตัวอย่างเช่น: Linda said that she had seen it with her own eyes. (ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง) He is the very man who stole my wrist watch last night. (เขาคือชายคนนัน ้ ผู้ซ่ึงได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเม่ ือคืนนี้) Jean is my own girl-friend. (จีนคือแฟนผมเอง) ข้อสังเกต : own,very เป็ นคุณศัพท์เน้นความขยายนามท่ีตามหลังให้มีนำาหนักขึ้น 10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ท่ีใช้ขยายเพ่ ือให้เป็ นคำาอุทาน ได้แก่ ตัวอย่างเช่น: What a man he is! (เขาเป็ นผู้ชายอะไรนะเน่ีย!) What an idea it is! (มันเป็ นความคิดอะไรกันหนอ!) What a piece of work he does! (เขาทำางานได้เย่ียมจริงๆ!) ข้อสังเกต : what ทัง้ 3 คำา ในประโยคเหล่านีเ้ป็ นคุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามท่ีตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทำาหน้าท่ีคล เช่ ือมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่ what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้) ตัวอย่างเช่น: Give me what money you have. (จงให้เงินเท่าท่ีคุณมีอยู่แก่ฉัน) I will take whichever horse you don t want. (ฉันจะนำาเอาม้าตัวท่ีคุณไม่ต้องการ) He will read what book he wishes.

[ แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ท่ีเขาปราถนา (จะอ่าน) ] ข้อสังเกต : What, Whichever เป็ นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามท่ีตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าท่ีเช่ ือมประโ Adjective เวลานำาไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ 1. เรียงไว้หน้าคำานามท่ีคุณศัพท์นัน ้ ไปขยายโดยตรงได้ เช่น * The thin man can run very quickly. (คนผอมสามารถว่ิงได้เร็วมาก) * A wise boy is able to answer a difficult problem. (เด็กฉลาดสามารถตอบปั ญหาท่ียากได้) * The beautiful girl is wanted by a young boy. (สาวสวยย่อมเป็ นท่ีหมายตาของเด็กหนุ่ม) ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็ น คุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง 2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel,seem,get,taste,smell, turn,go,appear,keep,become,sound,grow,etc. ก็ได้ Adjective ท่ีเรียงตามกริยาเหล่านี ถ ้ ือว่าขยายประธานแต่วางตามหลังกริยา เพราะฉะนัน ้ จึงมีช่ือเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น * I'm feeling a bit hungry. (ฉันรู้สึกหิวนิดๆ) * Sugar tastes sweet. (น้ำาตาลมีรสหวาน) ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็ น Adjective เรียงไว้หลัง กริยา feeling และ tastes ทัง้นัน ้ 3. เรียงคำานามท่ีไปทำาหน้าท่ีเป็ นกรรม (Object) ได้ ทัง้นีเ้พ่ ือ ช่วยขยายเน้ือความของกรรมนัน ้ ให้สมบรูณ์ขึ้น Adjiective ท่ีใช้ใน ลักษณะเช่นนีเ้รียกว่าเป็ น Objiective Complement เช่น * Sam made his wife happy. (แซมทำาภรรยาของเขาให้มีความสุข) * I consider that man mad. (ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนัน ้ เป็ นบ้า) *This matter made me foolish. (เร่ ืองนีท ้ ำาให้ฉันโกรธไปได้) ข้อสังเกต: happy,mad และ foolish เป็ น Adjective ให้เรียง หลังนาม และสรรพนามท่ีเป็ น Object คือ wife,man,me 4. เรียง Adjective ไว้หลังคำานามได้ ไม่ว่านามนัน ้ จะทำาหน้าท่ีเป็ นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective บุพบทวลี (Perpositional Phrase) มาขยายนามตามหลัง เช่น * A parcel posted by mail today will reach him tomorrow. (พัสดุท่ีส่งทางไปรษณีย์วันนีจ้ะถึงเขาวันพรุ่งนี้) ข้อสังเกต: posted เป็ น Adjective เรียงตามหลังนาม parcal ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today * I have known the manager suitable for his position. (ฉันได้รู้จักผู้จัดการซ่ ึงก็มีความเหมาะสมสำาหรับตำาแหน่งของเขา) ข้อสังเกต: suitable เป็ นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position * ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjecive บางตัวเม่ ือไปขยายนาม

การใช้ Adjecive ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตัง้แต่ ข้อ 1 ถึง 4 นัน ้ หมายถึง Adjecive ท่ีจะกล่าวต่อไปนีแ ้ ล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหน่ ึงเท่านัน ้ คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จ

2 อย่างไม่ได้ นัน ้ คือ ( มีต่อค่ะ )

Adjective - Equivalent คือ "คำาท่ีใช้เสมือนเป็ นคุณศัพท์" ทัง้นีก ้ ็เน่ ืองจากว่า คำาท่ีจะนำามาใช้เสมือนหน่ ึง เป็ นคุณศัพท์ท่ีจะกล่าวต่อไปนี้ 1. คำานาม (Noun) นำามาใช้เป็ น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามท่ีมันไปขยายนัน ้ ทุกครัง้ไป เช่น Yale University is the place for political studies. (มหาวิทยาลัยเยลเป็ นสถานท่ีสำาหรับการศึกษาวิชาการเมือง) ข้อสังเกต : Yale เป็ นนามนำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยาย university ซ่ ึงเป็ นนามด้วยกัน My younger brother wishes to study at Suan Dusit College. (น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนท่ีวิทยาลัยสวนดุสิต) ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็ นนาม แต่นำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้ They have worked in New York City for two years. (พวกเขาได้ทำางานอยู่ท่ีเมืองนิวยอร์คเป็ นเวลา 2 ปี แล้ว) ข้อสังเกต : New York เป็ นนามนำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามท่ีตามหลัง คือ City 2. คำานามท่ีใช้แสดงความเป็ นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนัน ้ นำามาใช้เป็ น ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนัน ้ ตลอดไป เช่น John's house was built in Denver five years ago. (บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ท่ีเดนเวอร์ เม่ ือ 5 ปี มาแล้ว) ข้อสังเกต : เป็ นคำานามท่ีนำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้ The teacher's table is larger than the students. (โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่) ข้อสังเกต : teacher's เป็ นนาม นำามาใช้บยายนาม table ทำาหน้าท่ีเป็ นคุณศัพท์ได้

3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามท่ีมันขยายเ He has no money to give me for buying a pen. (เขาไม่มีเงินท่ีจะให้ฉันซ้ือปากกา) ข้อสังเกต : to give เป็ น Infinitive นำามาใช้เป็ น Adjective ขยายนาม money This book is good for you to read. (หนังสือเล่มนีด ้ ีสำาหรับคุณท่ีจะอ่าน) ข้อสังเกต : to read เป็ น Infinitive นำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้ 4. Participle นำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามท่ีมันไปขยายทุกครัง้ เช่น The standing boy is afraid of the running dog. (เด็กชายท่ียืนอยู่กลัวสุนัขท่ีว่ิงมา) ข้อสังเกต : standing, running เป็ น Participle นำามาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามได้ 5. Gerund ( กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำามาใช้อย่างนามซ่ ึงจะได้กล่าวในบทต่อไปนีเ้ช่นกัน Now he is waiting for you in the meeting room. (เดี๋ยวนีเ้ขากำาลังรอคุณอยู่ท่ีห้องประชุม) ข้อสังเกต : meeting เป็ น gerund นำามาใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นคุณศัพท์ขยายนาม room

6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำามาใช้เป็ น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำาแหน่งวางของวลีคณ ุ ศัพท์นัน ้ อยู่หน้านามก The man in this room is our guest. (ผู้ชายท่ีอยู่ในห้องนีเ้ป็ ฯแขกของเรา) ข้อสังเกต : in this room เป็ นวลีมาทำาหน้าท่ีเป็ นคุณศัพท์มาขยายนาม man ท่ีอยู่ข้างหน้า

He wants to buy the corner. (เขาต้องการซ้ือบ้านท่ีอยู่มุมถนนนัน ้ ) ข้อสังเกต : on the corner เป็ นวลีมาทำาหน้าท่ีเป็ นคุณศัพท์ขยายนาม house ท่ีอยู่ข้างหน้า 7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำามาใช้เป็ น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามท่ีไปขยายทุกครัง้ เช่น This is the house that Jack built. (นีค ้ ือบ้านท่ีแจ๊คสร้างเอาไว้) ข้อสังเกต : that Jack built เป็ น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค I know Mr. Clinton whom you want to see. (ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซ่ึงคุณต้องการพบ) ข้อสังเกต : whom you want to see เป็ น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค

คำำคุณศัพท์

e Adjectives

จุดประสงค์(เพ่ ืออะไร) sport business

คำานาม shoes tie

ten...... hth, nineth,tenth.....

(ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพ่ ือบอกให้รู้ลก ั ษณะคุณภาพ

ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ ส่ิงของและสถานท่ีเพ่ ือให้รู้ว่า นามนัน ้ มีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำาว่า h, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc.

รียนท่ีฉลาดสามารถตอบปั ญหายากได้)

ท์บอกลักษณะ

ามเพ่ ือบอกสัญชาติ ซ่ึงอันท่ีจริงมีรูปเปล่ียนมาจาก Proper noun นัน ่ เอง ได้แก่ คำาแปล อังกฤษ, คนอังกฤษ อเมริกา, คนอเมริกัน ไทย, คนไทย อินเดีย, คนอินเดีย เยอรมัน, คนเยอรมัน อิตาลี, คนอิตาเล่ียน ญ่ีปุ่น, คนญ่ีปุ่น จีน, คนจีน

อังกฤษใช้ในทุกประเทศ)

ขยายนาม เพ่ ือบอกให้ทราบปริมาณของส่ิงเหล่านัน ้ ว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำานวนแน่นอน)ได้แก่ le, sufficent, etc.

คำาท่ีไปขยายนาม เม่ ือบอกจำานวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็ นช่ ือย่อยได้ 3 ชนิด คือ

แน่นอนของนาม ได้แก่

พือบอกลำาดับท่ีของนามนัน ้ ๆ ได้แก่

one last week.

ดับท่ีวางไว้หน้านาม

แก่ double, triple, fourfold

มายถึง คำาท่ีชีเ้ฉพาะให้กับนามใดนามหน่ ึง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์),

ช้ขยายนามเพ่ ือให้เป็ นคำาถามโดยจะวางไว้

ยถึง คำาคุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเพ่ ือบอกความเป็ นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir

พ่ อ ื แยกนามออกจากกันเป็ น อันหน่งึ หรือส่วนหน่ ึงได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อันใดก็อันหน่ ึง), neither(ไม่ทัง้สอง

ช้ขยายนามเพ่ ือเน้นความให้มีนำาหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ท่ีแปลว่า นัน ้ ,นัน ้ เอง,นัน ้ จริงๆ)

ท่ีใช้ขยายเพ่ ือให้เป็ นคำาอุทาน ได้แก่ what

ยนามท่ีตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทำาหน้าท่ีคล้ายส้นธาน

ท่ีตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าท่ีเช่ ือมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย

ถ้า Adjective ตัวนัน ้ มี

พบทวลี by mail today มาขยายตามหลัง

พบท วลี for his position มาขยายตามหลัง

น ้ หมายถึง Adjecive ทัว่ไปเท่านัน ้ แต่ถ้าเป็ นAdjective งเท่านัน ้ คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทัง้

ว้หน้านามท่ีมันไปขยายนัน ้ ทุกครัง้ไป เช่น

งเป็ นนามด้วยกัน

มหลัง คือ City

น นำามาใช้เป็ น Adjective

เป็ นคุณศัพท์ได้

ยนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามท่ม ี ันขยายเสมอ เช่น

ยนาม money ได้

พนาม you ได้

ปขยายทุกครัง้ เช่น

ณศัพท์ขยายนามได้

ล่าวในบทต่อไปนีเ้ช่นกัน) นำามาใช้เป็ น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนัน ้ ตลอดไป เช่น

ขยายนาม room

ด้ ส่วนตำาแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นัน ้ อยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น

าม man ท่ีอยู่ข้างหน้า

าม house ท่อ ี ยูข ่ ้างหน้า

มได้ และให้วางไว้หลังนามท่ีไปขยายทุกครัง้ เช่น

ภทคุณานุประโยค) มาทำาหน้าท่ีเป็ นคุณศัพท์ขยายนามhouse ท่ีวางอยู่ข้างหน้า

use (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำาหน้าท่ีเป็ นคุณศัพท์ขยายนามMr.Clinton ซ่ ึงวางอยู่ข้างหน้า

either(ไม่ทัง้สอง)

กลับไปยังหน้าเดิม

Adverbs กริยำวิเศษณ์

Adverbs of Frequency Adverbs of Place

Adverbs of Manner Adverbs of Degree

คำากริยาวิเศษณ์ทำาหน้าท่ีขยายคำาคุณศัพท์ ขยายคำากริยาหรือ ขยายคำากริยาวิเศษณ์ด้วยกันซ่ ึงแบ่งออกเป็ นชนิดต่างดังต่อไปนี้ Adverbs of Frequency คือ adverb ท่ีบอกความถ่ีว่าทำาส่ิงนีส ้ ่ิงนัน ้ บ่อยหรือถ่ีมากน้อยแค่ไหนได้แก่คำาว่า always            often  frequency usually     sometimes generally seldom hardly ever never

สมำ่าเสมอ เป็ นประจำา บ่อยๆ บ่อย ถ่ี ตามปกติ บางครัง้บางครา โดยทัว่ๆไป ไม่ค่อยจะ แทบจะไม่ ไม่เคยเลย

กำรวำงตำำแหน่ง Adverbs of Frequency 1.ถ้าประโยคนัน ้ มี verb to be หรือ verb to have   ให้วางไว้หลัง verb to be หรือ verb to have She is always late. He has never traveled by train. 2. วางไว้หน้าคำากริยาแท้เช่น Don often goes to the park. Adverbs of Manner คือ adverb ท่ีบอกอาการ หรือท่าทาง สถานะ คุณภาพเช่น happily quickly beautifully late well carefully fast 

อย่างมีความสุข อย่างอย่างรวดเร็ว อย่างสวยงาม ล่าช้า ดี อย่างระมัดระวัง เร็ว

She walks slowly. The children sing beautifully. It is important to write carefully. Adverbs of Time คือ adverb ท่ีบอกเวลา ได้แก่คำาว่า today tonight yesterday

วันนี้ คืนนี้ เม่ ือวาน

finally last already soon before still every week

ในท่ีสุด ครัง้สุดท้าย เรียบร้อยแล้ว ในเร็วๆนี้ ก่อน ยังคง ทุกๆสัปดาห์

We'll soon be home. When did you last see your family? Adverbs of Place คือ adverb ท่ีบอกสถานท่ี ได้แก่คำาว่า here around there somewhere near

ท่ีน่ี รอบๆ ท่ีนัน ่ ท่ีไหนสักแห่ง ใกล้ๆ

We are playing here. The boy is sitting there.  Adverbs of Degree คือ adverb ท่ีบอกปริมาณจะวางไว้หน้าคำา adj., adv. หรือกริยาท่ีมันขยาย ได้แก่คำาว่า very too quite almost

มาก มาก(เกินไป)                 มาก(ทีเดียว) เกือบจะ

He is too big to run. The bag is very heavy. I am almost finished. Note: 1.ในกรณีท่ีประโยคหน่ ึงมีคำากริยาวิเศษณ์อยู่หลายชนิดให้เรียงลำาดับดังนี้ manner, place The kids go to bed early. He works hard every week. He sang beautifully at the concert last night.                         2. คำาท่ีมีรูปเหมือนกันเป็ นได้ทัง้คำาคุณศัพท์และคำากริยาวิเศษณ์  ได้แก่คำาว่า fast hard far    pretty early He runs fast. He is a fast runner. She works hard.

เร็ว ยาก แข็ง ไกล มาก ทีเดียว เช้า เร็ว แต่เช้า

She is a hard worker. คำากริยาวิเศษณ์ ส่วนใหญ่มาจากคำาคุณศัพท์โดยการเติม ly ท้ายคำาโดยมีหลักการทำาดังนี้ 1. เอาคำาคุณศัพท์มาเติม ly ได้เลย เช่น beautiful     quiet wonderful

beautifully quietly wonderfully

2. คำาคุณศัพท์ท่ีลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ออก แล้วเติม ly true 

truly

3.  คำาคุณศัพท์ท่ีลงท้ายด้วย y ให้เปล่ียน y เป็ น i  แล้วเติม ly เช่น happy happily angry angrily                      4. คำาคุณศัพท์ท่ีลงท้ายด้วย le ให้ตัด e ออก แล้วเติม y simple    possible

simply possibly

Note: คำาท่ีลงท้ายด้วย lyอยู่แล้วแต่เป็ นคำาคุณศัพท์ได้แก่คำาว่า friendly เป็ นมิตร lovely น่ารัก lonely โด่ดเด่ียว ugly น่าเกียด silly ง่ีเง่า

กลับไปยังหน้าเดิม

ADVERBS Adverbs คือ "กริยาวิเศษณ์"(บางตำาราเรียd"คำากริยาวิเศษณ์"เฉยๆก็ได้)มีไว้ สำาหรับ"ใช้ทำาหน้าท่ีขยายกริยา,ขยายคุณศัพท์,ขยายกริยาวิเศษณ์(ด้วยกันเอง), ขยายประโยคและขยายสรรพนาม บุรพบทวลีและจำานวนนับ"ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ขยายกริยาเช่น My mother works hard every day. (แม่ของฉันทำางานหนักทุกๆวัน) ข้อสังเกต:hardเป็ นAdverbขยายกริยาworks ขยายคุณศัพท์เช่น These students are very intelligent. (นักศึกษาเหล่านีเ้ฉลียวฉลาดมำก) ข้อสังเกต:veryเป็ นAdverbขยายคุณศัพท์intelligent ขยายกริยาวิเศษณ์เช่น She drives very carefully. (ลินดาขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างย่ิง) ข้อสังเกต:veryเป็ นAdverbขยายAdverb"carefully" ขยายทัง้ประโยคเช่น

Foutunately,no one complained of me. (โชคดีจริงๆไม่มีใครร้องเรียน(หรือบ่น)ฉันเลย) ข้อสังเกต:fortunatelyเป็ นAdverbทำาหน้าท่ีขยายทัง้ประโยคท่ีตามหลัง ขยายสรรพนามเช่น What else can I say. (แล้วฉันจะพูดอะไรได้อีก) ข้อสังเกต:elesเป็ นAdverbมาขยายสรรพนามwhat ขยายบรุพบทวลีเช่น You ought to go right to the end of the road. (คุณควรจะไปจนสุดถนนสายนี้) ข้อสังเกต:rightเป็ นAdverbมาขยายบรุพบทวลีto the end of the road ขยายจำานวนนับเช่น We go to the movie almost every Sunday. (เราไปดูหนังสือเกือบทุกวันอาฑิตย์) ข้อสังเกต:almostเป็ นAdverbมาขยายจำานวนนับevery Adjtive and Adverb HOW TO LEARN ? a little a few, little, few adjetive adverb much many some any tool as well , too fairly , rather already , yet

A little, A few; Little, Few (a) litte ใช้กับนามท่ีนับไม่ได้ (uncountable noun) ซ่ ึงย่อมต้องเป็ นเอกพจน์เสมอ เช่น (b) few ใช้กับนามท่ีนับได้ (countable noun) ซ่ ึงต้องเป็ นพหูพจน์เสมอ เช่น (a) few books, (a) few people ข้อแตกต่ำงระหว่าง a little (มี a) กับ little (ไม่มี a) a few ( มี a) กับ few (ไม่มี a) เม่ ือมี a นำาหน้า little หรือ few มีความหมายในทางรับ คือรับว่ามีอยู่บ้าง แม้จะน้อยก็ตาม เช่น There is alittle milk in that bottle. There are a few people in the room. ถ้าไม่มี a นำาหน้า แสดงความหมายในทางปฎิเสธ คือบ่งว่า แทบจะไม่มี เช่น There is little money left. (แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย) การจะใช้ a นำาหน้า little หรือ few นัน ้ ขึ้นอยู่ท่ีใจของผู้พูด ถ้าผู้พูดนึกว่าแทบไม่มีเลย เขาก็ไม่ใช้ a ถ้าเขานึกว่ายังมีอยู่บ้าง เขา ก็ใช้ a นำาหน้า (โดยทัว่ๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี

ADJECTIVES & ADVERBS กำรใช้คำำ adjective คำา adjective อาจใช้ได้ 2 วิธี คือ : ใช้ประกอบหน้านาม ( attributive use ) เช่น He is agood student. ใช้หลังกริยา ( predicative use ) เช่น That student is good. ตำำเเหน่ง ( position ) ของคำำ adjective 1.โดยปกติ adjective อยู่หน้าคำานาม เช่น a big town, a blue car, an interesting movie. 2.เม่ ือมี adjective 2 คำาประกอบคำานามคำานามคำาเดียวโดยปกติไม่นิยมใช้เช่ ือม เช่น a tall young man, six red roses 3.นิยมใช้ comma คัน ่ ระหว่าง adjective เม่ ือเป็ นคำาประเภทเดียวกัน เช่น a big, square box ; amodern, small car 4.เเต่ถ้าคำา adjective 2 คำานัน ้ เป็ นadjective บอกสีทัง้คู่ให้ใช้ and เช่น a black and white cat

Much, Many ,Very, A lot of, lots of much ใช้ประกอบนามนับไม่ได้ (uncountable) เช่น much water many ใช้ประกอบนามท่ีนับได้ (countable) ดังนัน ้ นามหลัง many จึงเป็ นนามพหูพจน์เสมอ เช่น

a lot of หรือ lots of ใช้ได้เหมือนกัน ใช้ประกอบได้ทัง้นามนับได้เเละนับไม่ได้ในประโยคบอกเล่า ถ้าเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธนิย much time = a lot of time = lots of time many people = lots of people = a lot of people ในภาษาพูด (spoken English) คำาเเสดงความมากยังมีคำาอ่ ืนๆอีก เช่น plenty(of), a great deal(of), a large number(of), a large amount(of), a large quantity(of) very (มาก) เป็ นคำา adverd จึงไม่ใช้ประกอบนาม เเต่ใช้ขยาย adjective หรือ adverd เช่น very much, very old

Some&Any

Some,someใช้ในประโยคบอกเล่า(affirmative) Any,any ใช้ในประโยคคำาถาม(interrogative) และปฏิเสธ (nagative) ทัน ้ นีร้วมทัง้คำาประสม (compound) ของ some และ any ด้วย เช่นsomebody,anybody,something,anythingsome

Too&Enough

To เม่ ือใช้เป็ นคำา adverb ประกอบคำา adjective หรือ adveb อ่ ืนๆมีความหมายว่า มากเกินไปมักตามหลังด้วย This tea is too hot to drink. ประโยคข้างบนนีม ้ ีความหมายว่า ชานีร้้อนเกินไปท่ีจะด่ ืม ปั ญหาจึงอาจเกิดว่าร้อนมากเกินไปสำาหรับใคร อีกคนหน่ึงอาจว่าไม่ร้อน ดังนัน ้ จึงนิยมใช้ for สำาหรับบอกว่า เกินไปสำาหรับใคร เช่น This tea is too hot for me to drink. = This tea is very hot; I can't drink it.

as well ใช้ในภำษำพูดเหมือนกัน และเป็ นคำำที่นิยมมำกกว่ำ too (วำงไว้ท้ำยประโยคอย่ำง too - He also went there yesterday =He went there yesterday,too. = He went there yesterday as well.

Nearly, Almost nearly= เกือบ, เกือบถึง (ในกำรบอกปริมำณและ อ่ ืนๆ) Almost= เกือบจะ (ในกำรกระทำำ) คือกำรกระทำำที่ไม่สำำเร็จ แต่เกือบจะสำำเร็จ เช่น -- Tom is nearly five feet tall. (ทอมสูงเกือบ 5 ฟุต) -- John almost succeeded in cilmbing that tall tree. (จอหน์เกือบจะปีนต้นไม้สูงได้สำำเร็จ)

ศษณ์ Adverbs of Time



to be หรือ verb to have

ด้แก่คำาว่า

ner, place, time

รทำาดังนี้ อย่างสวยงาม อย่างเงียบๆ อย่างยอดเย่ียม

อย่างแท้จริง

อย่างมีความสุข อย่างฉุนเฉียว

ง่ายๆ ชัดเจน เป็ นไปได้

พจน์เสมอ เช่น (a) little water, (a) little snow

เช่น (a) few books, (a) few people

ะน้อยก็ตาม เช่น

น้า (โดยทัว่ๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี a นำาหน้า little และ few เสมอ) แบบฝึ กหัดต่อไปนี พ ้ ิจารณาความหมายให้ดีเพ่ ือจะสามารถใช้

พหูพจน์เสมอ เช่น many books, many people, many cars

ในประโยคบอกเล่า ถ้าเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธนิยมใช้ much หรือ many เช่น

a large quantity(of)

adverd เช่น very much, very old

ody,anybody,something,anythingsome และany ใช้ประกอบได้ทงั้ นามนับได้และนามนับไม่ได้ ถ้าประกอบนามนับได้ นามนัน ้ จะต้องเป็ นพหูพจน์ เช่น

ยว่า มากเกินไปมักตามหลังด้วยto-infinitive (=to+ กริยาช่องท่ี 1) เช่น

มากเกินไปสำาหรับใคร อีกคนหน่ึงอาจว่าไม่ร้อนก็ได้

ระโยคอย่ำง too ก็ได้ หรือจะวำงไว้อย่ำง also ก็ได้) เช่น

เพ่ ือจะสามารถใช้a หรือ ไม่ใช้ a ได้อย่างถูกต้อง

นามนัน ้ จะต้องเป็ นพหูพจน์ เช่น some rice, some books,any bnooks ,any sugar

กลับไปยังหน้าเดิม

Verbs คำำกริยำ

คือคำาท่ีแสดงการกระทำาหรือถูกกระทำามีดังต่อไปนี้ อกรรมกริยา (Intransitive verb) เป็ นกริยาท่ีมีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ smile cry run speak go come sit sleep walk

ยิม ้ ร้องไห้ ว่ิง พูด ไป มา นัง่ นอน เดิน

I like to smile. My dog runs quickly. สกรรมกริยา (Transitive verb) เป็ นกริยาท่ียังไม่สมบูรณ์ต้องมีกรรมมารอง รับจึงจะทำาให้ประโยคสมบูรณ์ write give buy look close kick

เขียน ให้ ซ้ือ มอง ปิ ด เตะ

He writes novels. I bought a car. กริยารูปธรรมดา (Regular verb) คือเม่ ือเปล่ียนเป็ นช่องท่ีสองกับ ช่องท่ีสามเพียงแค่เติม d หรือ ed ท้ายคำา walk like play love

walked liked played loved

walked liked played loved

กริยารูปพิเศษ (Irregular verb) เม่ ือเปล่ียนเป็ นช่องท่ีสอง (Past tense) ช่องท่ีสาม (Past Participle) จะมีรูปท่ีเหมือนกันและรูปท่ีแตกต่างกัน คลิกดูกริยารูปพิเศษเพ่ิม 1 มีรูปเหมือนกันทัง้สามช่อง cut read hit

cut read hit

cut read hit

hurt put

hurt put

hurt put

ate flew broke built came did made paid stole thought

eaten flown broken built come done made paid stolen thought

2. มีรูปท่ีแตกต่างกัน eat fly break build come do make pay steal think Infinitives Infinitive ตามด้วย to คือกริยาช่องท่ี 1ท่ีต้องมี to นำาหน้ามีลักษณะการใช้คือ 1.ใชัเป็ นประธาน It is not difficult to learn English. 2. ใช้ตามหลังคำากริยา It's starting to rain. กริยาท่ีตามด้วย Infinitive  ตามด้วย to ได้แก่คำาว่า hope need prepare except decide appear ask plan mean remind swear pretend want promise neglect learn   deserve manage

หวัง ต้องการ เตรียม ยอมรับ ตัดสินใจ ปรากฎ ขอร้อง วางแผน ตัง้ใจ เตือน สาบาน เสแสร้ง ต้องการ สัญญา เพิกเฉย เรียนรู้ สมควรได้รับ จัดการ

3.ใช้ในรูป verb + object+infinitive She didn't ask him to go.

4.ใช้ตามหลังคำาคุณศัพท์ (adjective) Infinitive ถูกใช้ตามหลังคำาคุณศัพท์บางคำา I'm glad to know you. She was surprised to hear that. 5. ใช้ตามหลังคำานาม (noun) เราสามารถใช้ Infinitive ตามหลังคำานามบางตัว I told him about my decision to divorce. 6.ใช้ตามหลัง who, what, how etc. ในประโยค reported speech เราสามารถใช้ infinitive ตามหลัง who, what, where,when etc ( why) ท่ีพูดเก่ียวกับคำาถามและตอบคำาถาม verb +question-word +Infinitive I don't know how to make a cake. Infinitive ไม่มี to  คือกริยาช่องท่ี 1 ท่ีไม่ต้องมี to นำาหน้ามีลักษณะการใช้ดังนี้ 1. Modal auxiliary verbs(กริยาช่วย) เราใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังกริยาช่วย will, shall, would, should, can, could may, might, had better We must clean the room. 2.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังคำากริยาท่ีแสดงการรับรู้และสังเกตเห็นได้แก่คำาว่า let  อนุญาต make ทำา see เห็น hear ได้ยิน feel รู้สึก watch ดู เฝ้ าดู notice สังเกต I saw a boy steal a car. 3.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง why (not) ท่ีหมายถึงส่ิงท่ีไม่จำาเป็ นหรือการ ทำาในส่ิงโง่ๆ เช่น Why did you do that? It's the stupidest thing I've ever seen. 4.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง and, or, except, but, than เราสามารถนำาคำา infinitive มาใช้ร่วมกันด้วย and, or, except, but, than แต่ว่า infinitive ตัวท่ีสองไม่ต้องมี to Do you want to go out or stay home? กลับไปยังหน้าเดิม

Verb

Verb คือ "กริยา" ได้แก่ "คำาท่ีใช้แสดงถึงการกระทำา หรือการถูกกระทำาของคำาท่ีเป็ นประธาน หรือเป็ นคำาสอดแทรกเข้ามาทำาหน้าท่ีช เพ่ ือบอกถึงมาลา ( mood ) วาจก ( Voice ) และกาล ( Tense )" ในภาษาอังกฤษแบ่ง verb ออกเป็ น 5 ชนิดด้วยกัน Transitive Verb ( สกรรมกริยา ) Intransitive Verb ( อกรรมกริยา ) Finite Verb ( กริยาแท้ ) Non - Finite Verb ( กริยาไม่แท้ ) Auxiliary Verb ( กริยานุเคราะห์ , กริยาช่วย ) Exercise ( แบบฝึ กหัด ) Transitive Verb

Transitive Verb คือ "สกรรมกริยา" หมายถึง "กริยาท่ีต้องมีกรรมมารองรับ หรือมีกรรมมาขยายตามหลัง เพ่ ือให้เน้ือความของก give , buy , bring , write , speak , hit , see , look at , order , open , close , wash, clean , ตัวอย่ำง : My father bought meat and eggs yesterday. ( คุณพ่อของฉันซ้ือเน้ือและไข่มาเม่ ือวานนี้ ) คำาท่ีจะนำามาใช้เป็ นกรรมของสกรรมกริยา ( Object of a transitive Verb ) ได้นัน ้ ได้แก่คำาต่อไปนี ค ้ ือ 1. นามทุกชนิด ( All kinds of Nouns ) เช่น Kenya needs the growth and development. ( ประเทศเคนยาต้องการความเจริญก้าวหน้าและการพัฒนา ) ข้อสังเกต : growth and development เป็ นกรรมของ needs 2. สรรพนาม ( Pronoun ) เช่น I told him that he could pass his examination. ( ฉันบอกเขาว่า เขาสอบไล่ได้ ) ข้อสังเกต : him เป็ น Pronoun มาทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของ told 3. กริยาสภาวมาลา ( ได้แก่ Infinitive ) เช่น These students want to continue their studies in the U.S.A. ( นักศึกษาเหล่านีต ้ ้องการศึกษาต่อในประเทศสหรัฐฯ ) ข้อสังเกต : to continue เป็ นกริยาสภาวมาลา ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของ want 4. คำากริยาท่ีเติม ing ( Gerund ) แล้วนำามาใช้อย่างนาม เช่น Ever since John has got bad health, he stops smoking. ( ตัง้แต่จอห์นไม่สบายนี เ้ขาเลิกสูบบุหร่ีแล้ว) ข้อสังเกต : smoking เป็ น Gerund ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของ stops 5. วลีทุกชนิด ( Phrases ) เช่น Helen doesn't know what to do will her son. ( เฮเลนไม่รู้ว่าจะทำาอย่างไรกับลูกชายของหล่อนดี ) ข้อสังเกต : What to do เป็ นวลี ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของ know 6. อนุประโยค ( Subordinate Clause ) เช่น

I know what he is going to do there. ( ผมรู้ว่าเขาจะไปทำาอะไรอยู่ท่ีนัน ่ ) ข้อสังเกต : what he is going to do there เป็ นอนุประโยคทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของกริยา know

Intransitive Verb

Intransitive Verb คือ "อกรรมกริยา" ได้แก่ "กริยาท่ีไม่ต้องมีกรรมตามมา หรือมีกรรมมารองรับ เพราะมีเน้ือความสมบูรณ์อยู่ใน go ไป stay พัก,อยู่ regret เสียใจ ตัวอย่ำงเช่น : Who comes? ( ใครมา ) ข้อสังเกต : หลัง comes ไม่ต้องมีกรรมมารับ เพราะได้เน้ือความสมบูรณ์ My sister dances very well. ( พ่ี/น้องสาวของฉันเต้นรำาได้ดีมาก ) ข้อสังเกต : หลัง dances ไม่ต้องมีกรรมมารับ เพราะได้เน้ือความสมบูรณ์แล้ว ส่วน very well การกรรมมารับโดยตรง แต่ก็ยังต้องพ่ ึงหรืออาศัย คำาหรือกลุ่มคำาอ่ ืนช่วยขยาย เพ่ ือให้เนื get = เป็ น , มี grow = เจริญ , มี , เป็ น feel = รู้สึก look = ดูเหมือน , ดูท่า ตัวอย่ำงเช่น : Helen looks unhappy. ( เฮเลนดูท่าไม่สบาย ) His plan proved useless. ( แผนการของเขาใช้ไม่ได้เลย ) ตัวดำาดูเหมือนทำาหน้าท่ีเป็ น object แต่ไม่ใช่ แท้ท่ีจริงแล้วมันก็ทำาหน้าท่ีเป็ น Subjective Complement

Finite Verb

Finite Verb คือ "กริยาแท้" หมายถึง "กริยาท่ีนำามาใช้เป็ นส่วนสำาคัญของประโยค อาจกล่าวได้ว่า ทุกข้อความท่ีเราพูดหรือเขียนออ แล้วข้อความนัน ้ จะเป็ นประโยคขึ้นมาไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะฉะนัน ้ กริยาแท้จึงเป็ นหัวใจหรือส่วน Who comes? ( ใครมา ) The girls are coming early. ( พวกเด็กหญิงก็มาแต่เช้า ) ข้อสังเกต : ซ่ ึงเป็ นกริยาในประโยคข้างบนนี จ

้ ะเห็นว่าได้มีการเปล่ียนแปลงไปตาม Tense และประธานของประโยคนัน ้ ๆ ทัง้นีก ้ ็เ

Non - Finite Verb

Non - Finite Verb คือ "กริยาไม่แท้" หมายถึง "คำากริยาท่ีมิได้นำามาใช้อย่างกริยาแท้ แต่ถูกนำามาใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นอย่างอ่ ืน เช่น หรือเป็ นอ่ ืนใดได้ทัง้นัน ้ " ในภาษาอังกฤษแบ่งกริยาไม่แท้ ( Non - Finite Verb ) ออก 1. Infinitive = กริยาท่ีมี To นำาหน้า ( To + Verb 1 ) เช่น to walk 2. Gerund = กริยาท่ีเติม ing ( Verb + ing ) เช่น walking , sleeping , smoking 3. Participle = กริยาท่ีเติม ing เช่น eating , coming , etc. หรือเป็ นกริยาช่อง 3 เช่น eaten , came , cleaned , spoken ลักษณะของกริยำตัวใดเป็ นกริยำแท้ ( Finite Verb ) หรือกริยำไม่แท้ ( Non - Fininte Verb ) กริยาตัวท่ีวางอยู่หน้าสุดจะเป็ นกริยาแท้ ส่วนกริยาตัวท่ีวางเป็ นอันท่ีสองต่อไปเร่ ือย ๆ จะเป็ นกริยาไม่แท้ เช่น We want to develop our company in many ways. ( เราต้องการพัฒนาบริษัทของเราในทุกกรณี ) ข้อสังเกต : want เป็ นกริยาแท้ to develop เป็ น Infinitive กริยาไม่แท้ Auxiliary Verb Auxiliary Verb คือ "กริยานุเคราะห์" ( บางครัง้ก็เรียกกริยาช่วย ( Helping Verb ) บ้าง Auxiliary Verb มีอยู่ทัง้หมด 24 ตัว คือ Verb Verb Verb Verb Verb Verb Verb

to to to to to to to

be = is , am , are , was , were have = has , have , had do = do , does , did do = will , would do= shall , should do= can , could do= have to ( ท่ีมีความหมายเท่ากับ must )

1. หน้ำที่ของ Verb to be ใช้ทำำหน้ำที่ช่วยกริยำตัวอ่ ืนได้ดังต่อไปนี้ 1.1 วางไว้หน้ากริยาตัวท่ีเติม ing ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ น Continuous Tense ซ่ ึงแปลว่า " We are learning English ( เรากำาลังเรียนภาษาอังกฤษ ) 1.2 วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 ( เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ นกรรมวาจก ( Passive Voice ) John was punished by the teacher yesterday. ( จอห์นถูกทำาโทษโดยคุณครูเม่ ือวานนี้ ) 1.3 วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำาเนียงแปลว่า "จะ , จะต้อง" แสดงถึงหน้าท่ีท่ีต้องกระทำา He is to stay here till I come back. ( เขาจะต้องอยู่ท่ีน่ีจนกว่าฉันจะกลับมา ) 1.4 ประโยคคำาสัง่ , อวยพร , ท่ีนำาหน้าประโยคด้วย Adjective ( คุณศัพท์ ) ต้องใช้ Be นำาหน้าเสมอ เช่น Be quite. The baby is sleeping. ( เงียบหน่อย ทารกกำาลังนอกหลับอยู่ )

1.5 ใช้นำาหน้าสำานวน about to + Verb ช่อง 1 มีสำาเนียงแปลว่า "กำาลังจะ" แสดงถึงเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เช They are about to start their jouney this week. ( พวกเขากำาลังจะออกเดินทางกันสัปดาห์นี้ ) 1.6 ใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ในประโยคได้กรณีนีใ้นประโยคนัน ้ จะไม่มี Jean is always a good girl. ( จีนเป็ นเด็กหญิงดีเสมอ ) กำรใช้ have to , have got to , had better have to แปลว่า "ต้อง , จำาเป็ นต้อง" ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหน้าท่ีภารกิจจำาเป็ นท่ีต้องกระทำา หลัง I have to leave now. ( ฉันจำาเป็ นต้องไปเดี๋ยวนี้ ) George has to go to school from Monday to Friday. ( จอร์จจะต้องไปเรียนหนังสือตัง้แต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ) อน่ ึง ประโยคบอกเล่าท่ีมี have to เม่ ือทำาเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย จะเอา ตัวอย่างเช่น : ถูก : Do I have to leave now? ( ผมจำาเป็ นต้องไปเดี๋ยวนีห ้ รือ ) ผิด : Have I to leave now? ถูก : I don't have to leave now. ( ผมไม่จำาเป็ นต้องไปเดี๋ยวนี้ ) ผิด : I haven't leave now. ถูก : Does he have to go to work? ( เขาจะต้องไปทำางานหรือ? ) ผิด : Has he to go to work? หมายเหตุ : have to ใช้ได้กับเหตุการณ์ท่ีเป็ นปั จจุบันและอนาคตรูปอดีตของ have to Have got to คำาแปลเช่นเดียวกับ have to นำามาใช้ในภาษาพูดแทน have to คือ had to ตัวอย่างเช่น : Affirmative ( บอกเล่า ) He's got to go. I've got to do. Negative ( ปฏิเสธ ) He hasn't got to go. I haven't got to do. Interrogative ( คำาถาม ) Has he got to go? Have I got to do? had better ( ให้รวมถึง had rather, had sooner ) แปลว่า "ควรจะ...ดีกว่า" หลัง ตัวอย่างเช่น : You had better start your trip tomorrow. ( = You'd better start your trip tomorrow. ) ( คุณควรจะเร่ิมการเดินทางของคุณวันพรุ่งนีด ้ ีกว่า ) I had better go home now. ( = I'd better to go home now. ) ( ฉันควรจะกลับบ้านเดี๋ยวนีด ้ ีกว่า ) ข้อสังเกต : start และ go เป็ น Infinitive Without "to" ประโยคบอกเล่าท่ีมี had better นัน ้ เม่ ือทำาเป็ นปฏิเสธให้เติม not หลัง better เท่านัน ้ อย่าวางหลัง ตัวอย่างเช่น : ประโยคบอกเล่า

ถูก : She had better stay home alone. ( หล่อนควรจะพักอยู่ท่ีบ้านตามลำาพัง ) ประโยคปฏิเสธ ถูก : She had had not stay home alone. ( หล่อนไม่ควรพักอยู่ท่ีบ้านตามลำาพัง ) ผิด : She had not better stay home alone. ประโยคคำาถาม ถูก : Had she better stay home alone? ( หล่อนควรจะพักอยู่ท่ีบ้านตามลำาพังหรือ? ) ผิด : Did she have better stay home alone? 3. หน้าท่ีของ Verb to do Verb to do ได้แก่ do , does , did เม่ อ ื นำามาใช้เป็ นกริยาช่วย 3.1 ช่วยทำาประโยคบอกเล่า ( Affirmative ) ให้เป็ นประโยคคำาถาม ( Interrogative ) Verb to have ไม่มี Verb to be ไม่อยู่ Verb to do มาช่วย หรือมี will , would , shall , should , can , could , may , might , must อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้ Verb to do มี 3 ตัว จะนำามาใช้ต่างกัน เช่น เอกพจน์ ใช้ does พหูพจน์ ใช้ do I , They , We , You ใช้ do เหมือนกัน กริยาสำาคัญไม่ต้องเติม s ( ed , ing ) ตัวอย่างใช้ do มาช่วย ประโยคบอกเล่า : You speak Japanese to your friend. ( คุณพูดภาษาญ่ีปุ่นกับเพ่ ือนของคุณ ) ประโยคคำาถาม : ถูก : Do you speak Japanese to your friend? ( คุณพูดภาษาญ่ีปุ่นกับเพ่ ือนของคุณหรือ? ) ผิด : Are you speak Japanese to your friend? ตัวอย่างใช้ does มาช่วย ประโยคบอกเล่า : He opens the door by himself. ( เขาเปิ ดประตูด้วยตนเอง ) ประโยคคำาถาม : ถูก : Does he open the door by himself? ( เขาเปิ ดประตูด้วยตัวเขาเองหรือ? ) ผิด : Is he opens the door by himself? ประโยคปฏิเสธ : ถูก : He doesn't ( หรือ does not ) open the door by himself. ( เขาไม่ได้เปิ ดประตูด้วยตัวเอง ) ผิด : He is not opens the door by himself. ตัวอย่างใช้ did มาช่วย ประโยคบอกเล่า : She went to Hong Kong last week. ( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ท่ีแล้ว ) ประโยคคำาถาม : ถูก : Did she go to Hong Kong last week? ( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ท่ีผ่านมาหรือ? ) ผิด : Was she went to Hong Kong last week? ประโยคปฏิเสธ :

ถูก : She didn't ( หรือ did not ) go to Hong Kong. ( หล่อนไม่ได้ไปฮ่องกง ) ผิด : She wasn't went to Hong Kong. 3.2 ใช้แทนกริยาตัวอ่ ืนท่ีอยู่ในประโยคเดียวกัน เพ่ ือต้องการมิให้กริยาตัวเดิมนัน ้ ซ้ำา ๆ ซาก ๆ เช่น Billy likes badminton and so does Tim. ( บิลล่ีชอบแบดมินตันและทิมก็ชอบเหมือนกัน ) You speak Thai and I do too. ( คุณพูดไทยและฉันก็เช่นกัน ) Linda worked yesterday but I didn't. ( ลินดาทำางานเม่ ือวานนี แ ้ ต่ฉันไม่ทำา) ข้อสังเกต : does , do didn't ทัง้ 3 คำาไปแทนกริยา likes, speak และ worked ตามลำาดับ ทัง้นีเ้พ่ อ ื ต้องการมิให้ใช้กริยา 3.3 ใช้สนับสนุนกริยาตัวอ่ ืน เพ่ ือให้เกิดความสำาคัญกับกริยาตัวนัน ้ ว่า จะต้องทำาเช่นนัน ้ จริง ๆ หรือเกิดขึ้นจริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน I do go and see you tomorrow. ( ฉันจะไปพบคุณให้ได้วันพรุ่งนี้ ) Sam does write to me. ( แซมเขียนจดหมายถึงผมจริง ๆ ) They did live there two years ago. ( พวกเขาได้อยู่นัน ้ จริง ๆ เม่ ือ 2 ปี ท่ีผ่านมา ) Do come with us. ( ไปกับเราให้ได้นะ ) ข้อสังเกต : do , does , did เรียงไว้หน้ากริยาใดจะเน้นกริยาตัวนัน ้ ให้มีน้ำาหนักการกระทำาขึ้นมาจริง ๆ 3.4 ใช้แทนกริยาหลักในประโยคคำาตอบแบบสัน ้ ๆ ทัง้นีเ้พ่ ือหลีกเล่ียงมิให้นำาเอากริยาหลังในประโยคคำาถามนัน ้ มากล่าวซ้ำาในปร Do you smoke? Yes, I do ( คุณสูบบุหร่ีหรือ? ) ( ใช่ ฉันสูบ ) Did he ride a bicycle to school? Yes, he did. ( เขาข่ีจักรยานไปโรงเรียนหรือ? ) ( ใช่ เขาข่ี ) 3.5 ใช้แทนกริยาหลักในประโยคทัง้ท่ีเห็นด้วย ( agreement ) หรือไม่เห็นด้วย ( disagreement ) เห็นด้วย : Tom speaks a lot. Yes, he does. ( ทอมพูดมากจัง ) ( ใช่ เขาพูดมาก ) She sang well. Yes, she did. ( หล่อนร้องเพลงได้ไพเราะดี ) ( ใช่ หล่อนร้องได้ไพเราะ ) ไม่เห็นด้วย : You eat too much. No, I don't. ( คุณกินมากเกินไป ) ( ไม่ ฉันไม่ได้กินมากเลย ) 3.6 Verb to do ถ้านำามาใช้อย่างกริยาหลัก ( Principal Verb ) ทัว่ ๆ ไป จะแปลว่า " เม่ ือ Do แปลว่า "ทำา" จะต้องนำา do มาช่วยเพ่ อ ื ช่วยให้เป็ นคำาถามและปฏิเสธ เช่น ประโยคบอกเล่า You do your homework every day. ( คุณทำาการบ้านทุก ๆ วัน ) ประโยคคำาถาม Do you do your homework every day? ( คุณทำาการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรือ? ) ข้อสังเกต : Do ตัวท่ี 1 เป็ นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็ นคำาถามไม่มีคำาแปล do ตัวท่ี 2 เป็ นกริยาแท้ กริยาใหญ่ กริยาหลัก จะเรียกอ ประโยคปฏิเสธ You don't do your homework every day. ( คุณไม่ได้ทำาการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรอก ) ข้อสังเกต : do ตัวแรก ( ในคำา don't ) เป็ นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็ นประโยคปฏิเสธไม่มีคำาแปล I do my work in Bangkok. ประโยคคำาถาม

ผิด : Do I my work in Bangkok? ถูก : Do I do my work in Bangkok? ประโยคปฏิเสธ ผิด : I do not my work in Bangkok. ( หรือ don't ) ถูก : I don't ( หรือ do not ) do my work in Bangkok. ประโยคบอกเล่า She does her homework. ( หล่อนทำาการบ้านของหล่อน ) ประโยคคำาถาม Does she do her homework? ( หล่อนทำาการบ้านของหล่อนหรือ? ) ข้อสังเกต : อย่าใช้ Does she her homework? โดยการนำาเอา does ท่ีเป็ นกริยาขึ้นไปไว้ต้นประโยค ประโยคปฏิเสธ She doesn't ( หรือ does not ) do her homework. ( หล่อนไม่ได้ทำาการบ้านของหล่อน ) ข้อสังเกต : อย่าใช้ she does not her homework. 3.7 ใช้แทนกริยาแท้ในประโยคคำาถามท่ีเป็ น Tag Questions เช่น Sam lives here, doesn't he? ( แซมอาศัยอยู่ท่ีน่ี ไม่ใช่หรือ? ) ข้อสังเกต : อย่าใช้ Sam lives here, doesn't he live here? We don't drink whisky, do we? ( พวกเราไม่ด่ืมสุรา ใช่ไหม? ) ข้อสังเกต : We don't drink whisky, do we drink whisky? He ate rice, didn't he? ( เขากินข้าว ไม่ใช่หรือ? ) ข้อสังเกต : อย่าใช้ He ate rice, didn't he eat rice? 4. การใช้ Will, Would, Shall, Should Will, Shall, Would, Should ใช้ทำำหน้ำทีช ่ ่วยกริยำตัวอ่น ื ได้ดังต่อไปนี้ 4.1 Will แปลว่า "จะ" ใช้ทำาหน้าท่ีชว่ ยกริยาตัวอ่ ืน เพ่ ือบอกความเป็ นอนาคตกาล ( Future Tense ) He will meet his friend at the train station. ( เขาจะไปพบเพ่ ือนของเขาท่ีสถานีรถไฟ ) 4.2 Shall แปลว่า "จะ" ใช้ทำาหน้าท่ีชว่ ยกริยาตัวอ่ ืน เพ่ ือให้เป็ นอนาคตกาล ( Future Tense ) I shall start my journey tomorrow. ( ฉันจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้ ) หมายเหตุ : will และ shall หากใช้สลับกันกับบุรุษท่ีกล่าวมาแล้ว นัน ่ คือใช้ will กับ I , We I will try to do it again. ( ฉันจะพยายามทำาอีกครัง้ ) ( แสดงความตัง้ใจ ) If you work well, you shall have higher wages. ( ถ้าคุณทำางานดี คุณก็จะได้รับค่าจ้างสูงขึ้นอีก ) ( คำาสัญญา ) ประโยคตัวอย่างข้างบนนี จ้ะเห็นว่าใช้will , shall สลับบุรุษกันทัง้นีก ้ ็เพ่ ือแสดงถึงความตัง้ใจแน่วแน่ นอกจากนีแ ้ ล้วเฉพาะ Shall ยังใช้ได้กับทุกบุรุษอีกด้วย เม่ ือไปเป็ นกริยาพิเศษแสดงถึงวัตถุประสงค์ใน วิเศษณานุประโยค John comes hers so that he shall see his father. ( จอห์นมาท่ีน่ีก็เผ่ ือว่าจะได้พบกับคุณพ่อของเขา ) 4.3 Would แปลว่า "จะ" ใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นกริยาช่วยให้กับกริยาตัวอ่ ืนได้ต่อไปนี้ ( a ) ใช้เป็ นอดีตของ will ในประโยคท่ีเปล่ียนมาจาก Indirect Speech เช่น She said, "I will do it again." ( หล่อนพูดว่า "ดิฉันจะทำาอีกครัง้" ) ( b ) ใช้ในประโยคเง่ ือนไข ( Conditional Sentence ) เช่น If I were you, I would try to do.

( ถ้าฉันเป็ นคุณ ฉันจะพยายามทำาให้ได้ ) ( c ) ใช้เป็ นกริยาช่วยร่วมกับ like ในสำานวนการพูดเพ่ ือความสุภาพ ซ่ ึงมีความหมายว่า "อยากจะ Jim would like to study music. ( จิมอยากเรียนวิชาดนตรี ) ( d ) ให้ใช้ would ( แทน will ตลอดไป ) เม่ ือผู้พูดไม่แน่ใจคือ ยังสงวนท่าทีเพ่ ือรอดูปฏิกิริยาของผู้ท่ีตนพูดด้วยว่าจะเป็ นหรือท Would you have some cold drinks? ( คุณจะเอาเคร่ ืองด่ ืมเย็น ๆ ไหม? ) ( e ) ในประโยคคำาถามท่ีมีกริยา mind , please เข้ามาร่วมเพ่ ือความสุภาพในการถามหรืออกคำาสัง่ และเพ่ ือเป็ นการให้เกียรติแ Would you mind if I smoke? Of course not. ( คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะสูบบุหร่ี? ) ( ไม่รังเกียจหรอก ) ( f ) ใช้ในสำานวนการพูดว่า "ควรจะ...ดีกว่า , สมัครใจท่ีจะ...ดีกว่า" ควบกับ better หรือ Which would you rather have, beer or coffee? ( คุณอยากจะด่ ืมอะไรมากกว่า เบียร์หรือกาแฟ? ) ข้อสังเกต : บางครัง้หลัง better หรือ rather จะมี than มาต่อท้ายอีกก็ได้ เช่น She would rather walk than run. ( เธออยากจะเดินไปมากกว่าว่ิง ) 4.4 Should แปลว่า "จะ" มีหลักการใช้ดังต่อไปนี้ ( a ) ใช้เป็ นรูปอดีต ( Past Tense ) ของ Shall ในประโยค Indirect Speech เช่น He said to me, "You will be able to do it." ( เขาพูดกับฉันว่า "คุณจะต้องสามารถทำามันได้" ) ( b ) ในประโยคท่ีเป็ นอนาคตกาล ( Future Tense ) ถ้าผู้พูดยังมีความสงสัย ไม่แน่ใจ หรือยังเป็ นการคาดหมายอยู่เก่ียวกับเห They should be there by 3 o'clock, I think. ( ฉันคิดว่า พวกเขาจะต้องไปถึงท่ีนัน ่ ในเวลาบ่าย 3 โมง ) ( c ) should เม่ ือแปลว่า "ควรจะ" คือเป็ นปั จจุบันกาลใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ใช้แสดงถึงหน้าท่ีท่ีจะต้องกระทำาการให้คำาแนะน You should go on a diet. ( คุณควรลดอาหารบ้าง ) ( d ) ใช้ should have + Verb ช่อง 3 กับอดีตกาลท่ีไม่เกิดขึ้นจริง ซ่ ึงได้ผ่านพ้นมาแล้ว John should have studied hard before the examination. ( but he didn't. ) ( จอห์นควรจะได้เรียนอย่างหนักก่อนท่ีจะสอบ ) ( e ) ใช้ should แทน might กับทุกประธานได้ ในประโยคท่ีแสดงความมุ่งหมาย โดยมีสันธาน I helped him very much so that he should ( might ) succed. ( ฉันได้ช่วยเขาอย่างมากทีเดียว ดังนัน ้ เขาควรสำาเร็จ ) ( f ) ใช้ should ในประโยคท่ีตามหลัง lest , for fear that ตลอดไป เช่น Bill studied harder lest he should fail. ( บิลเรียนหนักย่ิงขึ้น เผ่ ือว่าจะได้ไม่ต้องสอบตก ) 4.5 Can แปลว่า "สามารถ" เป็ นกริยา Anomalous Verb ( กริยาพิเศษ ) ได้เพียงอย่างเดียว รูปอดีตของ ( a ) ใช้แสดงความเป็ นอิสระจากพันธะอ่ ืน ๆ เช่น I can see you tomorrow at 7 o'clock. ( พรุ่งนีฉ ้ ันพบคุณได้เวลา 7 นาฬิกา ) ( b ) ใช้แสดงภาวะการรับรู้ซ่ึงมิอาจควบคุมได้ เช่น I can see. ( hear , remember , etc.) ( ฉันสามารถเห็น ) ( ได้ยิน , จำาได้ เป็ นต้น ) ( c ) ใช้แสดงถึงส่ิงท่ีผู้พูดพูดนัน ้ เป็ นความจริง หรือเป็ นไปได้อย่างแน่นอน โดยปราศจากข้อสงสัย เช่น This can be the answer, I think. ( ฉันคิดว่า น่ีคือคำาตอบท่ีถูกต้อง ) ( d ) ใช้แสดงถึงความสามารถหรือการอนุญาต เช่น I can drive very far from here. ( ฉันสามารถขับรถไปได้ไกลจากท่ีน่ี ) ( e ) ใช้แสดงถึงพละกำาลัง การฝึ กหัดและการเรียนรู้ เช่น

Can you lift that table? ( คุณสามารถยกโต๊ะตัวนัน ้ ได้ไหม? ) 4.6 Could แปลว่า "สามารถ" เป็ นรูปอดีตของ can ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกตัวประธาน กริยาตัวอ่ ืนท่ีตามหลังเป็ น ( a ) ใช้แสดงความเป็ นอิสระจากพันธะอ่ ืน ๆ ได้ แต่มค ี วามแน่นอนน้อยกว่า Can เช่น She could see me tomorrow at 7 o'clock, perhaps. ( พรุ่งนีเ้วลา 7 นาฬิกา หล่อนจะพบผมก็ได้ ) ( b ) ใช้เป็ นอดีตของ Can ในประโยค Indirect Speech ( ท่ีเปล่ียนมาจาก Direct Speech ) Direct : She said, "I can go there alone?" ( หล่อนพูดว่า "ดิฉันสามารถไปท่ีนัน ่ คนเดียวได้? ) She said that she could go there alone. ( หล่อนพูดว่าหล่อนสามารถไปท่ีนัน ่ คนเดียวได้ ) ( c ) ใช้แสดงถึงความสามารถท่ีได้กระทำาในอดีต เช่น I could speak Chinese perfectly ten years ago. ( ผมสามารถพูดภาษาจีนได้ดี เม่ ือ 10 ปี ท่ีผ่านมา ) ( d ) ใช้เพ่ ือขออนุญาตกระทำาการอย่างใดอย่างหน่ ึงกับคู่สนทนา ทัง้นีเ้พ่ ือเป็ นการให้เกียรติกับผู้ท่ีเราพูดด้วย Could I borrow your pen, please? ( ฉันขอยืมปากกาของคุณหน่อยได้ไหมครับ? ) ( e ) could ท่ีนำามาใช้ในรูป could + have + Verb ช่อง 3 เพ่ ือแสดงถึงความสามารถหรือความเป็ นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได I could have lent you the money. Why didn't you ask me? ( ฉันสามารถให้คุณยืมเงินได้ ทำาไมคุณจึงไม่ขอฉัน? ) 5. หน้าท่ีของ May สำาหรับ May และ Might นัน ้ เป็ นคำากริยาจำาพวก Anomalous Verb 5.1 ใช้เพ่ ือแสดงความมุ่งหมาย ( Purpose ) และจะอยูห ่ ลัง so that หรือ in order that I study hard so that I may pass the test. ( ฉันเรียนอย่างหนัก เพ่ ือว่าจะสอบผ่าน ) 5.2 ใช้เพ่ ือแสดงความปรารถนา ความหวัง หรือการอวยพรให้ประสบความสำาเร็จในส่ิงท่ีต้องประสงค์ May you be happy for ever. ( ขอให้คุณประสบแต่ความสุขตลอดไป ) May he succeed in his new job. ( ขอให้เขาประสบความสำาเร็จในงานใหม่ของเขา ) 5.3 ใช้ช่วยเพ่ ือแสดงการอนุญาต หรือการขออนุญาต ( Permission ) ท่ีจะกระทำาการอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น May I use your dictionary? Yes, you may. ( ฉันขอใช้พจนานุกรมของคุณได้ไหม? ได้ เชิญเลย ) 5.4 ใช้ช่วยเพ่ ือแสดงความคาดคะเนว่าจะต้องเป็ นอย่างนัน ้ อย่างนีไ้ด้ เช่น Linda may come next Sunday. ( ลินดาอาจมาวันอาทิตย์หน้า ) 5.5 ใช้ช่วยเพ่ ือแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจของผู้พูดท่ีมีต่อส่ิงนัน ้ ๆ เช่น You may talk to everybody but you can't force him to listen to you. ( คุณอาจจะพูดกับทุกคนได้ แต่คุณไม่สามารถบังคับให้เขาฟั งคุณ ( ทุกครัง้ ) ไปได้ ) 5.6 ใช้ช่วยเพ่ ือแสดงความเป็ นไปได้ ( Possibility ) สำาหรับการกระทำานัน ้ ๆ เช่น It may rain this afternoon. ( ฝนอาจจะตกในตอนบ่ายนี้ ) 6. Might มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้ 6.1 ใช้เป็ นอดีตของ may ในประโยคท่ีเปล่ียนมาจาก Direct Speech เช่น Direct : He said, "I may drive your car for you today." ( เขาพูดว่า "ฉันอาจจะขับรถของคุณให้คุณวันนี้" ) Indirect : He said that he might drive my car for me that day.

( เขาพูดว่าเขาอาจจะได้ขับรถของฉันให้ฉันวันนัน ้ ) 6.2 ใช้ในกรณีท่ีผู้พูดไม่แน่นอนใจว่า เขาจะทำาอย่างนัน ้ อย่างนีจ้ริง ( แต่หากมัน ่ ใจอย่างแน่นอนให้ใช้ A : I don't know where Jim is. He might be at his office. B : I think Jim may be at his office. ประโยคแรก : A ไม่ทราบว่าจิมอยู่ท่ีไหนกันแน่ เพียงคาดการณ์ว่าเขาอาจจะอยู่ท่ีทำางานของเขาก็ได้ เม่ ือพูดออกไปโดยไม่แน่ใจเช่น ประโยคท่ีสอง : B รู้แจ้งประจักษ์กับตัวเองอย่างเต็มท่ีว่า จิมจะต้องทำางานอยู่ท่ีทำางานไม่ได้ไปไหน เพราะเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว 6.3 might + have + Verb ช่อง 3 นำามาใช้เพ่ อ ื แสดงถึงความไม่แน่นอนใจขณะท่ีพูดถึงส่ิงท่ีเป็ นอดีต I can't imagine why she was late. She might have been delayed by the traffic or she might have ( ฉันก็ไม่คิดไม่ออก ( เหมือนกัน ) ว่า ทำาไมหล่อนถึงมาสายหล่อนอาจมาสายเพราะการจราจรทำาให้ล่าช้า หรือว่าหล่อนได้รับอุบัต ข้อสังเกต : การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่ใจถึงส่ิงท่ีเป็ นอดีตเช่นนี ต ้ ้องใช้might + have + Verb 7. กำรใช้ Must Must เป็ นกริยาจำาพวก Anomalous Verb อย่างแท้จริง ไม่มีรูป Infinitive, Participle 7.1 ใช้เป็ นกริยาท่แ ี สดงคำาสัง่หรือความจำาเป็ นท่ีจะต้องทำา ( Necessity ) เช่น We must obey the laws of the country. ( เราจะต้องเช่ ือฟั งกฎหมายของประเทศ ) 7.2 ใช้แสดงการบอกเล่าท่ีต้องการเน้นให้หนักแน่น แต่ไม่ใช่แสดงความจำาเป็ น เช่น You must know that my father is very busy. ( คุณจะต้องรู้ว่า พ่อของฉันยุ่งมาก ) 7.3 ใช้แสดงความตัง้ใจหรือความแน่ใจของผู้พูด เช่น I must finish this before I go to bed. ( ฉันจะต้องทำาส่ิงนีส ้ ำาเร็จก่อนท่ีจะเข้านอน ) 7.4 ใช้แสดงการกระทำาหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ซ่ ึงตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้พูด เช่น Every time I call on him, he must be busy. ( ฉันไปหาเขาทีไร เขาเป็ นต้องไม่ว่างสักที ) 7.5 ใช้แสดงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมท่ีจะต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์หรือกับส่ิงอ่ ืนใด ซ่ ึงไม่สามารถหลีกเล่ียงได Man must die. ( คนเราต้องตาย ) 7.6 ใช้แสดงการกระทำาท่ีเป็ นหน้าท่ีโดยตรง เช่น We must pay taxes to our government ( เราจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลของเรา ) 7.7 ใช้แสดงการขอร้อง ( ในส่ิงท่ีไม่อาจหลีกเล่ียงได้ ) เช่น You must forgive me for that matter. ( คุณจะต้องให้อภัยฉันสำาหรับเร่ ืองนัน ้ ) หมำยเหตุ : must เป็ น Present Tense ( ปั จจุบันกาล ) อย่างเดียว ไม่มีรูปอดีตหรืออนาคตเป็ นของตนเอง แต่เม่ ือต้องการใช ปั จจุบัน : I must study the American History. อดีต : I has to study the American history. อนาคต : I shall have to study the American history. ( ฉันต้องศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกา ) 8. กำรใช้ Need Need เป็ นกริยา Anomalous Verb ท่อ ี อกจะพิเศษอยูน ่ ิดหน่อยนัน ้ คือ ใช้เป็ นกริยาแท้ 8.1 Need ใช้อย่างกริยาแท้ ( a ) Need ถ้านำามาใช้อย่างกริยาแท้ทัว่ ๆ ไป ตามด้วยคำากริยารูป Infinitive With "to" Linda needs to go to see a doctor when she is sick. ( ลินดาต้องไปหาหมอเม่ ือหล่อนไม่สบาย ) ( b ) need ท่ีใช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) เม่ ือทำาเป็ นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธต้องใช้ ประโยคบอกเล่า : He needs to work to earn his living. ( เขาจำาเป็ นต้องทำางานหาเลีย ้ งชีพตัวเขาเอง ) ประโยคปฏิเสธ : He doesn't need to work to earn his living.

