Lecture Note 11 ความไมสมมาตรของขอมูล (Asymmetric Information) อ.ดร.กรกรัณย ชีวะตระกุลพงษ
ในบทนี้ เราจะมาพิจารณาสาเหตุของความลมเหลวของตลาดในกรณีนี้สุดทาย คือกรณี ที่มีความไมสมบูรณของขอมูล กลาวคือ ขอมูลที่ผูมีสวนไดสวนเสียในตลาดแตละฝายมีนั้นไม เทากัน เชน ผูขายอาจจะมีขอมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑมากกวาผูซื้อ จึงทําใหเกิดความลมเหลว ของตลาด กลาวคือ ดุลยภาพที่ไดจากตลาดนั้น จะไมเปนจุดที่มีประสิทธิภาพของสังคม (social optimal) โดยในที่นี้ เราจะพิจารณาความไมสมมาตรของขอมูล แบงเปน 2 ประเภทดวยกัน กลาวคือ 1. Adverse selection 2. Moral Hazard Adverse selection เปนลักษณะของความไมสมมาตรของขอมูลในรูปแบบที่คูสัญญาฝายหนึ่ง มีขอมูลนอย กวาอีกฝายหนึ่ง หรือกลาวโดยทั่วไปคือ เปนลักษณะที่ ธรรมชาติจะเลือกลักษณะของคูสญ ั ญา ฝายหนึ่งให โดยที่มีเพียงตัวเขาเทานั้นที่รูลักษณะของตน (เชนคุณภาพสูง หรือคุณภาพต่ํา) ในขณะที่คสู ญ ั ญาอีกฝายจะไมมีโอกาสรูถึงลักษณะของคูสัญญาของตนจนกวาการทําสัญญาจะ สิ้นสุดแลว แตลักษณะดังกลาว กลับมีผลตอผลตอบแทนของเขา ดังนั้น บางครั้งเราจะเรียก ปญหานี้วา “การมีขอมูลแอบแฝง (Hidden Information)” ตัวอยางที่ 1: Lemon Market ตัวอยางคลาสสิคอันหนึ่งของปญหา adverse selection คือ lemon market หรือตลาด รถยนตมือสองนั่นเอง เวลาที่เราไปซื้อรถยนตมือสองในตลาด สวนมาก เราจะไมทราบถึง คุณภาพของรถยนตที่แทจริง จนกวาจะไดซื้อมาใชแลว ในขณะที่ผูขายสามารถทราบถึง คุณภาพของรถยนตของตนเองกอนจะขายได สมมติให สําหรับผูบริโภคแลว มูลคารถยนตคุณภาพดีเทากับ 2400 บาท สวนมูลคา รถยนตคุณภาพต่ําเทากับ 1200 บาท โดยรถยนตมีโอกาสเปนรถคุณภาพดีและคุณภาพต่ําเทา ๆ กัน เทากับ 0.5 สําหรับผูขายนั้น รถยนตที่มีดี มีมูลคาตอเขาเทากับ 2000 บาท และรถยนต ที่มีคุณภาพต่าํ มีคุณภาพตอเขา 1000 บาท กรณีที่ 1: กรณีผลลัพธที่มีประสิทธิภาพของสังคม (Social Efficient Outcome) พิจารณาการหาผลลัพธที่มีประสิทธิภาพที่สุดของสังคมไดจากการหาปริมาณสินคาที่ทํา ใหสวนเกินรวม (total surplus) ในสังคมสูงที่สุด โดยในที่นี้ Consumer surplus = value of buyers - price Producer surplus = price – seller’s reservation price (willingness to sell) Total surplus = value - seller’s reservation price (willingness to sell)
