บิดอะฮฺ (อุตริกรรมในศาสนาของอัลลอฮฺ)
แปลโดย : มุฮาญิรีน
คำำ ว่ ำ บิ ด อะฮฺ ใ นควำมหมำยทำงภำษำศำสตร์ ห มำยถึ ง ‘สิง ่ ทีถ ่ ูก ประดิษฐ์ข้ึนใหม่’ ส่วนนิ ยำมของคำำว่ำบิดอะฮฺในทำงชะรีอะฮฺหมำยถึง “แนวทางใหม่ที่
ถูกประดิษฐ์ข้ึน(ทัง ้ ทางความเชื่อและการปฏิบัติ)ในศาสนา, ในการ
ตักลีดเรื่องชะรีอะฮฺ(ข้อบังคับ) เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ แต่ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ นสิ่ ง มาจากหลั ก ฐานที่ เ ชื่ อ ถื อ ได้ ไม่ รู้ ที่ ม าหรื อ วิ ธี ก าร ปฏิบัติของมัน” อัล-อิอฺติซาม ของ อัช-ชาติบีย์ (1/37)
ท่ำนรสูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)กล่ำวว่ำ “ทุกๆบิดอะฮฺ
นั ้น หลงผิ ด และออกนอกลู่ น อกทาง ” บั น ทึ ก โดยอบู ด าวู ด (ลำา ดั บ ที่
4607), อัต-ติรฺมิซีย์(ลำาดับที่2676) อิบนุ หะญัรฺ รับรองไว้ว่าเศาะฮิ้หฺ ในตัครีจ อะหะดีษ อิบนุล-ฮาญิบ (1-137)
และตั ว ท่ ำ น(ศ็ อ ลลั ล ลอฮุ อ ะลั ย ฮิ ว ะสั ล ลั ม )ได้ ก ล่ ำ วไว้ อี ก ว่ ำ “...และ ทุ ก ๆบิ ด อะฮฺ นั ้ น หลงผิ ด และทุ ก ๆความหลงผิ ด นั ้ น อยู่ ใ นนรก ”
บัน ทึกโดยอั น -นาสาอีย์ (1/224) จากญาบิ รฺ บิ น อับ ดุล ลอฮฺ และท่ านเชคุ ล อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺกล่าวว่าเศาะฮิ้หฺ ในมัจญ์มูอฺ อัล-ฟั ตวา (3/58)
ท่ ำ นรสู ล (ศ็ อ ลลั ล ลอฮุ อ ะลั ย ฮิ ว ะสั ล ลั ม )ยั ง ห้ ำ มไม่ ใ ห้ เ รำไปเป็ นมิ ต ร, สนับสนุนหรือคุยกับคนที่ทำำ บิดอะฮฺ ดังที่หะดีษกล่ำวว่ำ “ใครก็ตามทีท ่ ำา บิดอะฮฺหรือปรองดองกับผู้ทีท ่ ำาบิดอะฮฺ คำาสาปแช่งจากอัลลอฮฺ, บร รดามลาอิ ก ะฮฺ ข องพระองค์ และมนุ ษ ชาติ ทั ้ง ปวง จะตกอยู่ ที่ เขา” บันทึกโดยบุคอรีย์(12/41)และมุสลิม(9/140)
และตำมรอยเท้ ำของท่ ำนนั้ น เรำจะพบว่ ำ บรรดำเศำะหำบะฮฺ ผู้แ สน ประเสริฐทั้งหลำยและบรรดำตำบิอีนได้เตือนถึงอันตรำยของบิดอะฮฺท่ีมีต่อ ประชำชำติ และควำมเป็ นเอกภำพ นับตั้งแต่บิดอะฮฺได้สร้ำงควำมแตกแยก แก่ประชำชำติให้แตกออกเป็ นเสี่ยงๆ
ท่ำนอิบนุ อับบำส(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.68)กล่ำวว่ำ “แท้จริงสิง ่ ทีอ ่ ัลลอฮฺ
ทรงเกลี ย ดชั งที่สุด คื อ บิ ด อะฮฺ ” บั น ทึ ก โดย อั ล -บั ย หะกี ย์ ใน อั ส -สุนัน อัล-กุบรอ (4/316)
ท่ ำ นอิ บ นุ อุ มั รฺ (เสี ย ชี วิ ต ปี ฮ.ศ.84)กล่ ำ วว่ ำ “ทุกๆบิดอะฮฺนัน ้ คือ ความหลงผิด ถึงแม้ว่าผู้คนจะเห็นว่ามันดีงามก็ตาม” บันทึกโดย อบู ชามะฮฺ (ลับดับที่ 39)