( เขาไม่จำาเป็ นต้องทำางานเพ่ ือเลีย ้ งชีพของเขา ) ประโยคคำาถาม : Does he need to work to earn his living? ( เขาจำาเป็ นต้องทำางานเพ่ ือหาเลีย ้ งชีพของเขาหรือ? ) 8.2 Need ท่ใี ช้อย่างกริยาช่วย ( a ) Need ท่ีใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) คำากริยาตัวอ่ ืนท่ีตามหลังต้องเป็ น Infinitive Without "to" She need hardly do have work. ( เธอแทบจะไม่ได้ทำางานหนักเลย ) ( b ) Need ท่ีใช้อย่างกริยาช่วย ไม่นย ิ มนำาไปแต่งประโยคหรือพูดในข้อความท่ีเป็ นบอกเล่า ประโยคคำาถาม : Need you continue your studies abroad? ( คุณจำาเป็ นต้องเรียนต่อต่างประเทศหรือ? ) ประโยคปฏิเสธ : They needn't smoke. ( พวกเขาไม่จำาเป็ นต้องสูบบุหร่ี ) ประโยคคำาถาม : Need you marry her next month? ( คุณจำาต้องแต่งงานกับหล่อนในเดือนหน้าหรือ? ) ประโยคก่ ึงปฏิเสธ : Sam need rarely go to see the movie. ( แซมแทบจะไม่ค่อยได้ไปดูหนังเลย ) 9. กำรใช้ Dare Dare แปลว่า "กล้า, ท้า" เป็ นกริยา Anomalous Verb ท่ีมีลักษณะเช่นเดียวกับ Need 9.1 ใช้อย่ำงกริยำแท้มีหลักดังนี้ ( a ) Dare ท่ีใช้อย่างกริยาแท้ กริยาตัวอ่ ืนท่ีตามหลังต้องเป็ นรูป Infinitive With "to" I dare to swim across this river. ( ผมกล้าว่ายข้ามแม่น้ำาสายนีไ้ด้ ) ( b ) Dare ท่ีนำามาใช้อย่างกริยาแท้ เม่ ือต้องการทำาเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธให้ใช้ Verb to do ประโยคบอกเล่า Sam dares to work hard every day. ( แซมกล้าทำางานหนักทุก ๆ วัน ) ประโยคคำาถาม Does he dare to work hard every day? ( เขากล้าทำางานหนักได้ทุกวันหรือ? ) ประโยคปฏิเสธ He doesn't dare to work hard every day. ( เขาไม่กล้าท่ีจะทำางานหนักได้ทุกวัน ) 9.2 ใช้อย่างกริยาช่วยมีหลักดังนี้ ( a ) Dare ใช้อย่างกริยาช่วย กริยาตัวอ่ ืนท่ีตามหลังเป็ น Infinitive Without "to" และ We dare walk to school without a bus. ( เรากล้าเดินไปโรงเรียนโดยไม่มีรถประจำาทาง ) ( b ) Dare ท่ีใช้อย่างกริยาช่วย เม่ ือทำาเป็ นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธให้เอา dare ขึ้นไปไว้ต้นประโยคได้เลย เช่น ประโยคบอกเล่า John dare go to be near a snake. ( จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้ ) ประโยคคำาถาม Dare John go to be near a snake? ( จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้หรือไม่? ) ประโยคปฏิเสธ John daren't go to be near a snake.

( จอห์นไม่กล้า เข้าไปใกล้งูหรอก ) 10. วิธีกำรใช้ Ought to Ought to แปลว่า "ควรจะ" เป็ นกริยาช่วยอย่างเดียว และมีรป ู เดียว ( ไม่มีรูป Past ) แต่ถ้าต้องการจะใช้ 10.1 ใช้แสดงถึงการกระทำาอันเป็ นหน้าท่ีหรือสมควรท่ีจะกระทำา เช่น You ought to start your job at once. ( Present ) ( คุณควรจะเร่ิมงานของคุณเดี๋ยวนีไ้ด้แล้ว ) You ought to have told me that yesterday. ( Past ) ( คุณควรจะได้บอกเร่ ืองนัน ้ ให้ฉันรู้ตัง้แต่เม่ ือวานนี้ ) 10.2 ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่าจะเป็ นเช่นนัน ้ ๆ ได้ เช่น Our team ought to win the match for today. ( ทีมของเราควรจะชนะการแข่งขันสำาหรับวันนี้ ) 10.3 เม่ ือทำาเป็ นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธให้เอา ought ขึ้นไว้ตน ้ ประโยคและหรือเติม not He ought to forgive me for my fault. ( เขาควรจะให้อภัยฉันสำาหรับความผิดของฉัน ) 11. กำรใช้ Used to Used to แปลว่า "เคย" มีรป ู เป็ น Past Tense เพียงรูปเดียวจะนำา used to มาใช้ก็ต่อเม่ ือกล่าวถึงการกระทำาท่ีเป็ นปกตินิสัย 11.1 ใช้ used to + Verb 1 เสมอ เม่ อ ื กล่าวถึงการกระทำาท่ีเคยทำาในอดีต เช่น There used to be a cinema hall on this street. ( เคยมีโรงหนังบนถนนสายนี้ ) 11.2 Used to เม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคปฏิเสธให้ใช้ did not use to , never used to



เดิน ชอบ เล่น รัก

) ช่องท่ีสาม (Past Participle)

ตัด อ่าน ตี

คือ

เจ็บ วาง ใส่

กิน บิน แตก หัก สร้าง มา ทำา ทำา สร้าง จ่ายเงิน ขโมย คิด

ท์บางคำา

งตัว

what, where,when etc ( ยกเว้น

ดังนี้

d, can, could

ก่คำาว่า

การ

seen.

han แต่ว่า

าท่เี ป็ นประธาน หรือเป็ นคำาสอดแทรกเข้ามาทำาหน้าท่ีชว่ ยกริยาตัวอ่ ืนก็ได้

บ หรือมีกรรมมาขยายตามหลัง เพ่ ือให้เน้ือความของกริยาตัวนัน ้ ฟั งเข้าใจ" สกรรมกริยาได้แก่กริยาต่อไปนี้ , order , open , close , wash, clean , etc.

b ) ได้นัน ้ ได้แก่คำาต่อไปนี ค ้ ือ

นกรรมของกริยา

า หรือมีกรรมมารองรับ เพราะมีเน้ือความสมบูรณ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว" กริยาต่อไปนีจ้ัดอยู่ในประเภทอกรรมกริยาคือ

ว ส่วน very well ท่ีตามหลังอยู่นัน ้ ไม่ใช่กรรม แต่เป็ น Adverb อย่างไรก็ตาม อกรรมกริยาบางตัวแม้จะไม่ต้อง

Subjective Complement ขยายประธานท่ีอยู่ข้างหน้ามีความสมบูรณ์

ระโยค อาจกล่าวได้ว่า ทุกข้อความท่ีเราพูดหรือเขียนออกไปนัน ้ หากขาดเสียซ่ ึงกริยาแท้ ( Finite Verb ) เป็ นหัวใจหรือส่วน

ยนแปลงไปตาม Tense และประธานของประโยคนัน ้ ๆ ทัง้นีก ้ ็เพราะว่า come เป็ นกริยาแท้ ( Finite Verb ) นัน ่ เอง

อย่างกริยาแท้ แต่ถก ู นำามาใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นอย่างอ่ ืน เช่น เป็ นนามบ้าง , เป็ นคุณศัพท์บ้าง , เป็ นกริยาวิเศษณ์บ้าง

ing , smoking

Non - Fininte Verb ) นัน ้ สังเกตได้ท่ีตำาแหน่งการวางไว้ในประโยคกล่าวคือ ร่ ือย ๆ จะเป็ นกริยาไม่แท้ เช่น

ng Verb ) บ้าง , กริยาพิเศษ ( Anomalous Verb ) เหตุท่ีได้เรียกว่า เป็ นกริยานุเคราะห์หรือกริยาช่วยนัน ้ ก็เพราะว่ากริยาเหล่านี ไ้ปทำาหน้าท่ีช่วยกริยาตัวอ่ ืนเพ่ อ ื

se ซ่ ึงแปลว่า "กำาลัง" ทุกครัง้ เช่น

มวาจก ( Passive Voice ) แปลว่า "ถูก" เช่น

ง" แสดงถึงหน้าท่ีท่ีต้องกระทำา , แผนการ , การเตรียมการ , คำาสัง่ , คำาขอร้อง หรือความเป็ นไปได้ เช่น

) ต้องใช้ Be นำาหน้าเสมอ เช่น

ะ" แสดงถึงเหตุการณ์ทจ่ี ะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เช่น

ประโยคนัน ้ จะไม่มี Verb ตัวอ่ ืนเข้ามาร่วมอยู่กับ Verb to be เช่น

าท่ีภารกิจจำาเป็ นท่ีต้องกระทำา หลัง have to ต้องใช้กริยาช่อง 1 ตลอดไป เช่น

erb to do เข้ามาช่วย จะเอา have ( หรือ has ) ขึ้นไปไว้ตน ้ ประโยคเม่ ือเป็ นคำาถาม หรือเติม not หลัง have , has เม่ อ ื ต้องการให้เป็ นปฏิเสธไม่ได้

อง have to คือ had to ave to คือ had to หรือ has เข้ากับสรรพนามเสมอ หรือย่อเข้ากับ not เม่ ือประโยคนัน ้ เป็ นปฏิเสธ กรณีทำาเป็ นคำาถาม ให้เอา have หรือ has

ะ...ดีกว่า" หลัง had better ตามด้วย Verb ช่อง 1( เป็ น Infinitive Without "to" ) ใช้ในกรณีท่ีคิดว่าจะเป็ นการดีท่ีจะกระทำาอย่างหน่ึงอย่างใด หรือเหมาะส

better เท่านัน ้ อย่าวางหลัง had เป็ นอันขาด ส่วนคำาถามให้เอาเฉพาะ had ตัวเดียววางไว้ต้นประโยค

นำามาใช้เป็ นกริยาช่วย ( Helping - Verb ) ไม่มีสำาเนียงแปล และเม่ ือไปช่วยกริยาตัวใด Verb ท่ีตามหลัง do , does , did ไม่ต้องมี to นำาหน้า เพราะเป็ น terrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) ในกรณีทป ่ี ระโยคเหล่านัน ้ ต้องตรงตามหลักทฤษฎีทว่ี ่า

ht , must อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้ Verb to do มาช่วย

มนัน ้ ซ้ำา ๆ ซาก ๆ เช่น

ละ worked ตามลำาดับ ทัง้นีเ้พ่ ือต้องการมิให้ใช้กริยา 3 คำานีซ ้ ้ำา ๆ ซาก ๆ องทำาเช่นนัน ้ จริง ๆ หรือเกิดขึน ้ จริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้ากริยาท่ม ี ันไปเน้นอีกทีหน่ ึงเช่น

น้ำาหนักการกระทำาขึ้นมาจริง ๆ นำาเอากริยาหลังในประโยคคำาถามนัน ้ มากล่าวซ้ำาในประโยคคำาตอบ เช่น

ห็นด้วย ( disagreement ) ทัง้นี เ

้ พ่ ือหลีกเล่ียงการนำ 2าเช่ เอากริ น ยาหลักในประโยคนำากล่าวข้างหน้ามาพ

ไป จะแปลว่า "ทำา" ดังนัน ้ เป็ นคำาถามหรือปฏิเสธต้องเอา Verb to do ( ท่ีเป็ นกริยาช่วย ) มาช่วย do ( ท่ีเป็ นกริยาแท้อีกทีหน่ ึง ) ตามหลักทฤษฎีท่ีว่า

ตัวท่ี 2 เป็ นกริยาแท้ กริยาใหญ่ กริยาหลัก จะเรียกอย่างไรได้ทงั ้ นัน ้ มีคำาแปลว่า "ทำา"

ยคปฏิเสธไม่มีคำาแปล do ตัวหลังเป็ นกริยาแท้ แปลว่า "ทำา" ท่ีควรระวังคือ เม่ ือทำาเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธ อย่าได้นำา do ท่ป ี รากฏอยู่ในประโยคบอกเล่านัน ้ ขึน ้ ไปไว้ตน ้

ท่ีเป็ นกริยาขึ้นไปไว้ต้นประโยค

คตกาล ( Future Tense ) และใช้กับประธานท่ีเป็ นบุรุษท่ี 2 ( คือ you ) และบุรุษท่ี 3 ( คือ He , She , It , They ) ตลอดถึงนามเอกพจน์ พหูพจน์ ทัว่ไปท่ีม

ล ( Future Tense ) เช่นเดียวกับ will และให้ใช้กับประธานท่ีเป็ นบุรุษท่ี 1 ( คือ I , We เท่านัน ้ ) เช่น

ช้ will กับ I , We และใช้ Shall กับ he , she , it , they ตลอดถึงนามทัว่ไปท่ีมาเป็ นประธานแล้ว ย่อมมีความหมายพิเศษขึ้น ผิดไปจากการใช้แบบปกติ เพราะน

แสดงถึงความตัง้ใจแน่วแน่, การให้คำามัน ่ สัญญา, การข่มขู่ ตามท่ีได้กล่าวมาแล้วนัน ่ เอง ศษแสดงถึงวัตถุประสงค์ใน วิเศษณานุประโยค ( Adverb Clause of Purpose ) ท่ีมีคำาสันธาน so that หรือ in order that เช่น

วามหมายว่า "อยากจะ, อยากให้" กรณีเช่นนี้ would ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกบุรษ ุ และมีความเป็ นปั จจุบันกาลด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็ นอดีต เช่น

ท่าทีเพ่ ือรอดูปฏิกิริยาของผู้ท่ีตนพูดด้วยว่าจะเป็ นหรือทำาอย่างท่ีชักนำาหรือไม่ และตามกฎข้อนีม ้ ักใช้ในคำาถามเพ่ ือความสุภาพ เช่น

าพในการถามหรืออกคำาสัง่ และเพ่ ือเป็ นการให้เกียรติแก่คู่สนทนาอีกโสดหน่ ึง ต้องใช้ Would นำาหน้าคำาถามหรือคำาสัง่นัน ้ ๆ ตลอดไป เช่น

บ better หรือ rather ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ เช่น

Speech เช่น

สงสัย ไม่แน่ใจ หรือยังเป็ นการคาดหมายอยูเ่ ก่ย ี วกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรมนัน ้ ต้องใช้ should ตลอดไป ( ไม่นิยมใช้ shall ) เช่น

กบุรุษ ใช้แสดงถึงหน้าท่ีท่ีจะต้องกระทำาการให้คำาแนะนำา ( duty , obligation หรือ advice ) ซ่ ึงมีความหมายเท่ากับ ought to โดยเฉพาะภาษาพูดจะใช้

ได้ผ่านพ้นมาแล้ว เช่น ( but he didn't. )

มุ่งหมาย โดยมีสันธาน so that, in order that นำาหน้าประโยคของมัน เช่น

ษ ) ได้เพียงอย่างเดียว รูปอดีตของ can คือ could กริยาตัวอ่ ืนท่ีตามหลัง can เป็ น Infinitive Without "to" และนอกจากนีแ ้ ล้ว can ยังใช้ได้กับทุกประธาน

โดยปราศจากข้อสงสัย เช่น

ทุกตัวประธาน กริยาตัวอ่ ืนท่ีตามหลังเป็ น Infinitive Without "to" ซ่ ึงมีรายละเอียดของการใช้ดังต่อไปนี้

จาก Direct Speech ) เช่น

ป็ นการให้เกียรติกับผู้ท่ีเราพูดด้วย เช่น

งถึงความสามารถหรือความเป็ นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนัน ้ เสีย เช่น

nomalous Verb ได้เพียงอย่างเดียวเท่านัน ้ รูปอดีตของ May ก็คือ Might รูปปฏิเสธคือ may not ( mayn't ) และ might not ( mightn't ) รือ in order that เสมอ เช่น

สำาเร็จในส่ิงท่ีต้องประสงค์ ( may อยู่ต้นประโยคเสมอ ) เช่น

จะกระทำาการอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น

ten to you.

กมัน ่ ใจอย่างแน่นอนให้ใช้ may แทน ) เปรียบเทียบจากตัวอย่างประโยค 2 ประโยคนี้ เช่น

อยู่ท่ีทำางานของเขาก็ได้ เม่ ือพูดออกไปโดยไม่แน่ใจเช่นนัน ้ จึงใช้ might มาเป็ นกริยาช่วย ยู่ท่ีทำางานไม่ได้ไปไหน เพราะเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว จึงเกิดความมัน ่ ใจ 100% ว่า จิมจะต้องอยู่ทท ่ี ำางานของเขา จึงใช้ may มาเป็ นกริยาช่วยอันแสดงถึงความมัน ่ ใจ นอนใจขณะท่ีพูดถึงส่ิงท่ีเป็ นอดีต เช่น delayed by the traffic or she might have had an accident. ายเพราะการจราจรทำาให้ลา่ ช้า หรือว่าหล่อนได้รบ ั อุบัตเิ หตุ ) might + have + Verb ช่อง 3 เพราะผู้พูดพูดไปในลักษณะวิเคราะห์เหตุการณ์ไม่ใช่ข้อเท็จจริงท่ีประจักษ์กับตัวเองแล้ว

tive, Participle เช่นกริยาธรรมดาทัว่ไป และไม่ต้องเติม s ถึงแม้ประธานจะเป็ นบุรุษท่ี 3 เอกพจน์ ซ่ ึงมีวิธีใช้ดังต่อไปนี้

การของผู้พูด เช่น

อืนใด ซ่ ึงไม่สามารถหลีกเล่ย ี งได้ เช่น

มีรูปอดีตหรืออนาคตเป็ นของตนเอง แต่เม่ อ ื ต้องการใช้เป็ นอดีตกาล ( Past Tense ) ให้ใช้ had to แทน หรือต้องการให้เป็ นอนาคตกาล ( Future Tense )

ใช้เป็ นกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้ ใช้เป็ นกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ดังจะได้อธิบายถึงรายละเอียดของการใช้ดังนี้

tive With "to" และเม่ ือประธานของ need เป็ นเอกพจน์ ปั จจุบันกาล need ต้องเติม s และเม่ อ ื เป็ นอดีตให้เติม ed ท่ี need ได้เลย เช่น

มหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น

มหลังต้องเป็ น Infinitive Without "to" และเม่ ือประธานเป็ นเอกพจน์ ปั จจุบันกาล need ก็ไม่ต้องเติม s ( หรือ ed, ing อะไรทัง้นัน ้ ) เช่น

ามท่ีเป็ นบอกเล่า ( Affirmative ) แต่นิยมนำามาใช้ในประโยคคำาถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) หรือในประโยคท่ีมีข้อความเป็ นก่ึงป

นเดียวกับ Need นัน ่ คือจะใช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้หรือจะใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ซ่ ึงมีรายละเอียดการใช้ดังต่อไปนี้

ve With "to" และตัวกริยา dare นัน ้ หากประธานเป็ นเอกพจน์ ปั จจุบันกาลต้องเติม s หรือเติม ed เม่ ือเป็ นอดีตกาล เช่น

ให้ใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น เดียวกับท่ีไปช่วยกริยาแท้ตัวอ่ ืน ๆ เช่น

hout "to" และ dare ท่น ี ำามาใช้ตามความหมายนี ไ้ม่ตอ ้ งเติมs แม้ประธานจะเป็ นเอกพจน์ปัจจุบันกาล เช่น

า dare ขึ้นไปไว้ตน ้ ประโยคได้เลย เช่น

รูป Past ) แต่ถ้าต้องการจะใช้ Past ต้องตามด้วย Perfect Infinitive ( คือ ought + to have +Verb ช่อง 3 อน่ ึง ought to จะใช้ should (

คและหรือเติม not ข้างหลัง ought ได้ เช่น

d to มาใช้ก็ต่อเม่ ือกล่าวถึงการกระทำาท่เี ป็ นปกตินิสัยอยู่ชัว่ระยะหน่ ึง ในอดีต แต่ปัจจุบันการกระทำาท่ก ี ล่าวถึงนัน ้ มิได้กระทำาหรือเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะฉะนัน ้

o , never used to หรือ used not to + Verb 1 ได้ทัง้นัน ้

ล่านี ไ้ปทำาหน้าท่ีช่วยกริยาตัวอ่ ืนเพ่ ือให้เป็ นมาลา( Mood ) วาจก (

การให้เป็ นปฏิเสธไม่ได้

have หรือ has ในคำาว่า have ( หรือ has ) got to ขึ้นไปไว้ต้นประโยคได้

ะทำาอย่างหน่ึงอย่างใด หรือเหมาะสมท่ีจะประกอบกิจนัน ้ ๆ ในเวลานัน ้ แม้จะมีรูปเป็ นอ

ม่ต้องมี to นำาหน้า เพราะเป็ น Infinitive Without "to" do , does ใช้กับการกระทำา

นึง ) ตามหลักทฤษฎีท่ีว่า...

อยู่ในประโยคบอกเล่านัน ้ ขึ้นไปไว้ต้นประโยคหรือเติม not ลงข้างหลัง do อย

ดถึงนามเอกพจน์ พหูพจน์ ทัว่ไปท่ีมาเป็ นประธานได้ทัง้นัน ้ เช่น

น ผิดไปจากการใช้แบบปกติ เพราะนัน ่ แสดงถึงความตัง้ใจอย่างแน่วแน่ทจ่ี ะกระ

ว่าเป็ นอดีต เช่น

to โดยเฉพาะภาษาพูดจะใช้ should แทน ought to เช่น

นีแ ้ ล้ว can ยังใช้ได้กับทุกประธานและทุกพจน์อีกด้วย ซ่ ึงมีวิธีใช้ได้ดังต่อไปนี้

t not ( mightn't ) และ may นำามาใช้เป็ นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้

ป็ นกริยาช่วยอันแสดงถึงความมัน ่ ใจ

นาคตกาล ( Future Tense ) ให้ใช้ will have to หรือ shall have to เช่น

ไรทัง้นัน ้ ) เช่น

หรือในประโยคท่ีมีข้อความเป็ นก่ึงปฏิเสธ ( Negative Implication ) เท่านัน ้ เช่น

เอียดการใช้ดังต่อไปนี้

ght to จะใช้ should ( ท่ีแปลว่า "ควรจะ" ) แทนก็ได้ แต่ความหมายของคำาว่า "ควรจะ

กิดขึ้นอีกแล้ว เพราะฉะนัน ้ used to จึงต้องใช้กับเหตุการณ์หรือการกร

กลับไปยังหน้าเดิม

Tenses (กำล)

Present Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเป็ นจริง เกิดขึ้นเป็ นประจำาหรือปกติวิสัย ความจริงตลอดไป และมักมี adverb of frequency (คำากริยาวิเศษณ์ท่ีบอกเวลา)อยู่ด้วย adverb of frequency ได้แก่คำาว่า always  สมำ่าเสมอ usually  โดยปกติ often   บ่อยๆ    sometimes บางครัง้ seldom  ไม่ใคร่จะ never   ไม่เคย I always go to bed at 10 p.m. The sun rises in the east. I never drink coffee. โครงสร้ำง  S+V (s,es) He, She, It

I, You, We,They

plays with a ball. comes home. read a book. drive a car.

เม่ ือเราต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธและประโยคคำาถามให้เอา V to do(do,does) มาเป็ นกริยาช่วยในประโยคคำาถามท่ีเป็ นแบบ yes-no questionsให้เอา do,does วางไว้หน้าประโยค Does

he, she, it

Do

you, we, they, I

ให้เอา V to do(do,does)มาช่วยในประโยคคำาถามแบบ wh-questions เช่น Where do you come from? I come from Surin. How do you do? ประโยคปฎิเสธให้เติม not หลังคำา   do, does He, She,It

does not (doesn't)

I, You, We,They

do not (don't)

Note: เม่ ือเอา V to do มาใช้ในประโยคปฎิเสธและประโยคคำาถามกริยาแท้ไม่ต้องเติม s หรือ Past Simple Tense โครงสร้ำง  S+V2

ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและจบสิน ้ ลงไปแล้วในอดีตและมักจะมีคำาบอกเวลาอยู่ด้วย เช่นคำาว่า yesterday, last week, last month, last year, last summer, ago We went to Canada last summer. My family came to visit me last week. เม่ ือเราต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธและประโยคคำาถาม ให้นำาเอา V to do(did) มาช่วย Did

he, she, it

Did

you, we, they, I

ให้เอา V to do(did)มาช่วยในประโยคคำาถามแบบ wh-questions เช่น What did you do ? I cleaned my car. ประโยคปฎิเสธให้เติม not หลัง did ได้เลย He, She,It

did not (didn't)

I, You, We,They

did not (didn't)

Note: เม่ ือนำาเอา did มาใช้ในประโยคกริยาแท้จะต้องเปล่ียนเป็ นช่องท่ี1เหมือนเดิม คำาว่า be กระจายรูปเป็ น is am are (present) was were (past) I was angry because they were late. Was it sunny when you went out?

Present Continuous Tense (Progressive Tense) โครงสร้ำง  S+ is,am,are +Ving ใช้กับเหตุการณ์ท่ีกำาลังเกิดขึ้นในขณะท่ีพูดหรือการกระทำานัน ้ ๆยังไม่สิน ้ สุดลง I'm going to the market now. They are watching their favorite television program. I am

playing with a ball.

He, She, It is

coming home.

You, We,They are

reading a book.

เม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคคำาถามให้นำาเอาV to be มาวางไว้หน้าประโยคได้เลย Am I

playing with a ball?

Is he, she, it

coming home?

Are you, we, they

reading a book?

เม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธก็เติม not หลัง V to be ได้เลย I am not

playing with a ball.

He, She, It is not(isn't)

is coming home.

You, We,They are not(aren't)

are reading a book.

Past  Continuous Tense (Progressive Tense) โครงสร้ำง  S+Vtobe(was,were) +Ving ใช้เพ่ ือบรรยายเหตุการณ์ท่ีกำาลังเกิดขึ้นในอดีตแล้วมีอีกเหตุการณ์หน่ ึงเข้ามาแทรก เหตุการณ์ท่ีกำาลังกระทำาหรือกำาลังเกิดขึ้นใช้ past continuous เหตุการณ์ท่ีเข้ามาแทรกใช้ past simple While Jeda was eating breakfast, the mailman came. It was raining when we arrived. As Decha was making his lunch, he cut his hand. Note: เราใช้คำาว่า when while as เป็ นตัวเช่ ือมระหว่างสองเหตุการณ์ มีหลักการณ์ใช้ดังนี้ when+ past simple, past continuous while+ past continuous, past simple as+ past continuous, past simple แต่ถ้าคำาว่า when while as วางอยู่ตรงกลางประโยคไม่ต้องใส่เคร่ ืองหมายคอมมา (,) Presnt Perfect Tense โครงสร้ำง S+ havs,has +V3 ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีตและดำาเนินมาถึงปั จจุบันและมีแนวโน้มท่ีจะดำาเนินต่อไปอีก มักจะเห็นคำาว่า since กับ for อยู่ด้วย การใช้ since กับ for since = starting of period (เวลาตัง้แต่จุดใดจุดหน่ ึงในอดีตมาจนถึงปั จจุบัน) since 1990, since May, since Monday, since Christmas since 3 o'clock, since I was a student for = period of time (ระยะเวลาจากอดีตมาจนถึงปั จจุบัน) for 2 days, for 5 months, for 10 years, for 3 hours for a week, for 30 minutes, for a long time, for ages I have studied English since I was 10 years old. She has known him since last year. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำาท่ีเพ่ิงเสร็จสิน ้ ลงโดยไม่ได้ระบุเวลา We have washed our hands.

I have just had a snack. ใช้ present perfect tense เพ่ ือให้ข้อมูลใหม่หรือประกาศให้ทราบกับส่ิงเพ่ิงเกิด Ouch! I have just cut myself. การใช้ just already yet ในประโยค present perfect just = เพ่ิงจะ Suda has just arrived home. already =เรียบร้อยแล้ว A: Don't forget to phone the restaurant. I've already phoned to make a reservation. yet =ยัง   ใช้กับประโยคปฎิเสธและประโยคคำาถาม She hasn't finished her letter yet. Has it stopped raining yet? ใช้กับคำาว่า today, this morning, this evening กับเวลาท่ียังไม่สิน ้ สุดในขณะท่ีพูด I've drunk three glasses of water today. เม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคคำาถามให้เอา V to have (has,have)มาวางไว้ประโยค ได้เลย Has he, she, it

worked?

Have you, we, they, I

finished?

เม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธให้เติม not หลัง verb "to have" (has,have) I have(haven't)

played a game.

He, She, It has not (hasn't)

read a book.

You, We,They have not (haven't)

driven a car.

Past Perfect tense โครงสร้ำง S+ had+V3 ใช้แสดงความสัมพันธ์ของสองเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วไปแล้วในขณะท่ีกำาลังพูด ซ่ ึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นก่อนเราใช้ Past Perfect tense ส่วนเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นทีหลังเราใช้เป็ น past simple tense When Paul arrived, Mary had just left. It rained after we had finished playing football. Note: การใช้ after และ when เช่ ือมระหว่างสองประโยค after ตามด้วย past perfect แล้วตามด้วย past simple (after + past perfect,past simple) when ตามด้วย past simple แล้วตามด้วย past perfect (when+ past simple,past perfect) Present Perfect Continuous Tense โครงสร้าง  S+ have,has +been+Ving ใช้บรรยายเหตุการณ์ท่ีเกิดในอดีตและดำาเนินมาจนถึงปั จจุบันหรือพ่ ึงสิน ้ สุดลง I have been studying English for 2 years.

We have been waiting here since 9 o'clock. A: How long has it been raining? B: It has been raining for an hour. Past Perfect Continuous Tense โครงสร้าง S+had+been+ Ving ใช้พูดถึงการกระทำาหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นซำา้ๆหรือตลอดเวลาในอดีตและได้สิน ้ สุดลงไปก่อน เวลาหน่ ึงเวลาใดในอดีต She had been working hard all day. He had been smoking for 20 years.

Future Simple tense โครงสร้ำง  S + will, shall + V1 I will/shall We will/shall He/she it will You will They will

play tomorrow. cook next week. move next year. work tonight. leave next month.

ใช้แสดงถึงการกระทำาหรือเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตซ่ ึงมักจะมีคำา adverb of time อยู่ด้วยเช่น tomorrow, next week, next month, next year, tonight, an hour Who do you think will win the game next week?  I will go to the park tomorrow. การใช้ to be going to   เม่ ือเราได้ตัดสินใจทำาบางส่ิงแล้ว หรือตัง้ใจว่าจะทำาและใช้กับ การคาดคะเนเช่น I'm going to the bank tomorrow. Future Continuous Tense โครงสร้าง S+will,shall +be+Ving ใช้เม่ ือเราพูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำาท่ีกำาลังกระทำาอยู่ ณ จุดใดจุดหน่ ึงในอนาคต โดยมีคำาบอกเวลาอยู่ด้วยเช่น this time next week, at 9 o'clock tomorrow this time tomorrow At 9 o'clock tomorrow, we will be traveling to New York.

Future Perfect Tense โครงสร้ำง S+ will,shall +have +V3 ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำาซ่ ึงคาดว่าจะเสร็จสิน ้ ลง ณเวลาใดเวลาหน่ ึงในอนาคต The show will already have started by the time we arrived. They will have finished by tomorrow. Future Perfect Continuous Tense โครงสร้าง  S+ will,shall +have been +Ving ใช้เพ่ ือเน้นการกระทำานัน ้ ๆยังคงดำาเนินอยู่ในอนาคต By 2001 the company will have been operating in Bangkok for 20 years.

กลับไปยังหน้าเดิม

)

es)

work? study?



work. study.

ต้องเติม s หรือ es

วย mer, ago

d) มาช่วย

นเดิม

work? work?

work. work.



ลักการณ์ใช้ดังนี้

มมา (,)

นต่อไปอีก

บัน)

เกิด

ขณะท่ีพด ู

ะโยค

ave)

าลังพูด ซ่ึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นก่อนเราใช้ tense

ดลงไปก่อน

of time อยู่ด้วยเช่น ur

ละใช้กับ

าคต rrow

นาคต

for 20 years.

กลับไปยังหน้าเดิม

Prepositions บุพบท

1. กำรใช้ in on at กับเวลำ at ใช้ระบุเวลา ณ จุดใดจุดหน่ ึง เช่น at noon at night at midday at six o'clock at Christmas at ใช้กับสำานวนท่ีเก่ียวกับเวลา เช่น at first at once at last at lunch time at present on ใช้กับวันของสัปดาห์ทัง้หมดเช่น on Sunday                  on Monday                 on Tuesday               on Wednesday          on Thursday                on Friday                    on Saturday                on ใช้กับวันท่ี วันสำาคัญทางศาสนาหรือทางราชการ และวันหยุดต่างๆ on May 1st on Christmas Day on New Year's day on holiday  on vacation on time on Songkran day in ใช้กับส่วนของวันเช่น in the morning in the afternoon in the evening in ใช้กับเวลาหรือระยะเวลาท่ียาวขึ้นเช่นเดือน ปี และฤดู in 2000 in summer in June 1999  in the 21th century in the past in time

in in in in

the future a few months two hours  a week's time

2. กำรใช้ in on at กับสถำนที่ at ใช้กับบ้านเลขท่ีเช่น at 224 Mango Street, at 987 Big Elm Road, at 67 Sukhumvit Road at ใช้กับสถานท่ีซ่ึงเป็ นจุดเล็กๆเช่นในระดับเมืองหรือใช้ กับสถานท่ีเล็กๆหรือระบุตำาแหน่งท่ีแน่นอนเช่น at home at the hospital at the airport at the bus station at the meeting at the window at the river at the concert at the door at the party at ท่ีใช้กับสำานวนอ่ ืนๆเช่น at work at best at will at least at loss at worst at large on ใช้เช่ ือมต่อระหว่างสองท่ีเช่น on Silom Road on the way home on ใช้กับตำาแหน่งบนพ้ืนผิวเช่น on the table on the ceiling on the sidewalk on the floor on the train on a bicycle on the wall on the coast on paper on ใช้กับสำานวนต่อไปนี้ on business on tour

on on on on on on on on on on

the radio air television the phone purpose fire the list pleasure duty guard

in ใช้กับสถานท่ีท่ีค่อนข้างใหญ่เช่นเมืองจังหวัด ประเทศหรือทวีปเช่น in Chiang Mai in Asia in the world in the army in the sky in the river in the sea in the parking lot นอกจำกนีย ้ ังยังมีคำำว่ำ during แปลว่า ระหว่าง till, until ใช้เก่ียวกับเวลาแปลว่า จนกระทัง่ จนถึง before ใช้เก่ียวกับเวลาแปลว่า ก่อน after ใช้เก่ียวกับเวลาแปลว่า หลัง from ใช้กับเวลาหรือสถานท่ีแปลว่า นับตัง้แต่ from...to แปลว่า จาก...ถึง from...till แปลว่า ตัง้แต่...ถึง between... and แปลว่า ระหว่าง...ถึง by แปลว่าด้วย(ใช้กับการเดินทางด้วยยานพาหนะแปลว่า in front of แปลว่า ข้างหน้า outside แปลว่า ข้างนอก ภายนอก inside แปลว่า ข้างใน ภายใน behind แปลว่า ข้างหลัง

กลับไปยังหน้าเดิม

Prepositions บุพบท

เวลาเท่ียงวัน เวลากลางคืน เวลาเท่ียงวัน เวลาหกโมงเช้า ในวันคริสต์มาส ในตอนแรก ในทันที ในท้ายสุด ในเวลาอาหารกลางวัน ขณะนี้ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์

งราชการ และวันหยุดต่างๆ ในวันท่ี 1 พฤษภาคม ในวันคริสต์มาส ในวันขึ้นปี ใหม่ ในวันหยุด ในวันหยุด ตรงเวลา ในวันสงกรานต์

อน ปี และฤดู

ในตอนเช้า ในตอนบ่าย ในตอนเย็น ในปี 2000 ในฤดูร้อน ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1999 ในศตวรรษท่ี 21 ในอดีต ทันเวลา

ในอนาคต ในอีก 2-3 เดือน ภายในสองชัว่โมง ในหน่ึงสัปดาห์

Big Elm Road, at 67 Sukhumvit Road

บเมืองหรือใช้ เช่น

ท่ีบ้าน ท่ีโรงพยาบาล ท่ีสนามบิน ท่ีสถานีขนส่ง ท่ีประชุม ท่ีหน้าต่าง ท่ีแม่นำา้ ท่ีคอนเสิร์ต ท่ีประตู ท่ีงานเลีย ้ ง ขณะทำางาน อย่างดีท่ีสุด ตามความต้องการ อย่างน้อยท่ีสุด ขาดทุน อย่างแย่ท่ีสุด มีอิสระ บนถนนสีลม ในระหว่างทางกลับบ้าน บนโต๊ะ บนเพดาน บนทางข้างถนน บนพ้ืน บนรถไฟ บนรถจักรยาน บนผนัง บนชายฝั่ ง บนกระดาษ ว่าด้วยเร่ ืองธุรกิจ ในขณะท่องเท่ียว

ในวิทยุ ขณะออกอากาศ ในโทรทัศน์ ทางโทรศัพท์ โดยตัง้ใจ ในขณะไฟไหม้ ในรายช่ ือ เพ่ ือความสนุกสนาน ในขณะปฎิบัติหน้าท่ี เตรียมพร้อม

หวัด ประเทศหรือทวีปเช่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ในทวีปเอเชีย ในโลก ในกองทัพ ในท้องฟ้ า ในแม่นำา้ ในทะเล ในลานจอดรถ

ะทัง่ จนถึง

ตัง้แต่

ง านพาหนะแปลว่า) ข้าง ใกล้

กลับไปยังหน้าเดิม

Pronouns คำำสรรพนำม Pronoun คือคำาท่ีใช้แทนคำานาม แบ่งออกได้เป็ น 1. Personal Pronoun ทำาหน้าท่ีเป็ นประธานและกรรมของประโยค ได้แก่คำาว่า Subjective ประธาน I (ฉัน) You (คุณ) We (พวกเรา) They (พวกเขา) He (เขา) She (หล่อน) It (มัน)

Objective กรรม me (ฉัน) you (คุณ) us (พวกเรา) them (พวกเขา) him (เขา) her (หล่อน) it (มัน)

I gave the ball to him. The car hit her. They told us the secret. 2.Possessive pronoun ทำาหน้าท่ีเป็ นคำาแสดงความเป็ นเจ้าของไม่ต้องมีคำานามตามหลัง (Possessive adjective) ทำาหน้าท่ีเป็ นคำาแสดงความเป็ นเจ้าของต้องมีคำานามตามหลังเสมอ       Possessive adjective Possessive pronoun my mine ของฉัน your yours ของคุณ our ours ของพวกเรา their theirs ของพวกเขา his his ของเขา her hers ของหล่อน its ของมัน เช่น

My wife belongs to the club. That car is mine. This book is yours. Their dog was hit by a car.

3.Reflexive pronoun ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของกริยาโดยเน้นว่าประธานเป็ นผู้กระทำา เอกพจน์ I - myself you - yourself he - himself she - herself it - itself

พหูพจน์ we  - ourselves you - yourselves they - themselves

I am working by myself. He ate the whole cake by himself.

She cut herself while making dinner. ดูตารางการเปรียบเทียบ Subjective I You We They He She It

Objective me you us them him her it

Possessive adjective my your our their his her its

4. Relative Pronoun (ประพันธสรรพนาม) คือ สรรพนามท่ีใช้เป็ นตัวเช่ ือมประโยคได้แก่คำาว่า who which that whom whose what where

ผู้ซ่ึงใช้แทนคน ท่ี ซ่ ึง อัน ใชักับสัตว์และส่ิงของ ท่ี ซ่ ึง อัน ใช้ได้ทัง้คนและส่ิงของ ผู้ซ่ึง ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของประโยค และใช้ได้เฉพาะคนเท่านัน ้ ซ่ ึง...ของใช้แสดงความเป็ นเจ้าข องต้องมีคำานามตามหลังเสมอ ส่ิงซ่ ึง ส่ิงท่ี ใช้เฉพาะส่ิงเท่านัน ้ ท่ีซ่ึง ใช้กับสถานท่ี

The man who is playing chess is blind. There is a new pub which you might find interesting. The dog that is sleeping under my car is dirty. This is Pongsee whom you promoted last year. This is the student whose house burned down last night. This is what I want to order for lunch. The school where I study is closed for the holiday.

กลับไปยังหน้าเดิม

คำำสรรพนำม แบ่งออกได้เป็ น 4 แบบ ดังนี้

ตามหลัง ามหลังเสมอ      

ะทำา

โยคได้แก่คำาว่า

Possessive pronoun mine yours ours theirs his hers -

Reflexive pronoun myself yourself ourselves themselves himself herself itself

กลับไปยังหน้าเดิม

Nouns คำำนำม คำานามคือคำาท่ีใช้เรียกช่ ือคน สัตว์ ส่ิงของมีดังนี้ The plural of nouns (คำานามพหูพจน์) 1.คำำนำมที่อยู่ในรูปของพหูพจน์ส่วนใหญ่จะเติม s หรือ es ท้ำยคำำ Singular boat      hat           house  river        chair     boy         girl              computer    car          

Plural boats hats houses rivers chairs boys girls computers cars

     2.คำำนำมที่ลงท้ำยด้วย yหน้ำ y เป็ นพยัญชนะเม่ ือต้องกำรทำำเป็ นนำมพหูพจน์ให้เปลี่ยน y Singular cry fly candy city lady baby party Note:ถ้าหน้า y เป็ นสระให้เติม s ได้เลย day key monkey

Plural cries flies candies cities ladies babies parties

days keys monkeys

3. คำำนำมที่ลงท้ำยด้วย o หน้ำ o เป็ นพยัญชนะให้เติม es Singular       tomato         mango         potato         pamelo        hero                Note:ถ้าหน้า o เป็ นสระให้เติม s ได้เลย Singular       zoo                    

Plural tomatoes mangoes potatoes pameloes heroes

Plural zoos

radio         studio        

radios studios

คำายกเว้น แม้ว่าหน้าo จะเป็ นพยัญชนะแต่ต้องเติม s ได้เท่านัน ้ photo   รูปถ่าย piano      เปี ยโน casino   กาซิโน 4. คำำนำมพหูพจน์บำงตัวจะเปลี่ยนรูปไปจำกนำมเอกพจน์ Singular woman                man                            child                    knife                      tooth                        foot                            bus                     person        leaf                   wife                      life                       loaf                 box                   kiss                  glass       cactus             fungus         nucleus     syllabus    thesis         crisis             phenomenon  criterion 

Plural women men children knives teeth feet buses people leaves wives lives loaves boxes kisses glasses cacti fungi nuclei syllabi theses crises phenomena criteria

5. คำำนำมบำงคำำที่มีรูปเดียวกันทัง้เอกพจน์และพหูพจน์ Singular  sheep  fish                species  deer            

Plural sheep fish species deer

6.คำำนำมบำงคำำมีรูปเป็ นพหูพจน์แต่ใช้เป็ นเอกพจน์ Examples: news ข่าว

The news is on at 6.30 p.m. athletics:นักกีฬา นักกรีฑา Athletics is good for young people. liguistics:ภาษาศาสตร์ Linguistics is the study of language. darts เกมปาเป้ า Darts is a popular game in England. politics    การเมือง 7.คำำนำมบำงคำำเป็ นรูปพหูพจน์และใช้เป็ นพหูพจน์ trousers: กางเกงขายาว My trousers are too tight. jeans: กางเกงยีนส์ Her jeans are black. glasses: แว่นตา Those glasses are his. scissors กรรไกร shorts กางเกงขาสัน ้ thanks ขอบใจ stairs บันได congratulations ขอแสดงความยินดี wages ค้าจ้าง ค่าแรง spectacles แว่นตา goods สินค้า Countable and Uncountable Nouns (นำมนับได้และคำำนำมนับไม่ได้) 1.Countable nouns (นำมนับได้) a. สำำหรับสิ่งที่เรำสำมำรถนับได้เช่น one dog สุนัขหน่ ึงตัว a cat      แมวหน่ ึงตัว six men   ผู้ชายหกคน a house  บ้านหน่ ึงหลัง b. มีรูปเป็ นเอกพจน์และพหูพจน์เช่น three dogs สุนัขสามตัว ten ducks เป็ ดสิบตัว a woman ผู้หญิงหน่ ึงคน the shops. ร้านค้าหลายร้าน 2. Uncountable nouns (นำมนับไม่ได้) a. คือสิ่งที่เรำไม่สำมำรถนับได้เช่น tea นำา้ชา sugar  นำา้ตาล water  นำา้ air  อากาศ

rice  ข้าว food อาหาร milk  นม snow หิมะ dust ฝ่ ุน wood ไม้ hair ผม money เงิน meat เน้ือ coffee กาแฟ b. นำมที่บอกอำกำร ควำมรู้สึก สภำพ ลักษณะเช่น richness  ความรำ่ารวย movement ความเคล่ ือนไหว beauty ความสวย love ความรัก knowledge  ความรู้ Compound Nouns (คำำนำมผสม) คำานามผสมเป็ นการเอาคำาตัง้แต่สองคำาขึ้นไปมาผสมกันซ่ ึงเป็ นการผสมระหว่าง 1.noun +noun girl + friend = girlfriend  เพ่ ือนหญิง traffic + lights =traffic lights    สัญญาณไฟจราจร noun + verb head + ache = headache ปวดหัว 2. verb + noun work + man = workman  กรรมกร 3. noun + verb hair + cut = haircut การตัดผม 4. verb + prep. hold + up = holdup การปล้น 5. adj.+ noun green +house = greenhouse เรือนกระจก quick + silver = quicksilver  ปรอท Proper Nouns (นำมเฉพำะ) Capital letters อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ :เราใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่สำาหรับ 1. ช่ ือ นำมสกุล และตำำแหน่ง Somchai the President of the United States 2  ช่ ืองำน ช่ ือภำพยนตรช่ ือหนังสือ Death in Venice, The Barber of Seville

3.ช่ ือเดือน ช่ ือวัน และช่ ือวันหยุด Monday, October, Easter 4. คำำคุณศัพท์ที่มำจำกคำำนำมเฉพำะ Thai cooking, a German car 5. ช่ ือทำงภูมิศำสตร์ French Alps, the Nile , the Atlantic 6. ช่ ือถนน ช่ ืออำคำรสถำนที่ ช่ ือสวนสำธำรณะ Main Street, Central Park, Silom Road

กลับไปยังหน้าเดิม

ำม

เรือ หมวก บ้าน แม่นำา้ เก้าอี้ เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง เคร่ ืองคอมพิวเตอร์ รถยนตร์

จน์ให้เปลี่ยน y เป็ น i แล้วเติม es ร้องไห้ แมลงวัน ลูกกวาด เมือง สุภาพสตรี เด็กทารก งานเลีย ้ ง วัน กุญแจ ลิง

มะเขือเทศ มะม่วง มันฝรัง่ ส้มโอ วีระบุรุษ

สวนสัตว์

วิทยุ โรงถ่ายทำา

ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก มีด ฟั น เท้า รถบัส คน ประชาชน ใบไม้ ภรรยา ชีวิต ก้อน แถว (ขนมปั ง) กล่อง จูบ แก้ว กระจก ต้นตะบองเพชร เช้ือรา นิวเคลียส หลักสูตร วิทยานิพนธ์ วิกฤติการณ์ ปรากฎการณ์ บรรทัดฐาน มาตรการ

แกะ ปลา ชนิด กวาง

นับไม่ได้)



กลับไปยังหน้าเดิม

บไปยังหน้าเดิม

Gerunds กริยำที่เติม ing

คือการนำาเอาคำากริยามาเติม ing ทำาหน้าท่ีเป็ นประธานกริยา เป็ นกรรมและใช้ในคำานามผสมมีลักษณะการใช้ดังนี้ 1. ทำาหน้าท่ีเป็ นประธานของกริยาเช่น Walking is good for your health. 2. ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมของกริยาเช่น He stops smoking. 3. ทำาหน้าท่ีเป็ นกรรมตามหลังคำาบุพบทเช่น Thank you for coming. 4. ใช้ในคำานามผสมเช่น Swimming pool Sleeping pill กริยาท่ีใช้ตามด้วย gerund ได้แก่คำาว่า admit ยอมรับ miss พลาด finish เสร็จสิน ้ postpone เล่ ือน deny ปฎิเสธ avoid หลีกเล่ียง keep (on) ทำาต่อไป mention เอ่ยถึง understand เข้าใจ quit เลิก stop หยุด dislike ไม่ชอบ imagine จินตนาการ practise ฝึ กฝน risk เส่ียง can't help อดไม่ไหว object to คัดค้าน insist of  ประกอบด้วย keep on ทำาต่อไป look forward to รอคอย think of คิดถึง It's no use ไม่มีประโยชน์ กริยาท่ีตามหลัง gerund (V.-ing) หรือ infinitive (to v1) แต่ความหมายแตกต่างกัน 1. remember จำาได้ remember +  to v 1จำาได้ว่าจะต้องทำาอะไรบางอย่าง I hope I remember to pay the phone bill. remember + v ing จำาได้ว่าได้ทำาอะไรไปแล้ว I still remember going to my first dance. 2.forget ลืม

forget +  to v 1 ลืมทำาอะไรบางอย่าง Don't forget to buy some milk on your way home. forget + v ing ทำาส่ิงนัน ้ ไปแล้วแต่ลืม และตามด้วยโครงสร้างนี้I'll never forget ........ing I'll never forget meeting Bill Clinton when he visited Thailand. 3. stop หยุด stop +to v 1 หยุดทำาอะไรบางอย่างเพ่ ือไปทำาอย่างอ่ ืนแทน Employess stop to have a break at 10 a.m. stop + v ing เลิกทำาหรือหยุดทำาไปแล้ว You should stop eating too much. 4.regret เสียใจ regret +t o v 1เสียใจท่ีจะต้องบอกว่า I regret to tell you that your dog died today. regret + v ing เสียใจท่ีได้ทำาอะไรลงไปแล้ว I regret drinking too much last night. 5. try try + to V1 พยายามทำาบางอย่างในส่ิงท่ียาก I tried to study but I was too tired. try +Ving  ลองทำาบางอย่าง I tried calling you but your line was busy. 6. sorry sorry +to V1 เป็ นการขอโทษในบางส่ิงท่ีกำาลังกระทำาหรือกำาลังจะกระทำา I'm sorry to have troubled you. sorry for /about + Ving   เสียใจกับส่ิงท่ีผ่านมาแล้ว I'm sorry for troubling you. กริยาต่อไปนีต ้ ามได้ทัง้ gerund (V.-ing) หรือ infinitive (to v1) แต่ความหมาย เหมือนกันได้แก่คำาว่า hate เกียด love รัก like ชอบ prefer ชอบมากกว่า begin เร่ิมต้น start เร่ิมต้น continue ดำาเนินต่อไป

กลับไปยังหน้าเดิม

กลับไปยังหน้าเดิม

Articles คำำนำำหน้ำนำม  คำา article แบ่งออกได้เป็ น 2 ชนิด คือ A. Indefinite Article ได้แก่ a, an B. Definite Article ได้แก่ the A. Indefinite Article ได้แก่ a, an หลักการใช้ a, an 1. ใช้ an นำาหน้าคำาท่ีขึ้นต้นด้วยสระ a, e, i, o,u หรือออกเสียงสระไม่ว่าจะเขียนขึ้นต้นด้วยพยัญชนะก็ตามเช่น an elephant, an hour, an umbrella, an apple 2. ใช้ a, an นำาหน้าคำานามเอกพจน์ท่ีนับได้เสมอท่ีมีความหมายเป็ น"หน่ ึง" She has a dog. Give me an apple. 3. ใช้ a,an นำาหน้าคำาท่ีบอกอาชีพ Junior's father is a doctor. I want to be a teacher. 4. ใช้ a, an นำาหน้านามเอกพน์ท่ีแปลเป็ นต่อ...(หน่วย) Oranges cost 50 baht a kilogram. 5. ใช้ a กับการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่น a stomachache, a headache, a fever I ate somtam at lunch and now I have a stomachache. 6. ใช้ a,an ในประโยคอุทานตามหลัง what เช่น What a nice dress! What an old man! เราจะไม่ใช้ a,an กับส่ิงต่อไปนี้ 1.กับคำานามท่ีนับไมได้ (uncountable nouns) 2.ไม่ใช้นำาหน้าช่ ือวิชา ช่ ือกีฬา ช่ ือประเทศ ช่ ือเมือง ช่ ือมหาวิทยาลัย 3.ไม่ใช้หน้าคำาท่ีเป็ นม้ืออาหาร breakfast, lunch, dinner B. Definite Article ได้แก่ the หลักการใช้ the 1. ใช้กับคำานามนับได้เอกพจน์และพหูพจน์ท่ีเป็ นการชีเ้ฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน ส่ิงไหน 2. ใช้ the นำาหน้าคำานามท่ีมีส่ิงเดียว the sun, the moon, the sky 3. ใช้ the นำาหน้าช่ ือครอบครัวเช่น The Browns, The Lees

4. ตามปกติเราใช้ the นำาหน้าช่ ือหนังสือพิมพ์เช่น The Nation, The Times, The Sun 5. ใช้ the กับช่ ือสถนาท่ี ทะเล the Pacific เทือกเขา the Himalayas แม่นำา้ the Mississippi ทะเลทราย the Sahara โรงแรม the Plaza โรงหนังโรงละคร the Playhouse พิภิธภัณฑ์   the National Museum ช่ ือประเทศท่ีมีคำาว่า Republic, Kingdom, State 6. ใช้ the เม่ ือเราพูดโดยทัว่ไปในเร่ ืองเคร่ ืองดนตรี the piano I play the guitar. 7. ใช้ the ก่อนคำาว่า same Your shirt is the same color as mine. 8. ใช้ the + คำาคุณศัพท์เม่ ือกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็ นพิเศษ the rich, the sick, the poor 9. ใช้ the กับคำานามท่ีเราได้กล่าวมาแล้วทัง้ผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่ากำาลังพูดถึงส่ิงใด เราจะไม่ใช้ the กับส่ิงต่อไปนี้ 1.ไม่ใช้ the นำาหน้านาม+จำานวนเช่น room 255 2.ไม่ใช้ the เม่ ือเราพูดถึงส่ิงของหรือบุคคลโดยทัว่ไป I'm afraid of spiders.

กลับไปยังหน้าเดิม

กลับไปยังหน้าเดิม

Helping or Auxiliary Verbs กริยำช่วย กริยาช่วยมีด้วยกันทัง้หมด 24 ตัวดังนี้ is      am are was were do does did has have had can could may might will would shall should must need dare ought used to

รูปปฎิเสธ is not am not are not was not were not do not does not did not has not have not had not can not could not may not might not will not would not shall not should not must not need not dare not ought not used not to

verb to be ได้แก่คำาว่า is, am, are, was, were แปลว่า"เป็ น, อยู่, คือ" be เป็ นรูปเดิมเม่ ือกระจายรูปจะได้เป็ น   is,am,are เปล่ียนเป็ นช่องท่ีสองคือ was were ใช้กับ Present tense (ปั จจุบันกาล) is ใช้กับประธานเอกพจน์ am ใช้กับประธานคำาว่า I are ใช้กับประธานพหูจน์ ใช้กับ Past tense (อดีตกาล) was ใช้กับประธานเอกพจน์ wereใช้กับประธานพหูพจน์ หน้าท่ีของ verb to be 1.ทำาหน้าท่ีช่วยกริยาตัวอ่ ืนในประโยค continuous tense และประโยค Passive voice     They are watching tv.      She was writing to her parents.     A dog was killed by bad man. 2.ใช้กับประโยคท่ีมีคำานาม (noun) หรือคำาคุณศัพท์ (adjective) ตามหลัง     We are students. 3.ใช้กับประโยคขอร้องและคำาสัง่(ในรูปของ be) เช่น

    Be careful!     Be gentle!

Verb to do ได้แก่คำาว่า do, does, did ใช้กับ Present tense (ปั จจุบันกาล) does ใช้กับประธานเอกพจน์ do   ใช้กับประธานพหูพจน์ ใช้กับ Past tense (อดีตกาล) did ใช้ได้ทัง้ประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์ Verb to do ใช้กับ present Simple หรือ past Simple เม่ ือเราต้องการเปล่ียนจากประโยคบอกเล่าเป็ นประโยคคำาถามและประโยคปฎิเส Present Simple She goes to school by bus. She doesn't go to school by bus. Does she go to school by bus? Past Simple Dum went to the post office yesterday. Dum didn't go to the post office yesterday. Did Dum go  to the post office yesterday? Note: เม่ ือเอา Verb to do เข้ามาช่วยกริยาจะต้องเป็ น V1เสมอ Verb to have ได้แก่คำาว่า has,have,had has ใช้กับประธานเอกพจน์ have ใช้กับประธานพหูพจน์ had ใช้ได้ทัง้ประธานเอกพจน์และพหูพจน์ในรูปของ past 1. เราจะใช้กับ Present Perfect Tense และ Past Perfect tense เช่น Frank has seen the rainbow. Frank hasn't seen the rainbow. Has Frank  seen the rainbow? They have watched the movie. They haven't watched the movie. Have they watched the movie? 2. Verb to have ท่ีเป็ นกริยาแท้แปลว่า "มี"   "รับประธาน"เช่น I have a new dress. I have lunch early every day. เม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธและคำาถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น We don't have a new home. Do we have a new home? can  could  แปลว่า "สามารถ" 1.ใช้กล่าวถึงความสามารถว่าสามารถทำาส่ิงนีส ้ ่ิงนัน ้ ได้เช่น I can play the piano. I can speak French. ในรูปประโยคปฎิเสธและคำาถามสามารถใช้ can ได้เลยเช่น She can't drive. Can you drive?

2.เราจะไม่ใชั can กับ infinitive หรือ participles แต่เม่ ือจำาเป็ นเราจะใช้คำาอ่ ืนแทนเช่น Are you be able to go home late? She will be able to drive soon. 3.could เป็ น past ของ can เราใช้ could สำาหรับความสามารถทัว่ไป หรือการอนุญาตเช่น She could speak three languages when she was five. He finished his home work. He could go out to play. 3. เราใช้ can และ could 3.1 กับความสามารถ (ability) I can use a computer. 3.2 การขอหรือการให้อนุญาต Can I use your bicycle? You can leave early today. แต่ถ้าเป็ นแบบสุภาพหรือเป็ นทางการเราจะใช้ could เช่น Could you hand me that book,please? 3.3 การขอร้อง (requests) Can you .... ? could you...? สุภาพกว่า Do you think you could...? can you take this bag? Could you loan a hundred baht? Do you think you could help me move this box? 3.4 เสนอตัวเพ่ ือช่วยเหลือ (offers) เช่น Can I turn the air on for you ? 3.5 พูดถึงความเป็ นไปได้และคาดคะเนในส่ิงท่ีอาจจะเกิดขึ้น (possibility and probability) ใช้ can กับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ท่ีเป็ นไปได้ เช่น This road can be dangerous at night.

may  might 1.ใช้กับการพูดถึงการมีโอกาสของบางส่ิงบางทีอาจเป็ นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้นเช่น We may take a day off  next week. He might call me tonight. 2. might ไม่ได้เป็ น past ของ may เราจะใช้ might เม่ ือเรามีโอกาสท่ีน้อยกว่า may เช่น I may go to visit my parents in this weekend. ( บางทีโอกาสจะเป็ น 50%) Jane might go with me. ( บางทีโอกาสจะเป็ น 30% ) 3.การใช้ may/might กับ have ใช้แสดงการคาดคะเนท่ีอาจจะเกิดขึ้นในอดีต may/might + have +V3 She may have gone out when I phoned her. A: I can't find my book. B:You might have left it at school. 4. ใช้ may might ในการขออนุญาตเช่น May I sit here? I wonder if I might have another cup of coffee? 5.  ใช้ may   ในการอนุญาตและไม่อนุญาตเช่น Children may not play alone in the pool. A: May I turn the TV on? B: Yes, of course you may.

will  would will 1.ใช้เม่ ือเราพูดถึงอนาคต I will go to school early tomorrow. 2.ใช้ will   แสดงการขอร้องอย่างสุภาพเช่น Will you open the door for me please? would เป็ นอดีตของคำำว่ำ will 1.ใช้ในประโยคขอร้องท่ีสุภาพกว่า will Would you turn the volume down please? 2.ใช้กับประโยค Would you mind if.... Would you mind if I smoke? 3. ใช้ would กับคำา rather แปลว่า ควรจะ....ดีกว่า ตัวย่อ 'd rather ใช้ในการเลือกอย่างใดอย่างหน่ ึง I'd rather study harder this year than go to summer school. 4. ใช้ would กับ like to ในีรูปคำาถามเป็ นการเช้ือเชิญเช่น Would you like to go dancing with me?

shall  should shall 1.ใช้ในประโยคอนาคตกาล (Future tense) ตามปกติแล้ว shall ใช้กับ ประธาน I และ We 2. ใช้ในการเสนอหรือให้คำาแนะนำา และใช้เม่ ือขอคำาแนะนำาเราจะใช้ Shall I...? Shall we ...? Shall I carry your books? Shall we go shopping? Should 1.ใช้เม่ ือพูดเก่ียวกับภาระหน้าท่ีและความคิดเห็นท่ีใกล้เคียงกันเช่น People should be careful about food. She shouldn't act like that in public. 2. ใช้ Should I....? สำาหรับการขอคำาแนะนำา การย่ ืนมือช่วยเหลือ เช่น Should I go out with him ? Should I help you clean up this area? 3. ใช้เม่ ือกล่าวถึงส่ิงท่ีควรจะทำาแปลว่า"ควรจะ" เช่น You work all day. You should take a rest. 4. ใช้ should have +V3   ใช้พูดเก่ียวกับอดีตโครงสร้างนีใ้ช้กับส่ิงท่ีไม่ได้เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นเช่น They should have arrived here by now. I should have written a note for him 5. ใช้กับประโยค if clause เช่น If I had a lot of money, I would be happy.

must แปลว่า "ต้อง"ตามด้วยกริยาช่องท่ี 1มีหลักการใช้ดังนี้ 1. ใช้แสดงความจำาเป็ นท่ีต้องกระทำา You must hand your homework in tomorrow.

2. ใช้ในการให้คำาแนะนำาหรือการสัง่กับตัวเราเองหรือกับบุคคลอ่ ืนเช่น He really must stop drinking. You must sit there for two hours. You mustn't talk in the classroom. 3. เราใช้ have to แทน must ได้ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงกำรใช้ must และ have to must   เป็ นการสัง่ความจำาเป็ นมาจากบุคคลท่ีกำาลังพูดหรือกำาลังฟั ง have to พูดถึงความจำาเป็ นท่ีมาจากภายนอกบางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย กฏระเบียบหรือเป็ นข้อตกลงเช่น I must go home now. It's going to rain soon. You must stop smoking. I have to stop smoking because I'm sick. mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำาส่ิงนัน ้ ส่ิงนี้ haven"t got to, don't have to ใช้พูดในบางส่ิงท่ีไม่สำาคัญเช่น You mustn't tell Dang. มีความหมายว่า (Don't tell Dang.) You don't have to tell your wife. หมายความว่า (You can if you like, but it is not necessary.) 4. ใช้ must เม่ ือพูดถึงส่ิงท่ีเราแน่ใจเช่น The boy keeps crying. He must be really sick. need   เป็ นได้ทัง้กริยาช่วยและกริยาแท้ 1. เม่ ือใช้เป็ นกริยาแท้ need + to +V1 He needs to clean his car. You need to water the flowers. ถ้าต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธและประโยคคำาถาม ให้เอา Verb to do มาช่วย You don't need to help him. Do we need to reserve the room? 2.เม่ ือใช้เป็ นกริยาช่วยเราไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ซ่ึงส่วนใหญ่จะเห็นการใช้ needn't เช่น You needn't explain. I understand. 3. การใช้ needn't + have +V3 แสดงถึงการกระทำาท่ีไม่จำาเป็ นต้องทำาในอดีตแต่ทำาไปแล้วเป็ นการเสียเวลาเปล่า Your mother needn't have cooked for us. We ate out. dare แปลว่า "กล้า "เป็ นได้ทัง้กริยาช่วยและกริยาแท้ 1. เป็ นกริยาแท้ dare + to +V1และเม่ ือต้องการทำาเป็ นประโยคปฎิเสธ และประโยคคำาถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น She dare to say what is right. I doesn't dare to tell him the truth. 2. เป็ นกริยาช่วยเราไม่นิยมใช้เป็ นประโยคบอกเล่าแต่เราจะใช้ daren't กับคนบางคนไม่กล้าทำาบางส่ิงบางอย่างในขณะท่ีพูด I daren't look. I daren't touch it. ought แปลว่า "ควรจะ" มีหลักการใช้ดังนี้ 1.ใช้ ought ตามด้วย to เสมอใช้ในการแนะนำาส่ิงท่ีควรทำาให้กับคนอ่ ืนรวมทัง้ตัวเราเองด้วยมีความหมาย ใกล้เคียงกับคำาว่า Should เช่น I really ought to teach her English.

People ought not to cross the road over there. 2.ใช้ ought to+ have +V3 พูดถึงส่ิงท่ีควรทำาในอดีตแต่ไม่ได้ทำา You ought to have phoned him yesterday. used to แปลว่า "เคย" ปั จจุบันเราไม่นิยมใช้ used to ในรูปแบบของกริยาช่วยแล้ว เราใช้เฉพาะเป็ นกริยาแท้พูดถึงส่ิงท่ีทำาเป็ นนิสัยในอดีต ซ่ ึงปั จจุบันได้หยุดไปแล้วเช่น I used to eat a lot. She used to be shy. เม่ ือเป็ นประโยคคำาถามและประโยคปฎิเสธเราจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย เม่ ือเอา Verb to do จะต้องเปล่ียน use ให้เป็ นกริยาช่องท่ี 1 Did you use to have a dog? I didn't use to watch the news. ( เป็ นประโยคปฎิเสธเรานิยมใช้ never used to ) I never used to watch the news. (be) used to +noun / ing แปลว่า "เคยชิน" I am used to driving at night. She is used to the cold weather.