ดังนั้น ในที่นี้ การทําใหสวนเกินรวมสูงที่สุด กคือการขายรถยนตทั้งที่มีคุณภาพสูงและ ต่ํา เนื่องจากรถยนตทั้ง 2 ชนิดนั้น ผูซื้อใหมูลคาที่สูงกวาผูขาย โดยตั้งราคาระหวางมูลคาที่ผูซอื้ ตีคา กับมูลคาที่ผูขายเต็มใจจะขาย กรณีนี้จะไดรับผลลัพธออกมาเปนจุดที่มีประสิทธิภาพของ สังคม กรณีที่ 2: กรณีที่มีความไมสมมาตรของขอมูล ในกรณีที่เกิดความไมสมมาตรของขอมูลขึ้น เราจะพบวามีดุลยภาพที่เปนไปไดใน 3 ลักษณะดวยกัน ซึ่งเราจะพิจารณาดุลยภาพแตละแบบวาเปนไปไดหรือไม 1. Pooling equilibrium ดุลยภาพแบบ pooling เปนดุลยภาพแบบที่รถยนตทั้ง 2 คุณภาพสามารถขายได ในราคา เดียวกัน กลาวคือ ณ เวลาที่ผูซื้อเห็นราคาและจายซื้อสินคา ผูซื้อไมสามารถบอกไดวา รถยนต ที่ตนเองกําลังซื้ออยูนั้น เปนรถที่มีคุณภาพต่ําหรือสูง ุ ภาพดีไดขาย 2. Separating equilibrium ที่มีแตรถยนตคณ เวลาที่เราพูดถึงดุลยภาพแบบ separating เราจะหมายถึง กรณีที่ผูซื้อสามารถทราบถึง คุณภาพของรถยนตไดในเวลาที่ซื้อ เนื่องจากการตั้งราคาที่ไมเทากัน ระหวางรถยนตคุณภาพดี และไมดี โดย separating equilibrium แบบหนึ่งก็คือ กรณีที่มีแตรถยนตคุณภาพดีเทานั้นที่ขาย ออกไปได และผูซื้อรูไดวา รถยนตทตี่ นเองกําลังซื้ออยูนั้นเปนรถคุณภาพดี 3. Separating equilibrium ที่มีแตรถยนตคณ ุ ภาพต่ําไดขาย กรณีนี้จะเปนกรณีตรงขามกับขอ 2 กลาวคือ ผูซื้อสามารถแยกแยะคุณภาพของรถได แตมี เพียงรถยนตคุณภาพต่ําเทานั้นที่ขายได ลองมาพิจารณาจากตัวอยางของเราวา ดุลยภาพที่เกิดขึ้น จะเปนดุลยภาพแบบไหน หมายเหตุ: ดุลยภาพที่เกิดขึ้น สามารถเกิดขึ้นมากกวา 1 ลักษณะได เราจะเริ่มพิจารณาจากดุลยภาพแบบแรก คือ pooling equilibrium หากเปนดุลยภาพ แบบนี้ มูลคาที่ผูซื้อจะใหกับรถยนตแตละคันจะเทากับ expected value ซึ่งก็คือ E(V) = ½ (2400) + ½ (1200) = 1800
นั่นคือ ผูซื้อจะไมยอมจายเงินมากกวา 1800 บาท ในการซื้อรถยนตแตละคัน อยางไรก็ ตาม เราจะเห็นไดวา สําหรับผูขายแลว เขาตองการขายรถยนตคุณภาพดีในราคาไมนอยกวา 2000 บาท ดังนั้น จึงเหลือแตรถยนตคณ ุ ภาพไมดีเทานั้น ที่เขาจะเต็มใจขายในราคา 1800 บาท เมื่อนําเหตุผลนี้มาพิจารณาประกอบแลว จะพบวาเปนไปไมไดทจี่ ะมีดุลยภาพแบบ pooling equilibrium เนื่องจากที่ราคาที่ผูซื้อเต็มใจจะซื้อใน pooling equilibrium มีเพียงรถยนตคุณภาพ ต่ําเทานั้นที่จะถูกขาย และเมื่อผูซื้อรูเชนนี้แลว เขาจะตีคารถต่ําลงไปเปน 1200 บาทนั่นเอง ดังนั้น ตัวอยางนี้จึงไมมี pooling equilibrium ตอมา พิจารณาในกรณีที่ 2 คือ separating equilibrium ที่มีแตรถยนตคุณภาพสูง เทานั้นถูกขาย ในกรณีนี้ ผูซื้อจะใหมูลคารถยนตเทากับ 2400 บาท นั่นคือ ผูขายไมสามารถตั้ง ราคาขายเกินกวานี้ได แตการตั้งราคาเทานี้ ผูขายรถยนตคุณภาพต่ําก็เต็มใจจะขายรถเชนกัน
(เนื่องจากเคาตองการราคาไมต่ํากวา 1000 บาท) ดังนั้น ผูขายรถยนตทั้ง 2 ประเภทจะนํา รถยนตมาขาย จึงไมสามารถเกิด separating equilibrium แบบที่มแี ตรถยนตคณ ุ ภาพดีขายได กรณีสุดทายคือ separating equilibrium ที่มีเพียงรถยนตคุณภาพต่ําเทานั้นทีถ่ ูกขาย กรณีนี้ ผูซื้อจะยอมซื้อในราคาไมเกินกวา 1200 บาท และผูขายตองการราคาที่ไมต่ํากวา 1000 บาท ดังนั้น ผูขายจะตั้งราคา 