ท่ำนอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัล ได้กล่ำวว่ำ “คนบาป(ฟาสิก)ทีส ่ ุดในหมู่ชา วสุนนะฮฺ ยังประเสริฐกว่าคนทีเ่ คร่งครัดทีส ่ ุดในหมู่ชาวบิดอะฮฺ” ท่ำนอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูด(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)กล่ำวว่ำ “จงตามและ
จงอย่ า ทำา บิ ด อะฮฺ , สำา หรั บ พวกท่ า นนั น ้ ได้ รั บ ในสิ่ง ที่ เพี ย งพอแล้ ว และทุกๆบิดอะฮฺนัน ้ คือความหลงผิด” บันทึกโดยอบูคัยษะมะฮฺ ใน กิตา บุล-อิลมฺ (ลำาดับที่ 540) และเชคอัลบานีย์กล่าวว่าเศาะฮิ้หฺ
ท่ำนอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบำส(รอฎิยล ั ลอฮุอันฮุ)ได้กล่ำวอีกว่ำ “เมื่อใด บิด อะฮฺ ถูก สร้ างขึ้น เมื่ อ นั น ้ สุ น นะฮฺ ก็ ต าย และจะเป็ นเช่ น นี้ จ นกระ ทัง่ บิดอะฮฺดำารงอยู่และสุนนะฮฺได้ตายจากไป” ท่ำนอัล-อิรฺบำด อิบนุ ซำรียะฮฺ(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ )รำยงำนว่ำท่ำนรสูล กล่ำวว่ำ “...ฉันได้ท้ิงคำาชี้นำาที่ชัดเจนแก่พวกท่านแล้ว กลางคืนของ มันนัน ้ เหมื อนกลางวั น จะไม่มี ใครหันเหไปจากมั นนอกจากว่า เขา นั น ้ ได้ ทำา ลายมั น ” บั น ทึ กโดยอะหฺ มั ด , อิ บ นุ มาญะฮฺ (ลำา ดั บ ที่ 43) และ อัล-หากิม และเชคอัลบานีย์ว่าเศาะฮิ้หฺ ในอัศ-เศาะฮิหะฮฺ (ลำาดับที่ 937)
อัล-มัรฺวาซีย์ได้รายงานใน อัส-สุนนะฮฺ (ลำาดับที่ 95) ว่ำท่ำนอุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซีซกล่ำวว่ำ “ไม่มีข้ออ้างสำาหรับคนหนึ่งคนใดว่าเขาหลงทาง หลังจากทีส ่ ุนนะฮฺได้มายังพวกเขาแล้ว ซึง ่ เขาเห็นว่ามันคือทางนำา”
ท่ำนหะสัน อิบนุ อัฏฏิยะฮฺ ตำบิอีนท่ำนหนึ่ งกล่ำวว่ำ “เมื่อใดทีผ ่ ู้คน ยอมรับบิดอะฮฺ อัลลอฮฺก็จะนำา สุ นนะฮฺอ อกจากพวกเขา และจะไม่ คืนกลับให้จนกระทัง่ วันกิยามะฮฺ” ท่ำนอัล-บำรฺบำฮำรีย์ อุละมำอฺยุคเก่ำท่ำนหนึ่ งในกลุ่มของอิมำมอะหฺ มัด อิบนุ ฮัมบัลกล่ำวว่ำ “จงระวังบิดอะฮฺ เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺมันเริม ่ จากสิ่ ง เล็ ก ๆซึ่ ง ดู ค ล้ า ยคลึ ง กั บ ของจริ ง ซึ่ ง ผู้ ค นก็ โ ง่ เ ขลาไปเจริ ญ รอยตามมั น จนกระทั ง ่ มั น เริ่ ม ขยายใหญ่ ข้ึ น ใหญ่ ข้ึ น แล้ ว ผู้ ค นก็ ตกหลุมพราง ซึง ่ มันได้พาพวกเขาออกจากอิสลาม” เชค อั ล -บำรฺ บ ำฮำรี ย์ (เสี ย ชี วิ ต ปี ฮ.