กลับไปยังหน้าเดิม

Verbs กริยำช่วย

คำาย่อ isn't aren't wasn't weren't don't doesn't didn't hasn't haven't hadn't can't couldn't mayn't mightn't won't wouldn't shan't shouldn't mustn't needn't daren't oughtn't usedn't to

คือ" คือ was were และเปล่ียนเป็ นช่องท่ีสามคือ been

assive voice

ระโยคบอกเล่าเป็ นประโยคคำาถามและประโยคปฎิเสธ

ช่น

ช้คำาอ่ ืนแทนเช่น

รือการอนุญาตเช่น

and probability)

ช่น

อยกว่า may เช่น จะเป็ น 50%)

ดีต

ool.

ระธาน I และ We

ด้เกิดขึน ้ หรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นเช่น

ช่วย

นอดีตแต่ทำาไปแล้วเป็ นการเสียเวลาเปล่า

ทัง้ตัวเราเองด้วยมีความหมาย

never used to )

กลับไปยังหน้าเดิม

Comparisons กำรเปรียบเทียบ  กำรรเปรียบเทียบมีอยู่ดว้ ยกัน 3 แบบคือ 1. การเปรียบเทียบในขัน ้ ปกติ มีโครงสร้างดังนี ค ้ ำาท่ีนำามาเปรียบเทียบอยู่ระหว่างคือคำาคุณศัพท์(adjective) และคำากริยาวิเศษณ์ (adverb) as.........as  ใช้แสดงการเปรียบเทียบท่ีเท่ากัน Natee is as old as Ladda. not as....as /not so ........as   ใช้แสดงการเปรียบเทียบท่ีไม่เท่ากัน Today is not so hot as yesterday. the same......as  ใช้แสดงการเปรียบเทียบท่ีเท่ากัน คำาท่ีใช้ระหว่าง the same ......as จะต้องเป็ นคำานาม เช่น Kanda's salary is the same as mine. หรือ Kanda gets the same salary as me. Note: หลัง as/than ถ้าไม่มี verb ตาม เราจะใช้ me/ him/ her/ them/ us 2. การเปรียบเทียบในขัน ้ กว่า (comparative degree) เป็ นการเปรียบเทียบคน 2 คน ส่ิงของ adj./adv

+er

than

more

+adj./adv

than

He is older than me. She is happier than him. She is more intelligent than me. Note: 1.ในการเปรียบเทียบขัน ้ กว่าเราสามารถใช้ a bit , a little, a lot, much, far, หรือ adjective หรือ adverb เช่น Prannee works much harder than Nittaya. The blue car is rather nicer than the red one. 2. ในการเปรียบเทียบขัน ้ กว่าเม่ ือต้องการแสดงให้เห็นการเพ่ิมขึ้นหรือแปรตรงต่อกัน และในข้อความในส่วนท่ีสองมักจะเป็ นผลของข้อความในส่วนแรกมีโครงสร้างดังนี้ the + adj./adv ขัน ้ กว่า + (N) + (clause), the+ adj./adv ขัน ้ กว่า + (N) +(clause) The harder you study, the more you learn. The faster you drive, the more dangerous it is. 3. การเปรียบเทียบในขัน ้ สูงสุด (superlative degree) เป็ นการเปรียบเทียบให้เห็นท่ีสุดมีโครงสร้างดังนี้ the

+adj./adv

the most

+adj./adv

Tom is the tallest in the class. Sunee is the most beautiful woman in Chiang Mai. และถ้าเราต้องการจะเปรียบเทียบให้เห็นว่าน้อยท่ีสุดใช้โครงสร้างนี้

+est

the least +adj./adv This is the least expensive shirt I've ever bought. การเปล่ียนขัน ้ ปกติให้เป็ นขัน ้ กว่าและขัน ้ สูงสุด 1. เติม er และ est ในคำาพยางค์เดียว tall long  short   young   thick harder

taller longer     shorter    younger  thicker harder

tallest longest shortest youngest thickest hardest

He is tall. He is taller than me. He is the tallest player on the team. 2. เป็ นคำาพยางค์เดียวมีสระเดียวและตัวสะกดเดียวทำาเป็ นขัน ้ กว่าและขัน ้ สูงสุดด้วยการเติม ตัวสะกดอีกตัวแล้วเติม er และ est       big hot thin fat sad

bigger hotter thinner fatter sadder

biggest hottest thinnest fattest saddest

She is fat. She is fatter than her sister. She is the fattest girl in the company. 3. คำาพยางค์เดียวและสองพยางค์ท่ีลงท้ายด้วย y ให้เปล่ียน y เป็ น i แล้วเติม er ในขัน ้ กว่า เติม dry lucky easy pretty lazy happy

drier luckier easier prettier lazier happier

driest luckiest easiest prettiest laziest happiest

Math is easy. Math is easier than chemistry. Math is the easiest subject at school. 4. คำาท่ีมีสองพยางค์และลงด้วย er, re, le และ ow เติม er ในขัน ้ กว่าและเติม est ในขัน ้ สุงสุด clever simple narrow shallow

cleverer simpler narrower shallower

cleverest simplest narrowest shallowest

bitter noble

bitterer nobler

bitterest noblest

I am clever. I am cleverer than you. I am the cleverest student in my grade. 5. คำากริยาวิเศษณ์ท่ีลงท้ายด้วย ly ให้เติม more ในขัน ้ กว่าและเติม most ในขัน ้ สุงสุด slowly loudly quickly

more slowly more loudly more quickly

most slowly most loudly most quickly

6. คำาท่ีสามารถเติมได้ทัง้ er, est หรือ more, most clever quiet handsome cruel common

cleverer more clever quieter more quiet handsomer more handsome crueler more cruel commoner more common

cleverest most clever quietest most quiet handsomest most handsome cruelest most cruel commonest mos t common

7. คำาคุณศัพท์ท่ีมีสองพยางค์ออกเสียงยาวใช้ more และ most useful selfish honest fertile

more more more more

useful selfish honest fertile

most most most most

useful selfish honest fertile

8. คำาคุณศัพท์ท่ีสามพยางค์ขึ้นไปให้ใช้ more และ mostได้เท่านัน ้ dangerous beautiful interesting difficult important suitable

more more more more more more

dangerous beautiful interesting difficult important suitable

most most most most most most

dangerous beautiful interesting difficult important suitable

9. คำาท่ีไม่เป็ นไปตามกฎ good (well) bad much, many little few near

better worse more less fewer nearer

best worst most least fewest nearest

far old

กลับไปยังหน้าเดิม

farther/ further older/elder

farest/ furthest oldest/ eldest

ทียบ

บคือ

คือคำาคุณศัพท์(adjective)

me ......as จะต้องเป็ นคำานาม เช่น e salary as me.

us

คน 2 คน ส่ิงของ 2 ส่ิงมีโครงสร้างดังนี้

uch, far, หรือ rather ขยาย

กัน นี้ (N) +(clause)

ให้เห็นท่ีสุดมีโครงสร้างดังนี้

สูง ยาว สัน ้ อ่อน หนา แข็ง

ยการเติม ใหญ่ ร้อน ผอม อ้วน เศร้า

ในขัน ้ กว่า เติม est ในขัน ้ สูงสุด แห้ง โชคดี ง่าย น่ารัก สวยงาม ขีเ้กียจ มีความสุข

est ในขัน ้ สุงสุด ฉลาด ง่าย แคบ ต้ืน

ขม มีเกียรติ

ขัน ้ สุงสุด ช้า ดัง เร็ว

ฉลาด เงียบ หล่อ ใจร้าย ธรรมดา

มีประโยชน์ เห็นแก่ตัว ซ่ ือสัตย์ อุดมสมบูรณ์

อันตราย สวยงาม น่าสนใจ ยาก สำาคัญ เหมาะสม

ดี เลว มาก น้อย น้อย ใกล้

ไกล แก่ เก่า

กลับไปยังหน้าเดิม

Conjunctions คำำสันธำน  Coordinating Conjunctions (คำาสันธานท่ีเช่ ือมข้อความท่ีเท่าเทียมกัน) and และ

but แต่

or หรือ

yet แม้กระนัน ้

for เพราะว่า

and = และ ใช้เช่ ือมข้อความท่ีคล้อยตามกันทำาหน้าท่ีเช่ ือมคำาท่ีเป็ นชนิดเดียวกันเช่นกริยากับกริยา คำานามกับคำานาม but = แต่ ใช้เช่ ือมข้อความท่ีขัดแย้งกัน or= หรือ มิฉะนัน ้ ใช้เช่ ือมข้อความท่ีให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหน่ ึง yet= แม้กระนัน ้ ใช้เช่ ือมข้อความท่ีขัดแย้งกัน so = ดังนัน ้ ใช้เช่ ือมข้อความท่ีแสดงความเป็ นเหตุเป็ นผลกัน for= เพราะว่าใช้เช่ ือมข้อความท่ีแสดงความเป็ นเหตุเป็ นผลกัน nor = และ...ไม่  ใช้เช่ ือมข้อความท่ีคล้อยตามกัน I love Pranee and Pongsee. The car is nice, but it is too expensive. He seems happy, yet he never smiles. You can have a sandwich or fried rice for lunch. I was not allowed to eat in the resautrant, for I was not waering a jacket. Somkiet is neither rich nor handsome. Direk hates traffic jams, so he decided not to study in Bangkok . Subordinating Conjunctions (คำาสันธานท่ีเช่ ือมอนุประโยคเข้าด้วยกัน) after หลังจาก although แม้ว่า ถึงแม้ว่า as เน่ีองจาก as if ราวกับว่า as long as หากว่า ตราบใด because เพราะว่า before ก่อน

even if แม้ว่า even though แม้ว่า ถึงแม้ว่า if ถ้า in order that เพ่ ือว่า once เม่ ือครัง้ในอดีต since เน่ ืองจาก ตัง้แต่ so that เพ่ ือท่ีจะ than กว่า

though แม้ว่า ถึงแม้ว่า till จนกระทัง่ unless ถ้า until จนกระทัง่ when เม่ ือ whenever เม่ ือไหร่ก็ตาม where ท่ีซ่ึง whereas ในขณะท่ี wherever ท่ีไหนก็ตาม while ทัง้ๆท่ี

Correlative Conjunctions (คำาสันธานควบ)เป็ นคำาสันธานท่ีใช้ควบคู่กัน both . . . and not only . . . but also not . . . but either . . . or neither . . . nor whether . . . or as . . . as

ทัง้...และ ไม่เพียงแต่.....ยังอีกด้วย ไม่แต่ ไม่.....ก็ ไม่....และ หรือไม่ เท่ากับ

She led the team not only in statistics but also by virtue of her enthusiasm. Polonius said, "Neither a borrower nor a lender be." Whether you win this race or lose it doesn't matter as long as you do your best.

กลับไปยังหน้าเดิม



nor และ...ไม่

นกริยากับกริยา คำานามกับคำานาม

g a jacket. .

ugh แม้ว่า ถึงแม้ว่า นกระทัง่ ss ถ้า l จนกระทัง่ n เม่ ือ never เม่ ือไหร่ก็ตาม re ท่ีซ่ึง reas ในขณะท่ี rever ท่ีไหนก็ตาม e ทัง้ๆท่ี

enthusiasm.

you do your best.

so ดังนัน ้

กลับไปยังหน้าเดิม

Punctuation เคร่ ืองหมำยวรรคตอน Period ( . )

1.ใช้เม่ ือจบประโยคในประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำาสัง่ I saw the boy. Let's go to the shop. Give me the pen please. 2.ใช้หลังอักษรย่อต่างๆหรือคำาย่อ Dr.=Doctor, adv.=adverb U.S.A.=United States of America Comma ( , ) 1.ใช้คัน ่ เพ่ ือแยกคำานามซ้อน Thailand, a country in Asia, is famous for its beautiful temples. 2. ใช้แยกระหว่างคำาท่ีอยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่น I want a car, a motorcycle, and a bicycle. 3.ใช้แยกคำาคุณศัพท์ท่ีบอกสี a blue, yellow bicycle 4.ใช้แยกคำาคุณศัพท์ท่ีตามหลังคำานาม The modal is dark, tall and handsome. 5. คัน ่ ข้างหน้าหรือข้างหลังช่ อ ื เช่น Christina, where have you been? What would you like to eat, Pranee? 6. คัน ่ ประโยคท่ีตามหลัง Yes, No และ Well ท่ีขึ้นต้นประโยค Are you Thai? Yes, I am. Well, I'm not sure if I can do that. 7.   ใช้เพ่ ือแยกข้อความในประโยคคำาพูดเช่น He said, "They are happy." 8.   คัน ่ ระหว่างปี ท่ีตามหลังเดือน, ถนนกับเมือง,เมืองกับประเทศเช่น Today is May 4th, 2000. Dang lives at 56 Sukumvit Road, Bangkok. Semi-colon ( ; ) 1. ใช้คัน ่ ประโยคท่ีมีเครืองหมาย comma คัน ่ อยู่แล้วเช่น Hello, Nittaya; Please come here. 2. ใช้ทำาหน้าเพ่ ือเช่ ือมประโยคสองประโยคท่ีมีเน้ือหาเก่ียวพันกันวางไว้หน้า adverbได้แก่คำาว่า therefore(ดังนัน ้ ) besides(นอกจากนี้) เป็ นต้น

Canada is very cold; therefore people must wear heavy coats in the winter. Colon ( : ) 1.ใช้ colon ก่อนการประโยคอธิบาย He decided to buy a car:he had to travel to the remote area. 2.ใช้แจ้งรายการ ซ่ ึงนิยมใช้หลังคำาเหล่านี้ the following หรือ as follows เป็ นต้น เช่น We require the following for our camping trip: tent, bags, and boots. Question Mark ( ? ) ใช้กับประโยคคำาถามเช่น Is that food hot? What is your nationality? Do you like durian? How tall are you? Exclamation Mark ( ! ) ใช้หลังคำาอุทานหรือประโยคอุทาน เช่น Oh! you are so beautiful. Watch out! Go away! Apostrophe ( ' ) 1. ใช้แสดงความเป็ นเจ้าของของคำานามทัง้นามเอกพจน์และนามพหูพจน์ เช่น The doctor's car The men's club Somkiet's dog 2.ใช้แสดงความเป็ นเจ้าของของคำานามพหูพจน์ท่ีเติม s หรือช่ ือเฉพาะท่ีมี s เช่น The girls' books Charles' school 2. ใช้คำาย่อหรือรูปย่อ can't (cannnot) it's (it is) I'd rather (I woud rather) Quotation Marks ( " " ) ใช้เขียนคร่อมข้อความท่ีเป็ นประโยคคำาพูดเช่น He said, "I am going home." "I can help you move," Narong volunteered. Hypen ( - ) ใช้เพ่ ือเช่ ือมคำาสองคำาให้เป็ นคำาเดียวกันเช่น

ex-husband anti-American two-day holiday Dash ( - ) ใช้เพ่ ือเน้นข้อความท่ีแทรกเข้ามาเพ่ ืออธิบายหรือใช้คัน ่ คำาละไว้ในฐานท่ีเข้าใจหรือเปล่ียนใหม่ เช่น I got lost, forgot my bag, and missed my plane-- it was a terrible trip. If I had a lot of money, I would ---Oh, what am I thinking? I will never be rich.

กลับไปยังหน้าเดิม

กลับไปยังหน้าเดิม

Irregular Verbs กริยำรูปพิเศษ Infinitive become begin bend bet bite bleed blow bring build burst buy cast catch choose cling come cost dig dive do draw drink drive eat fall fight fling fly forbid forget freeze get give go grind grow hang (pictures) hang (people) have hide hurt know lay lead

Irregular Verbs Past Simple Past Participle became become began begun bent bent bet bet bit bitten (or bit) bled bled blew blown brought brought built built burst burst bought bought cast cast caught caught chose chosen clung clung came come cost cost dug dug dived (or dove) dived did done drew drawn drank drunk drove driven ate eaten fell fallen fought fought flung flung flew flown forbade forbidden forgot forgotten froze frozen got got (or gotten) gave given went gone ground ground grew grown hung hung hanged hanged had had hid hidden hurt hurt knew known laid laid led led

leave lend lie light make mistake pay quit ride ring rise run saw say see seek sell set shake shine shrink sing sink slide speak spin split spring sting stink strike string strive swear swell swim swing take teach tear think throw wake wear weave weep wring write

left lent lay lit made mistook paid quitted (or quit) rode rang rose ran sawed said saw sought sold set shook shone shrank sang sank slid spoke spun split sprang stung stank struck strung strove swore swelled swam swung took taught tore thought threw woke wore wove wept wrung wrote

left lent lain lit made mistaken paid quit ridden rung risen run sawn said seen sought sold set shaken shone shrunk sung sunk slid spoken spun split sprung stung stunk struck strung striven sworn swollen swum swung taken taught torn thought thrown waken worn woven wept wrung written

กลับไปยังหน้าเดิม

ศษ Thai กลายเป็ น เร่ิมต้น โค้ง งอ พนัน กัด ขบ ฉีก เลือดออก พัด เป่ า ตี นำามา เอามา สร้าง ก่อสร้าง ระเบิด ซ้ือ ขว้าง จับ ได้รับ เลือก เกาะ เอาเป็ นท่ีพ่ึง มา ราคา ขุด ดำานำา้ ทำา ลาก วาด เขียน ด่ ืม ขับ(รถ) กิน ตก หล่น ต่อสู้ โยน พุ่ง เหว่ียง บิน ห้าม ไม่อนุญาต ลืม เย็นจนแข็ง หนาว เอา ได้รับ ให้ ไป บด ลับ เติบโตขึ้น แขวน ห้อย แขวนคอ มี ซ่อน ทำาร้าย ทำาอันตราย รู้ วาง ออกไข่ นำา พา

ละทิง้ จากไป ให้ยืม นอน จุดไฟ ทำา ทำาผิด จ่าย ชำาระ ใช้ให้ หยุด ยุติ เลิก ข่ี ขับ สัน ่ กระด่ิง ดัง ขึ้น ลุกขึ้น ว่ิง เล่ ือย พูด เห็น ค้นหา ขาย ตัง้ วาง จัด เขย่า สัน ่ ส่องแสง หดลง สัน ้ ลง ร้องเพลง จม ถอยลง ส่ ืนไถล เล่ ือนไป พูด ม้วน กรอ ปั่ นฝ้ าย แตก แยก โดดอย่างเร็ว เด้ง ต่อย แทง ส่งกล่ินเหม็น ตี ต่อย กระทบ ผูกเชือก ขึงสาย พยายาม ขันสู้ สาบาน ปฏิญาณ โตขึ้น หนาขึ้น ว่ายนำา้ แกว่ง เหว่ียง เอา จับหยิบ สอน ฉีก ขาด คิด เหว่ียง ขว้าง ต่ ืน ปลุก สวม ใส่ ทอผ้า สาน ร้องไห้ บีบ คัน ้ เขียน

กลับไปยังหน้าเดิม The Present Simple Tense โครงสร้ำง :    S + V1 (s, es)

หลักกำรใช้                    1) ใช้กับเหตุการณ์ท่ีกระทำาซ้ำาๆ เป็ นประเพณีและเป็ นนิสัย (Repeated actions , customs and h                             - He visits his family every weekend.                                            - Ethiopians celebrate Christmas on 7 January.                                    - He goes to be at nine o'clock every night.                               2) ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเป็ นจริงเสมอ (universal truth)                             - The earth goes round the sun.                             - The sun rises in the east and sets in the west.                             - The sun shines by day ; the moon shines by night.                     3) ใช้กับความสามารถ (ability)                             - He plays the guitar very well.                             - That man speaks English as well as he speaks his own language.

                     4) ใช้แทน Future หลังคำา if , unless, in case ในขณะท่ีประโยคเง่ ือนไข และคำา                           before , after                              - If the weather is fine tomorrow , we shall have a picnic.                              - We shall go out when the rain stops.                              - We can't begin playing as soon as the whistle blows.                             - I shall eat before he arrives.                         5) คำากริยาบางคน เราจะไม่ใช้รูป present continuous tense แม้ว่าเหตุการณ์นน ั้ จะกำาลังเกิดขึ้น                           หรือกำาลังดำาเนินอยู่ในปั จจุบันก็ตาม เช่น verb to be --- I am late now.                                    5.1 กริยาท่ีบ่งภาวะท่ีบังคับไม่ได้ (verb for states over which we have n                                            ได้แก่ กริยา see , hear , feel , taste , smell                                                  -  I see that it is raining again.                                                  -  I hear someone knocking at the door.                                                  - This towel feels very soft.                                                  - This soup tastes good.                                                   - His breath smells bad.                                     5.2 กริยาท่ีแสดงความนึกคิด (verb for ideas) เช่น know (                                           believe (เช่ ือ) , disbelieve (ไม่เช่ ือ) , suppose (                                          agree (เห็นด้วย), disagree (ไม่เห็นด้วย) , realize (                                           notice (สังเกต) , recognize (จำาได้) , forget (                                                - He now knows as much about the lesson as you                                                - I believe what he is saying is true.                                                - We agree to his suggestion.                                                - The teacher considers him as an industrial srtud                                                - I dony recall where I met him.               etc.                                     5.3 กริยาท่ีแสดงความชอบและความไม่ชอบ (Verbs for liking and dislikin                                            dislike (ไม่ชอบ) , love (รัก) , hate (เกลียด                                             forgive (ยกโทษ) , trust (ไว้ใจ) , distrust (

                                              - I like the movie I saw yesterday.                                               - She detests people who are unkind to animals.                                               - We prefer to go out without him.                                               - I distrust this young lady.       etc.                                     5.4 กริยาท่ีแสดงความปรารถนา (verbs for wishing)                                            desire (ปรารถนา) เช่น                                              - He wishes to leave as early as possible.                                              - She wants to go to Italy.                                              - We all desire happiness and health.                                     5.5 กริยาท่ีแสดงความเป็ นเจ้าของ (Verbs of possession)                                            have (มี) , own (เป็ นเจ้าของ) , belong to (                                             - He possesses two new cars.                                             - She has more money than she needs.                                             - I own several actres of land.                                             - This bicycle belongs to my brother.                                     5.6 กริยาเฉพาะบางคำา (Certain other verbs) เช่น be (                                            seem (ดูเหมือน) , mean (หมายความว่า) , please (                                            differ (แตกต่าง) , depend (ขึ้นอยู่กับ , พ่ึงพา                                          (สมควรได้รับ) , refuse (ปฏิเสธ) , result (ส่งผลให้                                           (ประกอบด้วย) , contain (ประกอบด้วย) , hold (                                           - She is very selfish.                                           - He resembles his father.                                           - She refuses to marry him.                                           - New Zealand consists of two islands.                                           - The pink dress she is wearing suits                      6. ใช้กับ adverbs of time ดังต่อไปนี้                           often (บ่อยๆ) , always (เสมอๆ) , sometimes (บางครัง้) , usually (                           normally (โดยปกติ) , frequently (บ่อยๆ) , rarely ( แทบจะไม่เคย นานๆ ครัง้                           นานๆครัง้) , scarcely ( แทบจะไม่เคย นานๆ ครัง้) , hardly (แทบจะไม่เคย                           in general (โดยปกติ) , now and again (บางครัง้บางคราว) , from time to time (                          occasionally (บางโอกาส) , as a rule (ตามกฎ) , once a week (                           (เดือนละครัง้) , twice a week (สองครัง้ต่อสัปดาห์) , three times a week (                          every day (ทุกวัน) , every other day (วันเว้นวัน) , every (night / month, week                          Thursday) เช่น                                 - He is never late for school.                                 - He always studies grammar in the morning.                                 - She visits her parents every month. รูปประโยคของ Present Simple คือ กริยาในช่องท่ีหน่ ึง ถ้าประธานเป็ นเอกพจน์กริยาต้องเติม s, หรือ es และ I กริยา ไม่ต้องเติม s

eated actions , customs and habits)             (repeated action) nuary.        (custom) ht.            (habit)

es by night.

speaks his own language.

ประโยคเง่ ือนไข และคำา when , until, as soon as,

hall have a picnic.

e whistle blows.

ม้ว่าเหตุการณ์นัน ้ จะกำาลังเกิดขึ้น -- I am late now. กริยาเหล่านีแ ้ บ่งออกเป็ น 6 ชนิดคือ states over which we have no control)    , taste , smell เช่น ning again. knocking at the door.

eas) เช่น know (รู้) , understand (เข้าใจ) , think (คิด) , ม่เช่ ือ) , suppose (สมมุติ) , doubt (สงสัย) , ห็นด้วย) , realize (ตระหนัก) , consider (พิจารณา) , จำาได้) , forget (ลืม) , remember (จำา) , recall (ระลึกได้) เช่น uch about the lesson as you do. saying is true.

ers him as an industrial srtudent. I met him.               etc. บ (Verbs for liking and disliking) เช่น like (ชอบ) , hate (เกลียด) , detest (ชิงชัง) , prefer (ชอบ) , จ) , distrust (ไม่ไว้ใจ) เช่น

yesterday. who are unkind to animals. without him. lady.       etc. or wishing) เช่น   wish (ปรารถนา) , want (ต้องการ) , early as possible.

ss and health. of possession) เช่น possess (เป็ นเจ้าของ) , , belong to (เป็ นของ) เช่น

han she needs.

o my brother. verbs) เช่น be (เป็ น อยู่ คือ) , appear (ปรากฎ) , ายความว่า) , please (พอใจ) , displease (ไม่พอใจ) , นอยู่กับ , พ่ึงพา) , resemble (ดูเหมือน) , deserve result (ส่งผลให้) , suffice (พอเพียง) , consist of อบด้วย) , hold (บรรจุ) , fit (เหมาะสม คู่ควร) , suit (เหมาะสม) เช่น

f two islands. ring suits her. ......etc... 

บางครัง้) , usually (โดยปกติ) , generally (โดยปกติ), y ( แทบจะไม่เคย นานๆ ครัง้) , seldom (แทบจะไม่เคย ardly (แทบจะไม่เคย) , never (ไม่เคย) , บางคราว) , from time to time (บางครัง้บางคราว) nce a week (สัปดาห์ละครัง้) , once a month three times a week (สามครัง้ต่อสัปดาห์) , ) , every (night / month, week/year/  

งเติม s, หรือ es ถ้าประธานเป็ นพหูพจน์

กลับไปยังหน้าเดิม The Present Continuous Tense โครงสร้ำง :    S + is, am, are + Ving

หลักกำรใช้

       1. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีกำาลังดำาเนินอยู่ในขณะนัน ้ (It describes something HAPENING NOW.)             เวลา (Adverbs of Time) อยู่ด้วย ได้แก่ now , at this moment , at the moment , today , at pr             still เช่น                - We are studying English at present.                - You are wearing school uniform today.

       2. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในระยะยาว และไม่จำาเป็ นต้องทำาในขณะท่ีพูด ปกติจะมีเวลากำากับไว้ด้วย เช่น             this year , etc.. เช่น                - She is knitting a pullover for her son. (She may or may not be knitting at the act                   moment of speaking.)               - Tony usually walks to school but today he is going by bus.               - The headmistress is writing a book.               - We are studying English One this term.               - My brother is revising for his exam this week.        3. ใช้กับเหตุการณ์ซ่ึงจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และเช่ ือว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน มักเป็ นกริยาท่ีเก่ียวกับการเคล่ ือนไหว              และจะมีเวลากำากับไว้ เช่น             - I am seeing him tomorrow.             - He is leaving for London on Friday.             - We are moving into a new house next month.              4. ถ้า present continuous เช่ ือมด้วย and เราจะตัดกริยาช่วยตัวหลังออก (When two continuous tenses            are joined by "and" the auxilary verb may be dropped before the second verb.)            - He is smoking a cigar and reading the newspaper.        5. กริยา Listen , look, watch , smell จงใจใช้แบบ continuous ได้ เช่น           - Don't disturb him now , he is listening to a radio play.           - Why are you looking at that car?           - Why are you smelling the fish?           - The police are watching the house.           - We are looking at the house as we are thinking of buying it.           - The director is seeing the applicants today. รูปประโยคใน Present Continuous คือ is , am , are ตามด้วยกริยาช่องท่ี 1 ซ่ ึงเติม ing I He, She, It The boy We, They , You The boys

am is are

working. doing homework. reading in the library. writing some letters. playing tennis.

หลักการใช้ และโครงสร้าง ของ Tense แต่ละ tense นัน ้ จำาให้ดีนะคะ ฝึ กบ่อยๆ แล้วจะเก่งค่ะ

HAPENING NOW.) โดยมากจะมีคำาบอก at the moment , today , at present,

มีเวลากำากับไว้ด้วย เช่น this week , may not be knitting at the actual

เป็ นกริยาท่เี ก่ย ี วกับการเคล่ ือนไหว

When two continuous tenses fore the second verb.)

กลับไปยังหน้าเดิม The Present Perfect Tense โครงสร้ำง :    S + have, has + V3 He , She , The girl

has

I We , They , You The girls

finished the report. written a letter.

have

sung many songs. had a drink.

Present Perfect Tense ใช้กับ Adverbs of time ต่อไปนี้ since (ตัง้แต่) , for (เป็ นเวลา) , just (เพ่ิงจะ), already (เรียบร้อยแล้ว) , yet (ยัง) , recently ( เม่ ือเร็วๆ นี ช้่วงนี้) , lately (เม่ ือเร็วๆ นี ช้่วงนี้ ever (เคย) , so far (จากบัดนัน ้ จนบัดนี้) , up to now (จากบัดนัน ้ จนบัดนี้) , up to the present time ( many times (หลายครัง้) , several times (หลายครัง้) , over and over (ครัง้แล้วครัง้เล่า) ,at last (    หลักกำรใช้     1. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต และยังดำาเนินหรือมีผลต่อเน่ ืองมาจนถึงปั จจุบัน มักมีคำาว่า since         since (ตัง้แต่) ใช้กับจุดเร่ิมต้นของเหตุการณ์นัน ้ ๆ ในอดีต (a point of time in the past)             เช่น        since then (ตัง้แต่นัน ้ ) , since yesterday (ตัง้แต่เม่ ือวาน) , since six o'clock (                           since last month (ตัง้แต่เดือนท่ีแล้ว) , since Christmas , since World War II ,                           since the beginning of the year  , since I was born , since I was young.           (หลัง since จะตามด้วย คำา หรือวลี ท่ีบอกอดีต หรือ จะตามด้วย ประโยคท่ีมีกริยาเป็ นอดีต main clause)             - We have lived in this house since our father died.             - Since he has changed his job , he has been much happier.             - That child has grown very much since I last seen him.             - I have known him since 1990.             - I have never seen him since last year.             - My father has smoked since he was young.         for (เป็ นเวลา) ใช้กับจำานวนเวลานับตัง้แต่เหตุการณ์จนถึงขณะท่ีพูด (a period of time)             เช่น        for twenty minutes (เป็ นเวลา 20 นาที) , for four hours (เป็ นเวลา                           for   years (เป็ นปี ๆ) , for ages (เป็ นเวลานาน) , for the last month (                           for a long time (เป็ นเวลานาน) , for the last two years ( เป็ นเวลาตลอดเวลา             - Billy hasn't written to me for three days.             - I haven't seen John for many weks.             - They have lived in this district for a long time.             - Mary hasn't eaten any meat for over a year.        (หมายเหตุ - แต่ถ้าข้อความใน main clause เก่ียวกับระยะเวลาให้ใช้ present simple และ                           ให้ใช้ past simple เช่น                            - It is (seems) a long time since our last holiday.                            - It is eight years since I left university.                            - It seems a long time since he left me.                            - It is two weeks since I wrote to my boyfriend.                            - How long is it since you moved into your new house?

      2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีเพ่ิงกระทำาเสร็จสิน ้ ใหม่ๆ จะมีคำาว่า just , recently (=lately ) = (not long ago)            lately ใช้กับประโยคคำาถามและปฏิเสธ           - Have you finished your assignment?           - Yes, I have just finished it.          - The results have just been announced.          - He has recently got married.          - Have you been there lately?      3. ใช้กับคำาว่า yet และ already           yet (ยัง) ใช้กับ Question , Negative Answer และ Negative Statement           already (เรียบร้อยแล้ว) ใช้กับ Affirmative Statement และ Affirmative Answer            - We have not yet read that book. (Neg. St.)            - Has he come back yet ? (Question)            - No, he has not come back yet. (Neg. Ans.)            - Yes, he has already come back.            - Yes, he has come back already.       ****    already เม่ ือเป็ นการแสดงความประหลาดใจของผู้พูดจะใช้ในประโยคคำาถาม            - Have you finished your report already? Question(คำาถาม) yet already

Affirmative(บอกเล่า) just already

Negative(ปฏิเสธ) yet -

       4. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตและยังไม่จบในขณะท่ีพูด จะมีคำาว่า ever , never           ever ใช้กับ Question           never ใช้กับ Negative Statement และ Negative Answer           - Have you ever been to America?       (Question)           - No, I have never been there.       (Neg. Ans.)           - Yes, I have been there .               - I have never palyed ice-skating. (Neg, St.)       5.   ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต แต่ไม่ได้บ่งเวลาท่ีเกิดขึ้นให้ชัดเจน จะมีคำาว่า up to the present time ,              until now , so far , so far this month , at last,             - Up to the present time we have had no news from John.             - I have received no answer from him so far.             - He has finished his report at last.              6. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดซ้ำาซากหลาย ๆ ครัง้ จะมีคำาว่า many times, several times , over and over           - I have been to Hua-Hib many times.           - She has seen "Jurassic Park" several times.           - We have studied Tenses over and over.                 7. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตท่ีสิน ้ สุดลงแล้ว แต่เก่ียวเน่ ืองกับเหตุการณ์หน่ ึงซ่ ึงเกิดขึ้นในปั จจุบันหรืออนาคต            - Janet has bought a car so that she will have transportation to work.            - He has studied all day so that he can go to the dance tonight.        8. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหน่ ึง ซ่ ึงยังไม่สิน ้ สุด จะมีคำาว่า this month , this year           - Have you had a holiday this year?

          - You have done a lot of work this morning.           - I have read two books this week.       9. ใช้ในบทสนทนา จดหมาย รายงาน หนังสือพิมพ์          Conversation --- I have lost my keys. Have you seen them? Yes, I have seen                                           Yes, I saw them yesterday. ( ถ้ามีเวลาบอก ใช้          Letters - -- Dear James,                              I'm sorry that I haven't written to you for such a long time but I                             very busy working for an examination.

or (เป็ นเวลา) , just ly (เม่ ือเร็วๆ นี ช้่วงนี้) , never (ไม่เคย) , the present time (จนถึงปั จจุบัน) , ล้วครัง้เล่า) ,at last (ในท่ีสุด)

บัน มักมีคำาว่า since และ for อยู่ดว้ ย e in the past) อวาน) , since six o'clock ( ตัง้แต่ 6 โมง) ristmas , since World War II , was born , since I was young. กริยาเป็ นอดีต main clause)

hours (เป็ นเวลา 4 ชัว่โมง) , for the last month (เป็ นเวลาตลอดเดือนท่แ ี ล้ว), wo years ( เป็ นเวลาตลอดเวลา 2 ปี ท่ีผ่านมา)

t simple และ clause หลัง since

ur new house?

=lately ) = (not long ago) และ

ative Answer

าว่า up to the present time ,

eral times , over and over

เกิดขึ้นในปั จจุบันหรืออนาคต ation to work.

month , this year

m? Yes, I have seen them. . ( ถ้ามีเวลาบอก ใช้ past simple)

u for such a long time but I have been

กลับไปยังหน้าเดิม The Present Perfect Continuous Tense โครงสร้ำง :    S + have, has + been + Ving

หลักกำรใช้                   1. ใช้กับเหตุหารณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีตและดำาเนินเร่ ือยมาจนถึงปั จจุบัน และยังคงดำาเนินต่อไป ใช้กับคำาว่า                        ส่วนมากมักจะใช้กับ verb ท่ม ี ีความหมายเป็ นการกระทำาท่ีนาน (long action)                        stand , study , sleep, rest , read , work , wait , play , etc.                         ก็ตรงท่ีใช้เน้นการกระทำาท่ีต่อเน่ ืองกัน และอาจจะดำาเนินต่อไปในอนาคต                                - We have been living here since 1987.                                   (= We came here in the past and we are still living here now.)                                - She's been waiting for a long time.                                    (= She's still waiting now.)                                - I've been studying English for eight years.                                    ( = She's still studying English now.)                                - James has been painting that door since three o'clock                    (หมายเหตุ - เหตุการณ์ ทัง้หลายเหล่านีย ้ ังไม่เสร็จสิน ้ ลง)

                    2. ใช้กับเหตุการณ์ซ่ึงได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยังคงทิง้ร่องรอยให้เห็นได้ในขณะท่ีพูด เช่น                                - The workmen have been digging up the raod and now the traffi                                - What have you been eating? Your lips and chin are purple.                                - We have been driving along muddy roads and now the car is di                                - He has been drinking and can't walk straight .                                - He has been studying all night and has fallen aslep in class.

และยังคงดำาเนินต่อไป ใช้กับคำาว่า since และ for าน (long action) เช่น learn , lie , stay , sit , , play , etc. ต่างกับ present perfect

we are still living here now.)

r since three o'clock and he hasn't finished it yet.

องรอยให้เห็นได้ในขณะท่ีพูด เช่น up the raod and now the traffic cannot pass. r lips and chin are purple. dy roads and now the car is dirty. alk straight . d has fallen aslep in class.

กลับไปยังหน้าเดิม The Past Simple Tense โครงสร้ำง :    S + V2

หลักกำรใช้        1. ใช้กับการกระทำาท่ีเกิดขึ้นและสิน ้ สุดลงแล้วในอดีต ซ่ ึงจะมีคำาท่ีบอกเวลาในอดีตกำากับไว้อย่างชัดเจน             yesterday (เม่ ือวานนี้) , last night (week/month/ year/..etc.)(...ท่ีแล้ว) , at that time (            formerly (เม่ ือก่อน) , in the past (ในอดีต) ,  just now (เม่ ือสักครู่นี้) , ago (ท่ีแล้ว            in the old days (ในสมัยก่อน) , the day before yesterday (เม่ ือวานซืน) , the previous day            (วันก่อน),  in those days (ในสมัยนัน ้ ) , the other day (วันก่อน) , a few minutes ago            ( 2-3 นาทีท่ีผ่านมา), in 1990 , etc...             - They came to see me last Thursday.             - Two days ago I asked you to do the report.             - I didn't go to school yesterday.             - Did you learn French last year?       2. ใช้กับการกระทำาอันเป็ นนิสัยหรือเคยปฏิบัติมาในอดีต แต่ปัจจุบันไม่เกิดขึ้นแล้ว เช่น            - John lived in Manchester when he was young.                (He doesn't live there now and he is no longer young. A completed action and                a completed state)            - In the old days we could travel all over Bangkok by boat.            - Did your father smoke when he was young?            - No, he didn't.       3. ใช้กับคำาว่า used to ซ่ ึงแสดงถึงการกระทำาอันเป็ นนิสัย หรือเคยปฏิบัติมาแล้วในอดีต และในปั จจุบัน            การกระทำาอันนัน ้ มิได้เกิดขึ้นอีก                        used to + V1 (= เคยมาแล้วในอดีต) เช่น              - Mr. Smith used to teach in Japan. (But now he teaches in Thailand.)              - In the past people used to travel on foot much more often.              - You used to live in that house , didn't you?        หมำยเหตุ--- ประโยคท่ีมีคำาว่า always, sometimes , often , usually , every day , etc...                             present หรือ past ก็ได้ ถ้าเป็ น pasy จะต้องมีคำาท่ีบอกเวลาในอดีตกำากับไว้ด้วย เช่น                               - We usually learned English six hours a weeks                               - She went to school every day last week.       4. ใช้กับการกระทำาในอดีต แสดงลำาดับของความต่อเน่ ืองของเหตุการณ์ เช่น                  - I opened my bag , took out some money and gave it to my brother.                       หรือใช้กับการกระทำาท่ีเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เช่น                  - He took a bath and listened to the 6 o'clock news.       5. ใช้กับ clause หลังสำานวน I would rather...... (ฉันอยากจะ...) , It's time ...... (ถึงเวลาแล้ว            It's about time ........(ถึงเวลาแล้ว) เช่น                 - I would rather you did your homework.                 - It's time the children went to bed.

กำากับไว้อย่างชัดเจน ดังนี ค ้ ือ )(...ท่ีแล้ว) , at that time (ในตอนนัน ้ ), นี้) , ago (ท่ีแล้ว), once (ครัง้หน่ ึง), อวานซืน) , the previous day , a few minutes ago

. A completed action and

นอดีต และในปั จจุบัน

es in Thailand.)

very day , etc... อาจจะเป็ น ท่ีบอกเวลาในอดีตกำากับไว้ด้วย เช่น rs a weeks when we were in M.3.

e it to my brother.

me ...... (ถึงเวลาแล้ว),

กลับไปยังหน้าเดิม The Past Continuous Tense โครงสร้ำง :    S + was, were + Ving I , He , She John We, You , They , The boys

was were

walking running. swimming. sleeping

at eleven o'clock yesterday.

หลักกำรใช้        1. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีกำาลังเกิดขึ้นในอดีตในเวลาท่ีบ่งไว้ชัดเจน เช่น                 - They were learning English at eleven o'clock yesterday.                 - At nine o'clock last night we were watching television.         2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีกำาลังดำาเนินอยู่เป็ นเวลานานในเวลาเดียวกันในอดี ซ่ ึงจะใช้ past continuous               กับทัง้สองเหตุการณ์นัน ้ เช่น                - The students were thinking about their lunch while the teacher                   new words.                          (Two long actions happening at the same time in the past.)                - She was singing as I was sweeping the floor.

       3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์หน่ ึงเกิดขึ้นและกำาลังดำาเนินอยู่ และมีอีกเหตุการณ์หน่ึง             ซ่ ึงเป็ นเหตุการณ์สัน ้ ๆ เข้ามาแทรก (The first action was happening when the second ,             shorter action happened.)             เหตุการณ์ท่ีเกิดก่อนและกำาลังดำาเนินอยู่ ใช้ past continuous             เหตุการณ์สัน ้ ๆ ท่ีเข้ามาแทรก ใช้ past simple                - The student interrupted her while she was explaining how to use the machine                     (นักเรียนพูดสอดแทรกเธอ ในขณะท่ีเธอกำาลังอธิบายถึงวิธีการใช่เคร่ ืองจักร)                - When I came home , my mother was talking on the telephone.                - While/As he was walking past the building , he heard a scream.            หมำยเหตุ --- Clause ท่ีตามหลัง when (เม่ ือ) มักใช้ past simple ส่วน clause ท่ีตามหลัง                                 มักใช้ past continuous แต่ถ้าเหตุการณ์ทัง้สองเหตุการณ์นัน ้ เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน                                 ก็ให้ใช้ past simple ทัง้สองเหตุการณ์ เช่น                                 - They left the hall as I entered it.             4. ใช้กับการกระทำาท่ีเกิดขึ้นซ้ำาซากในอดีต ในเวลาท่ีบ่งไว้ชัดเจน                - Last year he was taking paino lessons every day.                - We were visiting my parents every evening while we were in Bangkok.             หมำยเหตุ --- รูปประโยคท่ีใช้ past continuous ในข้อ 4 นี ม ้ ีความหมายเหมือนกับรูปประโยคท่ีใช้                                  และเรานิยมใช้กับ past simple มากกว่า

n o'clock yesterday.

นอดี ซ่ ึงจะใช้ past continuous

le the teacher was explaining

ime in the past.)

ดำาเนินอยู่ และมีอีกเหตุการณ์หน่ึง ng when the second ,

aining how to use the machine.

he telephone. eard a scream.

น clause ท่ีตามหลัง while (as) (ในขณะท่ี) องเหตุการณ์นัน ้ เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน หรือเกือบขณะเดียวกัน

we were in Bangkok.

ายเหมือนกับรูปประโยคท่ีใช้past simple

กลับไปยังหน้าเดิม The Past Perfect Tense โครงสร้ำง :    S + had + V3 I , He , She, Jim You , We , They, Tom and Mary

had

gone out before John came. finished reading when Bill came in. left when Helen reached home.

หลักกำรใช้       1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและสิน ้ สุดลงแล้วในอดีต เหตุการณ์หน่ ึงเกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์หน่ึง               เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นก่อน ใช้ Past Perfect               เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นหลัง ใช้ Past Simple               และมักจะเช่ ือมด้วยคำาว่า when , before , after , until , as soon as , เช่น                  - He had written to her four times when he got her reply.                         (ใช้ past perfect เพ่ ือแสดงให้เห็นว่าเขาเขียนถึงเธอ 4 ครัง้ ก่อนท่ีเขาได้รับคำาตอบจากเธอ        2. ใช้กับคำาว่า by the time             By the time + Past simple , Past Perfect                  - By the time the sun set , we had left school.                  - By the time the children went to bed , they had already finished       3. ใช้หลังคำาว่า that ในประโยค Indirect Speech ซ่ ึงเปล่ียนมาจากประโยค Direct Speech                  - He told me that they had left about an hour before.                  - They said that they had done the report.        4. ใช้กับ no sooner ................than... (ทันทีท่ี..........ก็....)                      Hardly ....................when ....( ทันทีท่ี..........ก็....)                      Scarcely ............when .......( ทันทีท่ี..........ก็....)                           no sooner than              hardly when Subject had V3 Subject              scarcely when                                          - They had no sooner finished their work than they went out.                      - They had scarcely left the house when the letter came.    

กิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์หน่ึง

ครัง้ ก่อนท่เี ขาได้รับคำาตอบจากเธอ)

already finished their homework.

irect Speech เช่น

Past Simple

an they went out. letter came.

กลับไปยังหน้าเดิม The Past Perfect Continuous Tense โครงสร้ำง :    S + had been + Ving

หลักกำรใช้        1. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นสองเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์หน่ ึงเกิดขึ้นก่อนและกำาลังดำาเนินอยู่เป็ นเวลาต่อเน่ ืองกัน             ก่อนท่ีจะมีเหตุการณ์หน่ ึงเกิดขึ้น ซ่ ึงก็เหมือนกับ Past Perfect นัน ่ เอง แต่ต่างกับ Past Perfect            เน้นถึงอาการท่ีได้ดำาเนินต่อเน่ ืองกันไปเท่านัน ้ เช่น           - We had been discussing the matter for two and a half hours when he arrived                       (แสดงให้เห็นถึงการอภิปรายท่ีเร่ิมต้นก่อนท่ีเขาจะมาถึง และบางท่ีจะดำาเนินต่อไปอีก           - When he came , she had been waiting for half an hour.           - She had been living in Phrae for ten years before she moved to Lampang              หมำยเหตุ -- กริยาบางตัวเท่านัน ้ ท่ีใช้รูป Perfect Continuous ได้ เช่น wait , work , live , lie ,                                 sleep,go, play , talk , sit , etc.... ซ่ ึงเป็ นกริยาท่ีแสดงอาการได้นานๆ   2. ใช้แสดงการกระทำาท่ีเป็ นอดีต แต่ปรากฎผลให้เห็นในเวลาต่อมา เช่น           - Mary was dark because she had been sunbathing.           - I was tired because I had been driving all day.

กำาลังดำาเนินอยู่เป็ นเวลาต่อเน่ ืองกัน ต่ต่างกับ Past Perfect ตรงท่ี

alf hours when he arrived. างท่ีจะดำาเนินต่อไปอีก)

he moved to Lampang.

wait , work , live , lie , กริยาท่ีแสดงอาการได้นานๆ (long action)

กลับไปยังหน้าเดิม The Future Simple Tense โครงสร้ำง :    S + will, shall + V1 I , We You , He, She , It They , Mary

shall will

play football this evening. eat some fruit. go to the concert tonight.

หลักกำรใช้       1. ใช้เม่ ือจะมีการกระทำาอย่างหน่ ึงเกิดขึ้นในอนาคต shall ใช้กับบุรุษท่ี 1 (I , We) ส่วน will ใช้กับบุรุษท่ี             (You , he , they , etc..) และคำานามทัว่ไป (Jane , Tom , John and Mary, etc..)             เราใช้ will ได้กับทุกบุรุษสรรพนาม             คำาวิเศษณ์ท่ีบอกเวลา (Adverbs of time) สำาหรับการกระทำาท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต มีดังนี้             soon , shortly , in a short time , in a moment , in a while , in a week's time ,             in two days' time , in the future , in a few minutes (days , weeks , months, etc..)             tonight , tomorrow , next week (month , year, Monday, etc..) later (on) = afterwards ,             from now on (ตัง้แต่เวลานีเ้ป็ นต้นไป)             - The play will begin in ten minutes' time.             - The test tomorrow will be on everything in the book from Text 15 to Text 20.             - We will finish "The Future Tense" next Friday.             - I will try my best from now on.        2. ประโยคแสดงอนาคตท่ีมีกริยา 2 ตัว ให้ใช้ future simple กับกริยาเพียวตัวเดียวตัวหน่ ึง ใช้             present simple หรือ present perfect กริยาท่ีใช้รูป future simple คือ คำากริยาซ่ึงอยู่หน้าคำาเช่ ือม             คำาเช่ ือมท่ีพบมาก ได้แก่ when , until , as soon as , before , after , the moment (that) ,             by the time that , now that , unless if , unless, when, until, as soon as, before , after , The Future Simple now that , the moment that, by the time that

Present Simple Present Perfect

                 - We will go if we have time.                  - When they get here, you 'll see how tired they are.                  - They cannot leave until they do(have done) their work.                  - He will visit you after he has had something to eat.                  - Now that you have won the lottery , what are you going to do                  - I'll wait until he comes.                 (คำา after , now that , when ( ในความหมายของ after) นิยมใช้กับ Present Perfect)        3. การกระทำาท่ีมีการตัดสินใจท่ีจะทำาหลังการถามเสร็จสิน ้ โดยไม่ได้มีการวางแผนมาก่อนล่วงหน้า                - John : Can anybody help me , please?                   Helen : Yes, I'll help you. (มีการตัดสินใจว่าจะช่วยหลังจากท่ี John ถาม)                - Tom : You know today is Mary's birthday?                   John : Oh really? I'll buy her a present.  (John จะซ้ือของขวัญให้ Mary                   หลังจากเพ่ิงรู้จาก Tom ว่าวันนีเ้ป็ นวันเกิดของ Mary)

                             

"The Going to " Future                  S + is/am / are + going to + V1

               หลักกำรใช้ to be going to                 a) ใช้แทน will หรือ shall ท่ีแสดงถึงการกระทำาในอนาคต เม่ ือกล่าวถึงแผนการณ์                       หรือความตัง้ใจ (intentions) หรือส่ิงท่ีได้ตัดสินใจท่ีจะทำาในอนาคต                          - Are you going to meet your friends at the airport?                            (เป็ นการตัง้ใจท่ีจะไปพบ)                          - He says he is going to get up very early in the future.                             (เขาตัง้ใจท่ีจะต่ ืนเช้าในอนาคต)                            - He is going to be a doctor. (ความตัง้ใจ)                          - They are going to perform a play at the end of next term. (                  b) ใช้กับเหตุการณ์ท่ีคิดว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ (certain happen)                          - Be careful! You're going to fall.                          - Look at that black clouds, it's going to rain.                          - One day he's going to regret at being so lazy.                 (หมายเหตุ --- "going to" ท่ีแสดงอนาคตนีม ้ ักนิยมใช้ภาษาพูด (spoken English)                                       (written English)     

e) ส่วน will ใช้กับบุรุษท่ี 2, 3 nd Mary, etc..) แต่ในปั จจุบน ั

นในอนาคต มีดังนี้ , in a week's time , , weeks , months, etc..) etc..) later ( on) = afterwards ,

from Text 15 to Text 20.

ดียวตัวหน่ึง ใช้ ple คือ คำากริยาซ่ึงอยู่หน้าคำาเช่ ือม er , the moment (that) ,

you going to do?

ใช้กับ Present Perfect)

มาก่อนล่วงหน้า

กท่ี John ถาม)

อของขวัญให้ Mary

วถึงแผนการณ์ (plans)

he airport?

y in the future.

e end of next term. (แผนการณ์)

poken English) มากกว่าภาษาเขียน

กลับไปยังหน้าเดิม The Future Continuous Tense โครงสร้ำง :    S + will, shall + be + Ving I, We

shall be

You , He , She , It They , Samuel

will

working running walking learning

at this time tomorrow.

หลักกำรใช้              1. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นและจะกำาลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลาท่ีบ่งไว้ชัดเจนในอนาคต เช่น                       - We'll be driving to the country at half past nine tomorrow.                            (เราจะกำาลังขับรถไปชนบทตอน 9.30 วันพรุ่งนี้)                       - He'll be living in Australia this time next year.                       - They'll be waiting at the airport when you arrive.                       - Your parents will be thinking of you while you are taking the exam              2. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีได้ตัดสินใจแน่นอนว่าจะทำาเช่นนัน ้ ในอนาคต เช่น                      - He'll be having extra lessons twice a week next term.                      -  You'll be wearing warm clothes every day when you live in England               3. ใช้เม่ ือต้องการถามหรือขอร้อง (polite questions or requests)                      - Will you be staying here longer?                      - Will you be coming to see me soon?                      - Will you be paying me a visit this week?

s time tomorrow.

t nine tomorrow.

you are taking the exam.

next term. when you live in England.

กลับไปยังหน้าเดิม The Future Perfect Tense โครงสร้ำง :    S + will, shall + have + V3

หลักกำรใช้        ใช้เพ่ ือแสดงการกระทำาหรือเหตุการณ์ซ่ึงจะได้สิน ้ สุดลง ณ เวลาใดเวลาหน่ ึงในอนาคต โดยมีเวลา        บอกไว้อย่างชัดเจนว่า เม่ ือถึงเวลานัน ้ แล้วเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจะสำาเร็จเรียบร้อย แม้ว่าในขณะท่ีพูด         เหตุการณ์นัน ้ จะเกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิดก็ตาม มักใช้กับคำาว่า "by" เช่น by tomorrow ,         by 5 o'clock , by next week , by 2005 , by the end of this month (year) ,         by then , by the time              - By the end of this year your new maid will have broken all                 your glasses.                   (เม่ ือถึงสิน ้ ปี นี ค ้ นใช้คนใหม่ของเธอจะทำาแก้วแตกทัง้หมด=All the glass will break                     before the end of this year)              - The meeting will have finished by six o'clcok.                    (การประชุมจะเสร็จสิน ้ แล้วเม่ ือถึงเวลา 6 นาฬิกา = It may have started already                     or it may not have started yet. But it will finish before six.)              - You'll have done your homework when your parents arrive.                    (เธอจะทำาการบ้านเสร็จแล้วเม่ ือพ่อแม่กลับมาถึงบ้าน = The homework will be                    finished before their arrival.)             - He'll have saved much by the time he has retired.                    (เขาจะเก็บเงินได้มากแล้วเม่ ือถึงเวลาท่ีเขาเกษียณจากงาน)            หมำยเหตุ -- ข้อความใน time clause นัน ้ จะต้องใช้ present simple หรือ                                 present perfect จะใช้ future simple ไม่ได้ เช่น          - When we reach America , we shall have sailed around the world.          - She'll have written five books by the time she has finished this one

onth (year) ,

he glass will break

ve started already

mework will be

d the world. nished this one.

กลับไปยังหน้าเดิม The Future Perfect Continuous Tense โครงสร้ำง :    S + will, shall + have been + Ving

หลักกำรใช้

 Tense นีม ้ ีวิธีใช้เหมือนกับ Future Perfect ต่างกันตรงท่ีวา่ เราใช้ Tense นีก ้ ็เพ่ ือเน้นว่าการกระทำาได้ดำาเนิน           ต่อเน่ ืองกันไปเม่ ือถึงเวลานัน ้ การกระทำานัน ้ ก็ยังคงดำาเนินอยู่และจะดำาเนินต่อไปอีก เช่น                   - By 2005 we'll have been living in Lampang for ten years                         (เม่ ือถึงปี 2005 เราจะอาศัยอยู่ในลำาปางครบ 10 ปี = We came to live in Lampang in 1                          We shall probably continue living in Lampang after 2005.)

                   - When we finish M.6, we 'll have been studying English                           (เม่ ือเราจบชัน ้ ม.6 เราจะเรียนภาษาอังกฤษครบ 12 ปี = We studied English in the pa                             finish M.6 we probably continue studying English.)

                   - It will have been raining for one hour if it doesn't stop by four o'clock                            (ฝนจะตกได้ครบ 1 ชัว่โมง ถ้ามันยังไม่หยุดตกภายใน 4 โมงนี้ = It started raining at th                             and it probably continue raining after that.)

พ่ ือเน้นว่าการกระทำาได้ดำาเนิน

or ten years. e came to live in Lampang in 1995. ng after 2005.)

ying English for twelve years. = We studied English in the past and after we

doesn't stop by four o'clock. 4 โมงนี้ = It started raining at three o'clock

กลับไปยังหน้าเดิม

Chris Delivery Episode 3: Say Hi – Basic greetings and shaking hands วิธีการทักทายกับฝรัง่นัน ้ มีอยู่หลากหลาย เรามาลองดูประโยคอ่ ืนๆนอกจากแค่ “Hello, how are you?” กันดีกว่า How is it going? เป็ นยังไงบ้าง? How are you doing? คุณเป็ นยังไงบ้าง? How is life? ชีวิตเป็ นยังไงบ้าง? How is everything? ทุกอย่างกำาลังดีอยู่ไหม? How do you do? คุณเป็ นยังไงบ้าง (Note: ประโยคนีม ้ ักใช้กันเฉพาะตอนท่ีเราทักทายทำาความรู้จักกับคนท่ีเราเจอเป็ นครัง้แรกเท่านัน ้ นะครับ) ส่วนน่ีก็เป็ นประโยคท่ีเราสามารถใช้ตอบกลับไปเวลามีคนมาทักทาย นอกจากแค่คำายอดฮิตอย่าง “I am fine thank you, and you?” ท่ีคนไทยมักใช้กันอยู่แค่นี้ Oh great, I am doing good. ฉันรู้สึกดีมากเลย Very well thank you. ดีมากเลย ขอบคุณ Yeah, I am ok. ฉันรู้สึกโอเค So so. ก็เฉยๆ Not bad. ไม่เลว I am alright. ฉันไม่เป็ นไร Not very good. ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ I am sick. ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย I am tired. ฉันรู้สึกเหน่ ือย I am busy. ฉันยุ่งอยู่ อย่าลืมเคล็ดลับในการจับมือ shake hand ท่ีดีนะครับ Use a firm handshake จับมือให้มีน้ำาหนัก - อย่าให้ปวกเปี ยกเป็ น Dead Fish Hand! Maintain eye contact สบตาเข้าไว้ ให้ดูเป็ นมิตรและมีความมัน ่ ใจ Chris Delivery Episode 3: Go Out – Learning English at MK Suki Push ผลัก Pull ดึง (Note: trick ง่ายๆท่ีจะช่วยจำาก็ให้นึกถึง “ภูกระดึง” – “Pull ก็ ดึง”!!) Morning glory ผักบุ้ง Waitress พนักงานเสิร์ฟหญิง Mango juice น้ำามะม่วง Vegetables ผัก Shrimp wontons เกีย๊วกุ้ง Jelly fish แมงกะพรุน Pig’s liver ตับหมู (Note: อย่าจำาสลับกับ river ท่ีแปลว่าแม่น้ำานะครับ) Meat balls ลูกชิน ้ Fish balls ลูกชิน ้ ปลา Crab balls ลูกชิน ้ ปู Shrimp balls ลูกชิน ้ กุ้ง Pork balls ลูกชิน ้ หมู (Note: อย่าใช้คำาว่า Pig’s balls นะครับ เพราะมันแปลว่าลูกอัณฑะของหมู!) Beef balls ลูกชิน ้ วัว (Note: อย่าใช้คำาว่า Cow’s balls นะครับ เพราะมันก็แปลว่าลูกอัณฑะของวัวเหมือนกัน!) Tofu เต้าหู้ Roasted duck เป็ ดย่าง Bun ซาลาเปา Chris Delivery Episode 3: Speak Out – Fashion photo shoot with Ploy Sherman

Conversations: Welcome to my studio. ยินดีต้อนรับสู่โรงถ่ายของผม What is your name? คุณช่ ืออะไรครับ I am Sherman, but you can call me Ploy. ฉันช่ ือเชอมาลค่ะ แต่คุณเรียกฉันว่าพลอยก็ได้ Nice to meet you. ยินดีท่ีได้รู้จัก What do you do now? ตอนนีค ้ ุณทำางานอะไรอยู่ I am an actress, a model, an MC and used to be a DJ. ฉันเป็ นนักแสดงหญิง นางแบบ พิธีกร แล้วก็เคยเป็ น ดีเจมาก่อน I do all that she does. ท่ีเธอทำาฉันก็ทำาเหมือนกัน Are you a model? คุณเป็ นนางแบบหรือเปล่า I am a supper model. ฉันเป็ นสุดยอดนางแบบ I heard you have been to many countries. ผมได้ยินมาว่าคุณเคยไปมาหลายประเทศแล้ว Yes I have been to New York, Hawaii, Maui, India and around here. ใช่ ฉันเคยไปท่ี นิวยอร์ก ฮาวาย เมาอิ อินเดียแล้วก็ประเทศแถวๆนีค ้ ่ะ Yes, yes me too! ใช่ๆ ฉันด้วย! I have been to New York. ฉันเคยไปท่ี นิวยอร์ก So you have just been in Thailand. งัน ้ คุณก็เคยอยู่แค่ท่ีประเทศไทย So are you ready to do photo shoots? คุณพร้อมท่ีจะถ่ายแบบหรือยัง? Today we are going to do four sets. วันนีเ้ราจะถ่ายกันส่ีชุด You have to behave yourself. คุณอย่าซนให้มากนัก You understand? คุณเข้าใจใช่ไหม? But before we start, we are going to get you dressed up. แต่ก่อนท่ีเราจะเร่ิม เรามาหาชุดให้คุณใส่กันดีกว่า You have to meet our stylist. คุณต้องพบช่างแต่งตัวของเรา I have the best stylist in town. ผมมีช่างแต่งตัวท่ีเด็ดสุดแล้วในเมืองเลย You are going to make them look beautiful. คุณช่วยทำาให้พวกเธอสวยที Today, I will make you look beautiful. วันนีฉ ้ ันจะทำาให้พวกคุณสวยสุดๆไปเลย So you guys know each other now. พวกคุณรู้จักกันดีแล้ว So, first of all what would you like to wear today? งัน ้ อย่างแรกเลย วันนีค ้ ุณอยากใส่ชุดอะไร? I think we are going to start with a dress first. ฉันคิดว่าเราน่าจะเร่ิมด้วยชุดกระโปรงก่อนดีกว่า So can we have a beautiful dress? งัน ้ ขอชุดกระโปรงสวยๆหน่อย So what would you like to wear? งัน ้ คุณอยากจะใส่ชุดอะไรดี I would like to wear a brown sack. ชัน ้ ขอใส่ถุงกระสอบสีน้ำาตาล Are you sure? แน่ใจหรือ? Get her a brown sack. เอาถุงกระสอบสีน้ำาตาลมาให้เธอหน่อย Moment please. รอซักครู่ This is good for you. อันนีเ้หมาะกับเธอแล้ว So girls, could you please go to the fitting room and we will come back to take some pictures. งัน ้ สาวๆ เชิญพวกคุณไปท่ีห้องเส้ือผ้า แล้วเดี๋ยวเราจะมาเร่ิมถ่ายแบบกัน That’s a beautiful dress! ชุดนัน ้ สวยมากเลย! I meant the white one. ผมหมายถึงชุดขาว Can you please take a seat? ช่วยกรุณานัง่ลงด้วยครับ And we are going to start taking the photo shoot. เดี๋ยวเราจะเร่ิมถ่ายแบบกัน So if you are ready, start posing and I am going to start shooting. งัน ้ ถ้าพวกคุณพร้อมกันแล้ว ก็เตรียมวางท่าได้แล้วผมก็จะเร่ิม Move to the back เขยิบไปข้างหลัง To the Right ไปทางขวาหน่อย Stand there. ยืนอยู่ตรงนัน ้ Can you sit down please? ช่วยกรุณานัง่ลงด้วยครับ Lie down นอนลง Show me your hand. โผล่มือให้ผมเห็นหน่อย I want to make it more casual. ผมอยากจะให้มันดูกันเองกว่านี้ I think I prefer spaghetti straps and a mini skirt. ฉันขอเส้ือสายเด่ียวกับกระโปรงสัน ้ แล้วกันค่ะ

What would you like us to wear? งัน ้ คุณอยากให้พวกเราใส่ชุดอะไรดีคะ How about jeans? งัน ้ ยีนส์เป็ นยังไง? What kind of jeans? ยีนส์แบบไหน? But, for you I think you should wear. แต่สำาหรับคุณผมว่าคุณน่าจะใส่ Because you are very tall. เพราะว่าคุณเป็ นคนตัวสูง May be, just jean pants. น่าจะลองใส่กางเกงยีนส์ดูแล้วกัน I got it. ฉันเข้าใจแล้ว I think the jeans are waiting for you in there. ในนัน ้ มียีนส์ของคุณอยู่ So I will see you in a few minutes. งัน ้ เดี๋ยวผมเจอคุณในอีกสองสามนาที I bring my own. ฉันเอาของฉันมาเองเลย Do you like my jeans? ชอบยีนส์ของฉันไหมคะ? What are you wearing? คุณใส่อะไรของคุณ? No this is not jeans. ไม่น่ีไม่ใช่ยีนส์ซักหน่อย Ok, let the professional show you. เดี๋ยวให้มืออาชีพสาธิตให้คุณดูดีกว่า Vocabularies: Photographer ช่างถ่ายภาพ Photo shoot การถ่ายแบบ Note: ใช้คำาว่า “set” of photo shoot Actress นักแสดงหญิง Model นางแบบ Supper อาหารม้ือเย็น MC พิธีกร (Note: ย่อมาจากคำาว่า Master of Ceremony) DJ ดีเจ (Note: ย่อมาจากคำาว่า Disk Jockey) Super model สุดยอดนางแบบ Stylist ช่างแต่งตัว Beautiful สวยงาม Fool โง่เขลา Fishing ตกปลา Fitting Room ห้องแต่งตัว Sack ถุงกระสอบ (Note: ไม่ใช่ชุด sack นะครับ!) Dress ชุดกระโปรง Pose การตัง้ท่า Post ไปรษณีย์ Lie down นอนลง Behave yourself อย่าซนให้มากนัก & การทำาตัวดีๆให้เหมาะการ Casual สบายๆ, กันเอง & ลำาลอง Spaghetti straps เส้ือสายเด่ียว Mini skirt กระโปรงสัน ้

Mini เล็ก Mega ใหญ่มหึมา Pants (British English) กางเกงใน (อังกฤษ) Pants (American English) กางเกงขายาว (อเมริกัน)

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 4: Say Hi – พูดคุยกับฝรั่งในรูปแบบของ conversation What’s your name? คุณช่ ืออะไรครับ How are you? สบายดีไหมครับ Where do you come from? มาจากไหนครับ Where are you going? คุณกำาลังจะไปไหนครับ

น่ีมักจะเป็ น 4 ประโยคท่ีคนไทยมักจะใช้กันบ่อยมาก และใช้กันอยู่แค่นีใ้นการพูดคุยกับฝรัง่! วันนีเ้ราจะมาลองดูประโยคสนทน จะใช้คุยกับฝรัง่ได้โดยไม่ให้ฟังดูน่าเบ่ ือ ย่ิงไปกว่านัน ้ ก็มีไม่น้อยเลยท่ีการสนทนาของคนท่ีไม่ค่อยจะคล่องหรือมีความกล้า เราลองมาดูตัวอย่าง ของบทสนทนาในรูปแบบท่ีเหมือนกับ interview มากกว่าท่ีจะเป็ น real and engaging conversa Can I have a volunteer please? ขออาสาสมัคร 1 คนครับ Where do you live? คุณพักอยู่ท่ีไหนครับ Sukhumvit. สุขุมวิท Where do you study? คุณเรียนท่ีไหนครับ St. Theresa. โรงเรียนเซนต์เทเรซ่า How old are you now? คุณอายุเท่าไหร่ครับ Sixteen years old. อายุสิบหก What do you want to be in the future? ในอนาคตคุณอยากเป็ นอะไรครับ Star ดารา You want to be a movie star. คุณอยากเป็ นดารา Very interesting… น่าสนใจมาก…

การสนทนากับฝรัง่หรือคนต่างชาติท่ีดี ไม่ควรจะเป็ นการถามคำาตอบคำา แต่เราควรจะต้องใส่รายละเอียดหรือเร่ ืองราวในส่ิงท่ีเราพ ถามเค้ากลับเหมือนกัน อันท่ีง่ายท่ีสุดท่ีเรามักจะถามฝรัง่กลับกันอยู่เป็ นประจำาก็คือคำาว่า And you?

แล้วคุณล่ะ

เทคนิคท่ีดีของการการเป็ นนักสนทนา ก็คือการเป็ นนักถามคำาถามท่ีดี ดังนัน ้ เวลาท่ีมีฝรัง่มาพูดคุยกับเราๆก็ควรจะมีคำาถามง่ายๆ การสนทนากลายเป็ นแค่การสัมภาษณ์ขา้ งเดียวแบบ one-way interview แต่ให้เป็ นการสนทนาแบบสองข้างไปกลับแบบ twoChris Delivery Episode 4: Go Out – Shopping at Tesco Lotus Shopping cart รถเข็นช้อปปิ ้ ง Toys ของเล่น Robot หุ่นยนต์ Size ของเส้ือผ้าท่ีขายกันตามห้างมักจะมีตัวอักษรท่ีบ่งบอกถึงขนาดของเส้ือผ้าดังนี้: Small (S) ขนาดเล็ก Medium (M) ขนาดกลาง Large (L) ขนาดใหญ่ Extra large (XL) ขนาดใหญ่พิเศษ (Extra: บางท่ีโดยเฉพาะในต่างประเทศซ่ ึงมีชาวต่างชาติท่ีตัวใหญ่กว่าเรามากอาจมีถึงขนาด XXL หรือ Extra extra large

Underwear ชุดชัน ้ ใน (Note: เคล็ดในการจำาง่ายๆก็คือให้นึกถึง “under” ท่ีแปลว่าใต้ กับคำาว่า “wear” ซ่ ึงแปลว่าสวมใส่ นึกเป็ นคำาเดียวกันว่า “อ Boxer นักมวย Shorts กางเกงขาสัน ้ Boxer shorts กางเกงในแบบขาสัน ้ (Extra: กางเกงในขาสัน ้ ยังมีอีกประเภทท่ีเป็ นแบบรัดรูปกว่า boxer shorts ท่ม ี ีช่อ ื เรียกของมันเองซ่ ึงก็คือ “ Durian ทุเรียน Tangerine ส้มเขียวหวาน Tissue roll กระดาษชำาระแบบม้วน

Roll back การย้อนสู่อดีต หรือ การปรับราคาให้ถูกลงในภาษาการค้า & promotion Pork belly หมูสามชัน ้ (Note: ท่ีใช้คำาว่า “pork” แทนท่ีจะใช้คำาว่า “pig” ก็เพราะว่า pork นัน ้ หมายถึงแค่เน้ือของหมู ส่วน pig Belly พุง แอบเก็บตกแถมศัพท์ทิง้ท้ายนิดนึง: Imitation crab meat ปูอัด (Note: imitation นัน ้ หมายความว่าการลอกเลียนหรือการทำาให้เหมือน) Guava ฝรัง่ Chris Delivery Episode 4: Speak Out – Making Papaya Salad with ยิ่งยง ยอดบัวงำม Who’s that? เรียกใครครับ (Note: หมายความว่า “นัน ่ ใครครับ” ได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือ context ท่ีใช้) He’s the owner of the restaurant. เขาเป็ นเจ้าของร้านอาหาร Where are you? อยู่ท่ีไหน I miss you so much. คิดถึงจังเลย Where have you been? ไปอยู่ไหนมา Long time no see. I miss you too. ไม่เจอกันตัง้นาน ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน Who’s that? นัน ่ ใครครับ My farang friend. Khun Chris. น่ีเพ่ ือนฝรัง่ของฉัน คุณคริส This is khun Yingyong, my cousin. น่ีคุณย่ิงยง ลูกพ่ีลูกน้องของฉัน (Note: คำาว่า “cousin” มักถูกเข้าใจว่าแปลว่าญาติแต่ท่ีจริงแล้วแปลว่า “ลูกพ่ีลูกน้อง” นะครับ) Relative ญาติ You are relatives. คุณเป็ นญาติกัน

Today I want to come and try some E-san food. วันนีผ ้ มจะมาลองกินอาหารอีสาน (Extra: คำาว่าอีสานนัน ้ ฝรัง่มักจะเรียกว่า eastern หรือ north eastern อย่างในบ้านเราซ่ ึงแปลว่า “ตะวันออกเฉียงเหนือ Sticky rice ข้าวเหนียว We have more food. เรายังมีอาหารอย่างอ่ ืนๆอีก I can make some “papaya pok-pok” for you. ผมทำาปาปาย่าป๊ อกๆให้คุณดูได้นะ I would like to see. ผมอยากจะดูแล้วครับ What do you call “ ครก” in English? “ครก” ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร We call this a mortar. เรียกว่า “mortar” (Extra: mortar มีความหมายว่า ปื นครกท่ีใช้ยิงลูกระเบิดได้เหมือนกัน) This is a pestle. น่ีคือสาก Why do you call this pok-pok? ทำาไมถึงเรียกว่าป๊ อกๆ I get it. ผมเข้าใจแล้ว Spicy papaya salad ส้มตำา (Note: คำาว่า “ยำา” สามารถใช้คำาว่า “salad” เรียกได้เหมือนกัน) It makes the sound. มันทำาให้เกิดเสียง Papaya มะละกอ Chop สับ You are chopping the papaya. คุณกำาลังสับมะละกอ You scrape it. คุณขูดมันออก Scrape ขูด What are the ingredients?

แล้วมีส่วนผสมอะไรบ้างครับ (Note: ingredient = ส่วนผสม) Garlic กระเทียม Chilli พริก Fish sauce น้ำาปลา Lemon มะนาวสีเหลือง Lime มะนาวสีเขียว It smells really bad. กล่ินเหม็นมาก Stinky เหม็น What do you call this in Thai? ภาษาไทยเรียกมันว่าอะไรครับ Fermented fish ปลาร้า (Note: ferment = หมัก / fermentation = การหมัก) Black crab ปูดำา (Note: อย่าใช้สับกับคำาว่า “crap” ท่ีแปลว่าอึเด็ดขาดนะครับ!) Fish sauce น้ำาปลา We have fermented fish, papaya, and black crab. เรามีปลาร้า มะละกอ ปูดำาแล้ว I think you need to show me. ผมว่าคุณต้องทำาให้ผมดูแล้วล่ะ At first you put some garlic in. ขัน ้ แรกใส่กระเทียมลงไป Do you like spicy, medium or mild? คุณชอบรสเผ็ดมาก ปานกลางหรือรสอ่อนๆ

Spicy เผ็ด (Extra: หรืออาจใช้คำาว่า chilli ก็ได้ ซ่ ึงจริงๆแล้วคำาว่า spicy ก็หมายความว่า “รสจัด” หรือ “เคร่ ืองเทศเยอะ” ได้เหมือนกัน Mild รสอ่อน ไม่เผ็ด

I prefer my papaya salad to be mild. ผมขอรสส้มตำาแบบไม่เผ็ดดีกว่าครับ You have to pound the chilli. คุณต้องตำาพริก (Note: pound = การตำาหรือกระแทก) And then what’s next? เราต้องทำาอะไรต่อ Tomato มะเขือเทศ (Extra: Tomatoes = มะเขือเทศหลายๆอัน) Vegetables ผัก Long beans / String beans ถัว่ฝั กยาว Brown sugar / Palm sugar น้ำาตาลปี ๊บ Can I try it now? ขอชิมได้ไหมครับ Use your hand to taste. ใช้มือชิมเลยครับ How does it taste? รสชาติเป็ นยังไงครับ It’s too spicy and it’s salty. เผ็ดเกินไป แล้วก็เค็มด้วย Salty เค็ม (Note: แค่จำาง่ายๆให้นึกถึงคำาว่า “salt” ท่ีแปลว่าเกลือครับ) It’s salty but it’s not sour. มันเค็มแต่ไม่เปรีย ้ ว Sour เปรีย ้ ว Shower อาบน้ำา Put some more lime juice in. ใส่น้ำามะนาวลงไปอีกหน่อย (Note: lime juice = น้ำามะนาวจากมะนาวเขียว / lemon juice = น้ำามะนาวจากมะนาวเหลือง) Do you want me to try some more? คุณอยากให้ผมชิมอีกหรือ

I think I have diarrhea. ผมว่าผมท้องเสีย Diarrhea ท้องเสีย Diary บันทึกประจำาวัน Do you have a toilet? ท่ีน่ีมีห้องน้ำาไหม Over there. ทางนู้นครับ

! วันนีเ้ราจะมาลองดูประโยคสนทนาอ่ ืนๆท่ีเราสามารถท่ี ม่ค่อยจะคล่องหรือมีความกล้า eal and engaging conversation กันดีกว่าครับ:

ายละเอียดหรือเร่ ืองราวในส่ิงท่ีเราพูดบ้างและท่ีสำาคัญก็ควรท่ีจะมีการ

พูดคุยกับเราๆก็ควรจะมีคำาถามง่ายๆท่ีเราจะใช้ถามเค้ากลับบ้าง เพ่ ือไม่ให้ นทนาแบบสองข้างไปกลับแบบ two-way conversation นะครับ

XXL หรือ Extra extra large แบบใหญ่ย่ิงขึ้นไปอีก!)

ลว่าสวมใส่ นึกเป็ นคำาเดียวกันว่า “อะไรท่ีใส่อยู่ข้างใต้”)

ของมันเองซ่ึงก็คือ “briefs” หรือ “boxer briefs” นัน ่ เองครับ)

ของหมู ส่วน pig นัน ้ ก็คือหมูทัง้ตัวนะครับ)

with ยิ่งยง ยอดบัวงำม

ราซ่ ึงแปลว่า “ตะวันออกเฉียงเหนือ” ซ่ ึงเราสามารถใช้เคล็ดในการจำาง่ายๆโดยนึกถึงความคล้ายของการออกเสียงคำาว่า “อีสาน” กับ “อีสเทิน ้ ”

รือ “เคร่ อ ื งเทศเยอะ” ได้เหมือนกัน เพราะคำาว่า “spice” แปลว่า เคร่ ืองเทศ ครับ)

อีสาน” กับ “อีสเทิน ้ ”)

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 5: Say Hi – Ping Pong Conversation I used to be the Ping Pong champ of my school. ผมเคยเป็ นแชมป์ ปิงปองของโรงเรียน Do you know how to play Ping Pong? คุณรู้วิธีเล่นปิ งปองไหม Table Tennis ปิ งปอง การสนทนาภาษาอังกฤษ ก็เหมือนกับการเล่นปิ งปองท่ีต้องมีการตีตอบโต้กลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลาของทัง้ What’s your name? คุณช่ ืออะไร Where do you come from? คุณมาจากไหน How long have you been in Thailand? คุณอยู่เมืองไทยมานานแค่ไหนแล้ว What do you do now? ตอนนีค ้ ุณทำางานอะไรอยู่ Where do you live? คุณพักอยู่ท่ีไหน What do you like to do in your free time? คุณชอบทำาอะไรในเวลาว่าง Do you like Thai food? คุณชอบอาหารไทยไหม What’s your favourite kind of food? อาหารโปรดของคุณคืออะไร Have you ever traveled in Thailand before? คุณเคยมาเท่ียวเมืองไทยไหม Where have you been? คุณเคยไปไหนมาบ้าง What do you like about Thailand? คุณชอบอะไรเก่ียวกับเมืองไทย What did you do last weekend? สุดสัปดาห์ท่ีผ่านมาคุณทำาอะไร น่ีเป็ นตัวอย่าง 10 คำาถามท่ีคุณสามารถนำาไปใช้ในการสนทนาตีปิงปองกับฝรัง่เพ่ ือให้การพูดคุยกับเค้าได้

Let’s take a commercial break and see you soon พักโฆษณำ ซักครู่แล้วกลับมาพบกันใหม่ครับ Chris Delivery Episode 5: Go Out – An afternoon at Super Sports Golf course สนามกอล์ฟ (Note: ไม่ใช่ golf field นะครับ!) Putt การเคาะลูก Slam dunk การยัดลูกลงห่วง (อย่างแรง) Shuttlecocks ลูกขนไก่ (Extra: cock แปลว่าไก่ตัวผู้ ส่วน chicken นัน ้ คือไก่ตัวเมียครับ) Shuttle ส่ิงท่ีไปกลับระหว่างสองจุด Shuttle bus รถบัสรับส่งระหว่างจุด Space shuttle ยานอวกาศท่ีนัง่ไปกลับได้ (Note: ต่างจาก space rocket ท่ีจะถูกยิงออกแค่ครัง้เดียว ไปแล้วไปลับไม่กลับมานะครับ) Darts ลูกดอก Play darts ปาเป้ า Aim เล็ง Bull’s eye จุดกลางของเป้ า Goalkeeper ผู้รักษาประตู Gloves ถุงมือ Goalkeeper’s gloves ถุงมือผู้รักษาประตู Snooker สนุกเกอร์

Chalk ชอล์ก Cue ไม้ท่ีใช้แทงสนุกเกอร์ Treadmill เคร่ ืองว่ิงออกกำาลังกาย Chris Delivery Episode 5: Speak Out – เล่น fitness ที่ L.A. ว้ำย!! กับ บ๊วย เชษฐวุฒิ Gym / Fitness center สถานท่ีออกกำาลัง (Note: คนไทยมักเรียกกันแค่ว่า fitness เฉยๆ ซ่ ึงจริงๆแล้วแปลว่า “ความฟิ ต” เฉยๆนะครับ) Have we met before? เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า I think we have. We meet every Friday. เคยซิครับ เราเจอกันทุกวันศุกร์ We have to meet the fitness instructor today. วันนีเ้ราต้องมาพบ ครูสอนออกกำำลังกำย We are in the same class. เราเรียนห้องเดียวกัน I think he is the fitness instructor. ผมว่าเขาเป็ นครูสอนออกกำาลังกายนะ Are you a foreigner? คุณเป็ นชาวต่างชาติใช่ไหม Welcome to L.A. Why!! Fitness. ขอต้อนรับสู่แอลเอว๊ายฟิ ตเนส I’ll introduce myself. ผมขอแนะนำาตัวเองนะครับ Can I have my hand back please? ผมขอมือคืนด้วยครับ We have weigh ourselves. เราต้องชั่งน้ำำหนัก กัน Step on the scales. เหยียบขึ้นไปบนตำชั่ง Have you gained weight? คุณอ้วนขึ้นหรือเปล่า

(Note: น่ีเป็ นการทักท่ีสุภาพกว่าการจะใช้คำาว่า fatter เช่น “Have you gotten fatter?”) You look darker. คุณดูคล้ำาขึ้น (Note: แทนท่ีจะใช้คำาว่า blacker เช่น “You look blacker”) This is your turn. ตาคุณแล้วล่ะ I have to weigh myself. ผมต้องชัง่น้ำาหนัก Relax and be yourself. ผ่อนคลายและเป็ นตัวของตัวเองนะครับ Can I get off now? ลงได้หรือยัง Stretching การยืดเส้นยืดสาย Follow me. ทำาตามผมนะ Left shoulder ไหล่ซ้าย Right shoulder ไหล่ขวา Don’t move. อย่าขยับ Bend ย่อ & โค้ง Bend some more. โค้งอีกหน่อย We are going to do some aerobics. เรากำาลังจะเต้นแอโรบิคกัน When you work out, you have to breathe. ตอนออกกำำลังกำย คุณต้องหายใจ Aerobics การออกกำาลังกายโดยการใช้ออกซิเจน Stop what you are doing. หยุดส่ิงท่ีเธอกำาลังทำาอยู่ I am tired.

ฉันเหน่ ือย (Note: ไม่ใช่ “tried” ท่ีแปลว่า ทดลองแล้ว นะครับ) (Tips: เวลาออกเสียงก็คล้ายกับการพูดว่าคำาว่า fire) Life weights ยกน้ำาหนัก (Note: หรืออาจใช้คำาว่า weight-lifting ก็ได้เหมือนกันครับ) You have to breathe. คุณต้องหายใจ Inhale หายใจเข้า Exhale หายใจออก It’s very clear. ชัดเจนเลย You have bad breath. คุณมี กลิ่นปำก Breath ลมหายใจ Breathe หายใจ What are we going to do next? เราจะทำาอะไรกันต่อ You want me to lift weights. คุณอยากให้ผมยกน้ำาหนัก It’s too heavy. มันหนักเกินไป I’ll try. ผมจะลองดู Louder ดังขึ้น Faster เร็วขึ้น Harder แรงขึ้น You have a phone call. คุณมีโทรศัพท์เรียกเข้ำ

I am sweaty. ผมเหง่ ือท่วม เลย I am going to take a shower. ผมจะไปอาบน้ำา Take a shower together. อาบน้ำาด้วยกัน Believe me. Don’t go!!! เช่ ือฉัน อย่าไป!!! Be careful!!! ระวังตัวด้วย!!! Christina, do you remember me? คริสติน่า จำาฉันได้ไหม

ตลอดเวลาของทัง้ 2 ฝ่ าย จึงจะนับได้ว่าเป็ นการสนทนา conversation แบบ 2-way ท่ีไม่ใช่แค่การถาม-ตอบแบบ interview เพราะฉะนัน ้ การเป็ นนักสนทนาท

กับ บ๊วย เชษฐวุฒิ

พราะฉะนัน ้ การเป็ นนักสนทนาท่ีดีจำาเป็ นท่ีเราจะต้องมีการถามและสานต่อการสนทนาของคนท่เี รากำาลังคุยอยู่ด้วยนะครับ

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 6: Say Hi – เรียนภำษำจำกเพลง “This Love” by Maroon 5 การเรียนภาษาอังกฤษท่ีได้ผลและยังน่าเพลิดเพลินอีกวิธีก็คือการเอาพวกส่ ือบันเทิงอย่างเพลงและ entertainment This love has taken its toll on me รักครัง้นีม ้ ันได้สัง่สมกับผมมานานมากจนรับแทบไม่ได้แล้ว Toll ค่าผ่านทาง She said good-bye too many times before เธอบอกลากับผมมาหลายครัง้เกินไปแล้ว Her heart is breaking in front of me หัวใจของเธอกำาลังแตกสลายอยู่ข้างหน้าของผม I have no choice. ผมไม่มีทางเลือก Because I won’t say good-bye anymore เพราะผมจะไม่บอกลาอีกต่อไป Chris Delivery Episode 6: Go Out – หำ card อวยพรคนรักในวัน Valentine I am on the fifth floor. ตอนนีผ ้ มอยู่ท่ีชัน ้ ห้า Stationery เคร่ ืองเขียน Itchy คัน Life / Elevator ลิฟต์ Escalator บันไดเล่ ือน Wait for some one รอใครบางคน Hug กอด Hold กอด / การจับ Kiss จูบ

Teddy Bear หมีเท็ดดี้ My Valentine สุดท่ีรักของฉัน (Note: จะใช้กันเฉพาะช่วงเทศกาล Valentine เท่านัน ้ ) Feel รู้สึก Fill เติม Especially for you พิเศษเฉพาะ Special พิเศษ Chris Delivery Episode 6: Speak Out – “No Wedding and a Funeral” with A cute couple คู่รักท่ีน่ารัก (Note: couple = คู่รัก / Cute = น่ารัก) Can you stop the music? ปิ ดเพลงได้ไหมครับ Turn off the music ปิ ดเพลงหน่อยครับ Who is she? เธอเป็ นใคร She is my aunt. เธอเป็ น ป้ำ ของผม Where is your future wife? แล้ว ว่ำที่ภรรยำของคุณอยู่ไหนล่ะ I am his girlfriend. ฉันเป็ นแฟนเขา He’s my lover! เขาเป็ นชู้ของฉัน! I have to explain ผมต้องขออธิบำย I am not your lover. ผมไม่ได้เป็ นชู้ของคุณ

Lover ชู้รัก If you want to get married ถ้าคุณต้องการจะแต่งงำน The first thing is we have to choose a place. อย่างแรกท่ีต้องทำาคือ เลือกสถานท่ี Where would you like to have your wedding? คุณอยากจัดงานแต่งงานท่ีไหนครับ Five-star hotel in the heart of downtown โรงแรมห้าดาวใจกลำงเมือง What do you think? คุณคิดยังไง I prefer to keep it private and quiet. ผมว่าจัดแบบส่วนตัวและเงียบๆดีกว่า And keep it a secret และปิ ดเป็ นควำมลับ Upcountry ต่างจังหวัด Upcountry in the mountains and a secret place ต่างจังหวัดบนภูเขา และเป็ นท่ีลึกลับ You don’t want anyone to know. คุณไม่ต้องการให้ใครรู้ The next thing is costumes. ต่อไปคือเส้ือผ้า We have costumes for เรามีชุดให้สำาหรับ the bride เจ้าสาว the groom เจ้าบ่าว The bridesmaid เพ่ ือนเจ้าสาว the best man เพ่ ือนเจ้าบ่าว Khun Puri is going to be the best man in my wedding ceremony.

คุณภูริจะเป็ นเพ่ ือนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานของฉัน You need to go and find a new husband. คุณต้องไปหาสำมี ใหม่ We need to find a dress. เราต้องหาชุดกัน It fits me ชุดพอดีตัวเลย I choose this one. ผมเลือกชุดนี้ I am confused, man. ผมสับสนมาก You are a good-looking guy, you are famous and rich. คุณเป็ นหนุ่มหล่อ, มีช่ือเสียง, รวย Why did you choose this lady? ทำาไมคุณถึงเลือกผู้หญิงคนนี้ I will tell you the story ผมจะเล่าให้ฟัง Once upon a time, กาลครัง้หน่ ึง I was drinking in a bar. ผมกำาลังนัง่ด่ ืมอยู่ในบาร์ I was so drunk. ผมเมำ มาก The next morning, she was beside me. เช้าวันรุ่งขึ้น เธอนอนอยู่ข้างผม Naked! โป๊ ด้วย! The next day, she came to my place. วันต่อมา เธอมาท่ีบ้านผม She told me she was pregnant. เธอบอกว่าเธอท้อง I have to be responsible. ผมเลยต้องรับผิดชอบ You look very stressed out.

คุณดูเครียด มาก I don’t want to marry her. ผมไม่อยากแต่งงำน กับเธอ I have the solution. ผมมีทำงออก Let me get my equipment. ผมขอหยิบอุปกรณ์ก่อน Good idea. เป็ นความคิดท่ีดี How do you feel? คุณรู้สึกอย่างไร I am shocked! ผมตกใจมาก! Surprise ประหลาดใจ (ในทางท่ีดี) Shock ตกใจ (ในทางแย่) We need to find the decoration. เราต้องหาของตกแต่ง The first thing what do you need? อย่างแรกคุณต้องการอะไร Booger ขีม ้ ูก (Note: เป็ นคำาแสลง) Bouquet ช่อดอกไม้ (Note: ออกเสียงว่า “โบ-เค” นะครับ ซ่ ึงจริงๆแล้วเป็ นภาษาฝรัง่เศส) You have boogers in your nose. คุณมีขีม ้ ูกอยู่ในจมูก The next thing is the corsage. ส่ิงต่อมาคือ ดอกไม้ประดับอกเส้ือ I suggest the creamy one. ผมขอแนะนำาสีครีมแล้วกัน The round one แบบวงกลมๆ

To make it romantic เพ่ ือความโรแมนติค Candles เทียน I want the white candles. ฉันอยากได้เทียนสีขาว I like the big yellow candles. ผมชอบเทียนใหญ่ๆสีเหลือง I am the man, you have to listen to me. ผมเป็ นผู้ชายนะ คุณต้องฟั งผมสิ Don’t argue. อย่าทะเลำะ กัน The yellow one is the good choice. เลือกเทียนสีเหลืองน่ะดีแล้ว My assistant will organize everything for you. ผู้ช่วยของผมจะจัดการทุกอย่างให้คุณ Where is my flower? ดอกไม้ของฉันอยู่ไหน These are your flowers. น่ีไงดอกไม้ของคุณ Wreath พวงหรีด You look beautiful. คุณดูสวยมาก Incense stick ธูป wedding ceremony งานแต่งงาน funeral งานศพ I am going to faint. ฉันจะเป็ นลม Phuri, come on use what I gave you. ภูริ ใช้ของท่ีผมให้คุณเลย

I can’t breathe. ฉันหายใจไม่ออก Die quickly. ตายเร็วๆ He has a lot of work. เขามีงานอีกเยอะ

by Maroon 5

ลงและ entertainment ต่างๆใน lifestyle ของเรามาเรียนรู้ครับ

neral” with ภูร ิ

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 7: Say Hi – เทคนิกและเกร็ดควำมรู้เก่ียวกับกำรบอกเวลำภำษำอังกฤษแบบง่ำยๆ What time is it? ก่ีโมงแล้ว A.M. (Ante Meridiem) 00.01 – 12.00 น. P.M. (Post Meridiem) 12.01 – 24.00 น. Past ผ่านมาแล้ว To กำาลังจะถึง Quarter 15 นาที O’clock สำาหรับบอกเวลาเต็มชัว่โมง Two: Thirty in the morning 2:30 – ตีสองคร่ ึง Two: Thirty in the afternoon 2:30 – บ่ายสองคร่ ึง Six: Fifteen in the morning 6:15 - เช้า Six: Fifteen in the evening 6:15 – เย็น สามทุ่มย่ีสิบ (9:20 P.M.) Nine: Twenty at night (Note: เป็ นเวลา on-air ของ Chris Delivery นะคร้าบ อย่าลืม!) 5:05 Five: O-Five (Note: O มาจากคำาว่า zero ซ่ ึงก็คือเลขศูนย์นะครับ) 1:45 One: Forty-Five One: Forty-Five in the morning ตีหน่ ึงส่ีสิบห้า 3:35

Three: Thirty-Five Midnight เท่ียงวัน Midday เท่ียงวัน 7:11 Seven: Eleven (Tips: trick ง่ายๆในการจำาอันหน่ ึงก็ให้นึกถึงร้าน 7-11 นะครับ) Chris Delivery Episode 7: Go Out – ซ้ือของท่อง China Town Today I am going to China Town to see some Chinese people and try some Chinese food. Mandarin ภาษาจีนกลาง Cantonese ภาษาจีนกวางตุ้ง Canton กวางตุ้ง Drugstore ร้านขายยา (Note: คนหลายคนมักออกเสียง drug ผิดเป็ น duck ซึงหมายถึงเป็ ด) Drug ยา (Note: จะหมายถึงยาเสพติดก็ได้เหมือนกัน) Pharmacy / Drugstore ร้านขายยา Sea Horse ม้าน้ำา Chinese herbs สมุนไพรจีน Partnership ห้างหุ้นส่วน Partner คู่ หรือ หุ้นส่วน Chestnuts เกาลัด Shark fin

หูฉลาม Shark ปลาฉลาม Fin ครีบ Public phone โทรศัพท์สาธารณะ Phone booth ตู้โทรศัพท์สาธารณะ Shredded pork หมูหยอง Shred ฉีกเป็ นชิน ้ ๆ Goldsmith ห้างทอง / ช่างทอง Chris Delivery Episode 7: Speak Out – ทักทำยอำม่ำในวันตรุษจีนกับ อิม อชิตะ We go to see Chinese Family เราไปดูครอบครัวคนจีน in Chinese New Year. ในวันตรุษจีน Please don't touch me in front of my mama. อย่าแตะตัวฉันต่อหน้าแม่สิ Why? You look so hot today. ทำาไมล่ะ ก็วันนีค ้ ุณเซ็กซ่ีมาก I have to hug you. ผมก็ต้องกอดคุณสิ Can't you see my mama? คุณไม่เห็นแม่ฉันเหรอ She is over there. แม่อยู่ตรงนัน ้ ไง That's your mama? นัน ่ แม่คุณเหรอ Your mama is dead แม่คุณเสียแล้ว

She is dead , right? แม่ตายแล้วใช่ไหม I'm not dead. ฉันยังไม่ตาย I'm just cleaning A-gong's picture. ฉันกำาลังทำาความสะอาดรูปอากง I can't move ฉันขยับตัวไม่ได้ What happen? เกิดอะไรขึ้น I can't hear you. ผมไม่ได้ยิน Can you speak louder? พูดดังขึ้นหน่อยได้ไหมครับ I cannot speak Lao !!! ฉันพูดภาษาลาวไม่เป็ น I have cramps. ฉันเป็ นตะคริว Are you ok? คุณไหวไหม I brought you some souvenirs. ผมมีของฝากมาให้ I hear that... ผมได้ยินมาว่า... In Chinese New Year , ในวันตรุษจีน we have to buy souvenirs for the older people. เราซ้ือของมาฝากคนท่ีแก่กว่า There are a lot of gold shops มีร้านทองเยอะมาก In China Town , ท่ีเยาวราช What are you doing? พวกคุณกำาลังทำาอะไรกันครับ You don't know?

คุณไม่รู้เหรอ We are saying hello to our family. เรากำาลัง ทักทาย ครอบครัวของเรา Where is your family? ครอบครัวของคุณอยู่ไหนล่ะ You don't say " say hello " คุณพูดว่า " ทักทาย " ไม่ได้ Pay respect to my ancestors. ไหว้บรรพบุรุษ Ancestors บรรพบุรุษ They're all dead. พวกเขาตายหมดแล้ว Who are these peoples? คนเหล่านีค ้ ือใคร This is our family tree. น่ีคือแผนผังต้นตระกูลของเรา He looks similar. เขาดูคล้ายกันเลย great - grandfather ป่ ูทวด great – grandmother ยายทวด grandfather ตา,ป่ ู grandmother ย่า,ยาย He looks like Rain again. หน้าเหมือนเรนอีกแล้ว What a very nice a warm family. ช่างเป็ นครอบครัวท่ีดีและอบอุ่น I want to be your son-in-law. ผมอยากเป็ นลูกเขยของคุณ She is very mean. แม่ใจร้ายจัง

Chinese food อาหารจีน Chopsticks ตะเกียบ I don't know how to ผมไม่รู้วิธี use the chopsticks. ใช้ตะเกียบ No gay ไม่ใช่เกย์ I love your daughter. ผมรักลูกสาวคุณ Do you have spoon and fork? คุณมีช้อนกับส้อมไหม We have spoon and fork. เรามีช้อนกับส้อม Go to take it by yourself. ไปเอาเอง Spoon and fork are in the chicken! ช้อนกับส้อมอยู่ในไก่! I told you in the chicken! ฉันบอกแล้วไงว่าอยู่ในไก่! I don't see. ผมไม่เห็นเลย What are you doing? คุณกำาลังทำาอะไรน่ะ Spoon and fork are in the kitchen. ช้อนกับส้อมอยู่ในครัว I need to use spoon and fork. ผมต้องใช้ช้อนกับส้อม I'll take them for you. ฉันจะไปเอามาให้ Are you ok? คุณไหวไหม

I don't know ผมไม่รู้ว่า if your mom like me or not. แม่คุณชอบผมหรือเปล่า I brought her presents. ผมเอาของขวัญมาให้แม่คุณด้วยนะ Is this what you want? น่ีคือส่ิงท่ีคุณต้องการใช่ไหม Spoon ช้อน It takes a long time มันใช้เวลานานมาก to catch a frog! ในการจับกบ! This is your frog. น่ีไงกบของคุณ I change my mind. ฉันเปล่ียนใจ I want more chicken. ฉันอยากกินไก่อีก Are you ok? คุณเป็ นอะไรหรือเปล่า I have some presents for you. ผมมีของขวัญมาให้คุณด้วย I did my research. ผมค้นคว้ามาแล้ว You have to give a paper house. คุณต้องให้บ้านกระดาษ This is for ancestors. น่ีสำาหรับบรรพบุรุษ servant คนใช้ Burn เผา I'm so sorry.

ผมขอโทษครับ This is my mistake. เป็ นความผิดพลาดของผมเอง Actually, it's for your ancestors. จริงๆแล้ว ทัง้หมดนีส ้ ำาหรับบรรพบุรุษของคุณ money in a red envelope อัง่เปา Chinese money for you. เงินจีนสำาหรับคุณไง

กเวลำภำษำอังกฤษแบบง่ำยๆ

y some Chinese food.

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 8: Say Hi – หนังไทยอย่ำงเร่ ือง Final Score ก็ช่วยให้คุณเรียนรู้ภำษำอังกฤษได้

ไม่ว่าจะในรายการ TV ในหนังสือ website หรือแม้แต่ในรายการวิทยุ ผมมักจะพูดถึงและสนับสนุนวิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดย ท่ีล้อมรอบอยู่ในชีวิตของเรา และส่ ือบันเทิงท่ีมีประโยชน์มากอย่างหน่ ึงก็คือหนัง แต่การจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากหนังใช่ว่าเราจะต้อ ไป ซ่ ึงการดูหนังฝรัง่ subtitle ไทยก็อาจจะทำาให้คนจำานวนไม่น้อยรู้สึกว่ามันยากลำาบากและทำาให้เรา enjoy ประสาทอ่านภาษาไทยท่ีอยู่บริเวณข้างล่างของจอจนดูภาพได้ไม่เต็มท่ี แต่ don’t worry ครับเพราะจริงๆแล้วการดูหนังไทยท่ีมี สามารถทำาให้เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เหมือนกัน วันนีผ ้ มก็เลยลองเอา preview ของหนังเร่ ือง Final Score เราสามารถจะเรียนคำาศัพท์อะไรจากหนังเร่ ืองนีไ้ด้บ้าง National entrance exam การสอบเข้ามหาวิทยาลัย I’m going to take the national entrance exam. ฉันกำาลังจะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย (Note: คำาย่อๆท่ีคนไทยมักเรียกแค่ว่า “เอ็น” ก็มาจากคำาว่า entrance น่ีแหละครับ) What do you want to be in the future? คุณอยากเป็ นอะไรในอนาคต I want to be an engineer. ฉันอยากเป็ นวิศวกร You are going to graduate soon. คุณกำาลังจะเรียนจบ อย่าลืมนะครับว่าการดูหนังไทยก็สามารถช่วยคุณได้ “ถ้า”คุณยอมแยกประสาท scan ตาอ่านภาษาอังกฤษซักนิด Chris Delivery Episode 8: Go Out – ภำษำอังกฤษจำกที่ Yamaha Service Center Spare parts อะไหล่ Spare สำารอง Parts ชิน ้ ส่วน Mechanic ช่างซ่อมรถ (to be) prohibited ห้าม Fine ค่าปรับ / การปรับ You will be fined 2,000 Baht. คุณจะถูกปรับ 2,000 บาท

Motorcycle / Motorbike รถจักรยานยนต์ Retrospective หวนคิดถึงอดีต Automatic อัตโนมัติ Corner มุม Caf? ร้านกาแฟ Coffee กาแฟ Crash helmet หมวกกันน็อก Crash กระแทก Helmet หมวกท่ีใส่เพ่ ือป้ องกัน Chris Delivery Episode 8: Speak Out – To Be a Star with บี จ้ำกThe Star Do you have a dream? คุณมีความฝั นไหมครับ They want to be a star. พวกเขาอยากเป็ นดารา I’m the owner of this school. ผมเป็ นเจ้าของโรงเรียนนี้ Are you here alone? คุณมาคนเดียวหรือครับ Where is that somebody? ใครคนนัน ้ อยู่ไหน You are late. คุณมาสายนะครับ Sorry, I’m late. The traffic was bad. ขอโทษครับ ผมมาสาย รถติดมาก First of all, you have to introduce yourself. ก่อนอ่ ืน คุณต้องแนะนำาตัวเองก่อน

I’ve been looking for you for long time. ฉันตามหาคุณมานานแล้ว What are you looking for? คุณกำาลังหาอะไร A man in my dream. ชายในฝั น This is not a coffee shop. ท่ีน่ีไม่ใช่ร้านกาแฟ Where do you come from? คุณมาจากท่ีไหน I come from Kan-Jew-Berry!!! I come from Chiang Mai. ผมมาจากเชียงใหม่ The north of Thailand. ภาคเหนือของประเทศไทย How long have you live in Bangkok? อยู่กรุงเทพฯมานานเท่าไหร่แล้ว I live in Bangkok for 3 years. ผมอยู่กรุงเทพฯมา 3ปี แล้ว For me, very long time. สำาหรับฉัน อยู่มานานแล้ว 20 years ago!!! 20 ปี ท่ีแล้ว __ years ago เม่ ือ __ ปี ท่ีแล้ว For __ years เป็ นเวลา __ ปี แล้ว Why are you here? มาท่ีน่ีทำาไม I want to be a singer. ผมอยากเป็ นนักร้อง What do you want to be? คุณอยากเป็ นอะไร Of course, I want to be a singer.

แน่นอน ฉันอยากเป็ นนักร้อง If you want to be a singer. Come here ถ้าอยากเป็ นนักร้องมาทางนี้ If you want to be a star. ถ้าคุณอยากเป็ นดารา You have to know how to play คุณต้องรู้วิธีเล่น a musical instrument. เคร่ ืองดนตรี What can you play? คุณเล่นอะไรเป็ นบ้าง I can play drums ผมเล่นกลอง piano, เปี ยโน guitar กีต้าร์ You pass. That’s great. คุณผ่านได้ เย่ียมมาก What can you play? คุณเล่นอะไรเป็ นบ้าง A lot of instruments เคร่ ืองดนตรีมากมาย Such as a microphone. อย่างเช่น ไมโครโฟน I brought my own. ฉันนำามาเอง I’ve never seen this before? ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย see saw seen Can you hear me? ได้ยินฉันไหมคะ Unbelievable. It’s great! ไม่น่าเช่ ือ มันยอดมากครับ!

I haven’t played yet. ฉันยังไม่ได้เล่น If you want to be a star, ถ้าอยากเป็ นดารา you have to know how to dance. คุณต้องเต้นเป็ น Can you dance? เต้นเป็ นไหม Let’s check him out. ดูเขาก่อน I believed you. ผมเช่ ือคุณแล้ว You’re very terrible! คุณเต้นแย่มาก! Why did you say that? ทำาไมพูดอย่างนัน ้ ล่ะครับ terrible -แย่ terrific –ยอดเย่ียม We have to see if you can sing. เราต้องดูว่าคุณร้องเพลงได้ไหม We have to check your note. เราต้องตรวจสอบระดับเสียงของคุณ Let the professional show you. ให้มืออาชีพทำาให้ดูดีกว่า Reverse ทวนกลับ Do you like to sing? คุณชอบร้องเพลงไหม Yes, very well. Excellent! ร้องได้ ดีด้วย ยอดเย่ียมเลย I can sing in English only. ฉันร้องเป็ นภาษาอังกฤษเท่านัน ้ Let’s check her out first. งัน ้ ลองดูเธอก่อน

It sounds terrible. มันฟั งดูแย่มาก Do you want to sing a song? คุณจะร้องเพลงใช่ไหม Are you ready? พร้อมหรือยัง Sing your song. ร้องเพลงของคุณได้เลย

Need some to look into their eyes. And make my heart feel weak. Be thinking of me, be thinking of me. Love, I need some body. Love, could I have someone to love? In my heart, in my life. Is there somebody out there? Is there somebody out there? Is there somebody care? Is there somebody there for me? (Note: สำาหรับเน้ือร้องเพลง “I need somebody” version ภาษาอังกฤษแบบเต็มๆสามารถดูได้ใน section “Lifestyle”

วยให้คุณเรียนรู้ภำษำอังกฤษได้

สนับสนุนวิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้ส่ือบันเทิงต่างๆ ยนรู้ภาษาอังกฤษจากหนังใช่ว่าเราจะต้องดูหนังฝรัง่เสมอ ะทำาให้เรา enjoy หนังได้ไม่เต็มท่ีเพราะต้องเสียเวลาแยก บเพราะจริงๆแล้วการดูหนังไทยท่ีมี subtitle อังกฤษก็ งเร่ ือง Final Score มาให้ทุกๆคนลองชมแล้วลองดูซิว่า

นภาษาอังกฤษซักนิด!

ice Center

สามารถดูได้ใน section “Lifestyle” ของ website นะครับ)

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 9: Say Hi - เรียนรู้ภำษำอังกฤษจำกหนังสือพิมพ์

นอกจากหนังและเพลงแล้ว ส่ ือท่ีมีสาระอย่างเช่น Newspaper หรือหนังสือพิมพ์ก็เป็ นส่ ืออีกอย่างหน่ ึงท่ีสามารถช่วยเราฝึ กภาษาอ ถ้ามีเวลาว่างก็ลองฝึ กซ้อมโดยการหยิบเอาหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมาลองอ่านดูบ้าง ท่ีสำาคัญคือให้อ่านพร้อมกับดูรูปภาพประกอบไ จะช่วยให้เราทำาความเข้าใจถึงคำาศัพท์หรือ context ของส่ิงท่ี news article กำาลังส่ ือได้ง่ายขึ้นรวมไปถึงการท่ีภาพจะเป็ น เราในการจำาอีกด้วยครับ Next station; Siam Cemetery สถานีต่อไป หลุมฝังศพ สยาม Passengers who want to die can get off here. ผู้โดยสารท่ีอยากตายสามารถลงท่ีสถานีนีไ้ด้ A Sky train carriage hangs off the end of the track in Malaysia. Sky train Carriage ตัวโบกีร้ถไฟฟ้ า Hangs off ห้อยลงมา Track รางรถไฟ Do you play basketball or football? คุณเล่นบาสหรือเล่นฟุตบอลกัน Michael Roddy stares at Yang Changpeng at Bolton Wanderers football club. Stares / Stare จ้องมอง FC = Football Club Oh no! I lost again. โอ้ตายแล้ว แพ้อีกแล้ว Paradon looks disappointed during a tennis match. Disappointed / Disappoint ผิดหวัง (Note: ในรูปแบบ past tense จะมี “ed” เติมเข้ามาหลังคำาว่า disappoint) During ช่วงระหว่าง Tennis match การแข่งเทนนิส Tourist police ตำารวจท่องเท่ียว

Please don’t hit me. กรุณาอย่าตีผม A monk sprinkles holy water on foreign tourist police in Chiang Mai. Monk พระ Sprinkles / Sprinkle โปรย & พรม Holy water น้ำามนต์ Chris Delivery Episode 9: Go Out – ทำำบุญ ไหว้พระ และฝึกภำษำอังกฤษที่วัดเบญจมบพิตร The Marble Temple วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร Marble หินอ่อน Temple วัด Admission fee ค่าผ่านประตู Visitors / Visitor ผู้มาเย่ียม Visit เย่ียม I am a Buddhist. ผมนับถือศาสนาพุทธ Take off ถอด Make merit ทำาบุญ Donation การบริจาค Donate บริจาค Statue รูปปั ้ น

Statue of Buddha พระพุทธรูป Statue of Liberty เทพีเสรีภาพ The Grand Palace The Temple of the Emerald Buddha วัดพระแก้ว Emerald Buddha พระแก้วมรกต Chris Delivery Episode 9: Speak Out – Temple Visit and Making Merit with You're late. It's already 12.30. คุณมาสาย น่ีมันเท่ียงคร่ ึงแล้วนะ We're going to the temple. เรากำาลังจะไปวัดกัน You aren't allowed to wear shorts in the temple. ห้ำมใส่กางเกงขาสัน ้ เข้าวัด I'm not Lao, Thai. I'm Korean. ฉันไม่ใช่คนลาว, คนไทย ฉันเป็ นคนเกาหลี You have to dress properly. คุณต้องแต่งกายอย่ำงเหมำะสม You're not going to take a shower. คุณไม่ได้ไปอาบน้ำา We're going to the temple. เรากำาลังจะไปวัด Let's go. We don't have enough time. ไปกันเถอะ เรามีเวลาไม่พอ Thai water jar is very beautiful. โอ่งไทยสวยมาก I'm very thirsty. I'm so lucky. ฉันกำาลังหิวน้ำาอยู่พอดี โชคดีจัง I look like teen but I'm 29. ฉันดูเหมือนยังเป็ นวัยรุ่น แต่อายุ 29 แล้วค่ะ Come on. Sit down please. เชิญนัง่

You have to sit properly in front of the monk. คุณต้องนัง่อย่างเหมาะสมต่อหน้าพระ Behave. ทำาตัวดีๆ หน่อย Where do you come from? โยมมาจากไหนล่ะ I come from Korea. ดิฉันมาจากประเทศเกาหลี I like your town. อาตมาชอบเมืองของโยม Who are you? ท่านเป็ นใคร Why do you wear orange? ทำาไมท่านใส่ชุดสีส้ม Monk พระ What is your name? ช่ ืออะไรล่ะ My name is Yung Bin Chum. ดิฉันช่ ือ ยุงบินชุม Can I take a picture with him? ดิฉันขอถ่ายรูปกับท่านได้ไหม You want to take a photo? คุณอยากถ่ายรูป Don't sit at the same level with the monk. ห้ามนัง่ระดับเดียวกันกับพระ I'm really sorry. I don't know. ดิฉันขอโทษจริงๆ ดิฉันไม่ทราบ Don't be angry. อย่าโกรธนะค่ะ I have his CD. ดิฉันมี ซีดีของท่าน It's 12.30. เท่ียงคร่ ึงแล้ว

What did you bring? คุณเอาอะไรมา Time to have lunch. ได้เวลาอาหารเท่ียงแล้ว I brought my Korean food for you. ดิฉันนำาอาหารเกาหลีมาถวายท่าน He cannot eat the food now ท่านทานอาหารตอนนีไ้ม่ได้ because it's 12.30. It's after noon. เพราะตอนนีเ้ท่ียงคร่ ึงแล้ว หลังเท่ียงแล้ว Noon & Midday เท่ียงตรง Afternoon บ่าย They cannot eat after noon. พระไม่สามารถฉันท์หลังเท่ียงตรง Did you go and pay respect to Buddha yet? ไปไหว้พระมาหรือยัง Pray สวดมนต์ Pay respects ไหว้ The monk said, พระท่านบอกว่า if we want to pay respect to Buddha, ถ้าเราจะไหว้พระ we have to have lotus flowers. เราต้องมีดอกบัว But he doesn't have any lotus flowers today. แต่วันนีท ้ ่านไม่มีดอกบัว Lotus ดอกบัว We can't go and pay respects to Buddha. เราไปไหว้พระไม่ได้แล้ว Because he ran out of lotus flowers.

เพราะดอกบัวหมด Make merit ทำาบุญ We can make merit by เราสามารถทำาบุญได้โดยการ freeing the animals. ปล่อยสัตว์ You have to make a wish. คุณต้องตัง้อธิษฐำน You have to free the bird. คุณต้องปล่อยนก Bird flu ไข้หวัดนก Catfish ปลาดุก You have to open the bag, คุณต้องแกะปากถุงก่อน and free the fish like this. แล้วปล่อยปลาแบบนี้ Don't throw the rubbish in the water. อย่าทิง้ขยะลงน้ำา I brought my own animal. ฉันนำาสัตว์ของฉันมาเอง A little bit wet. เปียกนิดหน่อย Free the turtle. ปล่อยเต่ำ

อีกอย่างหน่ึงท่ีสามารถช่วยเราฝึ กภาษาอังกฤษได้ ญคือให้อ่านพร้อมกับดูรูปภาพประกอบไปด้วย ยขึ้นรวมไปถึงการท่ีภาพจะเป็ น tools ท่ีจะช่วย

วัดเบญจมบพิตร

ng Merit with หยองลูกหยี

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 10: Say Hi! – เม่ ือคนไทยจะต้องสนทนำกับฝรั่ง อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้ำง

คงมีจำานวนคนอยู่ไม่น้อยทีเดียวท่ีอาจจะเคยได้มีโอกาสคุยกับฝรัง่แต่ไม่เข้าใจในส่ิงท่ีเขาพูดเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็ นเพราะว ทักษะและความสามารถในการฟั งของเรานัน ้ ไม่ดีพอเสมอไป เพราะตัวฝรัง่ชาวต่างชาติเองก็อาจจะมีส่วนทำาให้คุณฟั งเค้าไม่ออกเหมือ วันนีเ้ราเลยจะลองจำาลองเหตุการณ์เม่ ือคนไทยจะต้องคุยกับฝรัง่แล้ว - what are the things that can go wrong: Do you have an Adam’s apple? คุณมีลูกกระเดือกไหม Adam’s apple ลูกกระเดือก I’m sorry I don’t understand ขอโทษนะฉันไม่เข้าใจ What do you mean? คุณหมายถึงอะไร What does that mean? มันหมายความว่าอย่างไร My English isn’t very good. ทักษะภาษาอังกฤษของฉันไม่ค่อยดี Can you speak slowly please? คุณพูดช้าลงหน่อยได้ไหม Again please. พูดอีกครัง้ได้ไหม Pardon? อะไรนะ Can you speak Thai? คุณพูดภาษไทยได้ไหม Chris Delivery Episode 10: Go Out – A Day at T.K. Park Knowledge ความรู้ Know รู้ Library ห้องสมุด Loan ให้ยืม, การให้ยืม Lend

ให้ยืม Borrow ขอยืม Browse ดูไปรอบๆ Encyclopedia สารานุกรม Quiet เงียบ Quite ค่อนข้าง Please be quiet กรุณาอย่าส่งเสียงดัง Recommended แนะนำา Chris Delivery Episode 10: Speak Out – Snow White and Seven Dwarves with Top Snow White and the seven dwarfs. สโนไวท์ กับคนแคระทัง้เจ็ด Wrong story ผิดเร่ ือง I’m sorry. I’m confused. ขอโทษนะ ฉันรู้สึกสับสน I’m the queen of this town ฉันเป็ นราชินีของเมืองนี้ I’m the magic mirror. ผมคือกระจกวิเศษ Who is the most beautiful lady in the universe? ใครสวยท่ีสุดในจักรวาล You’re beautiful. คุณสวย You’re pretty ugly คุณค่อนข้าง ขีเ้หล่!!! Pretty+คำานาม สวย, น่ารัก

Pretty+คำาคุณศัพท์ ค่อนข้าง The most beautiful, cutest, ผู้หญิงท่ีสวยท่ีสุด, น่ารักท่ีสุด, Prettiest lady in the universe งดงามท่ีสุดในจักรวาล Her name is Snow white. เธอช่ ือ สโนไวท์ I love children, world peace and Paradon ฉันรักเด็ก, สันติภาพของโลก และภราดร Image ภาพในจินตนาการ I ordered the soldier to kill her. ฉันสัง่ทหารไปฆ่าเธอแล้วนะ She is not dead. เธอยังไม่ตาย She still lives in the small house in the forest. เธอยังอยู่ในบ้านเล็กๆในป่ า I’ll go to kill her. ฉันจะไปฆ่าเธอ She lives in the forest with เธออยู่ในป่ ากับ 7 dark, tall and handsome men. ผู้ชายเข้ม สูง และหล่อ7คน You look familiar เธอหน้าคุ้นๆนะ It’s a kind of Thai dessert มันเป็ นขนมหวานชนิดหน่ ึงของไทย Do you know Snow White? คุณรู้จัก สโนไวท์ไหม She’s our friend. เธอเป็ นเพ่ ือนของพวกเรา 7 dwarfs คนแคระทัง้เจ็ด

Don’t misunderstand. อย่าเข้าใจผิด She got kicked out of the castle เธอถูกไล่ออกมาจากปราสาท By the bad queen. โดยราชินีใจร้าย She doesn’t live in the castle anymore. เธอไม่ได้อยู่ในปราสาทอีกแล้ว She lives with us at our house. เธออยู่กับพวกเราท่ีบ้าน Can I visit your home? ฉันขอไปเย่ียมบ้านเธอได้ไหม You feel sleepy. คุณง่วงนอน. Can I help you? มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ I’ve walked for a long way. ฉันเดินทางมาไกลมาก Backache ปวดหลัง How many eggs do you have? คุณมีไข่ก่ีฟอง She’s not selling eggs. เขาไม่ได้ขายไข่ She’s selling fruits. เขาขายผลไม้ Stomachache ปวดท้อง Headache ปวดหัว Sore throat เจ็บคอ What kind of fruit do you sell? คุณขายผลไม้อะไรบ้าง I have many kinds of fruit.

ฉันมีผลไม้หลายชนิดเลย Do you have any apples? คุณมีแอปเปิ ้ ลไหมล่ะ I can’t see any apples. ฉันไม่เห็นแอปเปิ ้ ลสักผลเลย Pineapple สับปะรด Rose apple ชมพู่ Custard apple น้อยหน่า Adam’s apple ลูกกระเดือก All of the fruits, the old lady is selling, ผลไม้ทัง้หมดท่ียายแก่ขาย They’re all poisonous. ทัง้หมดนี้มีพิษ Poisonous fruits ผลไม้มีพิษ Passion fruit เสาวรส I told you. ผมบอกแล้วไง Snow white passed away. สโนไวท์ ตายแล้ว Let me check her hand if she really died. ผมขอตรวจดูก่อนว่าเธอตายจริงๆหรือเปล่า She’s still alive เธอยังมีชีวิตอยู่ She passed out. เธอสลบ Pass out. สลบ Pass away เสียชีวิต

Disappointed ผิดหวัง I’m the prince. เราเป็ นเจ้าชาย My mission is coming to kiss my princess. หน้าท่ีของเราคือมาจีบเจ้าหญิง She’s too young to be my wife. เธอเด็กเกินไปท่ีจะเป็ นภรรยาของเรา I don’t like the princess anymore. ฉันไม่ชอบเจ้าหญิงแล้ว It’s better than nothing. ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

รจะเกิดขึ้นได้บ้ำง

ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็ นเพราะว่า าจจะมีส่วนทำาให้คุณฟั งเค้าไม่ออกเหมือนกัน ngs that can go wrong:

n Dwarves with Top ดำรณีนุช โพธิปิติ

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 11: Say Hi – The phone call from hell. คงจะมีคนไทยจำานวนไม่น้อยท่ีคงจะต่ ืนอกตกใจทำาอะไรไม่ถูกเม่ ือจู่ๆได้รับ phone call แล้วแทนท่ีจะเป็ นแฟนหรือกิก ๊ โทรมา แต่เสียงท่ีมาจากอีกข้างนึงกลับกลายเป็ นฝรัง่หรือต่างชาติพูดอังกฤษฉอดๆอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จนบางคนถึงกับ ต้องงัดไม้ตายเด็ดอย่างการตอบกลับไปว่า: Sorry, you have the wrong number. ขอโทษนะ คุณโทรผิดเบอร์แล้ว หรือทำาเสียงน่ิงๆเย็นๆให้เหมือนกับเสียง operator แล้วตอบกลับไปว่า: The number you have dialed, cannot be connected. หมายเลขท่ีท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ หรือใช้มุขตัดบทสนทนาอย่างง่ายๆอย่าง: Ah, sorry I cannot hear you! ขอโทษที ไม่ได้ยินเสียงคุณเลย! My battery is dead. แบตเตอร่ีหมด Just a moment please. รอสักครู่นะ (แล้วก็เดินหาคนมาพูดแทนหรือ ให้เค้ารอจนเหน่ ือยจนต้องวางหูไปเอง….)

เพราะฉะนัน ้ วันนีผ ้ มจึงขอฝากประโยคท่ีคุณจะสามารถใช้ในการพูดโทรศัพย์รับหน้าฝรัง่ โดยท่ีไม่ต้องใช้มุขหลีกเล่ียงการคุยอย่างตัวอ The caller ผู้โทรออก Can I speak to____ please? ขอสายคุณ___ครับ Do you know when he will be back? คุณรู้ไหมครับว่าเขาจะกลับมาเม่ ือไหร่ Can I have a message please? ผมขอฝากข้อความถึงเขาหน่อยได้ไหมครับ Can you tell him __ [ช่ ือผู้โทร] __called please? ฝากบอกเขาว่า__ [ช่ ือผู้โทร] __โทรมานะครับ The receiver ผู้รับสาย How can I help you? มีอะไรให้ช่วยไหมครับ Just a moment please?

รอสักครู่นะครับ Would you like to leave a message? ฝากข้อความไว้ไหมครับ Don’t panic. อย่าตกใจ Chris Delivery Episode 11: Go Out – Siam Commercial Bank [ธนำคำรไทยพำณิชย์ Bank ธนาคาร Commercial เก่ียวกับการค้า, โฆษณาโทรทัศน์ Let’s take a commercial break. พักชมโฆษณาสักครู่ Branch สาขา, ก่ิงก้าน Customer service แผนกบริการลูกค้า Account บัญชี I would like to open a bank account. ผมต้องการเปิ ดบัญชีใหม่ครับ You have to fill in the form. คุณต้องกรอกแบบฟอร์มนะคะ Fill in กรอก Deposit ฝาก I deposit some money at the bank. ฉันฝากเงินบางส่วนท่ีธนาคาร Withdraw ถอน I withdraw some money from the bank. ฉันถอนเงินบางส่วนจากธนาคาร Automatic Teller Machine [ATM] ตู้บริการเงินด่วนอัตโนมัติ

Teller พนักงานธนาคาร Cash Deposit Machine. เคร่ ืองบริการถอน-ฝาก เงินอัตโนมัติ Fund/ Corporate Bond กองทุน/ หุ้นกู้ Bond พันธบัตร Chris Delivery Episode 11: Speak Out- The Bank Robbery With Andy เข็มพิมุข This money is fake. น่ีมันเงินปลอม What can I do for you? มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ I have a problem. ฉันมีปัญหา I already deposited my money ฉันฝากเงินไปแล้ว 1 million baht. 1 ล้านบาท In my account, there is a mistake. ในบัญชีของฉัน มีควำมผิดพลำดเกิดขึ้น How can that be? มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน I’ve got only 999,999 baht. ฉันได้รับแค่ 999,999 บาท Where is my 1 baht? เงินของฉันหายไปไหนตัง้ 1 บาท Nine hundred and ninety-nine thousand, nine hundred and ninety – nine baht. 999,999 บาท You lost 1 baht. เงินคุณหาย 1 บาท I cannot be a millionaire. ฉันไม่สามารถเป็ น เศรษฐีเงินล้ำนได้ Very stingy.

งกมาก I’ll help you look for your 1 baht. ผมช่วยคุณหำเงิน1 บาท Take it. เอาไป Everybody freeze! ทุกคนหยุดอยู่น่ิงๆ You’re a professional. คุณเป็ นมืออำชีพมาก What can we do for you? มีอะไรให้พวกเราช่วยไหมครับ Everybody freeze and put your hands up. ทุกคนหยุดแล้วยกมือขึ้น Do you know who I am? รู้ไหมผมเป็ นใคร I’m a bank robber. ฉันเป็ นโจรปล้นธนำคำร He is a bank rubber. เขาเป็ นยำงลบของธนาคาร!!! I stole it from the bank. ฉันขโมยมาจากธนาคาร I’m going to rob you. ฉันจะปล้นพวกแก Right now, what I need from you… ตอนนีส ้ ่ิงท่ีฉันต้องการ คือ... Both of you guys have the money, right? แกทัง้คู่มีเงินใช่ไหม Hold this. ถือไว้ Put the money in that bag right now. ใส่เงินไว้ในถุงเดี๋ยวนี้ All the money you’ve got. เงินทัง้หมดท่ีพวกแกมี What are you doing?

แกกำาลังทำาอะไรน่ะ I’m putting the money in the bag. ฉันกำาลังจะใส่เงินไว้ในถุง I have 1 baht. ฉันมีเงิน 1 บาท Are you calling the police? แกจะโทรหาตำารวจเหรอ I’ll kill you. ฉันจะฆ่าแก I’m not calling the police. ผมไม่ได้โทรหาตำารวจ I’m going to call the pizza boy. ผมจะโทรหาเด็กส่งพิซซ่า I’m hungry. ผมหิว I want a seafood pizza. ฉันอยากกินพิซซ่าทะเล I can order too? ฉันสัง่ได้ด้วยเหรอ I would like a seafood pizza without seafood. ฉันขอพิซซ่าทะเลไม่ใส่อาหารทะเล I’m allergic to seafood ฉันแพ้อาหารทะเล [to be] allergic to ____ มีอาการแพ้ ____ I need you to put the money in the bag. ฉันต้องการให้แกใส่เงินไว้ในกระเป๋ า Quickly เร็วๆ It’s going to take a long time. มันต้องใช้เวลานานนะ Don’t play your games. อย่ามาเล่นตุกติก Step back. ถอยหลังไป

I need you to put the money ฉันให้แกใส่เงิน In the bag quickly. ไว้ในถุงเร็วๆ Otherwise, I’ll kill this hostage. ไม่อย่างนัน ้ ฉันจะฆ่าตัวประกัน How do you know that. คุณรู้ได้อย่างไรว่า I want to be an air hostess. ฉันอยากเป็ นแอร์โฮสเตส My dream comes true. ฝั นของฉันกลายเป็ นจริง You explain to her. แกอธิบายให้เธอฟั งหน่อย Flight attendant พนักงานต้อนรับบนเคร่ ืองบิน I have a good idea. ผมมีควำมคิดดีๆ You should calm down. คุณควรใจเย็น I have some water for you. ผมมีน้ำาให้คุณ How nice! อะไรจะดีอย่างนี้ I need to ask you a favor. ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือหน่อย I’ve drunk too much water. ฉันด่ ืมน้ำามากไปหน่อย I want to take a pee. ผมต้องการไปปัสสำวะ Take a poo อุจจาระ The bathroom is over there. ห้องน้ำาอยู่ทางโน้น

I need you to hold ผมต้องการให้คุณถือ this gun to your forehead. ปื นนีจ้่อหน้ำผำกคุณไว้ Don’t let anybody come close to you at all. อย่าให้ใครเข้าใกล้คุณเด็ดขาด Take your time. ไม่ต้องรีบ Freeze! Step back! หยุด! ถอยไป! Get back! ถอยไป! Don’t come close to me. อย่าเข้ามาใกล้ฉัน That’s my gun. นัน ่ ปื นของผม You’re the hostage. คุณเป็ นตัวประกัน I’m a pizza boy. ผมเป็ นเด็กส่งพิซซ่า Where is my seafood pizza? ไหนล่ะพิซซ่าทะเล I’m a police man. ผมเป็ นตำารวจ

วแทนท่ีจะเป็ นแฟนหรือกิก ๊ โทรมา ะหยุด จนบางคนถึงกับ

ท่ีไม่ต้องใช้มุขหลีกเล่ียงการคุยอย่างตัวอย่างข้างบนนะครับ แล้วคุณก็จะไม่ต้องกลัว phone call from hell อีกต่อไป!