ศ.329)ครั้ ง หนึ่ ง ได้ ก ล่ ำ วว่ ำ “ขอ อั ล ลอฮฺ ท รงเมตตาพวกท่ า น พวกท่ า นจงรู้ ไ ว้ ว่ า ศาสนานี้ มาจา กอั ลลอฮฺ ผู้ท รงจำา เริ ญ ผู้ท รงสู ง ส่ ง มันไม่ ใช่ สิ่ง ที่ม าจากปั ญญาและ ความเห็ น ของมนุ ษ ย์ ความรู้ ข องมั น มาจากอั ล ลอฮฺ แ ละรสู ล ของ พระองค์ ดั ง นั ้น จงอย่ า ปฏิ บั ติ อ ะไรตามพื้ นฐานความต้ อ งการของ ท่าน และอย่าหันเหออกไปจากศาสนาและทิ้งอิสลาม ไม่มีข้ออ้า ง สำา ห รั บ พ ว ก ท่ า น นั บ ตั ้ ง แ ต่ ร สู ลุ ล ล อ ฮฺ ไ ด้ อ ธิ บ า ย สุ น น ะ ฮฺ แ ก่ ประชาชาติของท่าน และได้ให้ความกระจ่างชัดแล้วแก่บรรดาเศาะ หาบะฮฺ พวกเขาคือญะมาอะฮฺ และพวกเขาคือกลุ่มใหญ่ที่เป็ นเนื้ อ แท้ และเนื้ อแท้นัน ้ คือสัจธรรม รวมทัง ้ ผู้ทีเ่ จริญรอยตาม” และเรื่อง(บิดอะฮฺ )นี้ ยังได้ถูกชี้แจงไว้โดยอิมำมมำลิก (รอฮิมำฮุลลอฮฺ ) ในรำยงำนคำำ พู ด ของเขำซึ่ ง ยอดเยี่ ย มสมควรที่ จ ะใส่ ก รอบทองไว้ ซึ่ ง เขำ กล่ำวว่ำ “ใครก็ตามทีน ่ ำาบิดอะฮฺเข้ามาสู่อิสลาม โดยทีเ่ ขาเห็นว่ามัน เป็ นสิ่ ง ที่ ดี นั ่น หมายความว่ า เขาได้ ก ล่ า วหาว่ า ท่ า นมุ ฮั ม มั ด ได้ ทรยศต่ อ (หน้ า ที่ )การนำา สาสน์ ข องท่ า น โปรดอ่ า นพระดำา รั ส ขอ
งอัลลอฮฺผู้ทรงอำา นาจผู้ทรงยิ่งใหญ่: ‘วันนี้ ข้าได้ให้สมบูรณ์ แก่พวก เจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ความครบถ้วนแก่พวก เจ้าแล้ว และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็ นศาสนาแก่พวกเจ้า’ [สูเราะฮฺ อั ล -มาอดะฮฺ 3] ดั งนั น ้ อะไรก็ ต ามที่ไ ม่ ใ ช่ (ส่ ว นหนึ่ ง ของ)ศาสนาใน
วันนัน ้ มันก็ไม่ใช่(ส่วนหนึ่ งของ)ศาสนาในวันนี้ และจะไม่มีสิ่งใดถูก แก้ไ ขในยุ คหลั งของประชาชาติ น้ี นอกจากว่ า สิ่ ง นั ้นจะถู ก แก้ ไ ขไว้ ตัง ้ แต่ตอนต้นแล้ว”
ท่ ำ นอิ บ นุ ตั ย มี ย ะฮฺ ได้ให้บทควำมดีๆไว้ในหนังสือของท่ำนว่ำ “แท้จริง การกุฟรฺของชาวยิวและชาวคริสต์นัน ้ ก็เริม ่ มาจากบิดอะฮฺ พวกเขานำา สิ่ ง ใหม่ เ ข้ า มาสู่ ศ าสนา และสิ่ ง เหล่ า นั ้น นำา พาพวกเขา ออกจากศาสนาทีแ ่ ท้จริงของมูซาและอีซา อะลัยฮุมมะสลาม” ท่ำนอิบนุ ก็อยยิม อัลเยำซียะฮฺ กล่ำวว่ำ “การทำาสงครามกับกลุ่ม บิดอะฮฺนัน ้ ยิง ่ ใหญ่กว่าการทำาสงครามกับ มุชริกีน” แปลจาก
http://www.allaahuakbar.net/bidah/index.htm
- (www.allaahuakbar.net) องค์กรอันศอรฺ อัสสุนนะฮฺ ประเทศอินเดีย -