นำคำรไทยพำณิชย์]

h Andy เข็มพิมุข

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 12 : Say Hi – S/X Syndrome Pronunciation การออกเสียง Box กล่อง There are sick people sitting over here. มีคนป่ วยนัง่อยู่ Six people หกคน Sick people คนป่ วย Goose boy เด็กห่าน Good boy เด็กดี Breast หน้าอกผู้หญิง Bread ขนมปั ง Bus รถประจำาทาง Butt ก้น Lady ผู้หญิง Ready พร้อม Chris Delivery Episode 12: Go Out - Siam Ocean World Ocean มหาสมุทร Ocean World โลกใต้สมุทร Crab ปู

Weird ประหลาด Shrimp[s] กุ้งตัวเล็ก Prawn[s] กุ้งนาง ( กุ้งขนาดกลาง) Lobster กุ้งมังกร Angel นางฟ้ า Angle มุมฉาก You are a beautiful angle. คุณคือผู้หญิงหน้าเหล่ียมท่ีสวยมาก Eel ปลาไหล Watch out/ Look out ระวัง Tunnel อุโมงค์ Coral reef แนวปะการัง Coral ปะการัง Clownfish ปลาการ์ตูน Fish tank ตู้ปลา

Chris Delivery Episode 12: Speak Out – “Finding Nemo” with Cindy สิร ินยำ บิชอฟ Let me introduce you. ให้ผมได้แนะนำาให้คุณรู้จัก This is my friend. น่ีคือเพ่ ือนของผม

Her name is Aqua. เธอช่ ือ แอคควา No, my name is Aqua, not the band. ไม่ใช่ ฉันช่ ือแอคควา ไม่ใช่วงแอคควา I know Aqua. ฉันรู้จักวงแอคควา Where is your equipment? อุปกรณ์ของคุณอยู่ไหน We are going to go scuba diving, right? เรากำาลังจะไปดำาน้ำาใช่ไหม Yes, we are going to go scuba diving today. ใช่เรากำาลังจะไปดำาน้ำากันวันนี้ I’m ready to go now. ตอนนีฉ ้ ันพร้อมท่ีจะไปแล้ว I want to go scuba driving. ฉันต้องการท่ีจะไปขับรถ Diving การดำาน้ำา Driving การขับรถ You have to have a wet suit. คุณต้องมีชุดดำาน้ำา Mask หน้ากาก Snorkel ท่อช่วยหายใจ Fins ตีนกบ Shrak’s fins soup ซุปหูฉลาม Are you a frog? คุณเป็ นกบหรือเปล่า Where is your wet suit? ชุดดำาน้ำาของคุณอยู่ไหน

How’s everything going? คุณเป็ นอย่างไรบ้าง I’m good. ฉันสบายดี When did you get to Bangkok? คุณมาถึงกรุงเทพฯตัง้แต่เม่ ือไหร่ Just last week. เม่ ืออาทิตย์ท่ีผ่านมา I want to go diving. ฉันต้องการไปดำาน้ำา I want to see the beautiful Thai ocean. ฉันต้องการเห็นทะเลไทยท่ีสวยงาม Why are you wearing a suit? ทำาไมคุณสวมเส้ือสูท We speak English. เราพูดภาษาอังกฤษกัน I think we should go to the boat. ผมคิดว่าเราควรไปท่ีเรือได้แล้ว What kind of animals are there in the Thai ocean? ในทะเลไทยมีสัตว์ประเภทไหนบ้าง Are they dangerous? อันตรายไหม There aren’t any dangerous animals. ไม่มีสัตว์ท่ีอันตราย How about crocodiles? แล้วจระเข้ล่ะ We do have fresh water crocodiles. เรามีจระเข้น้ำำจืด Crocodile จระเข้ What type of animals are there in the gulf of Thailand? ในอ่ำวไทยมีสัตว์ชนิดไหนอยู่บ้าง If you want to play golf in Thailand. ถ้าคุณต้องการท่ีจะตีกอล์ฟในประเทศไทย You have to be careful of snakes and monitor lizards.

คุณต้องระวังงูและตัวเงินตัวทอง gulf of Thailand อ่าวไทย Golf กีฬากอล์ฟ Andaman Sea ทะเลอันดามัน Are you ready? I’m going to start the boat. คุณพร้อมหรือยัง ผมกำาลังจะออกเรือ Where is Nemo? นีโมอยู่ไหน She fell off the boat. เธอร่วงตกจากเรือไปแล้ว Go find Nemo. ไปตามหานีโม Swim to the left. ว่ายไปทางซ้ายซิ Swim down to the coral. ว่ายลงไปท่ีปะการัง I can’t find Nemo. ผมหานีโมไม่เจอ Where did she go? เธอไปอยู่ท่ีไหนนะ Come back to the boat, maybe she’s at the beach. กลับมาท่ีเรือก่อน บางทีเธออาจจะอยู่ท่ีชำยหำด I’m so worried. ผมกลุ้มใจจังเลย Do you hear that sound? คุณได้ยินเสียงนัน ้ ไหม What is that? นัน ่ คืออะไร It sounds awful. มันเป็ นเสียงท่ีแย่มำก She looks like Nemo. เธอดูเหมือนนีโม

Have you seen Pra Aphai Manee before? คุณเคยดูเร่ ืองพระอภัยมณีมาก่อนหรือเปล่า No, I haven’t seen that movie. ไม่ ฉันไม่เคยดูหนังเร่ ืองนัน ้ มาก่อน But I’ve seen the little Mermaid. แต่ฉันได้ดูเร่ ืองนางเงือกน้อย You are a mermaid. คุณคือนางเงือก Yes, I am a little Mermaid. ใช่แล้วฉันคือนางเงือกน้อย I’m brushing my hair on the rocks. ฉันกำาลังหวีผมอยู่ท่ีโขดหิน So you are half-human half-fish. ดังนัน ้ คุณเป็ นคร่ ึงมนุษย์คร่ ึงปลำ I am not human and I don’t have any fish. ฉันไม่ได้เป็ นมนุษย์ และ ฉันก็ไม่มีปลาด้วย half-human half-fish. คร่ ึงมนุษย์คร่ ึงปลา I have an idea. ฉันมีหน่ ึงแผนการ Since I’m the owner of an aquarium, ตัง้แต่ฉันเป็ นเจ้าของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำา I think she would be a great show. ฉันคิดว่าเธอต้องเป็ นโชว์ท่ียอดเย่ียม I would make a lot of money. ฉันจะทำาเงินได้มากมาย If I could have her in my aquarium. ถ้าฉันมีเธอในพิพิธภัณฑ์ของฉันได้ What do you think? คุณคิดว่าอย่างไร So you want to take her to your aquarium, ดังนัน ้ คุณต้องนำาตัวเธอไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำา Make a lot of money. ทำาเงินได้มากมาย

Good idea. เป็ นความคิดท่ีดี Do you want to come and live with me in my house? คุณต้องการไปอยู่กับฉันท่ีบ้านไหม I have a big aquarium, ฉันมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำาท่ีใหญ่ There are many animal, you would love it there. มีสัตว์มากมายคุณจะรักท่ีนัน ่ My father said … พ่อบอกว่า ... I shouldn’t go with the stranger. ไม่ควรไปไหนกับคนแปลกหน้า Play hard to get เล่นตัว I have to play hard to get. ฉันต้องเล่นตัวซะหน่อย We have to catch her. เราต้องจับเธอไว้ Wait here. คอยอยู่ท่ีน่ีก่อน She likes to eat frog’s feet. เธอชอบกินตีนกบ Take your bait. มากินเบ็ดสิ You got her. คุณได้ตัวเธอแล้ว Don’t take me. อย่าเอาฉันไป

Cindy สิร ินยำ บิชอฟ

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 13: Say Hi – เทคนิคกำรอธิบำยเม่ ืออกเสียงไม่ถูกต้อง Sword ดาบ Island เกาะ 5 เทคนิคในการอธิบายเม่ ืออกเสียงคำาภาอังกฤษไม่ถูกต้อง 1. สะกดคำา 2. ใช้ภาษากาย 3. อธิบาย 4.เขียนหรือวาดรูป 5. run away (ว่ิงหนี) Chris Delivery Episode 13: Go Out - Big Thank Mitsubishi Anniversary วาระครบรอบปี Fair งานแสดงสินค้า, ยุติธรรม Refrigerator/ Fridge ตู้เย็น Hand dryer เคร่ ืองเป่ ามือให้แห้ง Living room ห้องรับแขก Comfortable สบาย Electricity เคร่ ืองใช้ไฟฟ้ า Slim บาง, ได้สัดส่วน Sensor เคร่ ืองจับความเคล่ ือนไหว Human มนุษย์ Multiple หลากหลาย

Chris Delivery Episode 13: Speak Out- The Dog Hospital With Noowan You are a cute dog. เจ้าเป็ นหมาท่ีน่ารัก What can I do for you? มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ Who are you? คุณเป็ นใคร I’m a veterinarian. ผมเป็ นสัตวแพทย์ I’m a vegetarian. ฉันเป็ นมังสวิรัติ I like to eat vegetables. ฉันชอบกินผัก Veterinarian สัตวแพทย์ Vegetarian ผู้ถือมังสวิรัติ I’m a vet. ผมเป็ นสัตวแพทย์ Wet เปี ยก Vet(คำาย่อของ Veterinarian) สัตวแพทย์ What’s wrong with your dog? สุนัขของคุณเป็ นอะไร I want to check ฉันอยากตรวจดูว่า If my dog is a mad dog or not? สุนัขของฉันเป็ น หมำบ้ำหรือเปล่า Please come in เชิญเข้ามาเลยครับ I changed my mind. ฉันเปล่ียนใจแล้ว I’m afraid my dog might ฉันกลัวว่าสุนัขของฉันอาจจะ

Get rabies from her. ติดโรคพิษสุนัขบ้าจากเธอ Don’t worry, I don’t have any rabbits. ไม่ต้องกังวล ฉันไม่มีกระต่ายสักตัว I only have a dog. ฉันมีแค่หมาตัวเดียว Rabies โรคพิษสุนัขบ้า Rabbits กระต่าย What’s your dog’s name? สุนัขของคุณช่ ืออะไร His name is Makam. เขาช่ ือมะขาม What’s your dog’s name? สุนัขของคุณช่ ืออะไร You look very familiar. หน้าคุณคุ้นๆนะ Are you a model? คุณเป็ นนางแบบใช่ไหม I’m a model for the most expensive diamonds. ฉันเป็ นนางแบบให้กับเพชรท่ีแพงท่ีสุด What is wrong with your dog? สุนัขของคุณเป็ นอะไรครับ He has been acting very weird. เขาทำาท่าแปลกประหลาด He thinks he is Tony Ja. เขาคิดว่าเขาเป็ น จา พนม But he looks very normal now. แต่เขาดูเป็ นปกติดีนะครับ At home he doesn’t act like this. อยู่ท่ีบ้านเขาไม่เป็ นอย่างนีน ้ ะคะ I have it on the video clip. ฉันมีภาพบางส่วนในวิดีโอคลิป Can you please give him a shot? คุณหมอช่วยฉีดยาให้เขาหน่อยได้ไหมคะ You think he needs to get a shot. คุณคิดว่าเขาต้องฉีดยำ I came first. ฉันมาก่อน I think he should get shot too. ฉันคิดว่าเขาควรโดนยิง เหมือนกัน get a shot. ฉีดยำ get shot ถูกยิง

What is wrong with your dog? สุนัขของคุณเป็ นอะไรครับ He is abnormal. เขาผิดปกติ He looks perfectly normal. เขาดูเป็ นปกติทุกอย่างเลย Normally, dogs walk forwards, โดยปกติ สุนัขเดินไปข้ำงหน้ำ But my dog walks backwards. แต่สุนัขของฉันเดินถอยหลัง Calm down. Sit and stay. ใจเย็นๆนัง่และอยู่น่ิงๆ I’ll see you soon. เดี๋ยวเจอกันนะครับ Boss! boss! เจ้านายครับเจ้านาย! I have to take a poo. ผมต้องไปอึ แล้ว Do you hear that sound? คุณได้ยินเสียงนัน ้ ไหม Calm down first. ใจเย็นๆก่อน I’m going to get you some water. ฉันจะไปเอาน้ำามาให้ I’m afraid of water. ฉันกลัวน้ำา She’s a lady that escaped. เธอเป็ นผู้หญิงท่ห ี นีออกมำ From the mental hospital. จาก โรงพยำบำลบ้ำ I’m following my girlfriend. ผมตามแฟนของผมมา She escaped from me. เธอหนีผมมา Take her away. พาเธอกลับไป I don’t have any rabbits. ฉันไม่มีกระต่าย I only have a dog. ฉันมีแค่หมาตัวเดียว

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 14: Say Hi – Number The batteries are dead. ถ่านหมด Calculator เคร่ ืองคิดเลข It doesn’t work. มันไม่ทำางาน How much is this? อันนีร้าคาเท่าไหร่ Eight hundred and eighty – eight. 888 Five hundred and sixty – seven. 567 Comma เคร่ ืองหมายจุลภาค Four thousand, Five hundred and sixty – seven. 4,567 Thirty - four thousand, five hundred and sixty – seven. 34,567 Two hundred and thirty - four thousand, five hundred and sixty – seven. 234,567 Million หน่ึงล้าน 1,234,567 One million, two hundred and thirty - four thousand, five hundred and sixty – seven Billion พันล้าน Chris Delivery Episode 14: Go Out – Book Fair 2007 Queen Sirikit National Convention Centre ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ ์ Directory board กระดานชีแ ้ จงข้อมูล Phone directory รายนามหมายเลขผู้ใช้โทรศัพท์

Boots รองเท้าบูธส์ Booth ซุ้ม Field trip ทัศนศึกษา Signature ลายเซ็น(เป็ นทางการ) Autograph ลายเซ็น(ไม่เป็ นทางการ) Can I have your autograph please? ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครับ Chris Delivery Episode 14: Speak Out – Application With Buo Huge Company Limited. บริษัท มหึมำ จำากัด Come in. เข้ามาได้ครับ Take a seat เชิญนั่งครับ Are you Miss Angelina pump? คุณแองเจลิน่า ปั ๊ม ใช่ไหมครับ Sorry sir, actually my name is Sarocha Tanjararak. ขอโทษค่ะท่าน จริงๆแล้วดิฉันช่ ือสโรชา ตันจรารักษ์ I thought you’re Angelina Pump. ผมคิดว่าคุณคือ แองเจลิน่า ปั ๊ม Because I’m waiting for her. เพราะผมกำาลังรอเธออยู่ And she’s not here yet. และเธอก็ยังไม่มา What can I do for you today? มีอะไรให้ผมช่วยครับ You should call me Mr.Wright. คุณควรเรียกผมว่าคุณไรท์ My name is Mrs.Angelina Pump.

ดิฉันช่ ือนาง แองเจลิน่า ปั ๊ม Are you married? คุณแต่งงานหรือยังครับ Ms. นางสาว Mrs. นาง You came late, คุณมาสาย, So I have to talk to her first. ดังนัน ้ ผมต้องคุยกับเธอก่อน What time is it? ก่ีโมงแล้ว It’s nine fiveteen [9.15] 9โมง 15 นาที ค่ะ A quarter to nine 8โมง 45 นาที A quarter past nine 9โมง 15 นาที You are half an hour late. คุณมาสายคร่ึงชั่วโมงครับ First come first serve มาก่อนได้ก่อน I called you yesterday, ดิฉันโทรหาคุณเม่ ือวานนี้ I made an apartment with you!!! ดิฉน ั สร้าง ห้องเช่ำ กับคุณ Do you live with her? คุณพักอยู่กับเธอหรือคะ I don’t have an apartment with her. ผมไม่ได้มีห้องเช่ากับเธอนะครับ Have an appointment. ได้นัดหมายไว้ What would you like to do? คุณต้องการทำาอะไรครับ

I would like to be your secretary. ดิฉน ั ต้องการเป็ น เลขำ ของคุณค่ะ I want to be your security!!! ดิฉน ั ต้องการเป็ น พนักงำนรักษำควำมปลอดภัย ของคุณ Security guard พนักงานรักษาความปลอดภัย Secretary เลขานุการ We have to fill in the application form. เราต้องกรอกแบบฟอร์มใบสมัคร Why is the application form very big? ทำาไมใบสมัครมันใหญ่จังค่ะ Are you ready to fill in the application form? คุณพร้อมท่ีจะกรอกใบสมัครแล้วใช่ไหม I’ve got a huge thing. ดิฉันมีส่ิงของท่ีใหญ่ด้วย You have to put your picture. คุณต้องติดรูปคุณก่อน Quick quick, no time! เร็วๆสิไม่มีเวลาแล้ว The picture is correct. รูปถูกต้องครับ Surname นามสกุล Sex เพศ Female ผู้หญิง Excellent ยอดเย่ียม Do you come from the future? คุณมาจากโลกอนาคตหรือครับ I didn’t come from Future Park Bangkae. ฉันไม่ได้มาจากฟิ วเจอร์พาร์ค บางแค

or Futer Park Rungsit. หรือ ฟิ วเจอร์พาร์ค รังสิต Put ใส่, วาง Buddhist ศาสนาพุทธ If there is an emergency ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน Who can I contact? ผมสามารถติดต่อใครได้บ้างครับ How many languages can you speak? คุณพูดได้ก่ีภาษาครับ 3 languages. สามภาษา You speak some Chiness too. คุณพูดภาษาจีนได้ด้วย A little bit. นิดหน่อยค่ะ What can you speak? คุณพูดภาษาอะไรบ้างครับ Copper ทองแดง Before I make my decision. ก่อนผมจะตัดสินใจ I would like you to please tell me a little bit about yourself. ผมต้องการให้คุณบอกผมเก่ียวกับตัวคุณ My name is Sarocha. ดิฉันช่ ือสโรชา I study at Thammasat University. ดิฉันกำาลังศึกษาอยู่ท่ีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Majoring in psychology. เรียนวิชาเอกจิตวิทยำ In the future I want to be a psychologist. ในอนาคตดิฉันอยากเป็ น นักจิตวิทยำ You want to help Thai people in psychology.

คุณต้องการช่วยคนไทยในเร่ ืองของจิตวิทยา What do you do in your free time? เวลาว่างคุณชอบทำาอะไร In my free time I like to read books. เวลาว่างดิฉันชอบอ่านหนังสือ Can you please tell me a little bit about yourself? ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมเก่ียวกับตัวคุณเอง My name is Angelina Pump. ฉันช่ ือ แองเจลิน่า ปั ๊ม I am my mother’s daughter!!! ฉันเป็ นลูกสาวของแม่ฉัน!!! And I am a sister of my brother!!! และฉันก็เป็ นพ่ส ี าวของน้องชายฉัน!!! Anything else. มีอย่างอ่ ืนอีกไหม A little bit นิดหน่อย Congratulations Khun Bua. ยินดีด้วยครับคุณบัว You can be my secretary. คุณมาเป็ นเลขาให้ผม Thank you I won’t let you down. ขอบคุณค่ะ ดิฉันจะไม่ทำำให้คุณผิดหวัง I want let you down too. ดิฉันอยากทำาให้คุณผิดหวังด้วย I have a new member in your team for you. ผมมีสมาชิกใหม่ให้ทีมคุณ She wants to be the security staff. เธอต้องการเป็ นพนักงานรักษาความปลอดภัย

กลับไปยังหน้าเดิม Chris Delivery Episode 15: Say Hi – The things you can say to Farang during Songkran Where are the aliens? พวกมนุษย์ต่างดาวอยู่ไหน What is Songkran? สงกรานต์คืออะไร It’s the Thai New Year. เป็ นวันปี ใหม่ไทย It’s a water festival. เป็ นเทศกาลการเล่นน้ำากัน When is Songkran? วันสงกรานต์คือช่วงเวลาใด It’s on the 13th – 15th of April. วันท่ี 13-15 เมษายน It’s the hottest month in Thailand. มันเป็ นเดือนท่ีร้อนท่ีสุดในประเทศไทย Please don’t throw water on me. กรุณาอย่าสาดน้ำามาท่ีตัวผมนะครับ Is it ok to throw water on you? จะโอเคไหมครับถ้าผมจะสาดน้ำาใส่คุณ Pay respects to the elderly. รดน้ำาดำาหัวผู้ใหญ่ Take advantage เอาเปรียบ Can I put some powder on you please? ขอปะแป้ งคุณหน่อยได้ไหมครับ Please don’t touch me. กรุณาอย่าจับผมครับ Chris Delivery Episode 15: Go Out – Motor Show visit Motor เคร่ ืองยนต์ Limited edition ผลิตมาจำานวนจำากัด Ride

ขับข่ี Pride ความภูมิใจ Classic car รถโบราณ Classic ยอดเย่ียมม, ดีเด่นทุกสมัย Pickup truck รถกระบะ PR girls สาวประชาสัมพันธ์ Public Relations ประชาสัมพันธ์ Saloon รถยนต์ 4 ประตู Salon ร้านทำาผม Park [P] จอด Reverse [R] ถอยหลัง Neutral [N] เกียร์ว่าง Drive [D] ขับ Drive safely ขับรถอย่างปลอดภัย Chris Delivery Episode 15: Speak Out – Songkran Road Trip with PK When did you get back to Thailand? นายมาถึงเมืองไทยตัง้แต่เม่ ือไหร่ I just came in last night. ฉันเพ่ิงมาถึงเม่ ือคืน Who’s the chick? หญิงสำว คนนีค ้ ือใคร

This is my girlfriend. น่ีคือแฟนของฉัน You have a very nice name. ช่ ือคุณเพราะมากครับ Where are we going today? เรากำาลังจะไปไหนกันวันนี้ Since it’s the Songkran festival, ในเม่ ือเป็ นวันสงกรานต์ We’re thinking of talking you to Chiang Mai. เราคิดว่าจะพานายไปเชียงใหม่ We’re going to your hometown. เรากำาลังจะไปบ้านเกิดของคุณ How are we going? เราจะไปกันอย่างไร My car broke down, it’s in the garage. รถฉันเสียอยู่ท่ีอู่ You can go by my car. นายไปรถฉันก็ได้ I have a very big and cool car. รถฉัน เจ๋ง และคันใหญ่มากด้วย Cool เย็น, เจ๋ว,เท่ I have a problem. ฉันมีปัญหา Can you be my navigator? นายเป็ น ผู้นำำทำง ให้ฉันหน่อยได้ไหม I don’t know how to go there. ฉันไม่รู้ว่าจะไปท่ีนั่นอย่างไร Which route do we have to take? เส้นทำงไหนท่ีเราต้องไป Let’s go straight. ตรงไปเลย I have another question. ฉันมีอีก 1 คำาถาม How long will it take to go to Chiang Mai?

นานแค่ไหนกว่าจะไปถึงเชียงใหม่ You can take your father, mother the whole family!!! คุณเอาพ่อ แม่ หรือครอบครัวทัง้หมดไปด้วยได้ It takes ten hours to go to Chiang Mai. ใช้เวลา 10 ชั่วโมงท่ีจะไปถึงเชียงใหม่ Shortcut ทางลัด Turn right!!! เลีย ้ วขวา Who farted? ใครตดเน่ีย Did you fart? นายตดหรือเปล่า You didn’t drive too fast. คุณขับไม่เร็วหรอก Fast รวดเร็ว Fart ผายลม I don’t understand. ผมไม่เข้าใจ What are you trying to say? คุณพยายามจะบอกอะไร You have to be careful of the opposing traffic. คุณต้องระวังรถท่ีกำาลังสวนมา Do you know how to fix the car? นายรู้ไหมว่าจะซ่อมรถอย่างไร I need some tools. ฉันต้องการ เคร่ ืองมือ The tools are at the back. เคร่ ืองมือทัง้หมดอยู่หลังรถ You can fix the car. คูณสามารถซ่อมรถได้ Open the skirt!!! เปิ ดกระโปรงซิ

What are you doing man? น่ีนายกำาลังทำาอะไรเน่ีย Wait, don’t misunderstand. เดี๋ยวก่อนอย่าเพ่ิงเข้าใจผิด Open the hood. เปิ ดกระโปรงรถ Hood [อเมริกา] Bonnet[อังกฤษ] กระโปรงรถยนต์

What’s wrong with the car? รถเป็ นอะไรไป We have a major problem. เรามีปัญหาใหญ่แล้ว I can’t fix it man. ฉันซ่อมไม่ได้ I have good news. ฉันมีข่าวดี I saw a gas station over there. ฉันเห็นปั ๊มน้ำามันอยู่ตรงนัน ้ I think we have to push the car. ฉันคิดว่าเราต้องเข็นรถกันล่ะ I’m gonna drive. ฉันจะเป็ นคนขับรถ You look for the cars นายคอยระวังรถ And you push. และคุณเป็ นคนเข็น Here we are. เราอยู่น่ีไง We are so lucky. เราโชคดีมาก Where do you come from? พวกคุณมาจากท่ีไหนกัน We come from Bangkok.

พวกเรามาจากกรุงเทพ Where are we? เราอยู่ท่ีไหนเน่ีย Why do you come to China? ทำาไมพวกคุณมาท่ีประเทศจีนล่ะ

กลับไปยังหน้าเดิม

Chris Delivery Episode 16 – Say Hi: เรียนภำษำอังกฤษจำกหนังเร่ อ ื ง Superman

คราวก่อนเราเคยพูดถึงการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการดูหนังไทยเปิ ด subtitle อังกฤษไปแล้ว มาคราวนีล ้ อง advance ขึ้นมาอีกหน่อยด้วยการดูหนังฝรั่งแต่เปิ ด subtitle อังกฤษดูบ้า ท่ีเราจะได้เข้าใจว่าประโยคท่ีเค้าพูดส่ ือสารกันในหนังนัน ้ ใช้คำากันยังไงบ้าง You’re bald. คุณหัวล้าน

Listen, what do you hear? ลองฟั งซิ คุณได้ยินเสียงอะไร Nothing. ไม่ได้ยน ิ อะไรเลย

Everyday I hear people crying foe one. ทุกๆวันผมได้ยน ิ ผู้คนร้องเรียกความช่วยเหลือ Chris Delivery Episode 16 - Go Out: โรงเรียนสอนภำษำหำได้ที่ B2S Bestseller ของขายดี เช่น หนังสือ, เพลง Cartoons ภาพการ์ตูน

Comics หนังสือการ์ตูน VCD Video Compact Disc DVD Digital Video Disc Museum พิพิธภัณฑ์ Ghost ผี

Goat แพะ

Horror Movie หนังผี Horror ความน่ากลัว

Science Fiction นิยายวิทยาศาสตร์ Science วิทยาศาสตร์

Fiction นิยาย (เร่ ืองแต่ง)

Chill Out การพักผ่อน, ทำาตัวสบายๆ Chill เย็น

Chris Delivery Episode 16 - Speak Out: The Band Reunion with โต๋ Get back together with my old band. กลับมารวมวงอีกครัง้ Let’s hear it for Mr. Tor. ขอเสียงให้กับคุณโต๋หน่อยครับ Long time no see. ไม่เจอกันตัง้นาน

We used to play in the same band. เราเคยเล่นดนตรีในวงดนตรีเดียวกัน Where is the bass player? มือเบสอยูไ่ หนล่ะ

You practice your song first. คุณซ้อมเพลงก่อนแล้วกัน

Do you see the incense sticks over there? คุณเห็นธูปตรงนู้นไหม Is this your girlfriend? น่ีแฟนคุณหรือ

What can we do for you? มีอะไรให้เราช่วยไหมครับ

I’m going to be your bass player. ฉันจะมาเป็ นมือเบสให้คุณ We already have a bass player. พวกเรามีมือเบสแล้ว He can’t come today. วันนีเ้ขามาไม่ได้

He’s got some problems. เขามีปัญหาบางอย่าง Bite กัด

Nail เล็บ

You have to come to audition first. คุณต้องมาทดสอบเพ่ ือคัดเลือกก่อน

I came here by an air-conditioned bus. ฉันมาท่ีน่ีโดยรถประจำาทางปรับอากาศ audition ทดสอบเพ่ ือคัดเลือกนักดนตรี, นักแสดง

Let’s give her a chance. ให้โอกาสเธอสักครัง้

I can play many musical instruments. ฉันเล่นเคร่ อ ื งดนตรีได้หลายอย่าง

First example. ตัวอย่างแรก

I can blow my mouth. ฉันเป่ าปากได้ >> เป็ นประโยคท่ีผิด Whistle ผิวปาก

What can you play? คุณเล่นอะไรได้บา้ ง

I can play Thai musical instruments. ฉันเล่นเคร่ ืองดนตรีไทยได้ด้วย This song sounds familiar. เพลงนีฟ ้ ั งคุ้นๆนะครับ

Are you copying his song? คุณกำาลังลอกเพลงเขาหรือเปล่า He copied my song. เขาลอกเพลงของฉัน

We don’t have enough time. เรามีเวลาไม่พอแล้ว We’re running late. เราเร่ิมจะสายแล้ว

We have a dress rehearsal today. วันนีพ ้ วกเรามีการซ้อมใหญ่

dress rehearsal การซ้อมใหญ่ (ใช้สำาหรับการซ้อมดนตรี, ละคร, การแสดง) rehearsal การฝึ กซ้อม (ใช้สำาหรับการซ้อมดนตรี, ละคร, การแสดง) Welcome to the band. ขอต้อนรับเข้าสู่วงดนตรีของเรา Song: When You Say Nothing At All It’s amazing how you can speak right to my heart. น่าประทับใจท่เี ธอสามารถพูดได้ถึงกลางใจฉัน Without saying a word, ไม่ตอ ้ งพูดอะไรเลย

You can light up the dark. เธอก็สามารถทำาให้เกิดแสงสว่างในความมืดได้

Try as I may. I could never explain, ขนาดฉันได้ลองพยายามแล้ว ก็ยงั อธิบายไม่ได้ว่า What I hear when you don’t say a thing. ฉันได้ยินอะไรบ้างตอนท่ีเธอไม่พูดอะไร The smile on your face รอยยิม ้ บนใบหน้าของเธอ

Lets me know that you need me. ทำาให้ฉันรู้ได้เลยว่า เธอต้องการฉันจริงๆ There’s a truth in your eyes, แล้วความจริงจากดวงตาของเธอ Saying you’ll never leave me. บอกว่าเธอจะไม่มวี ันทิง้ฉันไป The touch of your hand สัมผัสจากมือของเธอ

Says you’ll catch me whenever I fall. บอกกับฉันว่าเธอจะคอยจับฉันไว้ตอนท่ีฉน ั ลืม

You say it best, when you say nothing at all. เธอพูดทุกอย่างได้ดีท่ีสุด เม่ อ ื ตอนท่ีเธอไม่พูดอะไรเลย All day long I can hear people talking out loud. ตลอดทัง้วันฉันได้ยินคนพูดกันมากมาย But when you hold me near, แต่เม่ ือเธอกอดฉันไว้

You can drown out the crowd. เธอทำาให้คนรอบๆข้างหายไป

Try as they may, they could never define, ถึงคนเขาจะพยายามกันแค่ไหน เขาก็อธิบายไม่ได้

What’s been said between your heart and mine. ว่าเราพูดอะไรกันระหว่างใจของเธอกับฉัน The smile on your face รอยยิม ้ บนใบหน้าของเธอ

Lets me know that you need me. ทำาให้ฉันรู้ได้เลยว่า เธอต้องการฉันจริงๆ There’s a truth in your eyes, แล้วความจริงจากดวงตาของเธอ Saying you’ll never leave me. บอกว่าเธอจะไม่มวี ันทิง้ฉันไป The touch of your hand. สัมผัสจากมือของเธอ

Says you’ll catch me whenever I fall. บอกกับฉันว่าเธอจะคอยจับฉันไว้ตอนท่ีฉน ั ล้ม

You say it best, when you say nothing at all เธอพูดทุกอย่างได้ดีท่ีสุด เม่ ือตอนท่ีเธอไม่พูดอะไรเลย

American and British English Usage หมายเหตุ ข้อมูลนีแ ้ ปลเรียบเรียงจาก www.scit.wlv.ac.uk/~jphb/american.html คำำชีแ ้ จง ส่วนที่ 1 ในส่วนนีเ้ป็ นเร่ ืองของความแตกต่างในการใช้ตัวสะกดคำา คำาท่ีมีเคร่ ืองหมายดอกจันหมายถึงการออกเสียง ก็แตกต่างกันด้วย คำาท่ีมีคร่ ืองหมายบวกหมายความว่าเป็ นการใช้ในอังกฤษเท่านัน ้ และไม่เป็ นท่ีรู้จัก ในสหรัฐอเมริกา American

British

aluminum * analog anesthesia archeology

aluminium analogue anaesthesia archaeology

boro

borough

bylaw

bye law

catalog center color defense dialog

catalogue + centre colour defence dialogue +

donut

doughnut

draft encyclopedia favorite gray gynecology honor humor jewelry license maneuver meter mold mustache nite omelet pajamas US practice program story sulfur thru tire vise

draught encyclopaedia favourite grey + gynaecology honour humour jewellery licence manoeuvre metre mould moustache + night omelette + pyjamas practise programme storey sulphur + through + tyre vice

หมำยเห อลูมิเนียม การเก็บและแสดงข้อมูลในลักษณะต่อเน่ ือง ตรงข้ามกับ การสลบ โบราณคดี "boro" เป็ นคำาท่ีใช้อย่างไม่เป็ นทางการ ในสก็อตแลนด์ใช้ "borough" แต่ไม่ใช่ "berg". กฏหมายท้องถ่ิน กฏหมายรอง หรือกฏระเบียบท่ีองค์การส ปฏิบัติเป็ นการภายใน แคตาล็อก ศูนย์กลาง สี การป้ องกัน บทสนทนา "donut" ใช้ในอังกฤษอย่างไม่เป็ นทางการอย่างแพร่หลาย มีกำาเนิดจากอเมริกัน. การดึง ดูด สูดดม การด่ ืมยา การไขน้ำาจากถัง การถอนเงิน สารานุกรม ของโปรด สีเทา นรีเวช เกียรติยศ อารมณ์ขัน ของประดับมีค่าเช่นแหวน สร้อย British usage ใช้ license การฝึ กซ้อมของทหาร ขัน ้ ตอน กระบวนการของการทำางา หน่วยวัดความยาว เป็ นเมตร ดินร่วน ซากไม้ผุพัง ขึ้นรา แม่พิมพ์แบบ หนวด "nite" ใช้อย่างไม่เป็ นทางการทัง้อังกฤษและอเมริกัน ไข่เจียว ชุดนอน อังกฤษใช้ "practise"สำาหรับคำากริยาและ อังกฤษใช้"program" สำาหรับคอมพิวเตอร์ และ ชัน ้ ของอาคาร ปั จจุบันอังกฤษใช้ sulfur thru ไม่ค่อยใช้ในสหรัฐแล้ว ยางรถยนต์ เคร่ ืองมือ

ส่วนที่ 2 เป็ นการใช้คำาท่ีต่างกัน คำาท่ีมีเคร่ ืองหมายดอกจันหมายถึงคำาท่ีไม่เป็ นท่ีคุ้นเคยสำาหรับคนท่ีใช้ British English American /canadian airplane * AM antenna apartment apartment house/building appetizer area code attorney automated teller machine (ATM) baby carriage baking soda ball-point pen bar bathrobe bathroom bathtub

British aeroplane Medium Wave aerial flat block of flats starter, hors d'oeuvre dialling code lawyer cashpoint pram, perambulator bicarbonate of soda Biro pub, public house dressing gown toilet bath

beer

lager

bell pepper * bill billion biscuit Brit bun

red pepper, green pepper note thousand million scone Briton bap, roll

bus

coach

busy signal cafeteria candy carousel cart cell phone, cellular phone check checkers checking account chief executive officer (CEO) chips

engaged tone canteen sweet merry-go-round trolley mobile phone cheque draughts current account managing director (MD) crisps

city

town

closet

fitted wardrobe

coach

economy

collect call *

reverse charge call

condominium, condo *

block of flats

หมำยเห เคร่ ืองบิน ระบบการกระจายเสียงวิทยุโดยใช้ เสาอากาศ อพาร์ทเม้นต์ อพาร์ทเม้นต์ในลักษณะท่ีเป็ นอาคาร อาหารเรียกน้ำาย่อย เลขรหัสโทรศัพท์ ทนายความ เคร่ ืองกดเงิน ATM รถเข็นเด็ก Sodium bicarbonate ใชในการประกอบอาหาร คำานีใ้นอังกฤษมีท่ีมาจาก ผู้ท่ีคิดค้นชาวฮังกาเรียนช่ ือ ร้านจำาหน่ายเคร่ ืองด่ ืม เส้ือคลุมอาบน้ำา ห้องน้ำา โดยเฉพาะอย่างย่ิงภายในบ้าน อ่างอาบน้ำา คำาว่า beer ใน British English ส่วนคำาว่า lager เป็ นเบียร์ซ่ึงกลัน ่ โดยหมักอุณหภูมิต่ำา มีอ พริกหวานขนาดใหญ่ ซ่ ึงมีทัง้สีเขียว เหลือง และแดง ธนบัตร พันล้าน ขนมปั งกรอบ คนอังกฤษ ขนมปั งก้อนใช้ทำาแฮมเบอร์เกอร์ ในอังกฤษ coach เป็ นรถโดยสารระหว่างเมือง มีขัน ้ เดียว เหมือนกันเป็ นรถโดยสาร ไม่ว่าง ( โทรศัพท์ ) ห้องอาหาร ลูกกวาด ม้าหมุน รถเข็นของช้อปปิ ้ ง โทรศัพท์มีอถีอ บางท่ีเรียก เช็ค หมากรุก บัญชีกระแสรายวัน บัญชีเดินสะพัด กรรมการผู้จัดการบริษัท มันผรัง่ทอดบางๆ กินเป็ นของว่าง เมือง ในการใช้แบบอเมริกัน แม้จะมีประชากรไม่ก่ีร้อย แตในการใช้แบบ หรือ royal warrant ประกาศว่านัน ่ คือ ตู้เส้ือผ้าขนาดใหญ่สร้างถาวรขนาดเดิน เข้าไปได้ ท่ีนัง่ผู้โดยสารชัน ้ ประหยัดบนรถไฟหรือเคร่ ืองบิน ใน ชัน ้ เดียวท่ีไม่ใช่รถโดยสารประจำาทาง โทรศัพท์เก็บเงินปลายทาง อาคารท่ีพักอาศัย British English

condominium, condo *

block of flats

cookie cooler corn starch crackers crosswalk daylight saving(s) time dead end deck desk clerk detour diaper * differ... than diner

biscuit (sweet) cool box corn flour biscuits pedestrian crossing (British) summer time cul-de-sac pack receptionist diversion nappy differ... from café

discount

concession

district attorney downtown drapes * dresser driver's license US, driver's permit Can drug store editorial electrician's tape elementary school elevator

public prosecutor town centre curtains chest of drawers, dressing table driving licence pharmacy, chemists leader insulating tape primary school lift

England

United Kingdom

entree eraser exit expressway Exxon eyeglasses fair fall faucet * feminine napkin first floor flashlight football

main course rubber junction main road Esso spectacles, specs show autumn tap sanitary towel ground floor torch American football

freeway

motorway

french fries garbage, trash garbage can gas girl scouts US golden raisin US

chips rubbish, refuse dustbin petrol girl guides sultana

ท่ีครอบครองโดย 2 ประเทศ ห้องพัก. แต่ "condominium" คุ๊กกี้ กล่องบุเก็บความเย็น แป้ งข้าวโพด ขนมปั งกรอบ ใน British English ทางข้ามม้าลาย ใน AE "summer time" ทางตัน ไม่มีทางไปหรืออาจมีวงเวียนให้กลับรถ ไพ่ โต๊ะรีเซปชัน ่ เช่นในโรงแรม ทางเบ่ียง ผ้าอ้อมเด็ก แตกต่างจาก ห้องอาหารท่ีมักจะมีเคาน์เตอร์ยาวให้นัง่เหมือนห้องอาหาร ลดราคาสำาหรับค่าดูหนัง ละคร สำาหรับนักศึกษาหรือผู้สูงอ แจ้งราคาจริง และราคา concession อัยการ ย่านศูนย์กลางธุรกิจ ผ้าม่าน โต๊ะแต่งหน้าของผู้หญิง ใบอนุญาตขับข่ี ร้านขายยาและขายผลิตภัณฑ์ส่วนตัวด้วย เช่น สบู่ ยาสีฟัน บทบรรณาธิการ เทปพันสายไฟ โรงเรียนประถม ลิฟท์ ประเทศสหราชอาณาจักร ซ่ ึงคนอเมริกันมักจะเรียก สก็อตแลนด์ และนอร์ธเทิร์นไอร์แลนด์ ใน British Enlish "entree" ยางลบ ทางออกของถนน แต่ถ้าทางออกภายในตึกใช้ ถนนซ่ ึงรถใช้ความเร็ว บริษัทขายน้ำามัน ปั จจุบันช่ ือ แว่นตา ปกติใช้ "glasses" งานออกร้าน ฤดุใบไม้ร่วง ก๊อกน้ำา ผ้าอนามัย ชัน ้ แรกของตึกท่ีอยู่ติดพ้ืน ไฟฉาย ฟุตบอลอเมริกัน ทางด่วนท่ีรถใช้ความเร็วและจำากัดทางเข้า อเมริกันใช้ "causeway", "express way", "parkway" "freeway" ในความหมายถึงถนนท่ีต้องเสียค่าผ่านทาง มันฝรัง่ทอด. ขยะ ถังขยะ น้ำามันเช้ือเพลิงรถยนต์ . British เนตรนารี ลูกเกด

ground ground high school hog hood incorporated industrial park installment plan intersection intermission interstate *US Inuit janitor * jack Jell-o john kindergarten Kleenex last name license plate / license tag line * liquor liquor store lobby locker room low fat milk lumber lunch pail M&M mail mall mass transit Master Card master of ceremonies mean meat grinder mobile home mortician * movies movie theater native americans oh operating room overpass pantihose/pantyhose

สายดินของอุปกรณ์ไฟฟ้ า เน้ือบด โรงเรียนระดับมัธยมระบบการศึกษาสำาหรับเด็กอายุต่ำากว่า กล่าวคือจากอายุ 5 ถึง 11 secondary school "reception". จาก 11 ถึง ในอังกฤษหมายถึงโรงเรียนสำาหรับเด็กหญิง pig หมู ชาวนาอังกฤษเรียก "hog" bonnet ผ้าคลุมศรีษะซ่ ึงมักจะมีท่ีผูกใต้คาง limited บริษัท industrial estate ย่านอุตสาหกรรมและการค้า hire purchase เช่าซ้ือ cross roads ส่ีแยก interval การหยุดพักระหว่างการแสดงหรือภาพยนตร์ main road, major road, trunk road ถนนเช่ ือมเมืองต่างๆ Eskimo ชาวเเอสกิโม caretaker ภารโรง คนทำาความสะอาด socket Connector ( ช่องเสียบสาย jelly เยลล่ี ( ของหวาน ) toilet ห้องน้ำา nursery โรงเรียนอนุบาล tissues กระดาษชำาระ surname นามสกุล number plate ป้ ายทะเบียนรถ queue เข้าคิว spirits เหล้า เคร่ ืองด่ ืมอัลกอฮอล์ รวมวิสกี ย ้ ินวอดก้า off licence ร้านขายเหล้า foyer ห้องโถงด้านหน้าของโรงแรม โรงมหรสพ changing room ห้องเก็บของ เปล่ียนเส้ือผ้าโดยเฉพาะสำาหรับนักกีฬา semi skimmed milk นมพร่องมันเนย ใน American English timber เม่ ือตัดเป็ นท่อนๆแล้วเรียก lunch box กล่องอาหารกลางวัน ลูกกวาดใส้ชอคโคแลตเคลือบน้ำาตาลสีต่างๆ อเมริกันมีลูกก Smarties เป็ นชอคโคแลต ทัง้สองคำาเป็ นช่ ือเฉพาะ post โดยทางไปรษณีย์ shopping centre ศูนย์การค้า public transport การขนส่งมวลชน Access บริษัทเครดิตการ์ด compere พิธีกร bad tempered ใจร้าย ใน British English "mean" mincer ท่ีบดเน้ือ caravan บ้านเคล่ ือนท่ี ( รถพ่วง ) undertaker สัปเหร่อ films ภาพยนต์ cinema โรงภาพยนต์ american indians ชนพ้ืนเมืองอเมริกัน ( เผ่าอินเดียนแดง แต้ม ศูนย์ ใช้ในการรายงานคะแนนกีฬา nil แต่ British English จะพูด operating theatre ห้องผ่าตัด flyover ทางรถยนตร์ลอยข้ามถนน tights ถุงน่องสตรี ใน American English earth minced

pants paraffin parking lot penny period plastic wrap powdered sugar US pre-natal preserves private school public school railroad rent restroom résumé robe round trip US run running shoes sales clerk sales tax sanitary napkin schedule Scotch Tape second floor sedan shoestring Obs shrimp sidewalk silverware sneakers soccer soda store stove

trousers wax car park cent full stop clingfilm icing sugar ante-natal jam, marmalade public school state school railway hire toilet curriculum vitae (CV) dressing gown return ladder trainers shop assistant VAT sanitary towel timetable Sellotape first floor saloon bootlace, shoelace + prawn pavement or footpath cutlery trainers football soft drink shop cooker, oven

streetcar

tram

stroller subway teller thread townhouse * trailer, trailer home train station transit truck trunk tub

push chair, baby buggy underground railway cashier cotton terrace house caravan railway station public transport lorry boot bath

กางเกง ใน British English ขีผ ้ ึ้ง ท่ีจอดรถ เหรียญ 1 เซ็นต์ จุด . ท้ายประโยค พลาสติกใสสำาหรับหุ้มห่ออาหาร นำา้ตาลป่ นไอซ่ิง ก่อนคลอด แยมทาขนมปั ง เช่นแยมสตรอเบอร่ี โรงเรียนเอกชนท่ีต้องเสียค่าใช้จ่าย

ทางรถไฟ เช่ารถ ห้องน้ำา เอกสารประวัติผลงานบุคคลเพ่ ือสมัครงาน เส้ือคลุม ตัว๋ไป-กลับ รอยขาดท่ีถุงน่อง รองเท้าสำาหรับว่ิง พนักงานขายของ ภาษีมูลค่าเพ่ิม ผ้าอนามัย ตารางกำาหนดการ เทปเหนียวใส ชัน ้ ท่ีสองของตึกใน British รถเก๋ง 2 หรือ 4 ประตู เชือกผูกรองเท้า กุ้ง สำาหรับ BE "shrimps" ทางเดินเท้า มีด ช้อน ส้อม รองเท้าว่ิง ฟุตบอล น้ำา้อัดลม. ร้านขายของ. เตาทำาอาหาร อเมริกันใช้ "streetcar", "tramway" and "trolley" สาธารณะท่ีไม่ได้ใช้กำาลังจากการเผาไหม้ภายในเคร่ ืองยนต 1. cable car รถลากด้วยสายเคเบิล 2. tram รถท่ีว่ิงบนราง เป็ นรถใช้ไฟฟ้ า 3. trolley bus รถบัสท่ีใช้ไฟฟ้ า รถเข็นเด็ก รถขนส่งมวลชนใต้ดิน พนักงานเก็บเงินในธนาคาร ร้านค้า ด้ายเย็บผ้า ทาวน์เฮา รถพ่วงท่ีทำาเป็ นบ้าน สถานีรถไฟ การขนส่งในการเดินทาง รถบันทุก ท่ีเก็บของ ( กระโปรง )ท้ายรถ อ่างอาบน้ำา

turtle neck tuxedo two weeks undershirt vacation washroom welfare windshield yard zip code US

polo neck dinner jacket fortnight vest holiday toilet benefit windscreen garden post code

เส้ือคอกลมติดคอมีปกตลบลงมา ชุดทักซิโด 14 วัน เส้ือกัก ๊ ชัน ้ ใน วันหยุด ห้องน้ำา สวัสดิการสังคม กระจกหน้ารถยนต์ พ้ืนท่ีสวน ลาน รอบอาคาร รหัสไปรษณีย์

นสหรัฐอเมริกา หมำยเหตุ

ะแสดงข้อมูลในลักษณะต่อเน่ ือง ตรงข้ามกับ digital ซ่ ึงเป็ นการเก็บเป็ นตัวเลข

นคำาท่ีใช้อย่างไม่เป็ นทางการ ในสก็อตแลนด์ใช้ "burgh" ออกเสียง "burr" หรือ " แต่ไม่ใช่ "berg". องถ่ิน กฏหมายรอง หรือกฏระเบียบท่ีองค์การสาธารณะหรือเอกชนออกมา การภายใน



ช้ในอังกฤษอย่างไม่เป็ นทางการอย่างแพร่หลายเพ่ ือแสดงว่าโดนัท กอเมริกัน. สูดดม การด่ ืมยา การไขน้ำาจากถัง การถอนเงิน กระแสลม

มีค่าเช่นแหวน สร้อย age ใช้ license เป็ นคำากริยา และ licence เป็ นคำานาม มของทหาร ขัน ้ ตอน กระบวนการของการทำางาน วามยาว เป็ นเมตร กไม้ผุพัง ขึ้นรา แม่พิมพ์แบบ

ย่างไม่เป็ นทางการทัง้อังกฤษและอเมริกัน

"practise"สำาหรับคำากริยาและ"practice" สำาหรับคำานาม program" สำาหรับคอมพิวเตอร์ และ"programme" สำาหรับรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ าร กฤษใช้ sulfur เป็ นคำาทางการ ยใช้ในสหรัฐแล้ว

หมำยเหตุ

ระจายเสียงวิทยุโดยใช้ amplitude modulation ท่ีคล่ ืนความถ่ี 555 - 1600 kHz.

ต์ ต์ในลักษณะท่ีเป็ นอาคาร American English ใช้ condoninium ในความหมายเดียวกัน กน้ำาย่อย รศัพท์

น ATM

icarbonate ใชในการประกอบอาหาร ฤษมีท่ีมาจาก ผู้ท่ีคิดค้นชาวฮังกาเรียนช่ ือ Laszlo Jozsef Biro ในช่วงปี 1940's. ยเคร่ ืองด่ ืม บน้ำา ดยเฉพาะอย่างย่ิงภายในบ้าน .

ใน British English หมายถึงเคร่ ืองด่ ืมอัลกอฮอล์อ่อนๆ เลิร์ฟในอุณหภูมิท่ีไม่เย็นนัก. ager เป็ นเบียร์ซ่งึ กลัน ่ โดยหมักอุณหภูมิต่ำา มีอล ั กอฮอล์ออ ่ นและสีของน้ำาใส, ขนาดใหญ่ ซ่ึงมีทัง้สีเขียว เหลือง และแดง

อบ

นใช้ทำาแฮมเบอร์เกอร์ coach เป็ นรถโดยสารระหว่างเมือง มีขัน ้ เดียว รถโดยสารในเมืองเรียก bus ป็ นรถโดยสาร 2 ชัน ้ รศัพท์ )

ช้อปปิ ้ ง อถีอ บางท่ีเรียก"the mobile" ในอังกฤษ

สรายวัน บัญชีเดินสะพัด จัดการบริษัท ดบางๆ กินเป็ นของว่าง ารใช้แบบอเมริกัน "city" หมายถึงพ้ืนท่ีซ่ึงอยู่ในรูปของรัฐบาลท้องถ่ินอย่างใดอย่างหน่ ึง ชากรไม่ก่ีร้อย แตในการใช้แบบ British English ชุมชนนัน ้ จะเป็ น city ก็ต่อเม่ ือมีโบสถ์ warrant ประกาศว่านัน ่ คือ city. าดใหญ่สร้างถาวรขนาดเดิน เข้าไปได้ สารชัน ้ ประหยัดบนรถไฟหรือเคร่ ืองบิน ใน British English คำาว่า"coach" คือรถโดยสาร ม่ใช่รถโดยสารประจำาทาง บเงินปลายทาง อาศัย British English คำาว่า "condominium" หมายถึงอาณาเขต ( territory)

องโดย 2 ประเทศ British English ไม่แยกความแตกต่างระหว่างเช่ากับเป็ นเจ้าของ ต่ "condominium" หมายถึงเป็ นเจ้าของมากกว่าเช่า

ความเย็น ด อบ ใน British English คำาว่า "cracker" หมายถึงขนมปั งกรอบบางชนิดท่ีกินกับชีส ลาย ummer time" หมายถึงระยะเวลาในช่วง summer. มีทางไปหรืออาจมีวงเวียนให้กลับรถ

น เช่นในโรงแรม

ก ท่ีมักจะมีเคาน์เตอร์ยาวให้นัง่เหมือนห้องอาหารในรถไฟ หรับค่าดูหนัง ละคร สำาหรับนักศึกษาหรือผู้สูงอายุเป็ นต้น หรือในการโฆษณาลดราคามักจะ ง และราคา concession ไว้ด้วย ส่วนการใช้ในโอกาสอ่ ืนๆจะเหมือนกัน.

ลางธุรกิจ

าของผู้หญิง ขับข่ี และขายผลิตภัณฑ์ส่วนตัวด้วย เช่น สบู่ ยาสีฟันเป็ นต้น. ธิการ ยไฟ ะถม

ราชอาณาจักร ซ่ึงคนอเมริกันมักจะเรียก England เม่ ือหมายถึง อังกฤษ เวลส์ ด์ และนอร์ธเทิร์นไอร์แลนด์ h Enlish "entree" หมายถึงอาหารคอร์สแรกหรือ ออร์เดิรฟ.

งถนน แต่ถ้าทางออกภายในตึกใช้ exit เหมือนกัน ใช้ความเร็ว น้ำามัน ปั จจุบันช่ ือ ExxonMobil. ติใช้ "glasses" ทัง้ American และ British น ง

งตึกท่ีอยู่ติดพ้ืน first floor ของ British จึงหมายถึง second floor ของ American

มริกัน ถใช้ความเร็วและจำากัดทางเข้า อเมริกันใช้ "freeway", "highway", "beltway", ay", "express way", "parkway" ในความหมายท่ีไม่ต่างกัน British English ใช้ . ในความหมายถึงถนนท่ีต้องเสียค่าผ่านทาง ด.

พลิงรถยนต์ . British ใช้คำาว่า"gas" ในความหมายของแกสท่ีเป็ นเปลวไฟ เข่นแกสหุงต้ม.

อุปกรณ์ไฟฟ้ า

ดับมัธยมระบบการศึกษาสำาหรับเด็กอายุต่ำากว่า 18 ของอังกฤษแตกต่างจากของสหรัฐ กอายุ 5 ถึง 11 ปี เด็กจะเข้าเรียนในระดับประถม (primary school) เร่ิมจากชัน ้ ท่ีเรียกว่า n". จาก 11 ถึง 18 จะเข้าเรียนระดับมัธยม ( secondary school) คำาว่า "high school" หมายถึงโรงเรียนสำาหรับเด็กหญิง, และ "grammar school"สำาหรับเด็กชาย อังกฤษเรียก "hog" หมายถึงหมูตัวผูแ ้ ละ "sow" หมายถึงหมูตวั เมีย , ษะซ่ ึงมักจะมีท่ีผูกใต้คาง

หกรรมและการค้า

กระหว่างการแสดงหรือภาพยนตร์ มืองต่างๆ ม ทำาความสะอาด r ( ช่องเสียบสาย ) ของโทรศัพท์ งหวาน )

นุบาล ระ

นรถ

งด่ ืมอัลกอฮอล์ รวมวิสกี ย ้ ินวอดก้า ล้า นหน้าของโรงแรม โรงมหรสพ ง เปล่ียนเส้ือผ้าโดยเฉพาะสำาหรับนักกีฬา นเนย can English คำาว่า timber หมายถึงต้นไม้ท่ียังไม่ได้ตัดลงมาเป็ นท่อนเพ่ ือการค้า ท่อนๆแล้วเรียก lumber ส่วน. British English ใช้ "timber" ในทัง้ 2 ความหมาย รกลางวัน ชอคโคแลตเคลือบน้ำาตาลสีต่างๆ อเมริกันมีลูกกวาดท่ีเรียก Smarties แต่ไม่มีใส้ แลต ทัง้สองคำาเป็ นช่ ือเฉพาะ รษณีย์

วลชน ตการ์ด

น British English "mean" หมายถึงขีเ้หนียว

นท่ี ( รถพ่วง )

ต์ งอเมริกัน ( เผ่าอินเดียนแดง ) ใช้ในการรายงานคะแนนกีฬา American English จะพูด "two-oh" หรือ"two to nothing", English จะพูด "two-nil" สำาหรับคะแนน 2-0.

ร์ลอยข้ามถนน รี ใน American English คำาว่า pantihose หมายถึงถุงน่องใสๆ และ tights ไม่ใส

น British English คำาว่า "pants" หมายถึงชุดชัน ้ ใน

ซ็นต์ ระโยค สสำาหรับหุ้มห่ออาหาร อซ่ิง

มปั ง เช่นแยมสตรอเบอร่ี กชนท่ีต้องเสียค่าใช้จ่าย

ะวัติผลงานบุคคลเพ่ ือสมัครงาน AE บางครัง้ใช้ "curriculum vitae" ในเร่ ืองวิชาการ

งน่อง หรับว่ิง ายของ พ่ิม

นดการ ใส องตึกใน British ชัน ้ ของตึกท่ีติดดินเรียก ground floor ชัน ้ เหนือขึ้นไปจึงเป็ น first floor รือ 4 ประตู งเท้า บ BE "shrimps" ใหญ่กว่า "prawns"

อม

ง. ร "streetcar", "tramway" and "trolley"อย่างใดอย่างหน่ ึง แทนกันได้สำาหรับ ยานพาหนะ ท่ีไม่ได้ใช้กำาลังจากการเผาไหม้ภายในเคร่ ืองยนต์ แต่อังกฤษมีการใช้ต่างกัน car รถลากด้วยสายเคเบิล ถท่ีว่ิงบนราง เป็ นรถใช้ไฟฟ้ า bus รถบัสท่ีใช้ไฟฟ้ า.

วลชนใต้ดิน ก็บเงินในธนาคาร ร้านค้า .

เป็ นบ้าน

นการเดินทาง กระโปรง )ท้ายรถ

มติดคอมีปกตลบลงมา



งคม รถยนต์ ลาน รอบอาคาร ณีย์

Present Simple Tense Present Simple Tense โครงสร้ำง : Subject + Verb 1 + (Object) หลักกำรใช้ 1. ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเป็ นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ท่ีเป็ นไปตามธรรมชาติ เช่น The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก) The cat has four legs. (แมวมีส่ีขา) 2. ใช้แสดงถึงการกระทำาท่ีเป็ นปรกตินิสัย หรือการกระทำานัน ้ เกิดขึ้นเป็ นประจำา มี Adverb of Frequency แสดง I have my breakfast everyday. (ผมรับประทานอาหารเช้าทุกวัน) Everybody wears thick clothes in winter. ( ทุกๆ คนสวมเส้ือหนาๆ ในฤดูหนาว) We go to temple every Sunday. ( พวกเราไปวัดทุกๆ วันอาทิตย์) 3. ใช้แสดงถึงการกระทำาท่ีเกิดขึ้นในปั จจุบัน หรือสภาพท่ีเป็ นปั จจุบัน เช่น She understands what you say. (เธอเข้าใจท่ีคุณพูด) I have four notebooks in the suitcase. ( ฉันมีสมุด 4 เล่มอยู่ในกระเป๋ า) 4. ใช้แสดงถึงการกระทำาในอนาคต ซ่ ึงตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ The next semester begins in two weeks. ( อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิ ดเทอมหน้า) He sets sail on Saturday for Samui. (เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์) หมำยเหตุ* อย่าลืมนะว่าถ้าประธานเป็ นเอกพจน์ กริยาต้องเติม S ห้ามลืมกฎข้อนีเ้ด็ดขาดนะ!!!

Present Continuous Tense โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object ) หลักกำรใช้ 1. เม่ ือการกระทำาดำาเนินอยู่ในปั จจุบัน (ขณะพูด) และต่อเน่ ืองมาถึงบัดนัน ้ และจบในอนาคต เช่น My uncle is listening to the radio.(ลุงของผมกำาลังฟั งวิทยุ) What is he doing? (เขากำาลังทำาอะไรเหรอ?)

2. การกระทำาท่ีเกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นขณะนัน ้ จริง เช่น More and more people are using Internet. (ผู้คนเร่ิมเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้นทุกที) Accidents are happening more and more frequently. ( อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น) 3. แสดงเหตุการณ์ในอนาคต เกิดขึ้นแน่นอน เช่น We are planning to go to the beach next week. (พวกเราวางแผนจะไปเท่ียวทะเลอาทิตย์หน้า) She is going abroad next Tuesday. (หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า) 4. ถ้าประโยคเช่ ือมด้วย and ( 2 ประโยค) ให้ตัด Verb to be ท่ีอยู่หลัง and ออก เช่น My father is smoking a cigarette and watching television. ( คุณพ่อของฉันกำาลังสูบบุหร่ีและดูโทรทัศน *กริยาท่ีนำามาใช้ใน Tense นีไ้ม่ได้!!!* 1. กริยาท่ีเก่ียวกับประสาทสัมผัสทัง้ห้า เช่น I see the beautiful mountain.(ฉันดูภูเขาอันงดงาม) ไม่ใช้ I am seeing the beautiful mountain. 2. กริยาท่ีแสดงถึงภาวะของจิต, แสดงความรู้สึก, ความผูกพัน ไม่นิยมนำามาใช้ เช่น I know him very well (ผมรู้จักเขาดี) อย่าใช้ : I am knowing him very well.

He believes that taxes are too high.(เขาเช่ ือว่าภาษีแพงเกินไป) อย่าใช้ : He is believing that taxes are too high หลักกำรเติม -ing 1). กริยาท่ีลงท้ายด้วย E ให้ตัด E ทิง้ แล้วเติม -ing 2). กริยาท่ีลงท้ายด้วย EE ให้เติม -ing ได้เลย 3). กริยาท่ีลงท้ายด้วย IE ให้เปล่ียนเป็ น Y ก่อน แล้วเติม -ing 4). กริยาท่ีมีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว พยางค์เดียว เพ่ิมตัวสะกดอีกตัวหน่ ึง แล้วเติม -ing 5). กริยาท่ีมี 2 พยางค์ออกเสียงหนักท่ีพยางค์หลัง มีสระและตัวสะกดตัวเดียว เพ่ิมตัวสะกด แล้วเติม -ing 6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี เ้พ่ิมตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม-ing หรือไม่ก็ได้ [แบบอเมริกัน] : travel => traveling, quarrel => quarreling  [แบบอังกฤษ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling

Present Perfect Tense Subject

โครงสร้าง: Subject + Verb to have + Verb ช่อง 3 หลักกำรใช้ 1. การกระทำาท่ีเกิดขึ้นในอดีต ดำาเนินเร่ ือยมาจนปั จจุบัน เช่น I have lived in Chiang Mai since 1979.( ฉันอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ตัง้ปี ค.ศ. 1979) I have studied English for ten years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็ นเวลา 10 ปี ) 2. เหตุการณ์เพ่ิงสิน ้ สุดลง มีคำาว่า just, already, yet เช่น I have already finished my homework. (ผมเพ่ิงทำาการบ้านของผมเสร็จ) He has not read that book yet.(เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนัน ้ เลย) 3. เหตุการณ์ท่ีเกิดในอดีต และสิน ้ สุดแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังมีมาจนปั จจุบันใน เช่น I have read them before.(ฉันเคยอ่านเร่ ืองนีม ้ าก่อน) The servant has cooked her dinner.( คนรับใช้ทำาอาหารม้ือเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว) 4. การกระทำาซ่ ึงเร่ิมต้น และสิน ้ สุดในอดีต แต่อาจเกิดได้อีก มี Adverb of Frequency ด้วย เช่น I have visited Los Angeles twice.( ผมไปเท่ียวลอสแองเจลลิสมา 2 ครัง้) หลักการใช้ Yet, Just, และ Already Yet (ยัง) ใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอ วางไว้ท้ายประโยค Just (เพ่ิงจะ) Already (เรียบร้อยแล้ว) ใช้ในประโยคบอกเล่า วางไว้หน้ากริยาหลัก *อย่ำลืม!!! ต้องแม่นในกำรผันกริยำช่องท่ี 3*

Past Simple Tense โครงสร้าง: Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object ) หลักกำรใช้ 1. เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต และสิน ้ สุดแล้ว มี Adverb บอกเวลาในอดีตกำากับด้วย เช่น

She saw you yesterday. (หล่อนเห็นคุณเม่ ือวานนี้) I went to Berline last year. (ผมไปเบอร์ลินเม่ ือปี ท่ีแล้ว) 2. เหตุการณ์หน่ ึงกระทำาเป็ นประจำาในอดีต แต่บัดนีไ้ม่ได้ทำาอีก เช่น When he was young, he was very clever. ( เม่ ือตอนเขายังเด็ก เขาเป็ นคนท่ีฉลาดมาก) I used to get up early in the morning. ( ฉันเคยต่ ืนนอนตอนเช้าตรู่ ( ปั จจุบันไม่ได้ต่ืนเช้าแล้ว ) 3. เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในชัว่ระยะเวลาหน่ ึงในอดีต และระยะเวลานัน ้ ได้ล่วงเลยมาแล้ว เช่น They lived there during last spring.(พวกเขาอาศัยอยู่ท่ีนัน ่ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิท่ีแล้ว) I heard the blacksmith working all day long.( ฉันได้ยินช่างตีเหล็กทำางานตลอดทัง้วัน) 4. ใช้แสดงถึงการสมมุติหรือข้อแม้ ในปั จจุบันหรือในอนาคต ตามหลังคำาว่า If, Unless, Wish เช่น If I were you I would love her. ( ถ้าผมเป็ นคุณ ผมจะรักเธอ)

Past Continuous Tense โครงสร้ำง: Subject + was, were + V-ing + Object หลักกำรใช้ 1. ใช้ในเหตุการณ์ท่ีแสดงอาการกำาลังกระทำาในอดีต เช่น They were speaking in the bookstore.(พวกเขากำาลังพูดอยู่ในร้านขายหนังสือ) She was going to post office.(หล่อนกำาลังจะไปท่ีทำาการไปรษณีย)์ 2. ใช้แสดงถึงการกระทำาท่ีต่อเน่ ืองกันในอดีต เช่น What were you doing all last summer? (เธอทำาอะไรตลอดฤดูร้อนท่ีแล้วเหรอ?) I was enjoying myself at the seaside.(ผมร่ ืนเริงกับการเท่ียวทะเล) 3. เหตุการณ์เกิด 2 เหตุการณ์ ขณะท่ีเหตุการณ์หน่ ึงดำาเนินก่อน และเหตุการณ์ท่ีสองมาแทรก มีหลักการ คือ เหตุการณ์ท่ีดำาเนินอยู่ใช้ Past Con เหตุการณ์หลังใช้ Past Sim เช่น When I returned home, she was playing pingpong. ( ตอนฉันกลับบ้าน เธอเล่นปิ งปองอย)ู่ 4. เหตุการณ์ 2 อย่างท่ีเกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต ต้องใช้ Past Con ทัง้คู่ มีคำาว่า while หรือ as มาเช่ ือม เช่น I was playing while you were studying. (ฉันกำาลังเล่นในขณะท่ีเธอกำาลังเรียน)

5. เหตุการณ์ท่ีดำาเนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหน่ ึงในอดีตท่ีระบุไว้ชัดเจน เช่น They were cleaning the room at eight o'clock yesterday.( พวกเขาทำาความสะอาดห้อง 8 โมงเม่ ือวาน) 6. ใช้ในการสมมุติ เป็ นข้อแม้ การคาดคะเน แสดงถึงการกระทำาท่ีต่อเน่ ือง เช่น What would you do if it was raining? (คุณจะทำาอย่างไรถ้าฝนกำาลังตก?) *หมำยเหตุ :กรุณำกลับไปอ่ำน Present Continuous เร่ ืองกริยำท่ีนำำมำใช้ใน Tense ไม่ได้ด้วยนะ*

Future Simple Tense หลักกำรใช้ การกระทำาในอนาคต เช่น He will travel to Singapore next year. ( เขาจะไปเท่ียวสิงคโปร์ปีหน้า) หลักการใช้ (be) going to แทน will หรือ shall 1. ใช้ (be) going to + V1 แสดงความตัง้ใจ แทน will และ shall เช่น She is going to buy a car next month.(หล่อนจะซ้ือรถยนต์เดือนหน้า) 2. ใช้ (be) going to + V1 แสดงการคาดคะเน แทน will และ shall เช่น I think it is going to rain.(ฉันคิดว่าฝนจะต้องตก) 3. ใช้ (be) going to + V1 แสดงข้อความซ่ ึงเช่ ือว่าเป็ นจริงโดยไม่สงสัย แทน will และ shall เช่น His wife is going to have a baby.(ภรรยาของเขาจะมีลูกแล้ว) ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในกรณีต่อไปนี้ 1. เหตุการณ์ท่ีเป็ นอนาคตอันแท้จริง ต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น I will be twenty-one next year. ผมจะมีอายุ 21 ในปี หน้า (ห้ามใช้ :I am going to be twenty-one next year.) 2. ในประโยคท่ีเช่ ือมด้วย If ใช้ได้เฉพาะ will และ shall เท่านัน ้ John will be successful if he tries hard.( ห้ามใช้ :John is going to be successful if he tries hard.) 3. กริยาท่ีแสดงการรับรู้ เช่น I will remember this experience forever.( ห้ามใช้ :I am going to remember this experience forever.)

I wish you would love me one day. (ฉันหวังว่าเธอจะรักฉันซักวันหน่ ึง)

Question Tag Question Tag คือ การตัง้คำาถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ หลักการตัง้ประโยคคำาถาม 1. ถ้าประโยคหน้าเป็ นบอกเล่า Tag ต้องเป็ นปฏิเสธ 2. ถ้าประโยคหน้าเป็ นปฎิเสธ Tag ต้องเป็ นบอกเล่า 3. ต้องใส่ Comma คัน ่ ระหว่างประโยคหลักกับ Tag เสมอ 4. ตัว Tag ต้องเป็ นกริยาช่วยเสมอ 5. หากไม่มีกริยาช่วยในประโยคหลัก ใช้ V. to do มาช่วย 6. กริยาช่วยตรง Tag ต้องใช้รูปย่อเสมอ ไม่มีรูป amn't I ใช้ aren't I แทน 7. กริยาช่วย ต้องเปล่ียนตาม Tense ท่ีประโยคหลัก 8. ประโยคคำาสัง่ ขอร้อง เช้ือเชิญ ตรง Tag เติม คำาว่า will you ได้เลย ข้อควรจำาในการทำา Question Tag . 1. ถ้าประโยคหน้าขึ้นต้นด้วย That is, This is ส่วน Tag ใช้ isn't it? หรือ is it 2. ถ้าประโยคหน้าขึ้นต้นด้วย There is/ are/ was/ were ส่วน Tag ใช้ V. to be ตามประธานและ Tense + there 3. ถ้าประโยคหน้าขึ้นต้นด้วย These/ Those are ส่วน Tag ใช้ aren't they หรือ are they แล้วแต่กรณี 4. ถ้าประโยคหน้าเป็ นประโยคความซ้อน ส่วน Tag ให้เอากริยาในประโยคหลักนะ 5. ถ้าประโยคหน้ามีคำาท่ีให้ความหมายเชิงปฏิเสธ ส่วน Tag นัน ้ ต้องเป็ นบอกเล่า เช่น Nothing is interesting, is it?

ร่แ ี ละดูโทรทัศน)์

that taxes are too high.

8 โมงเม่ ือวาน)

nty-one next year.)

e tries hard.)

xperience forever.)

ะ Tense + there

eresting, is it?

The simple Tenses 1) Present Simple 2) Past Simple 3) Future Simple

The Continuous (Progressive) Tenses 1) Present Continuous 2) Past Continuous (Progressive) 3) Future Continuous (Progressive)

The Perfect Tenses 1) Present Perfect 2) Past Perfect 3) Future Perfect

The Perfect Continuous Tenses 1) Present Perfect Continuous 2) Past Perfect Continuous 3) Future Perfect Contunuous

Present Simple Tense รูปกริยา Subject + v(s,es). การใช้ 1) ใช้ present simple tense กับควำมจริงท่ีเป็ นกฏตำยตัว ( general truth) 1) It's cold in winter. อากาศหนาวในฤดูหนาว 2) The earth moves round the sun. โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 3) The sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก 4) Birds fly. นกบิน 5) Action speak louder than words. การกระทำาดังกว่าคำาพูด(=ทำาดีกว่าพูด) 2) ใช้ present simple กับกำรกระทำำซ่ ึงเป็ นประจำำในปัจจุบัน ( repeated or habitual facts ) 1) He says helo every time he sees me. เขาทักฉันทุกครัง้ท่ีพบกัน

2) He gets up early everyday. เขาต่ ืนแต่เช้าทุกวัน 3) He comes to her place several times a week. เขามาหาหล่อนท่ีบ้านสัปดาห์ละหลายครัง้ 4) Ladda usually goes shopping on Sunday. ลัดดากจะไปซ้ือของในวันอาทิตย์ 5) I sometimes go to the movies with her. บางครัง้ผมก็ไปดูหนังกับหล่อน เหตุการณ์ หรือการกระทำาท่ีเป็ นประจำา มักจะมีคำาหรือข้อความประโยค (แสดงความบ่อย หรือความเป็ นประจำา always every month sometimes every year often once a week frequently twice amonth usually every other day naturally in the morning generally on Sundays rarely on week days seldom when (ever) he sees me habitually when (ever) he comes here every day whenever he can every week whenever you want 3) ใช้ present simple กับสิ่งที่กำำหนดแน่นอนแล้วว่ำจะกระทำำในอนำคต 1.I leave by the 6.20 train this evening. ผม(ตกลงใจ)จะออกเดินทางโดยขบวนรถไฟ 18.20 น. เย็นวันนี้ 2.He sets sail tomorrow and comes back next week. เขา(ตกลงใจ)จะออกเรือพรุ่งนี แ ้ ละจะกลับ(แน่นอน) ในสัปดาห์หน้า 3.We attack at dawn. เรา(ตัดสินใจ)จะเข้าโจมตีเวลาเช้าตรู่ 4) อำจใช้ present simple ในกำรสรุปเร่ ืองนิยำย หรือละคร

Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He asks Antonio to lend him money. Antonio บัสสานิโอต้องการจะไปเบลมองค์เพ่ ือเกีย ้ วพาราศีนางปอร์เซียเขาขอยืมเงินอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนีเ้ขาไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือจ กลับไปยังหน้าเดิม Past Simple Tense Subject + verb2. I came, he came, she came, it came, they came กำรใช้ 1.ใช้ past simple กับการกระทำาซ่ ึงเกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต

ซ่ึงมักจะมี คำาแสดงอดีต รวมอยู่ด้วยเสมอ เช่น yesterday, ago, in 1970, last week, during the war, last mouth,once upon a time,last year 1. He arrived at four o'clock yesterday morning. เขามาถึงตอนตีส่ีเช้าวานนี้ 2. I lived in Korat for three years. ผมอยู่โคราชเป็ นเวลา 3 ปี (เคยอยู่ท่ีนัน ่ 3 ปี ปั จจุบันนีม ้ ิได้อยู่ท่ีนัน ้ ) 3. She went to the movies last night. เม่ ือคืนนีห ้ ล่อนไปดูหนัง เหตุการณืหลายเหตุการณ์ท่ีเกิดติดต่อกันในอดีต ถ้าประสงค์จะพูดถึงเหตุการณ์เหล่านัน ้ โดยไม่ประสงค์จะแสดงความเก่ียว พันกันก็ใช้ 4. She drove into the car-park, got out of the car, closed all the windows.locked หล่อนขับไปยังท่ีจอดรถ ลงจากรถ ปิ ดหน้าต่างทุกบาน ใส่กุญแจประตู แล้วก็เดินไปยังโรงหนัง 2. ใช้ past simple กับการกระทำาซ่ ึงเกิดขึ้นเป็ นประจำาในอดีต (ปั จจุบันไม่มีการกระทำานัน ้ แล้ว) ซ่ึงมักจะมี คำาแสดงอดีต และ คำาแสดงความบ่อยหรือความเป็ นประจำา รวมอยู่ด้วย เช่น 1. He walked to school every day last year. ปี กลายนีเ้ขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน (คำาแสดงความบ่อย = every day, คำาแสดงอดีต = last year ) 2. He came to her place several times a week before he went to England. เขามาบ้านหล่อนสัปดาห์ละหลายครัง้ก่อนท่ีเขาจะไปอังกฤษ (คำาแสดงความบ่อย = several times a week, คำาแสดงอดีต = before he went to England) 3. When I was young I used to get up early in the morning. เม่ ือผมยังเล็ก ผมเคยต่ ืนแต่เช้า 4. While her husband was in the Army , she wrote to him twice a week. ขณะท่ีสามีของหล่อนประจำาการอยู่ในกองทัพ (บก) หล่อนเคยเขียนจดหมายถึงเขาสัปดาห์ละ 2 ครัง้ 5. In olden times men were more chivalrous than they are now. สมัยก่อนผู้ชายกล้าหาญ, สุภาพและซ่ ึงสัตย์กว่าสมัยนี้ (chivalrous = คุณลักษณะของพวกอัศวินสมัยโบราณ) กลับไปยังหน้าเดิม

Future Simple tense รูปกริยา subject + will ( หรือ shall) + verb1. ในแทบทุกกรณี (โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) * will ใช้กับประธานทุกคำารวมทัง้ I และ We ในประโยคสนทนาไม่มีปัญหาในการใช้ shall หรือ will เน่ อ ื งจากทัง้ shall และ will ต่างก็ลดเสียงเป็ น 'll เหมือนกัน We'll be back.

They'll go home. การใช้ ใช้กับการกระทำาท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต

ซ่ึงปกติจะมีคำาแสงนาคต กำากับอยู่ด้วย เช่น soon, shortly, tomorrow, tonight, next week, next month, next year, in a few minutes, a month from

They will leave soon.

They will leave tonight.

They will leave tomorrow. ข้อสังเกตทัว่ไป 1. shall กับ will คำาสัง่สองนีม ้ ีความหมายได้ 3 อย่าง คือ 1.แสดงความสมัครใจ (volition) 2.แสดงความจำาใจ(obligation)

3.แสดงความเป็ นอนาคต(futurity) ความหมายทัง้สามนี แ ้ ม ้ จะรู้ว่ามันมีอยู่แต่เราไม่สามารถชีใ้ห้เห็นถึงข้อแตกต่างอย่างชัดเจนได้เป็ นค้ว่าเม่ ือใช้แสดงอนาคตนัน ้ ก็แสดงค

2.'Pure' Future โดยเหตุท่ีความหมายของ will(shall) เป็ นได้หลายกรณีดังกล่าวเม่ ือใช้ในความหมายท่ีแสดงอนาคตอย่างแท้จริง จึงนิยมเรียกช่ ือเสียใหม I shall be twenty-nine tomorrow. พรุ่งนีผ ้ มจะมีอายุ(ครบ) 29 ปี ในกรณีท่ีประโยคเป็ น 'Pure' Future นัน ้ โดยปกติใช้ I shall, we shall เสมอ คำาอ่ ืน ๆใช้ will ทัง้หมด คือเป็ นไปตามกฎโดยเคร่ง

3.ในประเทศอังกฤษ (ซ่ ึงเรียกว่า England ไม่ใช่รวมทัง้เกาะซ่ ึงเรียกว่า 1Britain) หรืจะว่าตามจริงก็ต้องในนครลอนดอน รูปคำาถามข "You'll never pass the examination." คุณจะสอบไม่ได้แน่ "Won't I?" ทำาไมหละ( = ทำาไมถึงจะสอบไม่ได้ล่ะ ,ทำาไมถึงว่ายังงัน ้ ล่ะ มีเหตุผลอะไร) 4.Shall I? Shall we? ข้อความนีม ้ ีความหมายเป็ นเชิงขออนุญาต ไม่มีความหมายเป็ นคำาถามเต็มท่ี เช่น Shall I open the window? ผมเปิ ดหน้าต่างได้ไหมครับ 5.Will you? มีความหมายเป็ นเชิงว่า คุณะกรุณา... ได้ไหม (= Are you willing to.. หรือ Would you like to ...) Will you help me carry this bag? คุณจะช่วยกรุณาถือกระเป๋ านีไ้ด้ไหม 6.เม่ ือประธานมีหลายตัวแม้จะมี I รวมอยู่ด้วยก็ใช้ will You and I will both be promoted.

คุณและผมทัง้สองคนจะได้เล่ ือนขัน ้ กลับไปยังหน้าเดิม

Present Continuous Present Continuous รูปกริยา Subject + is(am,are) + (verb+ing). กำรใช้ 1.ใช้ present continuous เม่ ือการกระทำานัน ้ กำาลังดำาเนินอยู่ต่อหน้า(ในขณะท่ีพูดประโยคนัน ้ ) 1.The sun is shining. ดวงอาทิตย์กำาลังส่องแสง 2.The bees are humming. ฝูงผึ้งกำาลังส่งเสียงห่ ึง 3.What are you doing? คุณกำาลังทำาอะไร ในกรณีท่ีผู้พูดต้องการ เน้นคำาว่า กำาลัง ให้หนักแน่นย่ิงจึ้น นิยมเติมคำา just ลงข้างหน้า(just ในกรณีเช่นนีไ้ม่มีคำาแปลในภาษาไทย 4.The children are just having breakfast. พวกเด็ก ๆ กำาลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่

2.ใช้ present continuous ในเหตุการ์ท่ีดำาเนินอยู่เป็ นประจำาในขณะท่ีพูด น่ีเป็ นข้อยกเว้นจากหลักท่วไปท่ีว่า ใช้ present simple กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นเป็ นประจำา เช่น 1.My son works hard this term. เทอมนี ล ้ ูกชายของผมเรียนหนังสืออย่างขะมักเขม้น 2.He tries his best now. ขณะนีเ้ขา(ใช้ความ)พยายามอย่างเต็มท่ี (อย่างเตำมความสามารถ) ประโยคทัง้สองนีใ้ช้ตามหลักทัว่ไป ซ่ ึงจะพบว่าเป็ นประโยคเนือย ๆ ไม่กระฉับกระแฉง ประโยคดังกล่าวจะมีความหมายดีย่ิงขึ้นไปอีก ถ้าใช 1. My son is working hard this term. 2. He is trying his best now. 3.ใช้ present continuous แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซ่ ึงคาดว่าจะต้องเป็ นเช่นนัน ้ แน่นอน การใช้ present coutinuous ในความหมายท่ีเป็ นอนาคตนี ป ้ กติเขาใช้กับกริาท่ีมีการเคล่ ือนท่ี(verbs of movement) 1.We are going to Paris on Sunday. วันอาทิตย์นีเ้ราจะไปนครปารีส 2.Dang is coming here next week and is staying here until May. แดงจะมาท่ีน่ีในสัปดาห์หน้า และเขาจะอยู่ท่ีน่ีจนถึงเดือนพฤษภาคม 3.What are you doing next Sunday? วันอาทิตย์หน้าคุณจะทำาอย่างไร กริยำท่ีไม่ใช้ใน Continuous Tenses hear ได้ยิน love จำาได้

see เห็น feel รู้สึก smellได้กล่ิน taste ได้รส,รู้รส หมายเหตุ ฯลฯ

hate เกลียด know รู้ understandเข้าใจ believe เช่ ือว่า

กริยาท่ีไม่ใช่ใน continuous ได้แก่ กริยาแสดงการรับรู้ (verbs of perception) แสดงภาวะของจิตใจ(state of mind) เม่ ือต้องการจะบอกว่า กำาลังมีอาการเช่นนีอ ้ ยู่ คงใช้เพียง present simple เท่านัน ้ เช่น 1. I don't see anything here.( ไม่ใช่ I am not seeing....) ผมไม่เห็นอะไรท่ีนีเ้ลย 2. I see what you mean. ( ไม่ใช่ I am seeing...) ผมเข้าใจว่าคุณหมายความถึงอะไร 3.Do you hear the noise? (ไม่ใช่ Are you hearing...) ผมได้ยินเสียงอะไรไหม กลับไปยังหน้าเดิม

Past Continuous รูปกริยา subject+ was(were)+(verb+ing) กำรใช้ โดยปกติ tense นี จ

้ ะไม่ใช้ในประโยคท่ีมีกริยาตั 2วตัเดีวยคูวแต่ ่กัน จคืะใช้ อไมใช้ ในประโยคท่ ลอย ๆ เพีีมยีกงเหตุ ริยา การณ์เดียว แต

1.ใช้ past continuous ได้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์เดียวได้เฉพาะในกรณีท่ีมีคำาบอกช่วงเวลากำากับไว้ในประโยค คือ บอกว่าเหตุการณ He was writing all day yeaterday. He was writing all afternoon yesterday. He was writing all evening long. 2.ใช้ past continuous กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ซ่ ึงกำาลังดำาเนินอยู่พร้อม ๆ กันในอดีต(คำาเช่ ือมประโยคมักจะได้แก่ 1.While one of the two thieves was working on the safe,the other was keeping watch for policemen. ขณะท่ีขโมยคนหน่ ึง(ในสองคน)กำาลังจัดการกับตูเ้ ซฟอยู่นน ั้ อีกคนหน่ ึงก็(กำาลัง)คอยดูตำารวจ 2.He was working in Bloomingon while I was working in Bangkok. เขากำาลังทำางานอยู่ในเมืองบลูมมิงตัน ในขณะท่ีผมกำาลังทำางานอยู่ในกรุงเทพฯ

3.ใช้ past continuous คู่กับ past simple เม่ ือเหตุการณ์หน่ ึงกำาลังดำาเนินอยู่(past continuous) ก็มีเหตุการณ์อีกอย่างหน่ ึงเกิดขึ้น (past simple) คำาเช่ ือมประโยคมักจะได้แก่ when, as, while 1.It was raining when I came home. เม่ ือผมกลับบ้านนัน ้ ฝนกำาลังตกอยู่ 2.While the man was looking at the picture, a thief stole his purse. ขณะท่ีชายคนนัน ้ กำาลังดูรูปภาพอยู่ ขโมยได้ลักเอากระเป๋ าสตางค์ของเขาไป 3.As I was walking along the theatre, a car mounted the pavement and crashed into a shop. ขณะท่ีผมกำาลังเดนอยู่หน้าโรงหนัง มีรถคันหน่ ึงปี นขึ้นไปบนทางเท้า และพังเข้าไปในร้านขายของร้านหน่ ึง หมำยเหตุ ควรสนใจความหมายของการตอบคำาถามต่อไปนี้ Did you hear about Anong's new job? คุณรู้เร่ ืองงานใหม่ของอนงค์หรือเปล่า Yes, my wife was telling me about it this morning. หมายความว่า ภรรยาของผมได้บอกผมบ้างแล้ว แต่ผมก็ยังอยากรู้เร่ ืองนัน ้ อีก เพราะอาจจะเป็ นว่าภรรยาบอกผมยังไมละเอียด Yes, my wife told me about it this morning. หมายถึงว่า ภรรยาของผมถึงเร่ ืองนัน ้ แล้วละ และผมก็ไม่สนใจ ไม่อยากจะรู้เร่ ืองนัน ้ อีกเลย กลับไปยังหน้าเดิม

Furture Continous(Progressive) รูปกริยา subject + will(shall) be + (verb+ing ). การใช้ 1.ใช้ tense นี เ ้ ม่ ือต้องการจะบอกว่าณเวลาใดเวลาหน่ ึงในอนาคตจะมีเหตุการณ์อะไรกำาลังดำาเนินอยู่ การใช้ tense นีจ้ึงต้องมี คำาบอกเวลา ณ จุดหน่ ึงในอนาคตกำากับอยู่ด้ยเสมอ คำาบอกเวลานีอ ้ าจเป็ นกลุ่มคำา หรือวลีก็ได้ 1. At this time tomorrow I shall be flying over Hong Kong. ณ เวลานีใ้นวันพรุ่งนี ผ ้ ม(คง)จะกำาลังเป็ นอยู่เหนือฮ่องกง 2.He will be sleeping at 7 o'clock tomorrow morning.

เขา(คง)จะกำาลังหลับอยู่ ณ เวลา 7 นาฬิกาพรุ่งนีเ้ช้า 3.He'll be busy working when we call. เม่ ือเราไปหาเขา เขาคงกำาลังยุ่งอยู่กับงาน 2. ใช้ future continuous กับเหตุการณ์ในอนา คต ซ่ ึงผู้พูดตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า จะทำาเช่นนัน ้ (ประโยคเช่นนีใ้ช้เพียง 1.I'll be working all day tomorrow. พรุ่งนีผ ้ มจะทำางานทัง้วัน (=I'll work all day tomorrow)

2.The Browns wil be staying with us again this year. ปี นีพ ้ วกครอบครัวบราวน์คงจะมาพักกับเราอีก (=The Browns will stay with us again this year.) 3.What will you be doing tomorrow? พรุ่งนีค ้ ุณจะทำาอะไร (=What will you do tomorrow?) 4.The ship will be sailing tomorrow morning. เรือจะออกเดินทางพรุ่งนีเ้ช้า (=The ship will sail tomorrow morning.) กลับไปยังหน้าเดิม

Present Perfect รูปกริยา Subject + has(have) + verb3. กำรใช้ 1.ใช้กับเหตุการณ์ซ่ึงเกิดขึ้นในอดีต แต่ดำาเนินติดต่อเร่ ือยมาจนถึงปั จจุบันขณะท่ีพูดประโยคนัน ้ โดยปกริจะมี กลุ่มคำา หรือ ประโยค บอกว่าเหตึการณ์นัน ้ เร่ิมต้นตัง้แต่เม่ ือใด เช่น since + จุดเร่ิมต้นของเวลา for + จำานวนเวลานับจากเร่ิมต้น ever since ตัง้แต่นัน ้ เป็ นต้นมาจนถึงบัดนี้ so far เร่ ือยมาจนเดี๋ยวนี เ้ร่ ือยมาจนปั จจุบันนี้ up to now จนบัดนี จ้นกระทัว่เวลานี้

up to the present time จนบัดนี จ้นกระทัง่เวลานี้ He has lived here since 1975. He has lived here ever since. He has lived here since then. He has lived here since his father died. He has lived here twenty years. ควรสังเกตว่าหลัง since เป็ น point of time คือจุดหน่ ึงของเวลา เช่น since eight o'clock, since last week, since 196 He has lived there since htis father died. เขาอยู่ท่ีนัน ่ มาตัง้แต่บิดาของถึงแก่กรรม จงเปรียบเทียบ 1.I have taught this class for ten years. 2.I taught this clas for ten years. 1.ผมสอนชัน ้ นีม ้ าสิบปี แล้ว บัดนีผ ้ มก็ยังสอนชัน ้ นีอ ้ ยู่ 2.ผมสอนชัน ้ นีเ้ป็ นเวลาสิบปี แต่บัดนีผ ้ มไม่ได้ส่อนแล้ว(คืนเคยสอนมาเป็ นเวลา 10 ปี แล้วเลิกสอน) 2.ใช้ present perfect แสดงการเคยหรือไม่เคย มักจะมีคำาว่า never , ever, once, twice,... รวมอยู่ด้วยเสมอ 1. Have you ever been to New York City? คุณเคยไปนครนิวยอร์กไหม 2. Yes, I've been there many times. ครับ เคยหลายหนแล้ว 3. No, never. I've never been abroad. ยังครับยังไม่เคยไป ผมยังไม่เคยไปเมืองนอกเลย 3.ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ท่ีเพ่ิงจบลงใหม่ ๆ มักจะใช้คำา just, already(บอกเล่า) หรือ yet (คำาถามหรือปฏิเสธ) 1. The train has just arrived. รถไฟเพ่ิมมาถึง 2. The train has alread arrived. รถไฟมาถึงแล้ว (=The train has arrived already.) 3. Has the train arrived yet (already)? รถไฟมาถึงหรือยัง 4. No , not yet. ยัง ยังไม่มาถึง หมำยเหตุ มีอีกคำาหน่ ึง คือ just now ซ่ ึงอาจมีความหมายได้ 2 อย่าง เม่ ือครู่นี ก ถ้า just now = เม่ ือครูนี ใ้ช้กริยาpast simple ถ้า just now = ขณะนี ใ้ช้กริยาpresent perfect 1.I told you about it just now. ก็ผมบอกเร่ ืองนัน ้ เม่ ือครูนีน ้ ่านา 2.He has finished his work just now. (ขณะนี้) เขาเพ่ิงจะทำางานของเขาเสร็จ

้ ั บขณะนี้

4.ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ซ่ึงความจริงจบลงไปแล้ว แต่ใจผู้พูดยังรู้สึกในผลของเหตึการณ์นัน ้ ๆอยู่ 1. I have finished the book. ผมอ่านหนังสือนัน ้ จบแล้ว 2. I've opened the window. ผมเปิ ดหน้าต่างแล้ว 3.The clock has stopped. นาฬิกาหยุดเสียแล้ว 4. I've seen him before.

ผมเคยพบเขาแล้ว กลับไปยังหน้าเดิม

Past Perfect รูปกริยา Subject + had + verb3 กำรใช้ 1. ใช้ tense นี เ้ม่ ือมีเหตุการณ์2 อย่างในอดีต อย่างหน่ ึงเกิดก่อนอีกอย่างหน่ ึง เหตุการณ์ท่ีเกิดก่อนใช้ past perfect เหตุการณ์ท่ีเกิดภายหลัง ใช้ past simple 1. Anong had learned English before she went to England. อนงค์รู้จักภาษาอังกฤษก่อนไปประเทศอังกฤษ 2. When we got to the field, the football match had already started. เม่ ือเราไปถึงสนามนัน ้ การแข่งขันฟุตบอลได้เร่ิมขึ้นแล้ว 3. I didn't go to the cinema because I had already seen the film. ผมไม่ไปดูหนัง เพราะผมดูหนังเร่ ืองนัน ้ มาแล้ว 4. I had lost my pen and I was unable to do the exercises. ผมทำาปากกาหาย ผมจึงไม่สามารถทำาแบบฝึ กหัดได้ 5. He had unloced the door ; there was nothing to prevent you from going out. เขาไขกุญแจประตูออกแล้ว ดังนัน ้ จึงไม่มีอะไรจะขัดขวางไม่ให้คุณออกไป การใช้ past perfect นี จ ้ ะ

ได้พบอีกครัง้ห

2. ใช้ past perfect กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นก่อนเวลาหน่ ึงในอดีต 1. Jane had never seen a lion until yesterday. เจนไม่เคยเห็นสิงโตเลยจนกระทัว่เม่ ือวานนี้ (จึงได้เห็น) 2. Soon the police arrived at the scene of the robbery. But they were too late . The thieves has alread ไม่ใช้พวกตำารวจก็ไปถึงท่ีโจรกรรม แต่สายเกินไป พวกโจรพากันไปเสียแล้ว กลับไปยังหน้าเดิม

Future Perfect รูปกริยา Subject + will have + verb3 การใช้ 1. ใช้ tense นี เ้ม่ ือต้องการจะบอกว่าเม่ ือถึงเวลาหน่ ึงในอนาคตเหตุการณ์อย่างหน่ ึงได้จบสิน ้ ลง "เวลาหน่ ึงในอนาคต" นี ถ ้ ้ าเป็ นคำาบอกอนาคตนิ by หรือ before ยมใช้ห เช่ลันง by tomorrow ก่อนพรุ่งนี้ (เม่ ือถึงพรุ่งนี้) by eight o'clock ก่อน 8 นาฬิกา (เม่ ือถึง 8 นาฬิกา) by next month ก่อนเดือนหน้า(เม่ ือถึงเดือนหน้า)

before next year ก่อนปี หน้า after two months หลังจาก 2 เดือน(นับจากหน่ ึง) ถ้าเป็ น ประโยคบอกอนาคต ใช้กริยาเป็ น present simple เช่น 1. They will have finished the work by next week. ถึงสัปดาห์หน้าพวกเขาก็คงจะเสร็จงานนัน ้ แล้ว (=เสร็จงานนัน ้ ก่อนสัปดาห์หน้า) 2. They will have finished the work when we arrive. เม่ ือเราไปถึงพวกเขาก็คงจะเสร็จงานนัน ้ แล้ว (= เสร็จงานนัน ้ ก่อนพวกเราไปถึง) 3. All these roses will have died before Chrismas. กุหลาบนีค ้ งจะตายก่อนถึงวันคริสต์มาส 4. She will have been in England be the end of March. เม่ ือถึงสิน ้ เดือนมีนาคมหล่อนคงจะอยู่ในอังกฤษเรียบร้อยแล้ว (=อยู่ในอังกฤษก่อนสิน ้ เดือนมีนาคม) 5. It is now 8:30. I shall have finished my work by 2 p.m. ขณะนีเ้วลา 8.30 น. ผมคงจะเสร็จงานก่อนบ่าย 2 โมง (= เม่ ือถึงบ่าย 2 โมงนัน ้ ผมคงจะเสร็จงานแล้ว) 2. อาจใช้ future perfect แสดงความคาดคะเนหรือสงสัย You will have heard, I expect, that Ladda is going to get married. ผมคาดว่าคุณคงจะระแคะระคายมาแล้ว่าลัดดาจะแต่งงาน กลับไปยังหน้าเดิม

Present Perfect Continuous รูปกริยา Subject + has(have) been + (verb+ing) กำรใช้ ใช้ได้เฉพาะกริยาท่ีมีการต่อเน่ ือง ใช้กับเหตุการ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีตและดำาเนินติดต่อกันเร่ ือยมาจนถึงปั จจุบัน เช่น Bill has been living in Bangkok since 1975. บิลอยู่ในกรุงเทพมาตัง้แต่ปี 1975. จะเห็นว่า การใช้ present perfect continuous ก็เหมือนกับการใช้ present perfect ธรรมดา เพียงแต่ ปกติ : Bill has lived in Bangkok since 1975. เน้นความต่อเน่ ือง : Bill has been living in Bangkok since 1975. บิลอยู่ในกรุงเทพมาตัง้แต่ปี 1975.

ปกติ : He has worked on the problem for two hours so far. เน้นความต่อเน่ ือง : He has been working on the problem fo two hours so far. เขาทำาโจทย์มาเป็ นเวลา 2 ชัว่โมงแล้ว Note ควรระวังว่ากริยาท่ีไม่แสดงควมต่อเน่ ืองของการกระทำา ( continuity of action ) จะใช้ tense นีไ้ม่ได้ ผิด : The train has been arriving. ถูก : The train has arrived. ผิด : The clock has been stopping. ถูก : The clock has stopped. ระวังไม่ใช้ perfect continuous กับคำาต่อไปนี้ just, already, never, finally กลับไปยังหน้าเดิม

Past Perfect Continuous

รูปกริยา Subject + had been + (verb+ing). กำรใช้ การใช้ past perfect continuous มีหลักการเช่นเดียวกับการใช้ past perfect ธรรมดา คือ โดยปกติจะใช้ได้ก็ต่อเม่ ือมีเหตึการณ เหตุการณ์ท่ีกำาลังดำาเนินอยู่ใช้ past perfect (continuous) เหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ past simple จงดูประโยคนี้ When I got to the meeting, the lecturer had spoken for half an hour. เม่ ือผมไปถึงท่ีประชุมนัน ้ ผู้บรรยายได้พูดมาเป็ นเวลาคร่ ึงชัว่โมงแล้ว จะเห็นว่า ประโยคนีไ้ด้ความดีอยู่แล้วจากการใช้ past perfect ธรรมดา แต่ประโยคนีจ้ะได้ความดีขึ้นอีก ถ้าใช้ When I got to the meeting, the lecturer had been speaking for half an hour. ซ่ึงถ้าดูคำาแปลประโยคนี ก ้ โดยทำานองเดียวกัน ประโยคว่า The telephone had been ringing for five minutes before it was answered. โทรศัพท์ได้ฟัง (ติดต่อกันมา) เป็ นเวลาห้านทีก่อนท่ีจะมีผู้รับ ย่อมได้หมายความดีกว่าประโยคว่า The telephone had rung for five minutes before it was answered. ประโยคหลังนีไ้ม่ผิด แต่ความหนักแน่นสู้ประโยคแรกไม่ได้ เน่ ืองจากประโยคแรกเน้นถึงการท่ีโทรศัพท์ดังติดต่อกันมาเป็ นเวลาห้านาที ซ ควรระวัง กริยาท่ีไม่แสดงความต่อเน่ ืองจะใช้ใน continuous tense ไม่ได้ กลับไปยังหน้าเดิม

Future Perfect Continuous รูปกริยา Subject + will(shall) + have been + (verb+ing)

การใช้ หลัการเช่นเดียวกับการใช้ future perfect ธรรมดา เราจะใช้ perfect continuous เฉพาะเม่ ือต้องการเน้นความต่อเน่ ืองเท่านัน ้ คือใช้เม่ ือต้องการจะบอกวา เม่ ือถึงเวลาหน่ ึงในอนาคต เหตุการณ์อย่างหน่ ึงซ่ ึงดำาเนินมาก่อนหน้านัน ้ ก็ยังคงดำาเนินอยู่และจะดำาเนินต่อไป 1.By eleven o'clock I shall have been working for three hours. เม่ ือถึงเวลา 11 นาฬิกา ผมก็จะทำางาน(ติดต่อกันมา) ครบสามชัว่โมง (และผมก็จะทำางานต่อไปอีก) จะเห็นว่าประโยคนีก ้ ็เหมือนประโยคท่ีว่า

By eleven o'clock I shall have worked for three hours. เพียงแต่ประโยคหลังนีไ้ม่ได้เน้นถึงการทำางานติดต่อกันมาเหมือนประโยคแรก ประโยคหลังนีบ ้ อกเพียงว่า เม่ ือถึงเวลา 2. On August 12th we shall have been living in this house exacly four years. เม่ ือถึงวันท่ี 12 สิงหาคม เราก็จะอยู่บ้านหลังนีค ้ รบ 4 ปี พอดี (และจะอยู่ต่อไปอีก) จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้

1. It is now November. ขณะนีเ้ป็ นเดือนพฤศจิกายน 2. I wrote this book in June. ผมเขียนหนังสือนีเ้ม่ ือเดือนมิถุนายน 3. I have been writing this book for five months. ผมเขียนหนังสือน้มาเป็ นเวลา 5 เดือนแล้ว(เขียนติดต่อกันมาเป็ นเวลา 5 เดือนละบัดนีก ้ ำาลังเขียนคู่) 4. In October I was still writing this book and had been writing this book. เม่ ือเดือนตุลาคม (ท่ีแล้ว) ผมก็กำาลังเรียนหนังสือนีอ ้ ยู่ และได้เขียนหนังสือนี้ (ติดต่อกันมา) เป็ นเวลา 4 เดือนแล้ว 5. In December I shall be writing this book and shall have been writing this book for six months. ในเดือนธันวาคม(ท่ีจะถึงนี้) ผมก็คงจะกำาลังเขียนหนังสือนีอ ้ ยู่อีก และ(ในตอนนัน ้ ) ผมก็จะเขียนหนังสือนีค ้ รบเวลา 6. I shall finish this book in January, when I shall have written this book seven months. ผมจะเขียนหนังสือนีจ้บในเดือนมกราคม(ท่ีจะถึงนี้) ซ่ ึง (ในตอนนัน ้ ) ผมก็จะเรียนหนังสือนีม ้ าเป็ นเวลา 7 เดือน

โปรดสังเกตข้อ 5 และ ข้อ 6 ในข้อ 5 ประโยคตอนหลังใช้ future perfect continuous แสดงความต่อเน่ ืองของการเขียน (เม่ ือถึงเดือนธันวาคมก็ยังเขียนอยู่ แล ต่างกับข้อ 6 ประโยคตอนหลัง ใช้ future perfect ธรรมดาเพ่ ือต้องการแสดงว่เม่ ือถึงเดือนมกราคมกาเขียนก็คงจะเสร็จสิน ้ ไม่เขียนอ กลับไปยังหน้าเดิม

Adverbs

หลักการสังเกตจำากริยาวิเศษณ์คือ กริยาวิเศษณ์ส่วนมากลงท้ายด้วย ly เพราะส่วนมากเปล่ียนรูปมาจากคำาคุณศัพท์ ตามหลักเกณฑ์ต่อไ 1. เพ่ิม ly ท้ายคำาคุณศัพท์เพ่ ือให้เป็ นกริยาวิเศษณ์เช่น slow = slowly, bad = badly 2. คุณศัพท์ท่ีลงท้ายด้วย y ให้เปล่ียน y เป็ น i แล้วเติม ly เช่น lazy = lazily 3. คุณศัพท์ท่ีลงท้ายด้วย le ให้ตัด e ทิง้แล้วเติม y เช่น possible = possibly แต่มีคุณศัพท์อยู่ 2 คำาต้องตัด 1. ขยายกริยา เช่น Nipon runs quickly. อธิบาย quickly ขยาย run เพ่ ือให้เรารู้ว่าว่ิงอย่างไร ดังนัน ้ "อย่างไร" จึงเป็ นกริยาวิเศษณ์เพราะขยายกริยาว่าว่งิ

2.ขยายคุณศัพท์ เช่น He is very impertinent.

อธิบาย very ขยาย impertinent คุณศัพท์ เพ่ ือให้เรารู้ว่าเขาทะล่ ึงเท่าไร ดังนัน ้ "มาก" จึงเป็ นคำากริยาวิเศษณ์เพราะขยายคำาคุณศัพท 3.ขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกัน เช่น Ladda reads quite clearly.

อธิบาย quite ขยายกริยาวิเศษณ์ clearly เพ่ ือให้เรารู้ว่าลัดดาอ่านอย่างชัดเจนถึงขัน ้ ไหน ดังนัน ้ "ทีเดียว" จึงเป็ นกริยาวิเศษณ์ เพราะ Kinds of Adverbs

เพ่ ือให้เข้าใจอย่างชัดเจนและรู้กว้างขวางมากขึ้น ในการพิจารณากริยาวิเศษณ์จึงอยากให้ต๋อยเรียนการพิจารณาหน้าท่ีของกริยาวิเศษณ์แต 1.Adverb of Quality or Manner คือคำาวิเศษณ์ท่ีแสดงอาการ หรือคุณภาพ จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How สร้างเป็ นรูปประโยคคำาถามได้ เช่น a. How did he speak English ? b.He spoke English well. 2.Adverb of Time คือคำาวิเศษณ์ท่ีบอกเวลา จะพิสูจน์ได้โดยใช้ When ตัง้คำาถามถามได้เช่น a.When did you meet him? b.I met him yesterday. 3.Adverb of Number คือคำาวิเศษณ์ท่ีบอกจำานวนเวลา หรือระยะเวลา จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How often สร้างเป็ นรูปประโยคคำาถามถามได้ เช่น How often does he do his homework? He always does his homework. 4.Adverb of Quantly or Degree คือคำาวิเศษณ์ท่ีบอกปริมาณมากหรือน้อยเท่าไร จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How หรือ How + Adj. , or How + adv. a. How lazy is your friend ? b.He is very lazy. 5.Adverb of Place คือคำาวิเศษณ์ท่ีบอกสถานท่ี จะพิสูจน์ได้โดยการใช้ Where ตัง้คำาถามถามได้เช่น a.Where has your sister gone? b.She has gone home. 6.Adverb of Affirmation of Negation คือคำาวิเศษณ์ซ่ึงแสดงการยืนยัน หรือคำาซ่ ึงปฏิเสธ หรือคำาท่ีเป็ นการคาดคะเน พิจารณาดูตัวอย่างนะต๋อย a.I do not know hom. b.He is certainly a good boy. 7.Adverb of Reason คือคำาวิเศษณ์ท่ีแสดงเหตึผลอันสืบเน่ ืองมาจากการกระทำาต่างๆ เช่น a.He could't pass the exam. b.She is hence unable to refute the charge.

8.Intersifying Adverb คือคำาวิเศษณ์ซ่ึงเน้นกริยา หรือคุณศัพท์ เช่น a.I was also absent from school. b.Even I was punished. 9.Interrogative Adverb คือคำาวิเศษณ์ท่ีเป็ นคำาถาม ซ่ ึงมีอยู่ 4 คำาเท่านัน ้ เช่น a.Where is Ladda? b.When did you come? c.Why are you angry? d. How did you contrive it?

POSITION OF ADVERBS

หลักเกณฑ์การวาง adverb ให้ถูกต้องนัน ้ ต้องอาศัยความเข้าใจจากชนิดของคำาวิเศษณ์ท่ีเรียนมาแล้ว จึงจะช่วยให้มีหลักการพิจารณาได 1. Adverbs โดยทัว่ๆ ไปจะต้องวางหลักกริยา is, am, are, was, were เช่น She is often late for school. 2.Adverbs ท่ีตอบคำาถาม How ได้ จะวางไว้หน้าประโยค หรือวางหลังประโยคก็ได้ เช่น He behaves badly.

Nipon plays football well. 3.Adverbs ท่ีตอบคำาถาม When ได้ จะวางไวหน้าประโยค หรือวางหลังประโยคก็ได้ เช่น He will come tomorrow.

yeserday I went to the cinema.

4.Adverbs ท่ีตอบคำาถาม How often "บ่อยเท่าไร" ตามปกติจะต้องวางไว้หน้ากริยาสำาคัญ หรือกริยาแท้ของประโยค แต่มีคำาท่ีวางห I sometimes eat my dinner at six.

I have always written a letter in English. 5.Averbs ท่ีตอบคำาถาม Where ได้ ตามปกติจะต้องวางไว้หลังประโยค เช่น

Your friend has gone home.

She has never come here. 6.เม่ ือมีการใช้คำาวิเศษณ์ และกลุ่มคำาวิเศษณ์ร่วมกัน 3 ชนิดท่ีแตกต่างกัน จะมีวิธีเรียงลำาดับดังนัน ้ 1.He spoke well at the meeting this afternoon.

adv. of manner + place + time

2.I was born at seven o'clock on a cold December evening in the year 1962. ข้อ 2 เรียงลำาดับดังนี ช้ัว่โมง+ เช้า ,บ่าย หรือตอนเย็น + ปี

7.Adverbs ท่ีใช้ตามหลักข้อ 1 และข้อ 4 ถ้าต้องการใช้พูดเน้นหรือย้ำา ภาษาพูดส่วนากท่ีวางไว้หน้า กริยาตัวท่ีหน่ึงของประโยคได้ เช่น I never could understand English.

You are late again! You always are late every day. และการตอบคำาถามสัน ้ ๆ ซ่ ึงคำาตอบนัน ้ มีกริยาเพียงตัวเดียว ก็ใช้คำาวิเศษณ์วางข้างหน้าได้ เช่น Can you buy meat there?

yes, I usually can. No, I never can.

Going to การแสดงอนาคตโดย going to 1.ใช้ going to + verb แสดงความตัง้ใจ เช่น 1. I am going to write Anong this evening. คืนนีผ ้ ม(ตัง้ใจว่า) จะเขียนจดหมายถึงอนงค์ 2.He says he is going to buy a new car next month. เขาพูดว่าเขา(ตัง้ใจว่า) จะซ้ือรถใหม่สักคันหน่ ึงในเดือนหน้า 2.ใช้ going to + verb แสดงการคาดคะเน 1. I think it is going to rain. ผมคิดว่าฝนคงจะตก

2. I am afraid that the repairs to our house are going to cost a lot of money. ผมเกรางว่า การซ่อมแซมบ้านของเราคงจะสิน ้ เปลืองเงินเป็ นจำานวนมาก 3.ใช้ going to + verb แสดงความเช่ ือมัน ่ ว่าจะมีเหตุการณ์นัน ้ จริง My wife is going to a baby. ภรรยาของผมกำาลังจะมีบุตร (เน่ ืองจากแพทย์บอก) ***ข้อสังเกต 1.ไม่นิยมใช้รูป going to + verb แสดง pure futerity (ความเป็ นอนาคตอย่างแท้จริง) ผิด : I am going to be twenty-nine in September. ถูก : I shall(will) be twenty-nine in September. ผมจะมีอายุ(ครบ) 29 ปี ในเดือนกันยายนนี้. 2.ไม่นิยมใช้ going to ในประโยคอนาคตท่ีเป็ นเง่ ือนไข ผิด : If you ever go to Japan you are going to like the food there. ถูก : If you ever go to Japan you will like the food there. ถ้าหากคุณได้ไปญ่ีปุ่น คุณคงจะชอบอาหารท่ีนัน ่

กฎการเติม ing ท่ีคำากริยา กฎกำรเติม ing ที่คำำกริยำ 1.ตัด e ทิง้(ถ้า e ตัวนัน ้ ไม่ออกเสียง) เช่น write-writing, move-moving, tremble-trembing ยกเว้น see-seeing, agree-agreeing 2.เปล่ียน ie เป็ น y ก่อนเติม ing เช่น die-dying, lie-lying, tie-tying ข้อสังเกต ski-skiing(เล่นสกี) 3.เติมตัวสะกดอีก 1 ตัว ถ้าเป็ นคำาพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และพยัญชนะสะกดตัวเดียว เช่น dig-digging, run-running, zip-zipping 4.เติมตัวสะกดอีก 1 ตัว ถ้าเป็ นคำาสองพยางค์ ซ่ ึงลงเสียงหนัก (stress) ท่ีพยางค์หลัง เช่น begin-beginning, occur-occurring, refer-referring หมำยเหตุ คำาลงท้ายด้วย l จะเพ่ิม l อีกตัวหน่ ึง หรือไม่เพ่ิมก็ได้ (แบบอเมริกันไม่เพ่ิม l) อเมริกา : travel-traveling, quarel-quarrenling อังกฤษ : travel-travelling, quarel-quarrenlling

Shall Shall เม่ ือใช้กับ I หรือ we อาจมีความหมาย แสดงความตัง้ใจ 1.I shall do what I like. ฉันจะทำาตามท่ีฉันชอบ 2.I shall go there if I want to. ผมจะไปท่ีนัน ่ ถ้าหากผมว่าปรารถนา(จะไป) 3.We shall defend our country whatever the cost may be.

เราจะป้ องกันประเทศของเราจนถึงท่ีสุด 4."We shall figt on the beaches , we shall fight on the landing ground, we shall fight in the fields an "เราจะสู้ตามชายหาด เราจะสู้บนท่ีซ่ึงมีการยกพลขึ้นบก เราจะสู้ในท้องทัง่และในถนน เราจะสู้ในภูเขา เราจะไม่มีวันยอม จำานนเป็ นอันเด เม่ ือใช้ shall กับ you, he , she, it , they, etc. อาจมีความหมายว่า 1.เป็ นเชิงให้สัญญา (ผู้พูดเป็ นผู้ให้สัญญา) 1. If you work hard you Shall have a holiday on Saturday. ถ้าพวกเธอทำางานให้จริงจัง ก็จะได้หยุดทุกวันเสาร์ 2.You shall have the money as soon as I get it. 2.เป็ นเชิงบังคับ(ผู้พูดเป็ นผู้บังคับบัญชา) 1.If you children won't do as I tell you, you shan't go to the party 2.Do this or you shall be punished? ทำาส่ิง มิฉะนัน ้ เธอจะถูกทำาโทษ( = ทำานะถ้าไม่ทำาจะโดนทำาโทษ) 3.เป็ นเชิงแสดงความตกลงใจอย่างแน่วแน่ (ของผู้พูด) 1.These people want to buy my house, but they shan't have it. คนเหล่านีอ ้ ยากจะซ้ือบ้านของผม แต่ว่าเขาไม่มีหวังจะได้มันหรอก (เพราะผมตกลงใจอย่างแน่นแน่เสียแล้วว่าจะไม่ขาย) 2.The enemy shall not pass. ศัตรูไม่มีทางท่ีจะผ่านไปได้หรอก (เพราะเราตกลงใจอย่างแน่วแน่เสียแล้วว่าจะไม่ยอมให้มันผ่านไปได้) Will Will เม่ ือใช้ will กับ I และ we อาจมีความหมาย 1.เป็ นกำรแสดงควำมตัง้ใจจริง 1.I will try again this year. ปี นีผ ้ มจะพยายามอีก (หลังจากท่ีผมเคยสอบตกมาแล้ว) 2.I will make this radio work even if I have to stay up all night. ผมจะทำาให้เจ้าวิทยุเคร่ ืองนีท ้ ำางานให้ได้ แม้ว่าผมจะต้องอยู่ทัง้คืนก็ตาม 2.เป็ นกำรให้สัญญำ 1. I won't forget Ladda's birthday . I will send her a present. ผมจะไม่ลืมวันเกิดของคุณลัดดาแน่ ผมจะส่งของขวัญไปให้หล่อน 2.Will you take her to be your lawful wedded wife ? คุณจะ (ยอมรับ)ถือว่าหล่อนเป็ นภรรยาท่ีแต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

bitual facts )

วามเป็ นประจำา) ต่อไปนี้

end him money. Antonio says that he hasn't any at the moment until his ships come to port. บอกว่า ขณะนีเ้ขาไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือจะเข้าเทียบท่าแล้ว(เขาจึงจะมี)

pon a time,last year

ประสงค์จะแสดงความเก่ียว พันกันก็ใช้ tense นีไ้ด้ตลอด เช่น dows.locked the doors, and walked towards the cinema.

ดเสียงเป็ น 'll เหมือนกัน

n a few minutes, a month from now เช่น

ด้เป็ นค้ว่าเม่ ือใช้แสดงอนาคตนัน ้ ก็แสดงความจงใปด้วยในตัวเป็ นต้น

นาคตอย่างแท้จริง จึงนิยมเรียกช่ ือเสียใหม่ 'Pure' Future เช่น

ช้ will ทัง้หมด คือเป็ นไปตามกฎโดยเคร่งครัด

ตามจริงก็ต้องในนครลอนดอน รูปคำาถามของ I และ We มักเป็ น Shall I? หรือ we? เสมอ ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้

u like to ...) เช่น

ในกรณีเช่นนีไ้ม่มีคำาแปลในภาษาไทย)เช่น

ดังกล่าวจะมีความหมายดีย่ิงขึน ้ ไปอีก ถ้าใช้ present continuous คือ

นท่(ี verbs of movement) แต่จะใช้ กับกริยาอ่ ืนบ้างก็ได้

าวะของจิตใจ(state of mind) ความรู้สึก(feeling) หรือแสดงสัมพันธภาพ (relationship) เช่น

น คือไมใช้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์เดียว แต่ใช้คู่กับ เหตุการณ์อีกเหตุการณ์หน่ ึงเสมอ

ากำากับไว้ในประโยค คือ บอกว่าเหตุการณ์นัน ้ ๆ กำาลังดำาเนิน อยู่ในอดีตตลอดเวลาท่ีกำาหนดนัน ้ เช่น

ชือมประโยคมักจะได้แก่ while)

keeping watch for policemen.

past simple) เหตุการณ์ท่ีกำาลังดำาเนินอยู่ใช้ past continuous เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นใหม่ใช้ past simple

d crashed into a shop.

ว่าภรรยาบอกผมยังไมละเอียด

จเป็ นกลุ่มคำา หรือวลีก็ได้

เช่นนัน ้ (ประโยคเช่นนีใ้ช้เพียง furture simple ก็ได้ แต่ความ หมายจะอ่อนลงไป)

ock, since last week, since 1960, etc. สำาหรับหลัง for เป็ น period of time คืแป็ นช่วงเวลาท่ีมีความยาวนาน เช่น for ten years, for three ho

หตึการณ์นัน ้ ๆอยู่

ได้พบอีกครัง้หน่ ึงเม่ ือได้กล่าวถึ(งประโยคคาดคะเนสมมุ indirect speech) ตซ่ิหึงรืจะได้ อประโยคแสดงความปรารถนาและในการนำ กล่าวถึงการใช้ tense นีใ้นเร่ ืองนัน ้ ๆ าคำาของผู้อ่น ื มาเล่า

oo late . The thieves has already gone.

ถึงปั จจุบัน เช่น ธรรมดา เพียงแต่ perfect continuous เน้นถึงความต่อเน่ ืองของเวลามากกว่า perfect ธรรมดาเท่านัน ้

ะใช้ tense นีไ้ม่ได้

คือ โดยปกติจะใช้ได้ก็ตอ ่ เม่ ือมีเหตึการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ ขณะท่ีเหตุการณ์หน่ ึงกำาลังดำาเนินอยูก ่ ็อีกเหตุการณ์หน่ ึงเกิดขึ้น

ามดีขน ึ้ อีก ถ้าใช้ past perfect continuous คือ ็

ทรศัพท์ดังติดต่อกันมาเป็ นเวลาห้านาที ซ่ ึงประโยคหลังนีไ้ม่มีการเน้นดังกล่าว

าะเม่ อ ื ต้องการเน้นความต่อเน่ อ ื งเท่านัน ้ น้านัน ้ ก็ยังคงดำาเนินอยู่และจะดำาเนินต่อไปอีก

จะเหมือนกับคำาแปลท่ีแล้วแต่ความหมายของประโยคนีด ้ ีกว่าประโยคก่ (โดยปกติ อนเพราะเน้ การบรรยายนั นถึงน ้ กเ

อกเพียงว่า เม่ ือถึงเวลา 11 น. ผมก็จะทำางานครบ 3 ชัว่โมง ไม่ความหมายพิเศษอย่างอ่ ืน

ป็ นเวลา 4 เดือนแล้ว riting this book for six months. ยนหนังสือนีค ้ รบเวลา 6 เดือน (แต่ก็จะยีงเขียนต่อไปอีก) book seven months. าเป็ นเวลา 7 เดือน

ยน (เม่ ือถึงเดือนธันวาคมก็ยังเขียนอยู่ และจะเขียนต่อไป) มกราคมกาเขียนก็คงจะเสร็จสิน ้ ไม่เขียนอีกต่อไป

รูปมาจากคำาคุณศัพท์ ตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้

พท์อยู่ 2 คำาต้องตัด e ทิง้ก่อนเติม ly เช่น true = truly , due = duly ถ้าต๋อยจำาหลักนีไ้ด้ ว่าเป็ นกริยาวิเศษณ์ นอกจากนีต ้ ้องจำาว่ากริยาวิเศษณ์มีหน้าท่ี

ราะขยายกริยาว่าว่ิง

ป็ นคำากริยาวิเศษณ์เพราะขยายคำาคุณศัพท์ "ทะล่ ึง" (เลือก,อวดดี, ไม่เข้าเร่ ือง)

นัน ้ "ทีเดียว" จึงเป็ นกริยาวิเศษณ์ เพราะทำาหน้าท่ีขยายกริยาวิเศษณ์ "อย่างชัดเจน"

ยนการพิจารณาหน้าท่ีของกริยาวิเศษณ์แต่ละชนิด ซ่ ึงมีอยู่ 9 ชนิด ดังต่อไปนีค ้ ือ

ระโยคคำาถามถามได้ เช่น

, or How + adv. สร้างเป็ นรูปประโยคคำาถามได้ เช่น

มาแล้ว จึงจะช่วยให้มห ี ลักการพิจารณาได้ดังต่อไปนีค ้ ือ

หรือกริยาแท้ของประโยค แต่มีคำาท่ีวางหลังประโยค once , twice

e year 1962.

ไว้หน้า กริยาตัวท่ีหน่ึงของประโยคได้ เช่น

d, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender." นภูเขา เราจะไม่มีวันยอม จำานนเป็ นอันเด็ดขาด"

ช่น for ten years, for three hours , for two weeks, etc. อน่ ึง หลัง since เม่ ือเป็ นประโยคก็จะต้องเป็ น ประโยคท่ีแสดง point of time

โยคนีด ้ ีกว่าประโยคก่ (โดยปกติ อนเพราะเน้ การบรรยายนั นถึงน ้ การท่ เขาก็บ ีผรรยายติ ู้บรรยาได้ดบต่รรยายติ อกันมาไม่ ดต่ใอบรรยาแล้ กันมาเป็ วนหยุ เวลาคร่ ดแล้วึงบรรยายต่ ชัว่โมงต่างกั อบ ดังประโยคแรกท่ นัน ้ ประโยคนีีไจ้ม่ึงไได้ ด้เใน้จความดี นถึงความต่ กว่าประโยคแรกมากดั อเน่ ืองของการบรรยาย งกล่าวแล้ว

นีต ้ ้องจำาว่ากริยาวิเศษณ์มีหน้าท่ี 3 อย่าง คือ ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ และขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกัน โดยพิจารณาจากหน้าท่ีเช่น

คท่ีแสดง point of time ซ่ึงเป็ น past เช่น

ดีกว่าประโยคแรกมากดังกล่าวแล้ว)

WORDS คำาในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ นชนิดต่างๆได้   ๘   ชนิด ด้วยกันคือ 1. Noun คำานาม (คำาท่ีใช้เรียกช่ ือคน สัตว์ ส่ิงของ สถานท่ี) 2. Pronoun   คำาสรรพนาม  (คำาท่ีใช้แทนคำานาม) 3. Adjective   คำาคุณศัพท์  (คำาขยายคำานาม)  4. Adverb  คำากริยาวิเศษณ์   (คำาขยายกริยา  ฯลฯ   ยกเว้นนาม  กับ  สรรพนาม 5. Verb    คำากริยา  ( อาการกระทำาของประธาน) 6. Conjunction    คำาสันธาน  (คำาท่ีใช้เช่ ือมอนุประโยคตัง้แต่ 2 ประโยคขึ้นไป) 7. Preposition    คำาบุพบท  (คำาใช้เช่ ือมแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา) 8. Interjection   คำาอุทาน  (คำาทีเปล่งออกมาลอยๆ  เพ่ ือแสดงความรู้สึกของอารมณ์           ในภาษาอังกฤษนัน ้ การสร้างประโยคจะใช้คำาต่างๆเหล่านีม ้ าแต่งเป็ นประโยคขึ้น  ซ่ ึงคำาแต่ละชนิดนีจ้ะมีลักษณะเฉพาะของต คือมีหน้าท่ีต่างกันและมีการวางตัวต่างกันด้วย   ซ่ ึงต่อไปนีจ้ะได้อธิบายพ้ืนฐานเร่ ืองหลักการใช้คำาต่างๆ เหล่านีแ ้ ละหลักการแต่งประโยคอ

NOUN Noun คือคำาท่ีใช้เป็ นช่ ือของ คน สัตว์ ส่ิงของและสถานท่ี แบ่งออกได้ 5 ชนิดคือ           1. Common Noun  สามานยนาม ได้แก่นามท่ีเป็ นช่ ือไม่ชีเ้ฉพาะของ คน สัตว์ ส่ิงของ และสถานท่ี เช่น            2. Proper Noun  วิสามานยนาม ได้แก่นามท่ีเป็ นช่ ือเฉพาะของคน สัตว์ ส่ิงของ และสถานท่ี และจะต้องเขียนด           3. Collective Noun  สมุหนาม ได้แก่นามท่ีเป็ นช่ ือของหมู่คณะ, กลุ่ม, ฝูง เป็ นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็ นคำาผสมท่ีค ดังนัน ้ กิริยาจึงต้องใช้ให้เป็ นพหูพจน์ด้วย (อน่ ึงบางคำาอาจเป็ นคำาคำาเดียวก็ได           4. Material  Noun  วัตถุนาม  ได้แก่นามท่ีเป็ นช่ ือของเน้ือวัตถุ  ซ่ ึงส่วนมากก็ได้แก่นามท่ีเป็ นของเหลว           5. Abstract  Noun   อาการนาม  ได้แก่นามท่ีเป็ นช่ ือของลักษณะ, สภาวะ,  และการกระทำา  นามจำาพวกนีไ้ม่มีตัว หน้ำที่ของนำม นามทัง้ 5 ชนิดท่ีกล่าวมานัน ้ เวลานำาไปพูดหรือเขียน สามารถทำาหน้าท่ีได้ 7 อย่างคือ 1. เป็ น Subject ของกิริยาในประโยคได้. 2. เป็ น Object ของกิริยาในประโยคได้. 3. เป็ น Object ของ Preposition (บุรพบท) ได้. 4. เป็ น Complement คือส่วนสมบูรณ์ของกิริยาได้. 5. เป็ น Appositive คือเป็ นนามซ้อนนามได้. 6. เป็ น Address คือเป็ นนามเรียกขานได้ (และต้องใส่, Comma ด้วย). 7. เป็ น Possessive คือเป็ นนามแสดงความเป็ นเจ้าของได้ (และต้องใส่ Apostrophe’s ด้วย)

Pronoun Pronoun (คำาสรรพนาม) คือคำาท่ีมีไว้สำาหรับ(พูด,เขียน)แทนช่ ือของคน,สัตว์,ส่ิงของ,และสถานท่ีเพ่ ือป้ องกันมิให้กล่าวช่ ือนัน ้ ซ้ำาๆซาก Pronoun   มีอยู่ 8 ชนิดด้วยกันคือ 1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม 2. Possessive Pronoun  สามีสรรพนาม 3. Definite Pronoun  นิยมสรรพนาม 4. Indefinite Pronoun  อนิยมสรรพนาม 5. Interrogative Pronoun ปฤจฉาสรรพนาม 6. Relative Pronoun  ประพันธ์สรรพนาม 7. Reflexive Pronoun  สรรพนามสะท้อนหรือเน้น 8. Distributive Pronoun  วิภาคสรรพนาม 1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม คือสรรพนามท่ีใช้แทนช่ ือของผู้พูด, ผู้ฟัง, และผู้ท่ีถูกกล่าวถึง  ซ่ึงมีออยู่ บุรุษท่ี     1

เอกพจน์ I

พหูพจน์ we

บุรุษท่ี     2 บุรุษท่ี     3

you you he,   she,    it the

Personal   Pronoun   แบ่งได้  5  รูป คือ                                                                รูปท่ี  1 I We You He she It they

รูปท่ี 2 Me us you him her It them

รูปท่ี 3 My Our Your his Her its there

รูปท่ ี 4 mine ours yours his hers its theirs

รูปท่ี 5 myself ourselves yourself himself herself itself themselves

2.  Possessive Pronoun สามีสรรพนาม   คือสรรพนามท่ีใช้แสดงความเป็ นเจ้าของ ซ่ ึงก็คือบุรุษสรรพนามรูปท่ ี 2.1    เป็ นประธานของกิริยาในประโยค  เช่น Your   book  is green,  mine is red. 2.2    เป็ นส่วนสมบูรณ์ของกิริยา   เช่น  this  pencil is mine, that one is your. 2.3  ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำาเช่ ือมคำา) เพ่ ือเน้นความเป็ นเจ้าของให้ชัดเจนขึ้นได้เช่น  A   friend  of                3.  Definite Pronoun นิยมสรรพนาม  คือสรรพนามท่ีชีเ้ฉพาะและใช้แทนนามได้ ท่ีนิยมใช้แพร่หลายมีอยู่                     this,   that,   one      3   ตัวนีใ้ช้แทนนามท่ีเป็ นเอกพจน์.                    These,    those,  ones   3    ตัวนีใ้ช้แทนนามท่ีเป็ นพหูพจน์. *นิยมสรรพนามนี ท



ำา หน้ . าท่ีเป็ นประธานหรือกรรมของกิริยาในประโย

   4.   Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามท่ีใช้แทนนามได้ทัว่ไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนัน ้ คนนีโ้ดยตรง 

*ข้อสังเกต ทัง้นิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม  ถ้าใช้โดยมีคำานามอ่ ืนตามหลังจะกลายเป็ นคำาคุณศัพท์ไป  แต่ถ้าใช้โดยไม่มีคำานามอ่ ืน

               5. Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม  คือสรรพนามท่ีใช้เป็ นคำาถาม  และต้องไม่มีนามตามหลังด้ว  ·  Who   (ใคร)   ใช้ถามถึงบุคคลและเป็ นประธานของกิริยาในประโยคได้ บางครัง้ก็เป็ นกรรมได้      เช่น.   Who   is  standing   there  ? ใครกำาลังยืนอยู่ท่ีนัน ่ ?. ·Whom  (ใคร)  ใช้ถามถึงบุคคลและเป็ นกรรมของกิริยาหรือบุรพบท  (บางครัง้ใช้ Who แทน). เช่น Whom ·Whose  (ของใคร)  ใช้ถามถึงเจ้าของ  และต้องเป็ นบุคคลเท่านัน ้ เช่น.  Whose  is  the  car ?                    ·    What (อะไร)   ใช้ถามถึงส่ิงของเป็ นได้ทัง้ประธานและกรรม  เช่น:                       -   ถ้าเป็ นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทัง้สิน ้ เช่น What  delayed  you ?

-     ถ้าเป็ นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอ่ ืนมาร่วมด้วย  และวางไว้หลัง What เช่น What do you   want  ?

                      ·   Which  (ส่ิงไหน อันไหน)  ใช้ถามถึงสัตว์, ส่งิ ของ, เป็ นได้ทัง้ประธานและกรรม เช่น  ถ้าเป็ นประธ

                      6.   Relative  Pronoun   ประพันธ์สรรพนาม  คือสรรพนามท่ีใช้แทนท่ีอยู่ข้างหน้า และในขณะเ ·Who  (ผู้ซ่ึง)  ใช้แทนนามท่ีเป็ นบุคคลและบุคคลนัน ้ จะต้องเป็ นผู้กระทำาด้วย เช่น    The  man  who ·Whom  (ผู้ซ่ึง)  ใช้แทนนามท่ีเป็ นบุคคลและบุคคลนัน ้ ต้องเป็ นผู้ถูกกระทำาด้วย เช่น The  boy  whom ·Whose (ผู้ซ่ึง…..ของเขา)   ใช้แทนนามท่ีเป็ นบุคคลเพ่ ือแสดงความเป็ นเจ้าของนามท่ีตามหลัง ดังนัน ้ เม่ ือมี  ·Which  (ท่ี,ซ่ ึง)  ใช้แทนนามท่ีเป็ นสัตว์ ส่ิงของ เป็ นได้ทัง้ประธานและกรรม   The  animal            ·Where  (อันเป็ นท่ี)  ใช้แทนนามท่ีเป็ นสถานท่ี เป็ นได้ทัง้ประธานและกรรม เช่น  The  night  club is  the  place 

·What  (อะไร,ส่ิงท่ี)  ใช้แทนนามท่ีเป็ นส่ิงของ นามท่ี What ไปแทนทำาหน้าท่ีเป็ นประพันธ์สรรพนามนัน ้ ไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่า ·When  (เม่ ือ,ท่ี)  ใช้แทนนามท่ีเก่ียวกับเวลา ,วัน,  เดือน,ปี   เช่น  Sunday  is  the  day  when ·Why  (ทำาไม)   ใช้แทนนามท่ีเป็ นเหตุผล  (ส่วนมากใช้แทน reason ) เช่น This  is  the  reason                  ·   That  (ท่ี,ซ่ ึง)   ใช้แทนคน, สัตว์, ส่ิงของ, และสถานท่ีได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์        1.    เป็ นนามท่ีมีคุณสมบัติสูงสุดมาขยายอยู่ข้างหลัง เช่น  He is the tallest  man  that  I   have  ever seen. 2.    เป็ นนามท่ีมีเลขจำานวนนับท่ีมาขยายอยู่ข้างหน้า  เช่น China  is  the  first  country  that 3.    เป็ นนามท่ีมีคุณศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น She has much money  that  she  give  me. 

                           4.    เป็ นสรรพนามผสมต่อไปนีต ้ ัวใดตัวหน่ ึงปรากฏอยู่แล้ว คือ someone,  somebody,  so           7.  Reflexive   Pronoun   สรรพนามสะท้อนหรือเน้น  ได้แก่บุรุษสรรพนามท่ี 5                                  1.  เรียงไว้หลังประธาน  เม่ ือต้องการเน้นว่าประธานเป็ นผู้กระทำากิจนัน ้ ด้วยตนเอง เช่น   2.    เรียงไว้หลังกริยา เม่ ือบอกว่าผลการกระทำานัน ้ เกิดจากผู้กระทำาเองเช่น   I  will  punish  myself 3.    เรียงไว้หลังกรรม  เม่ ือต้องการเน้นกรรมนัน ้ เช่น   I   spoke   to  the  President   himself 8.  Distributive   Pronoun    วิภาคสรรพนาม   คือสรรพนามท่ีใช้แทนคำานามในการแบ่งหรือจำาแนกออกเป็ นคร่ึงหน่ึง each   แต่ละ,  either   คนใดคนหน่ ึง,   neither  ไม่ใช่ทัง้สอง  หรือไม่ใช่ทัง้สอง  เช่น  There  are  ten  boy  . 

*   ข้อสังเกต   วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็ นสรรพนาม  แต่ถ้าใช้โดยมีนามอ่ ืนตามหลังจะเป็ นคุณศัพท์                      

ลักษณะพจน์ของนำมโดยทั่วไป

                ในการสร้างประโยคนัน ้ จะต้องใช้กริยาให้สอดคล้องกับพจน์ของตัวประธาน  ถ้าประธานเป็ นเอกพจน์กริยาก็ต้องเป็ น

          1.     ถ้าท้ายศัพท์นัน ้ ไม่เติม  S  ให้ถือว่าเป็ นเอกพจน์  เช่น   a  book ,   a cat  …  etc.           2.    ถ้าท้ายศัพท์นัน ้ เติม  S   ให้ถือว่าเป็ นพหูพจน์  เช่น  Books,     cats ….   etc.

                *    ข้อยกเว้น   มีนามหลายตัว หรือหลายลักษณะท่ีไม่อยู่ในหลักการทัง้  ท่ีกล่าวมาแล้วนัน ้   ซ่ึงเป็ นเร่ ืองท่ีละเอ                                                          เพศของนำม           นามในภาษาอังกฤษทัง้ 5  ชนิด   เม่ ือจำาแนกออกเป็ นเพศแล้วจะมีอยู   ่ 4  เพศ  คือ           1.   Masculine    Gender   เพศชาย    เช่น  boy,  man….etc.                 2.  Feminine     Gender    เพศหญิง  เช่น   girl,  woman …etc.           3.   Common    Gender   เพศรวม  เช่น Teacher,  Student…etc.           4.   Nature     Gender    ไม่มีเพศ  เช่น   pen,  desk…etc.

หลักการเปล่ียนเพศชายเป็ นเพศหญิงมีหลักเกณฑ์  4  อย่างคือ 1.    โดยการเปล่ียนคำาทัง้คำาจากเพศชายเป็ นเพศหญิง เช่น  Boy   เป็ น   Girl  เป็ นต้น 2.    โดยการเติมอาคม  ess   ท่ีท้ายคำาเพศชาย  เช่น         Prince  เป็ น   Princess  เป็ นต้น 3.    โดยการเติมคำาท่ีเป็ นเพศหญิงข้างหน้านาม  จะกลายเป็ นเพศหญิง  เช่น Boy-friend เป็ นgirl-         friend    เป็ นต้น.                                                                              4.    โดยการเติมคำาท่ีเป็ นเพศหญิงข้างหลังนามจะกลายเป็ นเพศหญิง เช่น Grand-father        เป็ น  Grandmother  เป็ นต้น. จบเร่ ืองนามและสรรพนาม Article                  Article   คือคำาท่ีใช้นำาหน้านาม    คือคำานามในภาษาอังกฤษทุกตัว เวลาพูด-เขียนจะต้องมี                    Article  มีอยู่ 2 ชนิดคือ           1.   Indefinite Article คือคำานำาหน้านามแล้วมีความหมายทัว่ไป  อันได้แก่  A  , An.           2.   Definite Article คือคำานำาหน้านามแล้วมีความหมายชีเ้ฉพาะ  ได้แก่  The .                                  

หลักทัว่ไปของการใช้   A                   คือเม่ ือ  A  นำาหน้านามใดนามนัน ้ ต้องมีลักษณะครบ  4  ประการ อันได้แก่ 1.    เป็ นนามเอกพจน์ 2.    เป็ นนามนับได้ 3.    เป็ นนามท่ีขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ 4.    เป็ นนามท่ีมีความหมายทัว่ไป *  ข้อยกเว้น  ห้ามใช้  A นำาหน้า  คือนามบางตัวท่ีขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ  แต่อ่านออกเสียงสระท่ีอยู่ถัดไป  นามตัวนัน ้ ให้ใช้  หลักทัว่ไปของการใช้  AN      คือเม่ ือ  AN  นำาหน้านามใด  นามนัน ้ จะต้องมีลักษณะครบ 4  ประการ คือ                                    1.    เป็ นนามเอกพจน์ 2.    เป็ นนามนับได้ 3.    เป็ นนามท่ีขึ้นต้นด้วยสระ คือ    A ,  E ,  I ,  O ,  U. 4.    เป็ นนามท่ีมีความหมายทัว่ไป

               *  ข้อยกเว้น   ห้ามใช้   AN  นำาหน้าคือ  นามบางตัวท่ีขึ้นต้นด้วยสระ  แต่อ่านออกเสียงเป็ นพยัญชนะ”ย”  นาม            นามต่อไปนีห ้ ้ามใช้ทัง้ A  และ AN  นำาหน้าเด็ดขาด 1. นามท่ีนับไม่ได้ทุกชนิด 2. นามพหูพจน์ทุกชนิด                        หลักทัว่ไปของการใช้  THE           ใช้นำาหน้าได้ทุกชนิด ทุกประเภท  นัน ่ คือ                                   1.   เป็ นนามเอกพจน์       ก็ใช้  The  นำาหน้าได้                                   2.    เป็ นนามพหูพจน์   ก็ใช้  The  นำาหน้าได้                                       3.    เป็ นนามท่ีขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ  ก็ใช้  The  นำาหน้าได้                                     4.    เป็ นนามท่ีขึ้นต้นด้วยสระ    ก็ใช้  The  นำาหน้าได้                                       5.    เป็ นนามท่ีนับได้  ก็ใช้  The  นำาหน้าได้

                                      6.   เป็ นนามท่ีนับไม่ได้  ก็ใช้  The  นำาหน้าได้                                            7.   แต่นามท่ีกล่าวมาทัง้หมดนีจ้ะต้องมีความหมายชีเ้ฉพาะเจาะจงเท่านัน ้             นามต่อไปนีห ้ ้ามใช้ THE  นำาหน้า                                 1.   นำมที่กล่ำวขึ้นมำลอยๆ                                  2.   นามท่ีระบุไว้ในหัวข้อว่าห้ามใช้  THE  นำาหน้า(ซ่ ึงมีข้อห้ามมากมายแต่จะไม่กล่าวถึง      * อน่ ึงแม้ลักษณะของประโยคจะไม่มีคำาบ่งชีเ้ฉพาะเอาไว้  แต่ถ้านามนัน ้ เป็ นท่ีรู้จักกันดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง  ก็ให้ใช้ การใช้  A, AN, THE แบบระคน -         ถ้านามนัน ้ มีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมา ขยายอยู่ข้างหลัง ให้ใช้    the   ทันที. -         ถ้านามนัน ้ ไม่มีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมาขยายอยู่ข้างหลังให้ใช้    a,  an   ทันที            * มีหลักพิเศษอีกอย่ำงหน่ ึงคือ  นำมใดก็ตำมที่เป็ นเอกพจน์นับได้  ที่กล่ำวขึ้นมำลอยๆ ให้เติม *   อน่ ึงยังมีรายละเอียดเก่ียวกับคำานามบางตัวว่านามตัวใดใช้เฉพาะ A, AN และนามตัวใดใช้เฉพาะ THE   จบเร่ ือง Article

Adjective Adj.   คือคำาท่ีใช้บรรยายคุณภาพของนาม (ขยายนาม)  เช่น  Good,  tall,  fat ..etc. Adj.  เวลานำาไปใช้นัน ้ ปรกติมีวิธีใช้อยู่  2  วิธีคือ 1.    เรียงไว้หน้านามท่ี Adj. นัน ้ ไปขยายโดยตรงก็ได้  เช่น  The   fat  man  can’t run  quick.   A   clever  boy can answer a difficult problem. 2.    เรียงไว้หลัง  Verb  to  be  ก็ได้  เช่น. Somsri  is  beautiful. My   dog  is  black.                *  อน่ ึงการใช้  Adj.  แบบ 1 และ 2 นัน ้ เป็ นการใช้ Adj.  แบบทัว่ๆไป    แต่ยังมี  ชนิดของ  Adj.                      Adj.  แบ่งออกเป็ น    8  ชนิดคือ. 1.    Descriptive  Adj.   คุณศัพท์บอกลักษณะ(หรือคุณภาพ)  เช่น  Good, fat, tall,  thin,  rich ,etc.

2.    Proper  Adj.  คุณศัพท์บอกช่ ือเฉพาะ(บอกสัญชาติ)คือเป็ นAdj. ท่ีมีรูปมาจากคำานามท่ีเป็ นช่ ือเฉพาะ เช่น 3.    Quantitative  Adj.  คุณศัพท์บอกปริมาณ(ว่ามากหรือน้อยเท่านัน ้ )  ได้แก่คำาว่า many,  much,  little,  some,  4.    Numeral  Adj.  คุณศัพท์ท่ีบอกจำานวน(ว่ามีเท่าไร) ได้แก่คำาว่า One, Two, Three… 5.    Demonstrative Adj.  คุณศัพท์ชีเ้ฉพาะ(เจาะจงว่าเป็ นคนนัน ้ คนนี ม ้ ิได้หมายถึงคนอ่ ืน)ได้แก่คำาว่า  6.    Possessive  Adj.  คุณศัพท์บอกเจ้าของ(มีรูปมาจากบุรุษสรรพนามท่ี 3 )แต่เวลาใช้จะต้องมีนามตามหลังด้วยเสมอ  ได้แก 7.    Interrogative  Adj.  คุณศัพท์คำาถาม (ใช้ขยายนามเพ่ ือให้เป็ นคำาถาม ต้องวางไว้หน้านามเสมอ ถ้าไม่มีนามตามหลังมันจะ 8.     Distributive  Adj.  คุณศัพท์แบ่งแยก(ใช้ขยายานามเพ่ ือแบ่งแยกให้เป็ นรายบุคคลหรือรายส่ิงตามท่ีผู้พูดต้องการ จบเร่ ือง Adjective

Adverbs  Adverbs   คือคำำที่ทำำหน้ำที่ขยำยกริยำ,  คุณศัพท์ , หรือขยำย Adverbs ด้วยกันก็ได้          หลักการใช้ Adverbs  -         ถ้าขยายกริยา ให้เรียงไว้หลังกริยา  เช่น The  old  man  walk slowly. -         ถ้าขยายคุณศัพท์ ให้เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ เช่น Dang is very strong. -         ถ้าขยาย Adverbs  ให้เรียงไว้หน้า Adverbs  เช่น  The train runs very fast. ชนิดของ Adverbs Adverbs  แบ่งออกเป็ นหมวดใหญ่ๆได้  3  หมวด คือ               1.  Simple Adverbs   กริยาวิเศษณ์สามัญ  ใช้ขยายกริยาธรรมดาน่ีเอง แบ่งได้                    1. Adverbs    of  time   กริยาวิเศษณ์บอกเวลา ได้แก่คำาว่า  now, ago, yesterday, ...                    2. Adverbs  of  place   กริยาวิเศษณ์บอกสถานท่ี  ได้แก่คำาว่า near, far, in, out, …

                   3. Adverbs of  frequency  กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำาเสมอ ได้แก่คำาว่า always,  often,  again,

                  4.Adverbs  of  Manner  กริยาวิเศษณ์บอกอาการ  ได้แก่คำาว่า  well,  slowly,  .    quickly, fas                   5.   Adverbs of  Quantity  กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากน้อย ได้แก่คำาว่า                    6.  Adverbs  of  affirmation  or  negation กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ          2.   Interrogative Adverbs      กริยาวิเศษณ์คำาถาม  ใช้ขยายกริยาเพ่ ือให้เป็ นคำาถาม                      1.   บอกเวลา  ได้แก่คำาว่า When (เม่ ือไร),  How long (นานเท่าไร). 2.   บอกสถานท่ี  ได้แก่คำาว่า Where  (ท่ีไหน). 3.   บอกจำานวน   ได้แก่คำาว่า  How  many  (มากเท่าไร),  How often (ก่ีครัง้)..  4.   บอกกริยาอาการ  ได้แก่คำาว่า  How  (อย่างไร)(ใช้กับ do).                                       5.  

        6.   บอกเหตุผล  ได้แก่คำาว่า  Why (ทำาไม).           3.   Conjunctive Adverbs  กริยาวิเศษณ์สันธาน  ใช้เช่ ือมประโยคหน้าและหลังให้สัมพันธ์กัน ได้แก่คำาว่า      * Adverbs   บางคำามีรูปเช่นเดียวกับ  Adj.  แต่การใช้ต่างกันคือ -         เม่ ือวางไว้หน้านาม  หรือหลัง  Verb  to  be  ก็จะเป็ น  Adj. -         ถ้าวางไว้หลังกริยาทัว่ๆไป ก็จะเป็ น Adverbs. จบเร่ ือง   Adverbs

Verb Verb  (กริยา)  คือคำำที่แสดงถึงกำรกระทำำหรือถูกกระทำำของคำำท่ีทำำหน้ำท่ีเป็ นประธำน(หรือคำาท่ท ี ำาหน้าท่ีช่วยกริยาด้วยก็ได้ Verb  แบ่งออกเป็ น  3  ชนิดคือ 1.   สกรรมกริยา  Transitive  Verb   กริยาท่ีต้องมีกรรมมารับ. 2.   อกรรมกริยา   Intransitive   Verb   กริยาท่ีไม่ต้องมีกรรมมารับ.                    3.  กริยำนุเครำะห์  Auxiliary  Verb  กริยำท่ีบอก  Tens, Voice, Mood.             1.  สกรรมกริยำ  คือกริยาท่ีต้องมีกรรมมารับจึงจะได้เน้ือความสมบูรณ์    เช่น   Kick (เตะ            คำาท่ีนำามาเป็ นกรรมของสกรรมกริยาได้ก็คือ              1.    นามทุกชนิด   เช่น A  mango. 2     สรรพนาม  เช่น  Him. 3.    กริยาสภาวมาลา(สภาวะท่ีเกิดอยู่กับชีวิต) เช่น  To  study. 4.    กริยาท่ีเติม  ing  แล้วนำามาใช้เป็ นนาม  เช่น  sleeping. 5.    วลีทุกชนิด  เช่น I  don’t  know  what  to  do. 6.    อนุประโยค  เช่น  I  know  who  will  come  tomorrow.

*อน่ึง  สกรรมกริยาบางตัวหรือบางประโยค ต้องมีตัวขยายกรรมมารับ จึงจะได้เน้ือความสมบูรณ์   เช่น  The  people   made  h 2.  อกรรมกริยำ  คือกริยาท่ีมีเน้ือความอยู่ในตัวสมบูรณ์แล้ว  ไม่ต้องมีกรรมมารับ   เช่น Run, sleep, swim, sit.  3.    กริยำนุเครำะห์   หรือกริยาช่วย  ได้แก่กริยาท่ีไปทำาหน้าท่ีช่วยกริยาตัวอ่ ืน  เพ่ ือให้เป็ น  Mood,  Voice,  Tense   

                   Is, am,   are,   was,   were                    Have, has, had,                     Do,   dose,  did                    Will, would                    Shall,   should                    Can,   could                    May,   might                    Must                    Need                    Dear                     Ought  to,      us  to. *ข้อสังเกตว่าจะเป็ นกริยาแท้หรือเป็ นกิริยาช่วยก็ให้ดูว่า  ถ้ากริยาตัวใดตัวหน่ ึงจาก  24  ตัวนีอ ้ ยู่ในประโยค Ladda  is  a  beautifily  girl.    (แท้). Ladda  is  drinking  water.      (ช่วย). 

หน้ำที่  Verb  to  be Verb  to  be  ใช้ทำาหน้าท่ีช่วยกริยาตัวอ่ ืนได้ดังนี้ 1.   วางไว้หน้ากริยาท่ีเติม  Ing   ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ น  Continuous  tense.                      2.    วำงไว้หน้ำกริยำช่อง  3  (เฉพำะสกรรมกริยำ) ทำำให้ประโยคนัน ้ เป็ นกรรมวำจก

                       3.   วำงไว้หน้ำกริยำ สภำวมำลำ Infinitive   แปลว่ำ  จะต้อง  มีควำมหมำยเป็ นอนำคต  เพ่ ือแสด

หน้ำที่ของ   Verb  to  do                                Verb  to   ใช้ทำาหน้าท่ีช่วยกริยาตัวอ่ ืนได้ดังนี้.                        1.    ช่วยทำาประโยคบอกเล่าให้เป็ นประโยคคำาถาม  ตามหลักท่ีว่า                                                              Verb   to  have   ไม่มี

Verb   to   be     ไม่อยู่ Verb  to  do      มำช่วย                                                 2.    ช่วยทำาประโยคบอกเล่าให้เป็ นประโยคปฏิเสธเหมือนกรณีข้อ  1  (เติม                          3.   ช่วยหนุนกริยาตัวอ่ ืนเพ่ ือให้ความสำาคัญกับกริยาตัวนัน ้   ว่าจะต้องเป็ นเช่นนัน ้                                จริงๆ โดยเรียงไว้หน้ากริยาท่ีมันไปหนุน.                          4.   ใช้แทนกริยาตัวอ่ ืนในประโยค เพ่ ือต้องการมิให้กล่าวกริยานัน ้ ๆซ้ำาๆซากๆ                          5.    Verb  to  do  ถ้านำามาใช้เป็ นกริยาแท้แปลว่า  ทำา.                            หน้ำที่ของ  Verb  to  have                       Verb  to  have    ใช้ทำาหน้าท่ีดังนีค ้ ือ 1.    เรียงไว้หน้ากริยาช่อง 3  ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ น  Perfect tense. 2.    ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลาตามหลัง  มีสำาเนียงแปลว่า ต้อง  ตลอดไป เช่น I  have  to  meet  you  tomorrow.   ฉันต้องไปพบท่านวันพรุ่งนี้. 3.    ใช้ในประโยคท่ีให้ผู้อ่ืนทำาอย่างใดอย่างหน่ ึงให้  ในกรณีนีต ้ ้องใช้รูปประโยค    Have  +  noun  +  Verb 3  . 

หน้ำที่ของ  Will,  shall,  would,  should.                         Will    ช่วยกริยาตัวอ่ ืนเพ่ ือให้เป็ นอนาคตกาล  ใช้กับประธำนบุรุษที่  2, 3                         Shall   ช่วยกริยาตัวอ่ ืนเพ่ ือให้เป็ นอนาคตกาล  ใช้กับประธำนบุรุษที่  1                                                    Would   ใช้เป็ นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้. 1.    ใช้เป็ นอดีตของ  will  ในประโยคท่ีเปล่ียนจากคำาพูดของผู้อ่ืนมาเป็ นของตน 2.    ใช้เป็ นกริยาช่วยในสำานวนการพูด “อยากจะ”    “อยากให้”. 3.    ใช้ในสำานวนการพูดว่า” ควรจะ…ดีกว่า”  ควบกับ Better  หรือ  rather   Should  ใช้เป็ นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.

1.    เป็ นอดีตของ  Shall  ได้. 2.    Should   เม่ ือแปลว่า “ควร”  หรือ “ควรจะ”  ถือเป็ นปั จจุบันกาลใช้ได้กับทุกประธาน

หน้ำที่ของ  May,  Might                              May  นำามาช่วยได้ดังนี้. 1.    เพ่ ือแสดงความมุ่งหมาย (เพ่ ือ) 2.    เม่ ือแสดงความปรารถนา หรืออวยพรให้(ขอให้) *ต้องวางไว้หน้าประโยค. 3.    เพ่ ือช่วยถึงการอนุญาต  หรือขออนุญาต(ควรจะ) 4.    เพ่ ือแสดงความคาดคะเน (อาจจะ).  5.    ช่วยเพ่ ือแสดงความสงสัย (อาจจะ).                              Might  นำามาช่วยได้ดังนี้.  1.    ใช้เป็ นอดีตของ  May. 2.    ใช้ในกรณีท่ีผู้พูดไม่แน่ใจว่าเขาจะทำาอย่างนัน ้ จริง(แต่ถ้าแน่ใจใช้ May แทน). Need Need    ถ้าเป็ นกริยาช่วยแปลว่า “จำาเป็ นต้อง” 

            ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์(ส่วนมากใช้เป็ นกริยาช่วยในประโยคคำาถามและประโยคปฏิเสธเท่านัน ้ และกริยาแท้ท่ีตามหล Need   ถ้าเป็ นกริยาแท้แปลว่า "ต้องการ" และใช้เหมือนกริยาแท้ทัว่ๆไป(ต้องมี  To  ตามหลัง Need ตลอดไป). Dear

                    Dear   ถ้าเป็ นกริยาช่วยแปลว่า “ กล้า”       ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์     และเป็ น“ ปั จจุบันกาล                                                                    Ought to                                  Ought  to    แปลว่า   “ควรจะ”  เป็ นกริยาพิเศษเหมือน Used   to

                                  Used  to    แปลว่า  “เคย”  เป็ นกริยาพิเศษหมายความว่า “เคยกระทำาอย่างใด อย่างห จบเร่ ือง Verb

Conjunction    Conjunction   (คำาสันธาน) คือคำาท่ีใช้เช่ ือมประโยคต่อประโยค  คำาต่อคำา  หรือระหว่างกริยาต่อกริยา                1.       Conjunction   คำาเดียว 2.       Conjunction    คำาผสมหรือวลี                      Conjunction   คำาเดียวท่ีพบเห็นบ่อย         และใช้กันแพร่หลายมีดังนี้                         Conjunction    วลี หรือคำาผสมท่ีพบเห็นบ่อยๆได้แก่คำาต่อไปนีค ้ ือ                     -  Either….or    แปลว่า”ไม่อันใดก็อันหน่ ึง” ใช้เลือกเอาอย่างใดอย่างหน่ ึง ถ้าไปควบประธาน                   -  Neither…..or   แปลว่า “ไม่ทัง้สอง”  ไว้สำาหรับปฏิเสธโดยสิน ้ เชิง(กริยาถือตามประธานตัวหลัง                   -  As  well  as  แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ"  (กริยาถือตามประธานตัวหน้า)

                    -  Not  only………but  also     แปลว่า  “ ไม่เพียงแต่……..เท่านัน ้ แต่ยังอีกด้วย”  ใช้เน้นน้ำาห

จบConjunction

Preposition Preposition   (คำาบุรพบท)    คือคำาท่ีใช้เช่ ือม  หรือแสดงความสำาพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา  เช่น นามต่อนาม Preposition    ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ น 2 ชนิดคือ. 1.   Preposition   คำำเดียว      [Single Preposition]. 2.   Preposition    วลี      [Preposition  phrase].

Preposition   คำาเดียวท่ีพบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่  44  คำาคือ  in,  on,  at,  under,  to,  from,  of,  o Preposition   คำำเดียว                     การใช้  [  in,  at,  on]    บุรพบทท่ีใช้กับเวลามีหลักดังนี้.

                        In:     ใช้บอกเวลาท่ีเป็ นช่ ือเดือน, ปี , ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น  I  like  to  swim  At  :   ใช้เพ่ ือบอกเวลาเก่ียวกับชัว่โมง  ,  noon,  night,  midnight,  midday,  Christmas,  Easter  On  :  ใช้เพ่ ือบอกเวลาท่ีเป็ นวันของสัปดาห์  และวันท่ี  วันสำาคัญทางราชการ และวันสำาคัญทางศาสนา  เช่น  On  time    แปลว่า  ตรงเวลาพอดี   (ตรงพอดี). เช่น  He  come  on  time.  เขามาตรงเวลาพอดี                          In  time    แปลว่า   ทันเวลา  (ก่อนเวลา, ก่อนกำาหนด).   เช่น                                                   การใช้     [at,  in]   บุรพบทท่ีใช้เก่ียวกับสถานท่ีมีหลักดังนี    ้                           at  :  ใช้บอกสถานท่ีท่ีไม่ใหญ่โตนัก ท่ีจำากัดแน่นอน  เช่น  at  school, 

                            in  :  ใช้บอกสถานท่ีท่ีใหญ่โตก็ได้เช่น   in  Thailand.  หรือใช้บอกสถานท่ีท่ีเจาะจงภายในแห การใช้  During, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้                            คำาทัง้  3  แปลว่า “ ระหว่าง “ แต่ใช้ต่างกันดังนี้

                           During:   ใช้สำาหรับบอกระยะเวลาการกระทำาช่วงใดช่วงหน่ ึงตามท่ีระบุไว้ในประโยค      เช่น                                  Between: ใช้สำาหรับครัน ่ ระหว่างของสองอย่าง หรือคนสองคน      เช่น                                Among   : ใช้สำาหรับครัน ่ หรือเช่ ือมนาม ท่ีมีจำานวนตัง้แต่  3  การใช้  [ in,  on,  by]  กับยานพาหนะ                      in  :  ใช้กับยานพาหนะท่ีมีสภาพปิ ด  กำาบัง  เช่น   in the bus,  in  the  plane…

                     on  :  ใช้กับยานพาหนะท่ีมีสภาพเปิ ดโล่ง แจ้ง ไม่ปกปิ ดกำาบัง เช่น  on a house,   on a  motor-cy                      By  :  ใช้ได้ทัง้ปิ ดและเปิ ด แต่ต้องไม่ม   ี Article  นำาหน้า  เช่น   by  bus,    by  train … การใช้  [on,  over,  above]  มีหลักดังนี้                          on  :          ใช้บอกว่าของท่ีอยู่บนท่ีติดอยู่กับอันล่าง.                          Over  :      ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี.                          Above  :   ใช้บอกว่าของนัน ้ อยู่ด้านบน(กว้างๆ).    Preposition    วลี

                               Preposition  วลี     คือบุรพบทตัง้แต่  2  ตัวขึ้นไปมารวมอยู่ด้วยกัน  และมีความหมายเ 1.     บุรพบทวลีชนิด  2  ตัว  [ two words Preposition].

2.     บุรพบทวลีชนิด  3  ตัว [three  words Preposition].

บุรพบทชนิด  2  ตัว ได้แก่บุรพบทต่อไปนีค ้ ือ according   to  ตาม  ,           instead  of   แทน , แทนท่ี because  of      เพราะว่า,     owing to        เน่ ืองจาก.

บุรพบทชนิด  3  ตัวได้แก่บุรพบทต่อไปนีค ้ ือ in  order  to          :   เพ่ ือท่ีจะ   ,      by  means  of             :     โดยอาศัย on  account  of      :  เน่ ืองจาก  ,     in  spite  of                 :     ถึงแม้ว่า in  front  of            : ข้างหน้า    ,      in  back  of                :      ข้างหลัง for  the  sake  of    : เพ่ ือเห็นแก่ ,    of  the  point  of        :     เกือบจะ on  the  point  of    : เกือบจะ    ,      in  consequence  of   :     เน่ ืองจากว่า

               *  หมายเหตุ   ในเร่ ืองการใช้บุรพบทนี   ย

 ้

จบเร่ ือง  preposition

Tense Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ท่ีแสดงให้เราทราบว่า  การกระทำาหรือเหตุการนัน ้ ๆเกิดขึ้นเม่ อ ื ใด Tense  ในภาษาอังกฤษนีจ้ะแบ่งออกเป็ น  3  tense  ใหญ่ๆคือ                 1.     Present   tense        ปั จจุบัน                                 2.     Past   tense              อดีตกาล                                 3.     Future   tense          อนาคตกาล ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ                  1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).                                  2.    Continuous  tense    กำาลังกระทำาอยู่(กำาลังเกิดอยู่ 3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำาเรียบร้อยแล้ว).

4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำาลังกระทำา(ทำาเรียบร้อยแล้วและกำาลังดำาเนินอยู่ด้วย โครงสร้างของ  Tense  ทัง้  12  มีดังนี้                       [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงท่ีเกิดขึ้นง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน [Present]       [1.2]   S  +  is,am,are  +  Verb  1  ing   +  …( บอกว่าเดี๋ยวนีก ้ ำาลังเกิดอะไรอยู่                       [1.3]   S  +  has,have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำามาแล้วจนถึงปั จจุบัน

                      [1.4]   S  +  has,have  +  been  +  Verb 1 ing  + …( บอกว่าได้ทำามาแล้วและกำาลังทำาต่อ

                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเร่ ืองท่ีเคยเกิดมาแล้วในอดีต). [Past]            [2.2]  S  +  was,were  +  Verb 1  +…(บอกเร่ ืองท่ีกำาลังทำาอยู่ในอดีต                       [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเร่ ือท่ีทำามาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง                       [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …( บอกเร่ ืองท่ีทำามาแล้วอย่างต่อเน่ ืองไม่หยุด

                      [3.1]  S  +  will,shall  +  verb 1  +….(บอกเร่ ืองท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต [Feature]        [3.2]  S  +  will,shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….( บอกว่าอนาคตนัน ้ ๆกำาลังทำาอะไรอยู่

                      [3.3]  S  +  will,shall  +  have  +  Verb 3  +…( บอกเร่ ืองท่ีจะเกิดหรือสำาเร็จในช่วงเวลาใด                       [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(                  หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้               [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน, 1.    ใช้กับเหตุการท่ีเกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำาสุภาษิตคำา พังเพย.     2.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเป็ นความจริงในขณะท่ีพูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม). 3.    ใช้กับกริยาท่ีทำานานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู้  เป็ นต้น. 4.    ใช้กับการกระทำาท่ีคิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำาวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย). 5.    ใช้ในการเล่าสรุปเร่ ืองต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน. 6.    ใช้ในประโยคเง่ ือนไขในอนาคต    ท่ีต้นประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำาว่า    If    (ถ้า),       unless   (

7.    ใช้กับเร่ ืองท่ีกระทำาอย่างสม่ำาเสมอ  และมีคำาวิเศษณ์บอกเวลาท่ีสม่ำาเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always ( 8.    ใช้ในประโยคท่ีคล้อยตามท่ีเป็ น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.                                [1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำาลังเดิน 1.    ใช้ในเหตุการณ์ท่ีกำาลังกระทำาอยู่ในขณะท่ีพูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้นประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ได้ 2.    ใช้ในเหตุการณ์ท่ีกำาลังกระทำาอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปี นี้ . 3.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีผู้พูดมัน ่ ใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้. *หมายเหตุ   กริยาท่ีทำานานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู,้ ชอบ  จะนำามาแต่งใน  Tense  นีไ้ม่ได้.                              [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว. 1.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเน่ ืองมาจนถึงปั จจุบัน  และจะมีคำาว่า Since  (ตัง้แต่) 2.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีได้เคยทำามาแล้วในอดีต (จะก่ีครัง้ก็ได้ หรือจะทำาอีกในปั จจุบัน หรือจะทำาในอนาคตก็ได้ 3.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีจบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense 4.    ใช้กับเหตุการท่ีเพ่ิงจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซ่ ึงจะมีคำาเหล่านีม ้ าใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (

           [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking . 

*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำาต่อไปในอนาคตด้วย    ซ่ ึง [1.3] นัน ้ ไม่เน้นว่าได้กระทำาอย่างต่อเน

             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดินแล้ว.

1.   ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเน่ ืองมาถึงขณะท่ีพูด และมักมีคำาต่อไปนีม ้ าร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  2.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีทำาเป็ นประจำาในอดีตท่ีผ่านมาในครัง้นัน ้ ๆ ซ่ ึงต้องมีคำาวิเศษณ์บอกความถ่ี (เช่น Always, every  day ) 3.    ใช้กับเหตุการณ์ท่ีได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิดอยู่ หรือไม่ได้เป็ นดัง่ในอดีตนัน ้ แล้ว  ซ่ึงจะมีคำาว่า  4.      ใช้ในประโยคท่ีคล้อยตามท่ีเป็ น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้องเป็ น [2.1]  ด้วย.

        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำาลังเดินแล้ว 1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างท่ีเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นีไ้ม่นิยมใช้ตามลำาพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ 

2.     ใช้กับเหตุการณ์ท่ีไดกระทำาติดต่อกันตลอดเวลาท่ีได้ระบุไว้ในประโยค  ซ่ ึงจะมีคำาบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น 

3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างท่ีกำาลังทำาในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาท่ท ี ำาได้นานเท่านัน ้   หากเป็ นกริยาท่ท ี ำานานไม่ได้ก็ใช้หลักข

         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว. 1.    ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างท่ีเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้. เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1. 2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำาอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชัว่โมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครัง้  เช่น  

        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.            มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี  ต ้ ้องการย้ำาถึงความต่อเน่ ืองของการกระทำาท่ี

        [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.

              ใช้กับเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต  ซ่ ึงจะมีคำาว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month            * Shall   ใช้กับ     I    we.              Will    ใช้กับบุรุษท่ี  2  และนามทัว่ๆไป.              Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีท่ีจะให้คำามัน ่ สัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.              Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.

             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านัน ้   ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยค

       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนัน ้ กำาลังทำาอะไรอยู่ (ต้องกำาหนดเวลาแน่นอนด้วยเสมอ). 2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างท่ีจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.                -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.                 -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .

        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว 1.  ใช้กับเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นหรือสำาเร็จลงในเวลาใดเวลาหน่ ึงในอนาคต  โดยจะมีคำาว่า  by  นำาหน้ากลุ่มคำาท่ีบอกเวลาด้วย  เช่น   2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างท่ีจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.               -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3. -         เกิดท่ีหลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking.           ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นีเ้น้นถึงการกระทำาท่ ี 1  ได้ทำาต่อเน่ ืองมาจนถึงการกระทำาท่ ี            *   Tense  นีไ้ม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก  โดยเฉพาะกริยาท่ีทำานานไม่ได้ อย่านำามาแต่งใน  Tense  จบเร่ ือง  Tense

None – finite   Verb

                      None – finite  Verb    คือคำากริยาท่ีมิได้ทำาหน้าท่ีเป็ นกริยาจริง  แม้จะมีรูปมาจากกริยาก็ตาม  แต่กล                      None – finite  Verb     แบ่งออกเป็ น    3  ชนิด  คือ. 1.    Infinitive    [ to Verb 1]. 2.    Gerund       [Verb + ing] 3.    Participle    [ Verb  +  ing , Verb  3]                   · Infinitive   คือคำากริยาช่องท่ี 1 ท่ีมี To นำาหน้า  ทำาหน้าท่ีได้ 6 อย่างคือ 1.    เป็ นประธานของกริยาก็ได้    เช่น   To  walk  in  the  morning  is  good  for  health. 2.    เป็ นกรรมของกริยาก็ได้    เช่น   He  like  to  speak  English  with  his  friend. 3.    เป็ นส่วนสมบูรณ์ของกริยาก็ได้   เช่น   She  has to  go  now. 4.    เป็ นคุณศัพท์ขยายนามก็ได้(แต่ต้องเรียงไว้หลังนาม) 5.    เม่ ือเรียงตามหลังอกรรมกริยา เป็ นกริยาวิเศษณ์ของอกรรมกริยาตัวนัน ้ . 6.    เม่ ือเรียงตามหลังกริยาวิเศษณ์ หรือคุณศัพท์ ย่อมเป็ นกริยาวิเศษณ์ขยายคำาท่ีอยู่หน้ามัน

*  อน่ ึง  ยังมี  Infinitive  บางตัวท่ีไม่ต้องใช้ To  นำาหน้า เรียกว่า Infinitive  with out to   ในกรณีท่ีนำามาใช้ตามหลัง  หรือข                 · Gerund   คือคำากริยาท่ีเติม  ing  แล้วนำามาใช้อย่างนาม(กริยานาม) Verbal  noun             1.   ใช้เป็ นประธานของกริยาในประโยคก็ได้ เช่น   Swimming   is   a   good   exercise.           2.   ใช้เป็ นกรรมของสกรรมกริยาก็ได้  เช่น   She  remembered  seeing  me.           3.   ใช้เป็ นกรรมของบุรพบทได้  เช่น  We  are  found  of  learning  English.           4.   ใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นส่วนสมบูรณ์ของกริยาได้  เช่น   His  duty  is  cleaning.

4.    ใช้ทำาหน้าท่ีเป็ นคำานามผสม(หรือคุณศัพท์) และนิยมใช้ Hyphen (-) มาคัน ่ ไว้เสมอ เช่น Reading-room, Swimming po

*  อน่ ึงโดยปรกติทัว่ๆไปแล้ว  Gerund  และ  Infinitive สามารถใช้แทนกันได้  ในทุกกรณีและมีความหมายเหมือนกัน  ทัง้นีส ้ ุดแ                                      ·Participle   คือคำากริยาท่ีเติม  ing  บ้าง  หรือเป็ นรูปกริยาช่อง  3  บ้าง  แล้วนำามาใช้ทำาหน้าท่ีอย่างอ่ ืน           1.   Present  Participle    คือกริยาช่องท่ี 1  เติม  ing  แล้วนำามาใช้เป็ นคร่ ึงกริยาคร่ึงคุณศัพท์ ได้แก่คำาว่า  1.    เรียงตามหลัง  Verb to  be ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ น  Continuous  tense. 2.    เรียงไว้หน้านาม เป็ นคุณศัพท์ของนามนัน ้ . 3.    เรียงตามหลังกริยา เป็ นส่วนสมบูรณ์ของกริยา(มีสำาเนียงแปลว่า”น่า”). 4.    เรียงตามหลังกรรมเป็ นคำาขยายกรรมนัน ้ . 2.    Past  Participle   คือกริยาช่องท่ี  3  ซ่ ึงอาจมีรูปมทาจากการเติม  ed.  ก็ได้ หรือมีรูปมาจาก  การผันก็ได้ ได้แก่กริยา 1.    เรียงไว้หลัง  Verb  to  have  ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ น Perfect  tense. 2.    เรียงตามหลัง Verb  to  be ทำาให้ประโยคนัน ้ เป็ นกรรมวาจก(Passive voice)ตลอดไป. 3.    เรียงไว้หน้านามเป็ นคุณศัพท์ของนามนัน ้ .        4.    ใช้เป็ นส่วนสมบูรณ์ของกริยาได้. 5.    ใช้เรียงตามหลังนามก็ได้ แต่ต้องมีบุรพบทวลีมาขยายเสมอ.

              3.   Perfect  Participle   คือ  “ Having  +  Verb  3”  เช่น  Having  finish  …+  Past  S จบเร่ ือง   Non-finite Verb

Question   tags

                 Question   tags คือการตัง้คำาถามตามประโยคบอกเล่าหรือตามหลังประโยคปฏิเสธ                     หลักการสร้างประโยค Question   tags 1.    ใส่เคร่ ืองหมาย  Comma (,)  ครัน ่ ระหว่างประโยคหน้าและประโยค Question   tags 2.     ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็ นประโยคบอกเล่า  ประโยค Question   tags ท่ีตามหลังต้องเป็ นคำาถามปฏิเสธ 3.     ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็ นประโยคปฏิเสธ ประโยค Question   tagsท่ีตามหลังต้องเป็ นคำาถามธรรมดา 4.    ถ้าประโยคท่อนหน้ามีกริยาช่วย  24  ตัว ตัวใดตัวหน่ ึงปรากฏอยู ่ เม่ ือทำาเป็ นประโยค Question   tags 5.    ถ้าประโยคท่อนหน้าไม่มีกริยาช่วย  24  ตัว ตัวใดตัวหน่ ึงปรากฏอยู่ เม่ ือทำาเป็ นประโยค Question   tags 6.   ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็ น Question tags อะไร ประโยค Question   tags ท่ีตามหลังก็ต้องใช้

 7.   ประโยค Question tags  ท่ีถามเป็ นปฏิเสธนัน ้ ระหว่างกริยาช่วย  24  ตัวกับคำาว่า not  ต้องใช้รูปย่อเสมอ  คือ                                         does  not     =    doesn’t                                will  not      =     won’t                                shall   not    =    shan’t                                 are  not       =     aren’t     etc.         *ข้อสังเกต  need,  dear   เม่ ือนำามาใช้เป็ นกริยาแท้แล้ว จะเอามาตัง้เป็ น Question   tags         *อน่ ึง  กริยา  Used  to  เม่ ือทำาเป็ น Question   tags ไม่นิยมใช้  used   ขึ้นต้นประโยคของมัน  แต่นิยมใช้ 

การใช้ Question   tags  ตามหลังประโยคคำาสัง่            ถ้าประโยคบอกเล่านัน ้ เป็ นประโยคคำาสัง่ ,คำาเตือน,ขอร้อง,เช้ือเชิญ  เพ่ ือให้ประโยนัน ้ สุภาพย่ิงขึ้น ต้องใช้รูปเดียวคือ ………………… ……………,  Will   you  ?                                     การใช้ Question   tags  ตามหลังสำานวน  Let’s,  Let  me

             ประโยค Question   tags  ยังใช้ตามหลังสำานวน  Let’s ,  Let  me  ท่ีมีสำานวนการพูดอันหน่ึงสำาหรับใช้ชักชว ………………… ……………,   Shall   we ?

                        ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย  Let  me   ประโยค Question   tags  ต้องใช้รูปเดียวคือ ………………… …………,  Will  you  ?

                                      การตอบประโยคคำาถามท่ีเป็ น Question   tags                 ให้ตอบด้วย  Yes, หรือ  No   เท่านัน ้ และตอบได้  2  อย่างคือ 1.    ตอบแบบสัน ้   [Short  Answer]. 2.    ตอบแบบยาว  [long  Answer].     ตัวอย่าง       :    แบบสัน ้    Yes, I  am    ,  No,  he  isn’t.                     :    แบบยาว    Yes,  I  am  a  student.   ,  No he isn’t here. จบเร่ ือง Question   tags

prefixes     and  suffixes

                  prefixes   แปลว่า อุปสรรค   หมายถึงคำาท่ีใช้เติมเข้าข้างหน้าคำาอ่ ืนแล้วทำาให้คำาเดิมนัน ้ มีความหมายผิดไปจา                   prefixes   ท่ีพบเห็นบ่อยมีอยู่   10  คำา คือ (])  Un   (ไม่)  ใช้เติมหน้าคุณศัพท์  (adj.)  หรือกริยาวิเศษณ์(adv.)  แล้วทำาให้คำานัน ้ มีความหมายตรงข้าม                    happy  (มีความสุข)              ®            unhappy (ไม่มีความสุข                    wise  (ฉลาด)                      ®             unwise (ไม่ฉลาด                    suitable (เหมาะสม)             ®             unsuitable (ไม่เหมาะสม (2)   Im (ไม่)    ใช้เติมหน้าคำาคุณศัพท์  ( adj.)  เท่านัน ้ แล้วทำาให้มีความหมายตรงข้าม   เช่น…                    possible (เป็ นไปได้)            ®           impossible (เป็ นไปไม่ได้                    proper (ถูกต้อง)                   ®           improper (ไม่ถูกต้อง                    pure (บริสุทธิ ์)                      ®          impure (ไม่บริสุทธิ ์

(3) In  (ไม่)  ใช้เติมหน้าคุณศัพท์  (adj.)  เท่านัน ้   แล้วทำาให้มีความหมายตรงข้าม  เช่น… direct (ตรง)                           ®          indirect  (ไม่ตรง) complete  (สมบูรณ์)             ®           incomplete  (ไม่สมบูรณ์) expensive (แพง)                    ®          inexpensive (ไม่แพง) (4)  Re (อีก)   ใช้เติมหน้าคำากริยา หรือคำานามท่ีมาจากกริยาเท่านัน ้   แล้วทำาให้มีความหมายว่า “ทำาอีก”                            speak  (พูด)                      ®              respeak  (                            birth  (เกิด)                       ®              rebirth    (

(5)   Dis   (ไม่)  ใช้เติมหน้ากริยา  หรือเติมหน้าคุณศัพท์  แล้วทำาให้มีความหมายตรงกันข้าม   เช่น…                             like  (ชอบ)                    ®                dislike  (                             appear  (ปรากฏ)             ®                 disappear(                             agree    (เห็นด้วย)           ®                 disagree   (                             use   (ใช้)                      ®                disuse    ( (6) Mis  (ผิด) ใช้เติมหน้าคำากริยาเท่านัน ้   แล้วทำาให้มีความหมายว่า”กระทำาผิด”  เช่น …                             understand  (เข้าใจ)            ®            misunderstand(                             spell (สะกดตัว)                   ®            misspell  (           call  (เรียก)                        ®            miscall (เรียกผิด) (7) per (ก่อน)  ใช้เติมหน้าคำานาม  หรือกริยาให้มีความหมายว่า”ก่อน”หรือ”ทำาก่อน”   เช่น…                              pay  (จ่าย)                                    ®           prepay  (                              history  (ประวัติศาสตร์)                  ®           prehistory  ( (8)    Tri  (สาม)   ใช้เติมหน้าคำานาม แล้วทำาให้มีความหมายว่า”สาม”  เช่น…                             angle  (เหล่ียม)                        ®             triangle  (                             cycle  (จักรยาน)                      ®             tricycle  ( (9)    Bi  (สอง)   ใช้เติมหน้าคำานาม แล้วทำาให้มีความหมายว่า”สอง”   เช่น…                              cycle (จักรยาน)               ®           bicycle (จักรยานสองล้อ                              polar  (ขัว้โลก)                ®           bipolar  (มีสองขัว้โลก

                             sexual  (เพศ)                   ®           bisexual  ( (10)   En    ใช้เติมหน้าคำานาม หรือคุณศัพท์ให้คำานัน ้ กลับเป็ นกริยา เช่น…                               camp (ค่ายพัก)               ®            encamp  (                               sure   (แน่ใจ)                 ®            ensure                                 large   (ใหญ่)                 ®            enlarge    (

                     Suffix   แปลว่า  ปั จจัยสำาหรับปรุงแต่งคำาอ่ ืนให้เป็ นนามบ้าง เป็ นกริยาบ้าง แล้วมีความหมายเปล่ียนไป   1.    er  (ผู)้   ใช้เติมข้างหลังกริยา หรือคำานาม ให้หมายถึงบุคคลหรือผู้กระทำา   เช่น…                              teach  (สอน)                     ®           teacher  (                              run   (ว่ิง)                           ®           runner  (                              speak   (พูด)                      ®           speaker  ( 2.   or  (ผู)้    ใช้สำาหรับเติมข้างหลังกริยาอย่างเดียว   เช่น…                               act (กระทำา)                              ®        actor  (                               govern  (ปกครอง)                     ®        governor  (                               direct (ควบคุม)                         ®        director( 3.    en  (ทำาด้วย) ใช้เติมหลังคำานามให้กลายเป็ นกริยา  เช่น….                               gold  (ทอง)                         ®         golden  (                               wood  (ไม้)                          ®        wooden  (                              light  (แสงสว่าง                      ®        lighten  ( 4.   ly  (อย่าง)   ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้กลายเป็ นกริยาวิเศษณ์   เช่น…                      slow  (ช้า)           ®          slowly  (อย่างช้า)                      quick  (เร็ว)           ®         quickly  (อย่างเร็ว)                      happy  (มีความสุข)  ®         happily  (อย่างมีความสุข) 5  ful  (มี) ใช้เติมหลังนามบ้าง กริยาบ้าง ให้กลายเป็ นคุณศัพท์  เช่น….                    beauty        (ความสวย)      ®       beautiful(มีความสวย)

                            use  (ใช้)                ®        useful  (มีประโยชน์)                    wonder       (สงสัย)          ®       wonderful  (มีความประหลาดใจ 6.  less   (ปราศจาก ไม่มี)  ใช้เติมหลังนาม ให้กลายเป็ นคุณศัพท์  เช่น…                    job  (งาน)              ®     jobless  (ไม่มีงาน)                    live  (ชีวิต)             ®     lifeless  (ไม่มีชีวิต) could  (เมฆ)          ®        coldness(ปราศจากเมฆ) 7.   ness  (ความ) ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้เป็ นคำานาม  เช่น…                    happy  (มีความสุข)    ®     happiness  (ความสุข)                    light  (เบา)             ®     lightness  (ความเบา)                    soft  (นุ่ม)               ®        softness  (ความนุ่ม) 8.   y  (มี)  ใช้เติมหลังคำานาม ให้เป็ นคุณศัพท์  เช่น…                    sun  (ดวงอาทิตย์)      ®     sunny  (มีแสงแดด)                    stone  (หิน)           ®     stony (มีหินมาก)                    storm  (พายุ)           ®     stormy (มีพายุมาก)                                    จบ   prefixes  an   suffixes

นนาม  กับ  สรรพนาม)   

ามรูส ้ ึกของอารมณ์)   ซ่ ึงคำาแต่ละชนิดนีจ้ะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง   รใช้คำาต่างๆ เหล่านีแ ้ ละหลักการแต่งประโยคอย่างง่ายๆ

คน สัตว์ ส่ิงของ และสถานท่ี เช่น man, dog, pen, school …. สัตว์ ส่ิงของ และสถานท่ ี และจะต้องเขียนด้วยตัวใหญ่เสมอ เช่น Ladda, Dang, Diccky, Toyota, Thailand … ฝูง เป็ นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็ นคำาผสมท่ีครัน ่ ด้วย of เสมอ  และสมุหนามนีต ้ ้องถือว่าเป็ นนามพหูพจน์ตลอดไป  งคำาอาจเป็ นคำาคำาเดียวก็ได วนมากก็ได้แก่นามท่ีเป็ นของเหลว, แร่, ธาตุ,โลหะ แต่นามบางชนิดเม่ ือยังไม่แยกก็จัดเป็ น  common Noun   แต่เม่ ือแยกแล้วจะมาเป็ น   Material Noun   ภาวะ,  และการกระทำา  นามจำาพวกนีไ้ม่มีตัวตน  เป็ นเพียงกิริยาอาการเท่านัน ้ มีสำาเนียงแปลว่า การ หรือ ความ  ขึ้นต้น เช่น happiness  ความสุข

ophe’s ด้วย)

สถานท่ีเพ่ ือป้ องกันมิให้กล่าวช่ ือนัน ้ ซ้ำาๆซากๆ ซ่ ึงเป็ นการฟั งไม่ไพเราะ

ะผู้ท่ีถูกกล่าวถึง  ซ่ึงมีออยู่ 2  พจน์  3  บุรุษ คือ

                                          

อง ซ่ ึงก็คือบุรุษสรรพนามรูปท่ี  4  นัน ่ เอง  เวลาใช้ไม่ต้องมีนามตามหลัง  มีหน้าท่ี 3 อย่างคือ

   friend  of  yours  was  killed  last  night.    

ละใช้แทนนามได้ ท่ีนิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6 ตัวคือ  (รวมทัง้ which ด้วย)

ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนัน ้ คนนีโ้ดยตรง  (ตรงข้ามกับ Definite Pronoun)  ได้แก่คำาว่า  some,  any,  all,  someone,  somebody,  anybody

ป็ นคำาคุณศัพท์ไป  แต่ถ้าใช้โดยไม่มค ี ำานามอ่ ืนตามหลังจึงจะเป็ นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม.

ใช้เป็ นคำาถาม  และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็ นปฤจฉาสรรพนาม  ได้แก่    Who  ,  whom,  whose  ,  what,  which    

แทน). เช่น Whom  do  you  love ?  คุณรักใคร ?.

s  the  car ?  รถคันนีเ้ป็ นของใคร

hat  delayed  you ? อะไรทำาให้คุณล่าช้า.

o you   want  ?

นได้ทัง้ประธานและกรรม เช่น  ถ้าเป็ นประธานไม่ต้องใช้กริยาอ่ ืนมาช่วย  Which  is  the  best?  อันไหนดีท่ีสุด ?.(  อน่ ึง  ปฤจฉาสรรพนาม

รรพนามท่ีใช้แทนท่ีอยู่ข้างหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าท่ีเช่ ือมประโยค ซ่ ึงอาจเป็ นประธานของประโยคหลังได้ด้วย  ได้แก่ Who,  Whom,   Whose, Wh

he  man  who  came  here  last  week  is  my  cousin.  ชายผู้ซ่ึงมาท่ีน่ีเม่ ือสัปดาห์ท่ีแล้วเป็ นลูกพ่ีลูกน้องของฉัน.

e  boy  whom  you  saw  yesterday  is  my  brother. เด็กชายผู้ซ่ึงคุณพบเม่ ือวานนีเ้ป็ นน้องชายของผม.

ามหลัง ดังนัน ้ เม่ ือมี Whose ก็ต้องมีนามตามหลัง Whose เสมอ  เช่น  The  girl  whose  father  is  a  teacher  goes  to  school  every 

animal            which  has  wing  is  a  bird.  สัตว์ท่ีมีปีกนัน ้ คือนก(เป็ นประธานของอนุประโยค  has  wings) The  kitten  which  I

  night  club is  the  place  where  is  not  suitable  for children. ไนท์คลับเป็ นสถานท่ีท่ีไม่เหมาะสมสำาหรับเด็กๆ(เป็ นประธานของอนุประโย

พันธ์สรรพนามนัน ้ ไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่างหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอ่ ืน ทัง้นีเ้พราะถูกละไว้ในฐานะท่ีเข้าใจแล้ว เช่น I  know  what

he  day  when  we  don’t  work.  วันอาทิตย์คือวันท่ีเราไม่ทำางาน.

s  the  reason  why  I  go  to  Hong  Kong. นีค ้ ือเหตุผลท่ีว่า ทำาไมผมจึงไปฮ่องกง. 

ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์   4  ประการอย่างใดอย่างหน่ ึง  อันได้แก่  :-

an  that  I   have  ever seen. เขาเป็ นคนสูงท่ีสุดเท่าท่ีผมเคยเห็นมา.   

ountry  that  I am  going  to  visit. จีนเป็ นประเทศแรกท่ีข้าพเจ้าจะไปเท่ย ี ว.

ey  that  she  give  me.  หล่อนมีเงินอยู่มากท่ีหล่อนจะให้ผม. 

ยู่แล้ว คือ someone,  somebody,  something,  anyone,  anything,  anybody,  anyone,  everything,  no  one,  nothing,  etc. 

สรรพนามท่ี 5  นัน ่ เอง  อันได้แก่   myself,  yourself,  ……. Themselves.   เวลาใช้มีวิธีใช้  4  อย่างคือ  :-

ธานเป็ นผู้กระทำากิจนัน ้ ด้วยตนเอง เช่น  I   myself  study  English.   ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง.

unish  myself  if  I do  mistakes  ผมจะลงโทษตัวเอง  หากผมทำาผิด. 

sident   himself .  ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง.

มในการแบ่งหรือจำาแนกออกเป็ นคร่ ึงหน่ ึง, ส่ิงหน่ ึง, หรือตัวหน่ ึง  วิภาคสรรพนามท่ีนิยมใช้กันมากคือ

  เช่น  There  are  ten  boy  .  Each   has  one  hundred  bath.   มีเด็กอยู่ 10  คน  แต่ละคนมีเงินอยูค ่ นละ  100  บาท

จะเป็ นคุณศัพท์                             

าน  ถ้าประธานเป็ นเอกพจน์กริยาก็ต้องเป็ นเอกพจน์  ถ้าประธานเป็ นพหูพจน์กริยาก็ต้องเป็ นพหูพจน์    ซ่ ึงหลักในการดูว่านามนัน ้ เป็ นเอกพจน์หรือพหูพจน์นัน ้ ก็ใ

,   a cat  …  etc.

cats ….   etc.

รทัง้  ท่ีกล่าวมาแล้วนัน ้   ซ่ึงเป็ นเร่ ืองท่ีละเอียดเกินไปท่ีเราควรจะรู้ในขณะนี  ด

cess  เป็ นต้น

                              

ว เวลาพูด-เขียนจะต้องมี Article นำาหน้าทัง้สิน ้ (ยกเว้นบางตัวท่ีจะกล่าวต่อไป) 

   ้ ั

งนัน ้ จะไม่กล่าวถึงกรณีท่ียกเว้น

งสระท่ีอยู่ถัดไป  นามตัวนัน ้ ให้ใช้  AN  นำาหน้าแทน  (มี   H  เท่านัน ้ )

ะ  แต่อ่านออกเสียงเป็ นพยัญชนะ”ย”  นามตัวนัน ้ ให้ใช้  A  นำาหน้าแทน  (มี   U  และ  E  เท่านัน ้ ).

ก็ใช้  The  นำาหน้าได้

The  นำาหน้าได้ (แต่ให้อ่านว่า ดิ )

ะต้องมีความหมายชีเ้ฉพาะเจาะจงเท่านัน ้ .

าหน้า(ซ่ ึงมีข้อห้ามมากมายแต่จะไม่กล่าวถึง)

ดีระหว่างผู้พูดและผูฟ ้ ั ง  ก็ให้ใช้ THE  นำาหน้าได้.

นมำลอยๆ ให้เติม a  , an  ทันที  แต่ถ้ำนำมนัน ้ ถูกยกขึ้นมำกล่ำวอีกเป็ นครัง้ที่   2  ให้เติม   the   ทันที.

ใช้เฉพาะ THE   ซ่งึ เป็ นคำานามพิเศษ แต่ในท่น ี ีจ้ะไม่กล่าวถึง.

ป    แต่ยังมี  Adj.  พิเศษหลายตัวท่ีบังคับว่าจะต้องใช้วิธีใดวิธีหน่ ึงเท่านัน ้ ซ่ ึงเราจะไม่กล่าวถึง.

at, tall,  thin,  rich ,etc.

คำานามท่ีเป็ นช่ ือเฉพาะ เช่น Thai  (มาจาก Thailand), English (มาจาก England)… าว่า many,  much,  little,  some,  any, all .  เช่น    He  has  many  friend  เขามีเพ่ ือนมาก.

ยถึงคนอ่ ืน)ได้แก่คำาว่า  the,  same,  this,  that,  these,  those,  such,  such  a . เช่น He  is  in  the same  room. เขาอยู่ห้องเดียวกัน วลาใช้จะต้องมีนามตามหลังด้วยเสมอ  ได้แก่คำาว่า  my,  your,  our,   his,  her,  its,  there . เช่น   His  dog  is  white.   สุนัขของเขาสีขาว างไว้หน้านามเสมอ ถ้าไม่มีนามตามหลังมันจะเป็ นปฤจฉาสรรพนาม) ได้แก่คำาว่า What (อะไร), Which (อันไหน) ,Whose (ของใคร) เช่น  Whose บุคคลหรือรายส่ิงตามท่ีผู้พูดต้องการ) และนามท่ถ ี ูกขยายนัน ้ ต้องเป็ นเอกพจน์ตลอดไป ได้แก่คำาว่า  each,  (แต่ละ),  either (อันใดอันหน่ึง, คนใดคนหน่ึง

าน่ีเอง แบ่งได้ 6      หมวดคือ

า  now, ago, yesterday, ...

าว่า near, far, in, out, …

มอ ได้แก่คำาว่า always,  often,  again,   usually,  …

ว่า  well,  slowly,  .    quickly, fast..

อย ได้แก่คำาว่า  Many,     much,  very,  too,  quite…

ณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ ได้แก่คำาว่า  yes, no,  not,  not at all…

ยาเพ่ อ ื ให้เป็ นคำาถาม (ต้องวางไว้หน้าประโยคเสมอ)  แบ่งได้ 6 หมวด  คือ

                      5.   บอกปริมาณ  ได้แก่คำาว่า   How   much (มากเท่าไร).

หน้าและหลังให้สัมพันธ์กัน ได้แก่คำาว่า  Why,  Where,  When,  How,  Whenever,  While ,  As, Wherever..      

หรือคำาท่ีทำาหน้าท่ีช่วยกริยาด้วยก็ได้)  เพ่ ือบอกถึง  Tense (ช่วงเวลาท่ีกระทำา) Voice (ผู้พูด)  Mood  (อารมณ์ ?)

s, Voice, Mood.

น   Kick (เตะ),              Eat (กิน)   เป็ นต้น.

บูรณ์   เช่น  The  people   made  him  king. (ประชาชนแต่งตัง้ให้เขาเป็ นพระราชา)  เป็ นต้น. Run, sleep, swim, sit.  เป็ นต้น  แต่อกรรมกริยาบางตัวก็ต้องมีตัวขยายกิริยาเพ่ ือให้ประโยคได้ใจความสมบูรณ์  ซ่ ึงอกรรมกริยานัน ้ ก็ได้แก่

ป็ น  Mood,  Voice,  Tense    ซ่ ึงกริยาเหล่านีใ้ช้เป็ นกริยาแท้ก็ได้  ใช้เป็ นกริยาช่วยก็ได้  มีอยูท ่ ัง้หมด  24  ตัว  คือ.

วนีอ ้ ยู่ในประโยคเพียงลำาพังไม่มีกริยาอ่ ืนมาร่วมอยู่ด้วย  ก็เป็ นกริยาแท้   แต่ถ้ามีกริยาอ่ ืนมาร่วมอยูด ่ ้วยก็ทำาหน้าท่ีเป็ นกริยาช่วย  เช่น.

ระโยคนัน ้ เป็ นกรรมวำจก(เอำกรรมขึ้นต้นประโยค)  มีสำำเนียงว่ำ  ถูก  เช่น  A glass is broken.    แก้วถูกทำำให้แตกเสียแล้ว  เป็ นต้น

จะต้อง  มีควำมหมำยเป็ นอนำคต  เพ่ ือแสดงควำมจงใจ  เช่น   I am  to  see  my  home  every  year.    ฉันต้องไปเยี่ยมบ้ำนของฉันทุกๆปี  

กรณีข้อ  1  (เติม ing                  .                                    .                               หลัง  do,  dose )

น  ว่าจะต้องเป็ นเช่นนัน ้

กริยานัน ้ ๆซ้ำาๆซากๆ.

ve  +  noun  +  Verb 3  .  เช่น  He   has  his  house  repaired.  เขาให้ช่างซ่อมแซมบ้านของเขา.

ธำนบุรุษที่  2, 3.

ะธำนบุรุษที่  1  คือ  I, We.

ประโยคปฏิเสธเท่านัน ้ และกริยาแท้ท่ีตามหลัง  Need  ไม่ต้องใช้  To  นำาหน้า).

ษและทุกพจน์     และเป็ น“ ปั จจุบันกาล   คำาตามหลังไม่มี   To.

าพิเศษเหมือน is  หรือ  do  นัน ่ เอง    อาจใช้   should   แทนก็ได้  แต่ความหมายอาจจะอ่อนกว่า.

ศษหมายความว่า “เคยกระทำาอย่างใด อย่างหน่ ึงเป็ นประจำา แต่บัดนีไ้ม่ได้กระทำาแล้ว”(กริยาตามหลัง   ต้องเป็ นกริยาช่อง 1 ตลอดไป  และใช้  used  to  

ว่างกริยาต่อกริยา                Conjunction         แบ่งออกเป็ น 2  ชนิดคือ

พร่หลายมีดังนี้    and,  or,  but,  because, so,  as,  for,  whether,  until,  after,  before,  if,  though,  that,  when

ย่างใดอย่างหน่ึง ถ้าไปควบประธาน 2 คำาจะใช้กริยาเป็ นรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์นัน ้ ขึน ้ อยู่กับประธานตัวหลัง  เช่น   Either  he  or  I  am

ยสิน ้ เชิง(กริยาถือตามประธานตัวหลัง).เช่น  เช่น  Neither   you  nor  he  studies  mathematics.  ทัง้คุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์

ะธานตัวหน้า) เช่น He  as  well  as  I  is  sick  เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย.

แต่……..เท่านัน ้ แต่ยังอีกด้วย”  ใช้เน้นน้ำาหนักข้อความทัง้สองให้เด่นชัด  (แต่ต้องมีความหมายทางเดียวกัน)   (แต่ถ้ามีประธาน 2 ตัวใช้กริยาตามประธานตัวหลัง

า  เช่น นามต่อนาม,  กริยากับนาม,  กริยากับสรรพนาม  สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม.

  at,  under,  to,  from,  of,  off,  since,  for,  near,  around,  inside,  outside,  beneath,  towards,  into,  til

องวัน เช่น  I  like  to  swim  in  the  morning.  ผมชอบว่ายน้ำาในเวลาเช้า.

  Christmas,  Easter  เพ่ ือบอกเวลาเฉพาะเจาะจง  เช่น  They  want  home  at  three  o’clock,  พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00

คัญทางศาสนา  เช่น  on  Sunday,  On  New  Year’s  Day  , On  King’s  Birthday.  etc.

  เขามาตรงเวลาพอดี.

นด).   เช่น    The  train  arrived  at  the  station  in  time.  รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา).

รพบทท่ีใช้เก่ียวกับสถานท่ีมีหลักดังนี้   

ช่น  at  school,  at  the  hotel….

and.  หรือใช้บอกสถานท่ีท่ีเจาะจงภายในแห่งใดแห่งหน่ ึงไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้  เช่น   In the house, in  a  country    เป็ นต้น.

ช่วงหน่ ึงตามท่ีระบุไว้ในประโยค      เช่น           During   visiting  Thailand,   I  had  seen  the  Emerald  Buddha  Temple.     หรือคนสองคน      เช่น  She  is  standing  between  you  and  me.  หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม  (เม่ ือใช้    between    

วนตัง้แต่  3  ขึ้นไป   เช่น The  teacher  is standing  among  us  . เป็ นต้น   

bus,  in  the  plane…

ช่น  on a house,   on a  motor-cycle..

ช่น   by  bus,    by  train …

วขึ้นไปมารวมอยู่ด้วยกัน  และมีความหมายเสมือนเป็ นบุรพบทคำาเดียว  แบ่งออกเป็ น  2  ชนิด คือ

     โดยอาศัย

:      ข้างหลัง

 ั

งมี belong  กริ   ยาบางตั to  วท่ีม (เป็ ีข้อนบัของ งคับ)ว่า,  ต้อarrive  งใช้บุรพบทตั at ว(มาถึ ใดตามหลั งสถานท่ งอีกีเด้ล็วกยอย่ ๆ), างเช่ ask…. น for  (ขอ),  agree  with  (

ตุการนัน ้ ๆเกิดขึ้นเม่ ือใด   ซ่ึงเร่ ือง  tense  นีเ้ป็ นเร่ ืองสำาคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะส่ ือภาษากับเขาไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนัน ้ จะอย

าอยู่(กำาลังเกิดอยู่)

ลังดำาเนินอยู่ด้วย).

นง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).

กว่าเดี๋ยวนีก ้ ำาลังเกิดอะไรอยู่).

าได้ทำามาแล้วจนถึงปั จจุบัน).

g  + …( บอกว่าได้ทำามาแล้วและกำาลังทำาต่อไปอีก).

ลังทำาอยู่ในอดีต).

แล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง).

…( บอกเร่ ืองท่ีทำามาแล้วอย่างต่อเน่ ืองไม่หยุด).

ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต).

( บอกว่าอนาคตนัน ้ ๆกำาลังทำาอะไรอยู่).

…( บอกเร่ ืองท่ีจะเกิดหรือสำาเร็จในช่วงเวลาใดเวลาหน่ ึง).

erb 1 ing  +.. ..( บอกเร่ ืองท่ีจะทำาอย่างต่อเน่ ืองในเวลาใด -  เวลาหน่ ึงในอนาคตและจะทำาต่อไปเร่ ือยข้างหน้า).  

       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เม่ อ ื ,ขณะท่)ี ,    till  (จนกระทัง่) ,   whenever   (เม่ ือไรก็ตาม),    while  (

  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็ นต้น.

alking.  เขากำาลังเดิน.

ระโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ได้).

nce  (ตัง้แต่) และ for  (เป็ นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.

จะทำาในอนาคตก็ได้)และจะมีคำาว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.

ยเสมอ คือ  Just   (เพ่ิงจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในท่ส ี ุด)  เป็ นต้น.

  has  been  walking .  เขาได้กำาลังเดินแล้ว.  ซ่ ึง [1.3] นัน ้ ไม่เน้นว่าได้กระทำาอย่างต่อเน่ ืองหรือไม่  ส่วน [1.4]  นีเ้น้นว่ากระทำามาอย่างต่อเน่ ืองและจะกระทำาต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

มีคำาต่อไปนีม ้ าร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็ นต้น.

ความถ่ี (เช่น Always, every  day ) กับคำาวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.

ดัง่ในอดีตนัน ้ แล้ว  ซ่ึงจะมีคำาว่า  ago  นีร้่วมอยู่ด้วย.

.  เขากำาลังเดินแล้ว - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.

กเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.

นัน ้   หากเป็ นกริยาท่ีทำานานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  coo

ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครัง้  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

d  been  walking.

ถึงความต่อเน่ ืองของการกระทำาท่ี1  ว่าได้กระทำาต่อเน่ ืองไปจนถึงการกระทำาท่ ี 2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  le

night,  next  week,  next  month   เป็ นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.

หตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเง่ ือนไข.

e  walking.    เขากำาลังจะเดิน.

Verb 1  ing.

ขาจะได้เดินแล้ว.

by  นำาหน้ากลุม ่ คำาท่ีบอกเวลาด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็ นต้น.

have  been  walking. เขาจะได้กำาลังเดินแล้ว.

อเน่ ืองมาจนถึงการกระทำาท่ี  2  และจะกระทำาต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

นำามาแต่งใน  Tense  นีเ้ด็ดขาด.

ยาจริง  แม้จะมีรูปมาจากกริยาก็ตาม  แต่กลับทำาหน้าท่ีเป็ นนามบ้าง  , เป็ นคุณศัพท์บ้าง,  เป็ นกริยาวิเศษณ์บ้าง ,หรือเป็ นอ่ ืนใดก็ได้ อันไม่ใช่กริยาแท้

ood  for  health.

his  friend.

out to   ในกรณีท่ีนำามาใช้ตามหลัง  หรือขยายนามท่ีตามหลังคำากริยาพิเศษต่อไปนี้   do,  does,  did ,     will,  would,     shall,  should,   ca

าม) Verbal  noun   เช่น Walking, studying  etc.   ทำาหน้าท่ีได้  5  อย่าง คือ

a   good   exercise.

ng  English.

เช่น Reading-room, Swimming pool  …etc.

กรณีและมีความหมายเหมือนกัน  ทัง้นีส ้ ุดแล้วแต่ผู้ใช้  แต่ยังมีกริยาบางตัวท่ีมี  Gerund  และ Infinitive  มาเป็ นกรรมแล้วจะมีความหมายต่างกันมาก  ซ่ึงเราค

อง  3  บ้าง  แล้วนำามาใช้ทำาหน้าท่ีอย่างอ่ ืน มิได้ใช้เป็ นกริยาจริง  แบ่งออกเป็ น  3  ชนิด คือ. 

าใช้เป็ นคร่ึงกริยาคร่ึงคุณศัพท์ ได้แก่คำาว่า  Going,  walking,  eating,  sleeping,  coming,  etc.    ซ่ ึงมีวิธีใช้ดังนี้.

ได้ หรือมีรูปมาจาก  การผันก็ได้ ได้แก่กริยาต่อไปนี้   Walked,  slept, gone  .  ..etc.  มีวิธีใช้ดังนี้.

เช่น  Having  finish  …+  Past  Simple  Tense เป็ นต้น  ซ่ ึง Perfect  Participle นี ท

  ้ ำา

ลังประโยคปฏิเสธ                                               .                                                   

งต้องเป็ นคำาถามปฏิเสธ.

องเป็ นคำาถามธรรมดา

ยค Question   tagsให้ใช้กริยาช่วยตัวนัน ้ มารทำาเป็ นประโยคคำาถาม.

โยค Question   tagsต่อท้ายให้ใช้ Verb to do มาช่วย.

มหลังก็ต้องใช้ Question   tags  ในระดับเดียวกันนัน ้ .                

ว่า not  ต้องใช้รป ู ย่อเสมอ  คือ                 do  not         =    don’t            

estion   tagsไม่ได้  ต้องใช้  Verb  to  do มาแทน.

   ขึ้นต้นประโยคของมัน  แต่นิยมใช้  did  มาแทนทุกครัง้ (เช่นเดียวกับ  Verb to  have  ถ้าแปลว่ารับประธาน, ได้รับ โดยมิได้แปลว่า มี).

ะโยนัน ้ สุภาพย่ิงขึ้น ต้องใช้รูปเดียวคือ.

e  ท่ีมีสำานวนการพูดอันหน่ึงสำาหรับใช้ชักชวนได้  แต่ต้องใช้รูปเดียวคือ

ags  ต้องใช้รูปเดียวคือ

e isn’t here.

าอ่ ืนแล้วทำาให้คำาเดิมนัน ้ มีความหมายผิดไปจากเดิม          

นัน ้ มีความหมายตรงข้าม เช่น…

ppy (ไม่มีความสุข)

nwise (ไม่ฉลาด)

table (ไม่เหมาะสม)             

ble (เป็ นไปไม่ได้)

roper (ไม่ถูกต้อง)

ure (ไม่บริสุทธิ ์)

มายว่า “ทำาอีก”  เช่น …            .            write (เขียน)                     ®              rewrite (เขียนใหม่)

       respeak  (พูดอีก)

        rebirth    (เกิดอีก)

กันข้าม   เช่น…

       dislike  (ไม่ชอบ)

       disappear(ไม่ปรากฏ)

      disagree   (ไม่เห็นด้วย)

        disuse    (เลิกใช้)

    misunderstand(เข้าใจผิด)

      misspell  (สะกดตัวผิด) 

      ®           prepay  (จ่ายล่วงหน้า)

           prehistory  (ก่อนประวัติศาสตร์)

            triangle  (สามเหล่ย ี ม)

           tricycle  (รถสามล้อ)

  bicycle (จักรยานสองล้อ)

  bipolar  (มีสองขัว้โลก)

     bisexual  (มีสองเพศ)

   encamp  (ตัง้ค่าย)

     ensure   รับประกัน)

     enlarge    (ขยายให้ใหญ่) 

เป็ นกริยาบ้าง แล้วมีความหมายเปล่ียนไป          (โดยการเติมข้างหลังคำาต่างๆ)  ท่ีพบเห็นบ่อยๆมีอยู่ 8 ตัวคือ.

      teacher  (ผู้สอน,ครู)

         runner  (ผู้ว่ิง)

       speaker  (ผู้พูด)

  ®        actor  (ผูแ ้ สดง)

®        governor  (ผูป ้ กครอง,ผู้ว่า)

®        director(ผู้อำานวยการ)

        golden  (ทำาด้วยทอง)

       wooden  (ทำาด้วยไม้)

     lighten  (ทำาให้มีแสงสว่าง) 

(มีความประหลาดใจ)

ะมาเป็ น   Material Noun   เช่น   cow,  ox, วัวมาแบ่งเป piness  ความสุข,  Slavery  ความเป็ นทาส ,  eating  การกิน เ

ne,  somebody,  anybody,  few,  everyone,  many,  nobody,   everybody,  othe

hat,  which     ซ่ึงมีวิธีใช้ดังนี้.

  ปฤจฉาสรรพนาม Whose  ,which,  what นี  ถ ้ ้าใช้โดยมีนามอ่ ืนต

ho,  Whom,   Whose, Which,  Where,  what,  when, why,  that .

goes  to  school  every  day.   เด็กหญิงผู้ซ่ึงพ่อของเขาเป็ นครูนัน ้ ไ

ngs) The  kitten  which  I  gave  to  my  aunt  is  very  naughty. 

บเด็กๆ(เป็ นประธานของอนุประโยค is  not  suitable  for  children )  Th

know  what  is  in  the  box.  ฉันรู้ว่าอะไรอยูใ่ นก

no  one,  nothing,  etc.  เช่น    There  is  nothing  that  I can  do  for  you.   ไ

ละ  100  บาท.

นเป็ นเอกพจน์หรือพหูพจน์นัน ้ ก็ให้ดูท่ีท้ายศัพท์นัน ้ ๆคือ

งนัน ้ จะไม่กล่าวถึงกรณีท่ียกเว้นเหล่านีถ ้ ้าใครสนใจอยากรู . ้มากขึ้นก็พึงหาศึกษาเอาเองต่อไป

me  room. เขาอยู่ห้องเดียวกัน. s  white.   สุนัขของเขาสีขาว. งใคร) เช่น  Whose  house  is  that ? นัน ้ คือบ้านของใคร ? . อันใดอันหน่ึง, คนใดคนหน่ึง),  neither (ไม่ทัง้สอง),  every  (ท

ริยานัน ้ ก็ได้แก่ Verb  to  be  (เป็ น, อยู่, คือ) Verb 

สียแล้ว  เป็ นต้น.

นต้องไปเยีย ่ มบ้ำนของฉันทุกๆปี   เป็ นต้น.  

     หลัง  do,  dose )

ไป  และใช้  used  to   เหมือน   is    หรือ   do  ).

  though,  that,  when,  beside   เช่น  He  is  sick  so  he  go  to  see  doctor.

  or  I  am  mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็ นผู้ผิด.

ขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์. 

2 ตัวใช้กริยาตามประธานตัวหลัง )   เช่น   Malisa is not only  beauti

h,  towards,  into,  till,  until,  from…to,  with,  without,  by,  up,  down,  afte

บ้านเวลา 15.00 น.

ald  Buddha  Temple.        ระหว่างการมาเท่ียวประเทศไทย  ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เ

ใช้    between     ต้องมี   and   ตามเสมอ).

for  (ขอ),  agree  with  ( เห็นด้วย ตกลงด้วย),  consis

ในประโยคภาษาอังกฤษนัน ้ จะอยูใ่ นรูปของ  tense  เสม

ม),    while  (ขณะท่ี)   เป็ นต้น.

house  while  I was  cooking  breakfast.

at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for 

ด้ อันไม่ใช่กริยาแท้.

d,     shall,  should,   can,  could,    may,  might,  mus

ะมีความหมายต่างกันมาก  ซ่ึงเราควรศึกษากันในภายหลัง.

  ้ ำา

หน้าท่ีเป็ นคุณ(,)  ศั พท์ด้ขวองประธานในประโยคหลั ย  ซ่ ึงมีหลักการใช้มากมายซ่ งและต้ ึ องมีเคร่ ืองหมาย

             

มิได้แปลว่า มี).

คำำอธิบำยเบ้ืองต้น Parts of Speech

Sentence Phrase Clause

Parts of Speech ( ชนิดของคำำ ) ข้อความ ประกอบด้วย"คำา" ( word ) หรือกลุ่มคำาซ่ ึงนำามาเรียงต่อเน่ ืองกันเป็ นวลี (phrase) หรือประโยค ( sentence ) จะมีหน้าท่ีอย่างหน่ ึง อย่างใดใน 8 หน้าท่ี ตามหลักไวยากรณ์อังกฤษ ( grammar )หน้าท่ีของคำาเรียกว่า "ชนิดของคำา Noun (คำานาม) Pronoun (คำาสรรพนาม) Verb (คำากริยา) Adverb (คำากริยาวิเศษณ์)

Adjective (คำาคุณศัพท์) Preposition (คำาบุพบท) Conjunction (คำาสันธาน) Interjection (คำาอุทาน)

1. Noun ( คำำนำม ) เป็ นคำาท่ีใช้เรียกคน สัตว์ ส่ิงของ ทัง้ท่ีมีรูปร่างเช่น โต๊ะ สมุด และไม่มีรูปร่างเช่น วัน เวลา อากาศ รวมทัง้ช่ ือของคน สัตว์ หรือส่ิงของ เช่น คน: man father lady สัตว์: dog cat bird ส่ิงของ: city table month

ช่ ือคน: John Mary ช่ ือสัตว์: Lassie Lucifer ช่ ือส่ิงของ: Bangkok January

2. Pronoun (คำำสรรพนำม ) เป็ นคำาท่ีใช้เรียกแทนคำานามเพ่ ือหลีกเล่ียงการกล่าวซ้ำา เช่น I, we, you, he, she, it หรือใช้แทนคำานามท่ีเราไม่ทราบว่าส่ิงนัน ้ เป็ นอะไร หรือใคร เช่น someone, something แทนคำำซ้ำำ Mai is a beautiful woman. Mai is a popular singer. = Mai is a beautiful woman. She is a popular singer. ยังไม่รู้ว่ำเป็ นอะไร Something is missing. ไม่รู้ว่าอะไรหายไป 3. Verb (คำำกริยำ ) เป็ นคำาท่ีบอกอาการหรือการกระทำา ( action ) หรือบอกความเป็ นอยู่ ( being ) หรือสภาวะความเป็ นอยู่ ( state of being ) การกระทำา ความเป็ นอยู่ สภาวะความเป็ นอยู่

Birds fly. นกบิน Danny is a boy. แดนน่ีเป็ นเด็กผู้ชาย He looks good. เขาแลดูดี

4. Adjectives ( คุณศัพท์ ) เป็ นคำาท่ีอธิบายหรือขยาย noun หรือ pronoun ให้ไดัรายละเอียดเก่ียวกับคุณสมบัติของส่ิงนัน ้ ๆ เพ่ิมขึ้น เช่น new, ugly, ill, happy, He bought a new car. เขาซ้ือรถใหม่.( new ขยาย car ซ่ ึงเป็ น noun ) They are ugly. พวกเขาน่าเกลียด ( ugly ขยาย they ซ่ ึงเป็ น pronoun ) 5. Adverb ( วิเศษณ์ หรือ กริยำวิเศษณ์) เป็ นคำาท่ีอธิบายหรือขยาย verb หรือ adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เช่น hard, fast, very

He works hard. เขาเป็ นคนทำางานหนัก (hard ขยาย works ซ่ ึงเป็ น verb) He is very rich. เขาเป็ นคนจนมาก ( very ขยาย rich ซ่ ึงเป็ น adjective ) He works very hard.เขาเป็ นคนท่ีทำางานหนักมาก ( very ขยาย hard ซ่งึ เป็ น adverb ) 6. Preposition ( คำำบุพบท ) เป็ นคำา หรือกลุ่มคำาท่ีวางหน้า noun หรือ pronoun เพ่ ือแสดงว่าคำานามหรือสรรพนามนัน ้ เก่ียวข้องกับคำาอ่ ืนๆในประโยคอย่างไรเช่น I will see you on Monday. ฉันจะพบกับคุณในวันจันทร์ She was waiting at the restaurant. เธอรออยู่ท่ีร้านอาหาร There is a cockroach in my room. มีแมลงสาบตัวหน่ ึงในห้องฉัน We must finish the project within a year. ราจะต้องทำาโครงการนีใ้ห้เสร็จใน 1 ปี 7. Conjunction ( คำำสันธำน ) เป็ นคำาท่ีใช้เช่ ือม คำา กลุ่มคำา หรือประโยคเข้าด้วยกันเพ่ ือให้ความหมายสมบูรณ์ขึ้น เช่น and, but, therefore, beside, either..or John is rich and handsome .จอห์นเป็ นคนรวยและรูปหล่อ Either you or she has to do this job. ไม่คุณก็เธอท่ีจะต้องทำางานนี้ 8. Interjection ( คำำอุทำน )

เป็ นคำาอุทานท่ีแสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึกท่ีเกิดขึ้นในขณะนัน ้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับคำำอ่ ืนๆ ใน ประโยคเลย เช่น Oh God! , WOW, H

กำรพิจำรณำว่ำคำำไหนเป็ นคำำชนิดใด เรำดูที่กำรทำำหน้ำที่ของมันในประโยค คำำๆเดียวอำจทำำหน้ำที่อย่ำงหน่ ึงในประโยคหน่ึง แต่อำจทำำห word work but well

afternoon

parts of speech noun verb conjunction preposition adjective adverb interjection noun noun ทำาหน้าท่ีเหมือน adjective

example My work is easy. งานของฉันง่าย I work in Bangkok. ฉันทำางานอยู่ท่ีกรุงเทพฯ John came but Mary didn't come. จอห์นมาแต่แมร่ีไม่ได้มา Everyone came but Mary. ทุกคนมานอกจากแมร่ี Are you well? คุณสบายดีหรือ? She speaks well. เธอพูดได้ดี Well ! That expensive. แหม! แพงจัง We ate in the afternoon. เรารับประทานในตอนบ่าย We had afternoon tea.เราด่ ืมชาม้ือบ่าย

ต่อไปนีเ้ป็ นกำรแสดงถึง Parts of Speech ต่ำงๆในประโยค verb Stop!

noun John

pronoun verb She loves

noun animals.

noun Tara

noun English

verb speaks

pronoun verb She ran

verb works.

adverb well.

noun John

verb is

noun Animals

verb like

adjective noun kind people.

       

noun Tara

verb speaks

prepositionadjective noun to the station

adverb quickly.

verb working.

adjective noun good English.

pron. She

verb likes

adj. big

noun snakes

conjunction pron. but I

verb hate

pron. them.

prep. to

noun school

ต่อไปนีเ้ป็ นประโยคท่ีมีทุก Parts of Speech ในประโยคเดียว interjectionpron. Well, she

conj. and

adj. young

noun John

verb walk

adverb slowly.

Sentence ( ประโยค )

Sentence เป็ นกลุ่มคำาท่ีมาประกอบกันให้มีเน้ือความสมบูรณ์ บอกการกระทำา ความเป็ นอยู่ หรือความเป็ นไป ของส่ิงหน่ึงส่ิงใด โดยทัว่ไป subject He None of the students

predicate lives in Bangkok. เขาอาศัยอยู่ท่ีกรุงเทพฯ knew the answer. ไม่มีนักเรียนคนใดรู้คำาตอบ

Phrase ( วลี ) เป็ นกลุ่มคำาซ่ ึงเป็ นส่วนหน่ ึงประโยคท่ีไม่มี subject หรือ predicate In case of emergency, push the button. ในกรณีฉุกเฉินให้กดป่ ุม (In case of emergency เป็ นวลี) The woman sitting in the chair is my mother. ผู้หญิงซ่ ึงนัง่ท่ีเก้าอีค ้ ือแม่ของฉัน (sitting in the chair เป็ นวลี) Clause ( อนุประโยค ) เป็ นกลุ่มคำาท่ีมี subject และ predicate เหมือนประโยค ( sentence ) clause ที่ 1 clause ที่ 2 Jack did not come to work แจ๊คไม่ได้มาทำางาน because he had a bad cold.

แต่ไม่ได้อยู่ตามลำาพังจะเช่ ือมติดอยู่กับอีก clause

ค ( sentence ) ว่า "ชนิดของคำา" ( parts of speech ) ซ่งึ ได้แก่

ของคน สัตว์ หรือส่ิงของ เช่น

state of being ) เช่น fly, is, am, seem, look.

ช่น new, ugly, ill, happy, afraid, careless.

อ่ ืนๆในประโยคอย่างไรเช่น on, at, in, from, within

fore, beside, either..or

ย เช่น Oh God! , WOW, Hurrah

น่งึ ในประโยคหน่ึง แต่อำจทำำหน้ำที่อย่ำงอ่ ืนในประโยคอ่ น ื ดังในตำรำงต่อไปนี้

ample

กรุงเทพฯ . จอห์นมาแต่แมร่ีไม่ได้มา มานอกจากแมร่ี

จัง ะทานในตอนบ่าย บ่าย

นไป ของส่ิงหน่ึงส่ิงใด โดยทัว่ไปประโยคจะมี 2 ภาคคือ subject ( ภาคประธาน ) และ predicate ( ภาคแสดง )

chair เป็ นวลี)

ดอยู่กับอีก clause หน่ึงเพ่ ือให้เป็ น 1 ประโยคกล่าวคือ ในประโยคท่ีมี 2 ประโยคมารวมกันแต่ละประโยคคือ clause

กลับไปยังหน้าเดิม Adjective ตำำแหน่งของคุณศัพท์ ( Position )

Adjective ( คุณศัพท์ ) คือคำา ( word ) วลี ( phrase ) หรือประโยค ( sentence ) ซ่งึ ใช้อธิบายหรือขยายคำานาม หรือสรรพ กล่าวคือเป็ นการบอกให้รู้ลักษณะคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนัน ้ ว่าเป็ นอย่างไร เช่น good, bad, new, hot, my, this ใช้วำงประกอบข้ำงหน้ำนำม (attributive use) ที่มันขยำย She is a beautiful girl.  เธอเป็ นคนสวย ( beautiful ขยายนาม girl) These are small envelopes. พวกนีเ้ป็ นซองเล็กๆ  ( small ขยายนาม envelopes) ใช้วำงเป็ นส่วนของกริยำ ( predicative use ) โดยอยู่ตำมหลัง verb to be เม่ ือ adjective นัน ้ ขยำย The girl is beautiful. เด็กผู้หญิงคนนัน ้ สวย       ( beautiful เป็ นคุณศัพท์ท่ีตามหลัง verb to be  ขยาย girl และ the เป็ นคุณศัพท์ขยาย girl These envelopes are small. ซองพวกนีม ้ ีขนาดเล็ก       ( small เป็ นคุณศัพท์ท่ีตามหลัง verb to be ขยาย envelopes ,these เป็ น คุณศัพท์ขยาย envelopes She has been sick all week. เธอป่ วยมาตลอดอาทิตย์       ( sick เป็ น คุณศัพท์ ท่ีตามหลัง verb to be   ขยายสรรพนาม she ) ( You) Be careful. ( คุณ ) ระมัดระวังด้วย       ( careful เป็ นคุณศัพท์ท่ีตามหลัง verb to be ขยาย you    ซ่ ึงในท่ีนีล ้ ะไว้เป็ นท่ีเข้าใจ ) That cat is fat and  white. แมวตัวนัน ้ อ้วนและมีสีขาว      ( That เป็ นคุณศัพท์ประกอบหน้านาม   fat และ white เป็ นคุณศัพทซ่ ึงเป็ นส่วนของกริยาขยาย cat  หลักเกณฑ์อ่ืนๆ 1. คุณศัพท์ที่ประกอบหน้ำนำมไม่ได้ ต้องวำงหลัง verb to be หรือ linking verb* เท่ำนัน ้ เรียกว่ำเป็ น  alike  asleep  awake  aware  afloat  content  ill

 เหมือน  หลับ  ต่ ืนอยู่  ระวัง  ลอย  พอใจ  ป่ วย

 afraid  alone  alive  ashamed  unable  worth  well

 กลัว  โดยลำาพัง  มีชีวิตอยู่  ละอาย ไม่สามารถ  มีค่า  สบายดี

 เช่น These two women look alike. ผู้หญิง 2 คนนีด ้ ูเหมือนกัน ( look เป็ น linking verb, alike เป็ น The boy is asleep. เด็กชายกำาลังนอนหลับ ( ทำาเป็ น attributive adj. ได้คือ The  sleeping boy. ) The sky is aglow. ท้องฟ้ าสว่างไสว ทำาเป็ น attributive adj. ได้คือ The  glowing sky.

* linking verb หมายถึง กริยาท่ีใช่เช่ ือมประธาน ( Subject) กับคำาอ่ ืนให้สัมพันธ์ กันเพ่ ือช่วยขยายประธานของประโยค ให้ได้ใ verb to be เช่น appear, become, feel, get, grow,keep, look, go, remain, seem, smell, sound, taste,  2. คุณศัพท์ที่ใช้เป็ นส่วนของกริยำ ( verb to be ) ไม่ได้ เช่น  former  inner  actual

 ก่อน  ภายใน  ในทางปฏิบัติ

 latter  outer  neighboring

 หลัง  นอก  ใกล้เคียง

 elder  entire  especial  middle

 อายุมากกว่า  ทัง้สิน ้  โดยเฉพาะ  กลาง

 drunken  shrunken  wooden

 เมา  หด  ทำาด้วยไม้

เช่น   A wooden heart. (ไม่ใช่  A heart is wooden )

 3. ถ้ำคุณศัพท์นัน ้ ทำำหน้ำที่ขยำยนำมหรือสรรพนำมท่ีเป็ นกรรมของประโยค ต้องวำงคุณศัพท์ไว้หลังกรรมนัน ้ เพ่ ือให้ได้ควำมชัดเจ We considered his report  unsatisfactory.  เราพิจารณาเห็นว่ารายงานของเขาไม่เป็ นท่ีน่าพอใจ       (unsatisfactory เป็ นคุณศัพท์ขยาย his report  ซ่ ึงเป็ นกรรมของประโยค )  4. เม่ ือใช้กับข้อควำมแสดงกำรวัด ( measurement) วำงคุณศัพท์ไว้หลังนำม หรือสรรพนำม เช่น My uncle is sixty years old.  ลุงของฉันอายุ 60 ปี     (ไม่ใช่ My uncle is old sixty years.) This road is fifty feet wide. ถนนนีก ้ ว้าง 50 ฟุต    (ไม่ใช่ This road is wide fifty feet.)  5. เม่ ือคุณศัพท์หลำยคำำประกอบนำมหรือสรรพนำมเดียว จะวำงข้ำงหน้ำหรือข้ำงหลังก็ได้   โดยจะต้องมี and   The building, old and unpainted, was finally demolished.   ตึกซ่ ึงเก่าและสีทรุดโทรม     ในท่ีสุดก็ถูกทุบทิง้ ( วางข้างหลัง ) หรือ The old and unpainted building was finally demolished. ( วางข้างหน้า )  He bought a new, powerful and expensive car . เขาซ้ือรถใหม่ท่ีกำาลังแรงสูงและราคาแพง หรือ  He bought a car, new, powerful and expensive.    6. คุณศัพท์วำงตำมหลังคำำสรรพนำม ( pronoun ) ที่มันขยำย ต่อไปนี้          someone  somebody  something

 anyone  no one  anybody  nobody  anything  nothing

 everyone  everything  everybody

เช่น She wanted to marry someone rich and smart.  เธอต้องการแต่งงานกับใครสักคนซ่ ึงหล่อและรวย I'll tell you something important. ฉันจะเล่าบางอย่างท่ีสำาคัญให้คุณฟั ง  7. วำง คุณศัพท์ไว้หลังนำมหรือสรรพนำมถ้ำคุณศัพท์นัน ้ มีข้อควำม ( prepositional phrase ) ประกอบอยู่      เช่น Thailand is a country famous for its food and  fruits.  ไทยเป็ นประเทศท่ีมีช่ือเสียงในเร่ ืองอาหารและผลไม้       (famous เป็ นคุณศัพท์    famous for food and fruits เป็ นข้อความขยายคำานาม country) She is the woman suitable for the position. เธอเป็ นผู้หญิงท่ีเหมาะสมกับตำาแหน่ง       (suitable เป็ นคุณศัพท   ์ suitable for the position.  เป็ นข้อความขยาย  woman )  8. คุณศัพท์บำงคำำมีควำมหมำยต่ำงกัน ถ้ำวำงในตำำแหน่งที่ต่ำงกัน เช่น He is and old friend.  เขาเป็ นเพ่ ือนเก่า My friend is old.  เพ่ ือนของฉันสูงอายุ The teacher was present.  ครูมาอยู่ท่ีนัน ้ ด้วย The present teacher.   ครูคนปั จจุบัน

Harry was late.  แฮรีมาสาย The late Harry.   แฮร่ีผู้เสียชีวิตไปแล้ว

 9. กลุ่มของคำำที่เป็ นวลี ( phrase) หรืออนุประโยค ( clause ) เม่ ือขยำยคำำนำม ต้องวำงหลังนำมหรือสรรพนำมท่ีมันประ The woman sitting in the chair is my mother .  ผู้หญิงที่นั่งที่เก้ำอีเ้ป็ นแม่ของฉัน       ( sitting in the chair  เป็ นวลี ขยายคำานาม  the woman) The man who came to see me this morning is my uncle.     ผู้ชายท่ีมาหาฉันเม่ ือเช้านีค ้ ือลุงของฉัน      ( who came to see me this morning  เป็ นอนุประโยคขยายคำานาม the man ) หมำยเหตุ    ถ้านามใดมีทัง้วลี และ อนุประโยค มาขยายพร้อมกัน ให้เรียงวลีไว้หน้าอนุประโยคเสมอ เช่น

I like the picture on the wall which was  painted by my friend.     ฉันชอบรูปภาพท่ีแขวนบนข้างซ่ึง       ( on the wall เป็ นวลีขยาย the picture) ( which was painted by my friend เป็ นอนุประโยคขยาย There is only one solution possible.   (possible วางหลังคำานาม solution ) There are some tickets available.   ( available วางหลังคำานาม tickets)  10. คุณศัพท์ที่เป็ นสมญำนำมไปขยำยคำำนำมที่เป็ นช่ ือเฉพำะ ให้วำงหลังคำำนำมนัน ้ เสมอ เช่น  Alexander the Great William the Conqueror

 11.โดยปกติคุณศัพท์จะต้องวำงหลัง article ที่เป็ น a หรือ an เช่น a good man ยกเว้นคุณศัพท์ต่อไปนี เ้ม่ ือนำาไปขยาย ให้วางคุณศัพท์นัน ้ ไว้หน้า a หรือ an ได้แก่ half, such, quite,  rather และ many เช่น John is such a good man. ( a good man เป็ นนามเอกพจน์ ) This is rather a valuable picture ( a valuable picture เป็ นนามเอกพจน์ )  12. เม่ ือ adjective หลำยคำำประกอบคำำนำมเดียว ควรวำงลำำดับก่อนหลังดังนี้ Article Demonstrative คำาอธิบายลักษณะ Possessive บอกจำานวนนับ Indefinite สัญชาติแหล่งกำาเนิด คุณภาพลักษณะ รูปร่างขนาด อายุ สี Adjective A beautiful old Italian An expensive antique The four gorgeous long-stemmed red Her short black Our two big old English Some delicious Thai Many modern small

อธิบายหรือขยายคำานาม หรือสรรพนาม ให้ได้ ความชัดเจนย่ิงขึ้น bad, new, hot, my, this โดยทัว่ไปการวางตำาแหน่ง คุณศัพท์ในประโยคจะวางได้ 2 แบบ

ctive นัน ้ ขยำย noun หรือ pronoun ที่อยู่หน้ำ verb to be

พท์ขยาย girl เช่นกัน

ณศัพท์ขยาย envelopes เช่นกัน )

งกริยาขยาย cat

นัน ้ เรียกว่ำเป็ น predicate adjective ได้แก่

, alike เป็ น predicative adj.) eeping boy. )

ยขยายประธานของประโยค ให้ได้ใจความสมบูรณ์ท่ีนอกเหนือไปจาก em, smell, sound, taste, turn.

ว้หลังกรรมนัน ้ เพ่ ือให้ได้ควำมชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

ดยจะต้องมี and  มำคั่นหน้ำคุณศัพท์ตัวสุดท้ำย เช่น

งและราคาแพง หรือ  

กคนซ่ ึงหล่อและรวย

rase ) ประกอบอยู่      เช่น

ช่ ือเสียงในเร่ ืองอาหารและผลไม้

หลังนำมหรือสรรพนำมท่ีมันประกอบ เช่น

หาฉันเม่ ือเช้านีค ้ ือลุงของฉัน

ฉันชอบรูปภาพท่ีแขวนบนข้างซ่ึงวาดโดยเพ่ ือนของฉัน nd เป็ นอนุประโยคขยาย the picture )

ว้นคุณศัพท์ต่อไปนี เ้ม่ ือนำาไปขยายคำานามท่ีเป็ นเอกพจน์และนับได้

นามรองทำาหน้าท่ี คุณศัพท์

นามหลัก

วัสดุ touring silver

   brick

car. mirror. roses. hair. sheep-dogs. food. houses.

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives ( คำำคุณศัพท์ ) Types (ชนิดของคุณศัพท์) โดยทัว่ไปแบ่งออกได้ 8 ชนิดคือ 1. Proper adjective 2. Descriptive adjective 3. Quantitative adjective 4. Numeral adjective

5. Demonstrative adjective 6. Distributive adjective 7. Possessive adjective 8. Interrogative adjective

1. Proper adjective ( คุณศัพท์แสดงสัญชำติ ) เป็ นคำาคุณศัพท์ท่ีขยายนามเพ่ ือบอกสัญชาติ มีรูปเปล่ียนแปลงมาจาก Proper noun และต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ เช่น Proper noun China =ประเทศจีน France =ประเทศฝรัง่เศส Italy =ประเทศอิตาลี

Proper Adjective Chinese =แห่งประเทศจีน,ชาวจีน French =แห่งประเทศฝรัง่เศส, ชาวฝรัง่เศส Italian =แห่งประเทศอิตาลี,ชาวอิตาลี

เช่นประโยค We learn the French literature every Monday. เราเรียนวรรณคดีฝรัง่เศสทุกวันจันทร์ I like Chinese food. ฉันชอบอาหารจีน Proper adjective จะมีวิธีกำรเขียนไม่เหมือนกันดังนี้ 1.1 Proper adjective ที่ลงท้ำยด้วย - ese เช่น Proper noun Burma Bhutan China Congo Japan

proper adjective Burmese Bhutanese Chinese Congolese Japanese

proper noun Lebanon Nepal Portugal Taiwan Vietnam

proper adjective Lebanese Nepalese Portuguese Taiwanese Vietnamese

proper noun Libya Malaysia Mexico Morocco Mozambique Nicaragua Niger Norway Panama

proper adjective Libyan Malaysian Mexican Moroccan Mozambican Nicaraguan Nigerian Norwegian Panamanian

1.2 Proper adjective ที่ลงท้ำยด้วย -an Proper noun Algeria Angola Argentina Australia Belgium Brazil Canada Cuba Egypt

proper adjective Algerian Angolan Argentinean,Argentinian Australian Belgian Brazilian Canadian Cuban Egyptian

Fiji Germany Ghana Haiti Honduras Indonesia Iran Italy Jordan Laos

Fijian German Ghanaian Haitian Honduran Indonesian Iranian Italian Jordanian Laotian

Paraguay Peru Rhodesia Romania Russia Singapore Syria Tahiti Tibet Zaire

Paraguayan Peruvian Rhodesian Romanian Russian Singaporean Syrian Tahitian Tibetan Zairean,Zairian

proper adjective Bahraini Iraqi Israeli Kuwaiti

proper noun Oman Pakistan Yemen

proper adjective Omani Pakistani Yemeni

proper adjective Thai Greek Afghan

proper noun Malaya Sri Lanka

proper adjective Malay Ceylonese

1.3 คำำ Proper adjective ที่ลงท้ำยด้วย – i Proper noun Bahrain Iraq Israel Kuwait 1.4 คำำพิเศษ Proper noun Thailand Greece Afghanistan

1.5 ประเทศซ่ ึงคำำคุณศัพท์ กับคำำที่เรียกคนของประเทศนัน ้ ไม่เหมือนกัน Proper Noun Botswana

Proper adjective Setswana (ภาษา)

Cyprus Cyprian Czechoslovakia Czech Denmark Danish Finland Finnish Holland(The Netherlands)Dutch Iceland Icelandic Ireland Irish Luxemburg Luxemburg Mongolia Mongolian New Zealand New Zealand The Philippines

Philippine

Poland Somalia Spain Sweden Turkey Yugoslavia

Polish Somalian Spanish Swedish Turkish Yugoslavian

2. Descriptive Adjective ( คุณศัพท์แสดงคุณสมบัติ )

person Motswana ( เอกพจน์) Batswana( พหูพจน์) Cypriot Czechoslovakian Dane Finn Hollander Icelander Irishman Luxemburger Mongol New Zealander Filipina ( หญิง ) Filipino ( ชาย ) Pole Somali Spaniard Swede Turk Yugoslav

เป็ นคำาคุณศัพท์บอกลักษณะ คือจะไปขยายนามเพ่ ือบอกให้รู้ว่า นามนัน ้ มีลักษณะ คุณสมบัติ หรือความพิเศษอย่างไร เป็ นชนิดท่ีใช้ม large heavy cheap white ตัวอย่าง เช่น

fat light expensive dark

big thin brave tall

huge small coward handsome

a dark, tall and handsome man, an expensive car

3. Quantitative Adjective ( คุณศัพท์แสดงปริมำณท่ีนับไม่ได้ )

เป็ นคำาคุณศัพท์บอกปริมาณ คือไปขยายนามท่ีนับไม่ได้ (uncountable noun ) เพ่ ือบอกให้ทราบปริมาณของส่ิงนัน ้ ว่ามีมากหรือน้อ much all

any whole

half some

enough great

ตัวอย่างเช่น We needed some money. เราต้องการเงินจำานวนหน่ ึง He showed great patience. เขาแสดงให้เห็นว่ามีความอดทนสูง 4. Numeral Adjective เป็ นคำาคุณศัพท์ท่ีบอกจำานวนมากน้อยของนามท่ีนับได้ ( countable noun ) หรือบอกลำาดับก่อนหลัง ( order ) 1. บอกจำานวนท่ีแน่นอน ( Definite Numeral ) อาจจะแบ่งออกได้เป็ น 3 ชนิด (1) บอกจำานวนนับ ( Cardinal) one, two, three, four ……….. (2) บอกลำาดับท่ี ( Ordinal ) first, second, third……………. (3) บอกจำานวนเท่า ( Multiplicative ) single, double, triple…………… 2. บอกจำานวนท่ีไม่แน่นอน ( Indefinite Numeral ) เช่น many no few some several any all enough 5. Demonstrative Adjective เป็ นคำาคุณศัพท์ชีเ้ฉพาะคำานาม ซ่ ึงระบุเจาะจงไปโดยชัดแจ้งว่าเป็ นคำานามอันไหน ส่ิงไหน หรือคนใด แบ่งเป็ น 1. Definite Demonstrative ชีเ้ฉพาะโดยชัดแจ้ง ได้แก่ the those

this such

these the same

that the other

2. Indefinite Demonstrative ชีใ้ห้เห็นอย่างกว้าง ได้แก่ a an any

one a certain certain

such some another

6. Distributive Adjective

any other other

เป็ นคำาคุณศัพท์ซ่ึงไปขยายคำานามเพ่ ือแยกคำานามนัน ้ ๆออกจากกัน เช่น each every either neither

แต่ละ ใช้สำาหรับ 2 ส่ิงหรือมากกว่าขึ้นไป ทุกๆ ใช้เฉพาะนามท่ีมากกว่า 2 ส่ิงขึ้นไป อันใดอันหน่ ึงใน 2 ส่ิง ไม่ใช่ทัง้ 2 ส่ิง

7. Possessive Adjective เป็ นคำาคุณศัพท์ประกอบหน้านามเพ่ ือแสดงความเป็ นเจ้าของ เช่น my , your, his , her, its, their our 8. Interrogative Adjective เป็ นคำาคุณศัพท์ขยายคำานามเพ่ ือแสดงคำาถาม เช่น what which whose หมำยเหตุ คำาคุณศัพท์เหล่านีจ้ะต้องมีคำานามตามหลังเพราะหากไม่มีคำานามตามหลัง จะกลายเป็ นสรรพนาม Pronoun Adjective What did youWhat see ?book did you read?

e

งขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ เช่น

djective วจีน , ชาวฝรัง่เศส วอิตาลี

proper adjective Lebanese Nepalese Portuguese Taiwanese Vietnamese

proper adjective Libyan Malaysian Mexican Moroccan Mozambican Nicaraguan Nigerian Norwegian Panamanian

Paraguayan Peruvian Rhodesian Romanian Russian Singaporean Syrian Tahitian Tibetan Zairean,Zairian

proper adjective Omani Pakistani Yemeni

proper adjective Malay Ceylonese

หรือความพิเศษอย่างไร เป็ นชนิดท่ีใช้มากท่ีสุด เช่น

ทราบปริมาณของส่ิงนัน ้ ว่ามีมากหรือน้อย แต่ไม่บอก จำานวนแน่นอน เช่น little sufficient

ก่อนหลัง ( order ) ของคำานาม แบ่งเป็ น 2 พวก

อคนใด แบ่งเป็ น 2 ชนิด

เป็ นสรรพนาม ( pronoun ) ไม่ใช่คุณศัพท์ เช่น

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives Formation (กำรทำำให้เป็ นคำำคุณศัพท์ ) คำาคุณศัพท์นอกจากเป็ นด้วยตัวของมันเองแล้ว ยังสามารถนำาชนิดของคำาอ่ ืนมาทำาให้เป็ นคำาคุณศัพท์ได้ด้วย เช่น 1. คำาคุณศัพท์ท่ีมาจากคำานามโดยการเติม Suffix ท้ายคำาเช่น คำำนำม คำำคุณศัพท์ education การศึกษา educational เก่ียวกับการศึกษา gold ทอง golden ทำาด้วยทอง fool ความโง่ foolish อย่างโง่ๆ care ระมัดระวัง careless ไม่ระมัดระวัง friend เพ่ ือน friendly เป็ นเพ่ ือน danger อันตราย dangerous เป็ นอันตราย trouble ยุ่งยาก troublesome ความยุ่งยาก dust ฝ่ ุน dusty เต็มไปด้วยฝ่ ุน 2. คำาคุณศัพท์ท่ีมาจากคำากริยา ( Verb) โดยการเติม suffix ท้ายคำา เช่น คำำกริยำ คำำคุณศัพท์ talk พูด talkative ช่างพูด sleep หลับ sleepy ง่วงนอน differ แตกต่าง different ความแตกต่าง accept ยอมรับ acceptable เป็ นท่ียอมรับได้ wash ซัก washable ซักได้

ณศัพท์ได้ด้วย เช่น

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives กำรเปรียบเทียบคำำคุณศัพท์ ( Comparison of Adjectives )

การเปรียบเทียบคำาคุณศัพท์ ( Comparison of Adjectives ) เป็ นการเปรียบเทียบคำาคุณศัพท์ท่ีไปแสดงคุณภาพของนามเพ่ ือจะบอก

กำรเปรียบเทียบขัน ้ ปกติ ( Positive Degree ) ใช้เปรียบเทียบความเท่าเทียมกัน ไม่เท่าเทียมกัน เช่น long, short, small , big , fa กำรเปรียบเทียบขัน ้ กว่ำ ( Comparative Degree ) ใช้เปรียบเทียบกับนาม 2 จำานวน เช่น longer, shorter, smaller, bigger , fa กำรเปรียบเทียบขัน ้ สูงสุด ( Superlative Degree ) ใช้เปรียบเทียบกับนามท่ีมีจำานวนตัง้แต่ 3 ขึ้นไป เช่น longest, shortest, sma 1. กำรเปรียบเทียบขัน ้ ปกติ ( Positive Degree ) มีตัวเช่ ือมหลำยรูปแบบดังต่อไปนี้ รูปแบบ as+ คุณศัพท์ขัน ้ ปกติ ( positive degree) + as แสดงความ เท่าเทียมกัน เช่น This pencil is as long as that one. ดินสอแท่งนีย ้ าวเท่าๆกับแท่งนัน ้ รูปแบบ as + much หรือ many + นำม + as แสดงความเท่าเทียมกัน เช่น I have as much money as you. ฉันมีเงินมากเท่าๆกับคุณ I have as many books as you. ฉันมีหนังสือมากเท่าๆกับคุณ รูปแบบ the same +นำม + as แสดงความเท่าเทียมกัน เช่น Malee is the same age as มาลีมีอายุเท่ากับลัดดา แต่ถ้าประธานเป็ นพหูพจน์ ให้ตัด as ออกได้เลย เช่น Malee and Ladda are the same age. มาลีและลัดดาอายุเท่ากัน รูปแบบ Verb to be + like แปลว่าเหมือนกัน เป็ นคำาเช่ ือมแสดงความเท่าเทียมกัน แต่ถ้าประธานเป็ น พหูพจน์ ให้ใช้ She is like her father. เธอเหมือนกับพ่อของเธอ Your car and mine are alike. รถยนต์ของคุณและของฉันเหมือนกัน รูปแบบ verb to be + similar to + นำม แปลว่า เหมือนกัน คล้ายกัน เป็ นคำาเช่ ือมแสดงความเท่าเทียมกัน เช่น Your bag is similar to mine. ถุงของเธอคล้ายกับถุงของฉัน กรณีต้องการเปรียบเทียบความไม่เท่ากันมีรูปแบบดังนี้ not so + คุณศัพท์ขัน ้ ปกติ + as หรือ not as + คุณศัพท์ขัน ้ ปกติ + as เช่น This road is not so long as that one. ถนนเส้นนีไ้ม่ยาวเท่าเส้นนัน ้ หรือ This road is not as long as that one. not as + much/many + นำม + as เช่น I don’t have so much money as you . ฉันไม่มีเงินมากเท่าคุณ หรือ I don’t have as much money as you. 2. กำรเปรียบเทียบขัน ้ กว่ำ ( Comparative Degree )

การเปรียบเทียบท่ีสูงกว่า แสดงในรูป คุณศัพท์ขัน ้ กว่ำ + than เช่น This road is longer than that one. ถนนเส้นนีย ้ าวกว่าเส้นนัน ้ You are taller than me. หรือ You are taller than I am. เธอสูงกว่าฉัน การเปรียบเทียบท่ีต่ำากว่ากัน แสดงในรูป less + positive degree + than เช่น Malee is less careful than Somchai. มาลีเป็ นคนท่ีรอบคอบน้อยกว่าสมชาย It is less hot today than it was yesterday. วันนีอ ้ ากาศร้อนกว่าเม่ ือวานนี้ เม่ ือนำาคุณศัพท์ขัน ้ กว่ามาใช้เปรียบเทียบกับคำานาม ( noun ) ด้วยกัน ให้ใช้รูปแบบดังนี้ fewer + นามพหูพจน์นับได้ + than = น้อยกว่า less + นามนับไม่ได้ + than = น้อยกว่า more + นามพหูพจน์นับได้, นามนับไม่ได้ + than = มากกว่า

เช่น

There are fewer students in this room than in that room. มีนักเรียนในห้องนีน ้ ้อยกว่าในห้องนัน ้ I spent less money than you. ฉันใช้จ่ายเงินน้อยกว่าคุณ There are more students in this room than in that room. มีนักเรียนในห้องนี ม ้ ากกว่าในห้องนัน ้ My mother have more money than my father. แม่ของฉันมีเงินมากกว่าพ่อ หมำยเหตุ ในกรณีท่ี than ทำำหน้ำที่เป็ น conjunction She eats less than I do. เธอเป็ นคนกินน้อยกว่าฉัน

than ทำาหน้าท่ีเป็ นคำาเช่ ือม 2 อนุประโยค ( clause) เข้าด้วยกัน คือ She eats less เป็ น main clause I do เป็ น subordinate clause โดย I ทำาหน้าท่ีประธานของประโยคท่ี 2 มี verb do ตาม than I do เป็ น adverbial clause of comparison

ในกรณีท่ี than ทำำหน้ำที่เป็ น preposition She eats less than me. เธอเป็ นคนกินน้อยกว่าฉัน

สรรพนาม ( pronoun )ท่ีตามหลัง than ซ่ ึงทำาหน้าท่ีเป็ นประธาน ต้อง

pronoun ท่ีตามหลัง than ทำาหน้าท่ีเป็ น object ไม่ต้องมี verb

than ทำาหน้าท่ีเป็ น preposition ดังนัน ้ pronounท่ีตามหลัง than อยู่ในรูป ของกรรม ( object ) คือ me จึงไม่ต้องมี verb ตาม

โดยทัว่ไปใช้ได้และมีความหมายไม่ต่างกันทัง้สองกรณี 3. กำรเปรียบเทียบขัน ้ สูงสุด ( Superlative Degree ) รูปแบบมีดังนี้ the + คุณศัพท์ขัน ้ สูงสุด + นำม What is the longest river in the world? แม่น้ำาอะไรยาวท่ีสุดในโลก My eldest son is 16 years old. ลูกชายคนโตของฉันอายุ 16 ปี Jane is my best friend. เจนเป็ นเพ่ ือนท่ีดีท่ีสุดของฉัน ( ถ้ามี possessive adjective อยู่หน้าคุณศัพท์ขัน ้ สูงสุดแล้ว ไม่ต้องใช้ the )

พท์ท่ีไปแสดงคุณภาพของนามเพ่ ือจะบอกให้รู้ว่านามนัน ้ มีลักษณะ เท่าเทียมกันหรือไม่ อย่างไร แบ่งออกเป็ น 3 ขัน ้ คือ

มกัน เช่น long, short, small , big , fast, slow เป็ นต้น onger, shorter, smaller, bigger , faster, slower เป็ นต้น 3 ขึ้นไป เช่น longest, shortest, smallest, biggest เป็ นต้น

ระธานเป็ น พหูพจน์ ให้ใช้ verb to be + alike เช่น

ความเท่าเทียมกัน เช่น

ยกว่าในห้องนัน ้

กกว่าในห้องนัน ้

ลัง than ซ่ึงทำาหน้าท่ีเป็ นประธาน ต้องมี verb ตามด้วย ดังนี้ เข้าด้วยกัน คือ

ตาม n

ject ไม่ต้องมี verb ตามดังนี้

ท่ต ี ามหลัง องมี verb ตาม

นสูงสุด + นำม

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives ( articles -a/an ) Articles เป็ นคำาคุณศัพท์อย่างหน่ ึง การเรียน Articles ต้องทำาความเข้าใจควบคู่ไปกับเร่ ืองนามนับได้ ( Countable Nouns ) หลักกำรใช้ article นำำหน้ำนำม คือ เม่ ือกล่าวเป็ นการทัว่ไป เม่ ือกล่าวเป็ นการชีเ้ฉพาะ

นามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำาหน้าเสมอ นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใดๆ จะต้องใช้ the นำาหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็ นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็ นนามนับได้หรือไม่ได้

Articles แบ่งเป็ น 2 ชนิดคือ Indefinite Article ได้แก่ a และ an ใช้นำาหน้านามนับได้ ( Countable Nouns ) เอกพจน์ทัว่ๆไป ( Singular ) Definite Article ได้แก่ the ซ่ ึงใช้นำาหน้าคำานามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) กำรใช้ Indefinite Article : a, an

1. ใช้ a นำำหน้ำคำำนำมนับได้ เอกพจน์ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและมีควำมหมำยทั่วไปในควำมหมำย หน่ ึง โดยไม่ต้องกำรเน้นจำำนวน เช He is reading a newspaper. เขากำาลังอ่านหนังสือพิมพ์

2. ใช้ an นำำหน้ำคำำนำมนับได้ เอกพจน์ขึ้นต้นด้วยสระ และมีควำมหมำยทั่วไป เช่น an orange, an umbrella, an hour, an a It's raining.You will need an umbrella .ฝนกำาลังตก คุณจะต้องมีร่มกันฝน. หมำยเหตุ

ถ้าคำานามนับได้ เอกพจน์ นัน ้ ขึ้นต้นด้วยสระ แต่ว่าออกเสียงเป็ นพยัญชนะ ให้ใช้ a เช่น a uniform, a university, a European ถ้าคำานามนับได้ เอกพจน์ นัน ้ มีคุณศัพท์นำาหน้าขยาย ให้ดูดังนี้ -หากคำาคุณศัพท์นัน ้ ขึน ้ ต้นด้วยเสียงพยัญชนะก็ให้ใช้ a เช่น a sweet orange, a big umbrella -หากขึน ้ ต้นด้วย เสียงสระให้ใช้ an เช่น an old city, an ugly woman เป็ นต้น ถ้าคำานามนัน ้ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็ นสระ หรือมี adjective ท่ีขึ้นต้นด้วยสระมาขยายข้างหน้านามนัน ้ ให้ใช้ -ออกเสียงเป็ นสระ เช่น an hour, an heir, an honor -มีคุณศัพท์ท่ีขึ้นต้นด้วยสระ เช่น an important person 3. ใช้ a, an นำำหน้ำนำมเอกพจน์ เม่ ือกล่ำวถึงคำำนำมนัน ้ เป็ นครัง้แรก เช่น There is a shop on the corner. มีร้านอยู่ 1 ร้านท่ีหัวมุม ( ใช้ a เพราะเป็ นการพูดถึงครัง้แรก 4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ่ม หมู่เหล่ำ เช่น A cow is an animal. วัวเป็ นสัตว์ขนิดหน่ ึง = Cows are animals.วัวเป็ นสัตว์ An owl can see in the dark. นกเค้าแมวมองเห็นได้ในความมืด 5. ใช้ a, an ในกำรบอกอัตรำต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น She runs three miles a day. เธอว่ิงวันละ 10 ไมล์ ( เป็ นกิจวัตร )

I go to the cinema about once a month. ฉันไปดูภาพยนต์ประมาณเดือนละครัง้

6. ใช้ a, an หน้ำช่ ือเฉพำะของผู้มีช่ือเสียงที่รู้จักทั่วไป เพรำะมีคุณสมบัติ ควำมสำมำรถ หรืออุปนิสัยเหมือนผู้ท่ีต้องกำรเปรียบเทียบ He is an Einstein. เขาเป็ นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์ He is a Soontorn Poo of our school. เขาเป็ นคนท่ีแต่งกลอนเก่ง ( เหมือนสุนทรภู่) ของโรงเรียนเรา หมำยเหตุ แต่ถ้าใช้ the แทน a หมายความว่าคนเช่นนัน ้ มีคนเดียว He is the Soontorn Poo of our school. เขาเป็ นคนท่ีแต่งกลอนเก่งของโรงเรียนเรา ( เพียงคนเดียว He is the Khun Phaen of our family. เขาเป็ นคนเจ้าชู้( เหมือนขุนแผน)คนเดียวในครอบครัวเรา 7. ใช้ a, an นำำหน้ำคำำนำมที่เป็ นสำำนวนในประโยคอุทำน เช่น What a pity !น่าสงสารจัง What a shame ! น่าอายจัง ! 8. ใช้ a, an นำำหน้ำคำำนำมเอกพจน์ที่กล่ำวถึงกำรเป็ นสมำชิกของกลุ่มต่ำงๆ เช่น กลุ่มอำชีพ เช้ือชำติ ศำสนำ My father is a teacher. อำชีพ Robert is an American. เช้ือชาติ John is a Catholic. ศาสนา 9. ใช้ a, an แทนจำำนวน หน่ ึงหน้ำคำำนำมท่ีเป็ นสำำนวนเก่ียวกับกำรนับจำำนวนหรือแสดงจำำนวนมำก ไข่จำานวน 1 โหล ปากกาจำานวน 12 โหล ประชาชนจำานวนมาก เพ่ ือนจำานวนมาก

a dozen of eggs. a gross of pens a lot of people a number of friends

10. ใช้ a, an นำำหน้ำนำมที่เป็ นสำำนวนเกี่ยวกับกำรเจ็บไข้ได้ป่วย โครงสร้ำงคือ have + a+ อำกำรเจ็บป่วย have a headache ( ปวดหัว ) have a stomachache ( ปวดท้อง ) have a toothache ( ไม่มี a ก็ได้ ) ( ปวดฟั น )

have a pain in the chest ( เจ็บหน้าอก have a cold ( เป็ นหวัด ) have a fever ( เป็ นไข้ )

ยกเว้นถ้ำเป็ นช่ ือโรค ไม่ใช้ a, an เช่น rheumatism( โรคปวดข้อ ) influenza (ไข้หวัดใหญ )

diabetes ( เบาหวาน ) ่cancer ( มะเร็ง )

เช่น He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันท่ีกลางหลัง He had a pain in the neck. เขามีอาการปวดคอ She is suffering from rheumatism. เธอกำาลังทุกข์ทรมานด้วยโรคปวดข้อ 11. ใช้ a,an ในสำำนวนที่มีคำำต่อไปนีน ้ ำำหน้ำคือ

such, quite, rather, many

We didn't expect such a hot day. เราไม่ได้คาดว่ามันจะเป็ นวันท่ีอากาศร้อนเช่นนี้ He is quite a good boy. เขาเป็ นเด็กดีทีดียว It was rather a short trip. มันเป็ นการเดินทางท่ีค่อนข้างสัน ้

Many a place in Thailand impressed them. สถานท่ีหลายแห่งในประเทศไทยประทับใจพวกเขามาก 12. ใช้ a, an หลังโครงสร้ำงต่อไปนี้ so + adjective+a + นำมนับได้ เอกพจน์ ( such a+ นำม ) เช่น We didn't expect so great a crowd. .เราไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายอย่างนี้ too + adjective + a + นำมนับได้ เอกพจน์ This is too hard a job for him. น่ีเป็ นงานหนักเกินไปสำาหรับเขา however + adjective + a + นำมนับได้เอกพจน์ However nice a girl she is, he never like her. ไม่ว่าเธอจะเป็ นคนน่ารักอย่างเขาก็ไม่ชอบเธอ as + adjective + a + นำมนับได้ เอกพจน์+ as She is as good a student as you are.เธอเป็ นนักเรียนท่ีดีเช่นเดียวกับคุณ 13. สำำนวนในภำษำอังกฤษที่ใช้ a,an all of a sudden as a matter of fact as a rule do a favor earn a living give an idea go for a walk go for a ride have a good time have a hair cut it's a shame it's a pity that take a trip take a picture take a seat with a view to on an/the average a couple of

ทันใดนัน ้ อันท่ีจริงแล้ว ตามปกติ โดยทัว่ไป ช่วยเหลือ หาเลีย ้ งชีพ ให้ความคิด เดินเล่น นัง่รถเล่น สนุกสนาน ตัดผม น่าขายหน้า น่าเสียดาย,น่าสงสาร เดินทาง ถ่ายรูป นัง่ เพ่ ือจะทำาให้ โดยเฉล่ีย สองสาม

in a hurry/rush in a good/bad mood keep an eye on make a decision make a living make a mistake make a noise make a speech make a wish make a fool of make a request tell a lie, tell lies take a look at keep a secret in a position to on a large scale make a remark play a joke on

อย่างเร่งรีบ อารมณ์ด/ี เสีย เฝ้ าดู ตัดสินใจ หาเลีย ้ งชีพ ทำาผิด ทำาเสียงดัง กล่าวสุนทรพจน์ อธิษฐาน ทำาให้ขายหน้า ขอร้อง โกหก มอง ดู เก็บเป็ นความลับ อยู่ในฐานะท่ีจะ อย่างมาก ให้ข้อสังเกต ล้อเล่น

กำรใช้ a/an และ one

ท่ีผ่านมาเป็ นการใช้ a/an กับนามนับได้ในความหมายของส่ิงเดียว ( singular ) บางครัง้ท่ีเราต้องการเน้นตัวเลข สามาร We'll be in Australia for one ( or a ) year. เราจะอยู่ในออสเตรเลีย 1 ปี She scored one ( or a ) hundred and eighty points. เธอได้คะแนน 168 คะแนน จะใช้ one เท่ำนัน ้ เม่ ือ ต้องการท่ีจะเน้นว่าส่ิงท่ีกล่าวถึง มี/เป็ น เพียง 1 ไม่ใช่ 2,3,4...... เช่น Do you want one sandwich or two? คุณต้องการแซนด์วิช 1 หรือ 2 อัน Are you staying just one night ? คุณจะพักค้างคืนวันเดียวหรือ

ใช้ one ในรูปแบบ one ...other / another เช่น Close one eye, and then the other. ปิ ดตาข้างหน่ ึงก่อนแล้วจึงปิ ดอีกข้าง Bees carry pollen from one plant to another. ผึ้งนำาเกสรดอกไม้จากต้นหน่ ึงไปอีกต้น

นามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ซ่ ึงเป็ นเร่ ืองค่อนข้างสับสนสำาหรับผู้เรียนซ่ ึงท่ีไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาแม่



หรือพหูพจน์ เป็ นนามนับได้หรือไม่ได้

จน์ทัว่ๆไป ( Singular ) นับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ทัง้รูปเอกพจน์ Singular ) และพหูพจน์ ( Plural ) เพ่ ือให้นามนัน ้ มีความหมายเฉพาะเจาะจง

มำย หน่ ึง โดยไม่ต้องกำรเน้นจำำนวน เช่น a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop เช่น

nge, an umbrella, an hour, an article

uniform, a university, a European, a eucalyptus ( ต้นยูคาลิบตัส ), a utensil, a union, a useful, a unit

มาขยายข้างหน้านามนัน ้ ให้ใช้ an เช่น

นการพูดถึงครัง้แรก )

อุปนิสัยเหมือนผู้ท่ีต้องกำรเปรียบเทียบ

นสุนทรภู)่ ของโรงเรียนเรา

รงเรียนเรา ( เพียงคนเดียว) นเดียวในครอบครัวเรา

เช้ือชำติ ศำสนำ

อำกำรเจ็บป่วย

est ( เจ็บหน้าอก ) )

ศไทยประทับใจพวกเขามาก

น่ารักอย่างเขาก็ไม่ชอบเธอ

อย่างเร่งรีบ อารมณ์ดี/เสีย เฝ้ าดู ตัดสินใจ หาเลีย ้ งชีพ ทำาผิด ทำาเสียงดัง กล่าวสุนทรพจน์ อธิษฐาน ทำาให้ขายหน้า ขอร้อง โกหก มอง ดู เก็บเป็ นความลับ อยู่ในฐานะท่ีจะ อย่างมาก ให้ข้อสังเกต ล้อเล่น

บางครัง้ท่ีเราต้องการเน้นตัวเลข สามารถใช้ one กับนามนับได้เอกพจน์ เช่น

ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรือเรียนภาษาอังกฤษ เป็ นภาษาต่างประเทศ ( English as a Foreign Language )

reign Language ) เน่ อ ื งจากเป็ นเร่ อ ื งท่ีมักจะตัดสินใจยากว่าอะไรเป็ นนามนับได้ และอะไรเป็ นนามนับไม่ได้ บางครัง้คำาเดียวกันสามารถเป็ นได้ทัง้สองอย่าง เป็ นเร่ ือ

ารถเป็ นได้ทัง้สองอย่าง เป็ นเร่ ืองท่ม ี ีกฎเกณฑ์มาก และขณะเดียวกัน ก็มข ี ้อยกเว้นมากเช่นกัน ต้องอาศัยความจำาและประสบการณ์ ในการใช้ภาษา เป็ นเวลานานจึงจะส

ารใช้ภาษา เป็ นเวลานานจึงจะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง

Related Documents

English Grammar
November 2019 30
English Grammar
May 2020 19
English Grammar
November 2019 23
English Grammar
July 2020 19
English Grammar
November 2019 16
English Grammar
May 2020 12