1000 ≤ p ≤ 1200 และผูซื้อจะซื้อแตรถยนตคุณภาพต่าํ และนี่คือ ดุลยภาพที่เกิดขึ้นในตลาด ซึ่งจะเห็นไดวาตางจากจุดที่มีประสิทธิภาพ กลาวคือ รถยนตทั้ง 2 แบบควรจะถูกขาย ปญหาในตัวอยางนี้ คือสิ่งที่เราเรียกวา “lemon market problem” กลาวคือ ความไม สมมาตรของขอมูล กอใหเกิดดุลยภาพที่มีเพียงรถยนตคุณภาพต่าํ เทานั้น ขายในตลาดรถยนต มือสอง ตัวอยางที่ 2: Quality Choice พิจารณาตลาดขายรม โดยที่ผูซื้อไมสามารถทราบถึงคุณภาพของรม ณ เวลาที่อยูใน รานได จะตองไดใชรมเปนที่เรียบรอยแลว จึงจะทราบไดวารมทีซ่ ื้อมานั้นมีคุณภาพต่ําหรือสูง กอนที่จะเขาสูต ลาด ผูขายสามารถเลือกไดวาจะผลิตรมคุณภาพต่ําหรือสูง โดยรมทั้ง 2 คุณภาพ จะถูกผลิตดวยตนทุนหนวยสุดทายเทากับ $11.50 และไมมีตนทุนคงที่ นอกจากนี้ ยังสมมติให ตลาดขายรมเปนตลาดแขงขันสมบูรณ กลาวคือราคาขายจะเทากับตนทุนหนวยสุดทาย สมมติ ใหผูบริโภคตีมูลคารมคุณภาพสูงเทากับ $14 และรมคุณภาพเทากับ $8 กรณีที่ 1: Social Efficient Outcome เนื่องจากมีเพียงรมคุณภาพสูงเทานั้นมีผูบริโภคตีคาสูงกวาตนทุนหนวยสุดทาย ดังนั้น ผลลัพธที่มีประสิทธิภาพคือผูผลิตทุกคนผลิตรมคุณภาพสูงออกขาย กรณีที่ 2: Asymmetric Information สมมติใหมีเพียงผูผลิตเทานั้น จะทราบถึงคุณภาพรมที่ตนเองผลิต กรณีนี้ ดุลยภาพของ ตลาดจะออกมาเปนอยางไร? เรายังอาศัยการวิเคราะหดุลยภาพ 3 แบบที่เคยไดแสดงใน ตัวอยางที่แลวมาใช 1. Separating equilibrium ที่มีเพียงรมดีเทานั้นที่ถูกผลิต ในกรณีนี้ หากผูผลิตทุกคนเลือกผลิตรมที่มีคุณภาพดี ผูผลิตจะขายรมในราคา $11.50 ซึ่งต่ํากวามูลคาที่ผูบริโภคตีใหกับรมคุณภาพสูง ดังนั้นจึงสามารถเกิดดุลยภาพแบบนี้ได 2. Separating equilibrium ที่มีเพียงรมคุณภาพต่ําเทานัน้ ที่ถูกผลิต ในกรณีที่ผูผลิตทุกคนเลือกผลิตรมที่มีคณ ุ ภาพต่ํา ผูซื้อจะตีมูลคารมในตลาดเทากับ $8 ซึ่งต่ํากวาราคารมที่ผูผลิตจะขายในตลาด ดังนั้นจึงไมเกิดดุลยภาพในกรณีนี้ขึ้น 3. Pooling equilibrium กรณีที่ผูผลิตบางคนเลือกผลิตรมคุณภาพต่ํา ขณะที่ผูผลิตบางคนเลือกผลิตรมที่ คุณภาพสูง โดยใหสัดสวนของผูผลิตเลือกผลิตรมคุณภาพสูงจะเทากับ q กรณีนี้จะเปนดุลย
ภาพไดก็ตอเมื่อ expected value ของรมที่มีอยูในตลาดมีคาไมต่ํากวาราคาขายรมของผูผลิต กลาวคือ 14q + 8(1 − q) ≥ 11.5 q ≥ 7 / 12
ดังนั้น ดุลยภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นไดตอเมื่อมีสัดสวนของผูผลิตที่เลือกผลิตรมคุณภาพสูง มากกวา 7/12 หรือ q ∈ [7 / 12,1] และจะทําการขายรมที่ราคา $11.50 ตัวอยางที่ 3: Quality Choice with different marginal cost จากตัวอยางที่ 2 สมมติใหตน ทุนหนวยสุดทายในการผลิตรมคุณภาพต่ําเทากับ $11 เรา สามารถหาดุลยภาพของตลาด โดยพิจารณาดุลยภาพที่เปนไปไดทงั้ 3 กรณีดังที่ได 1. Separating equilibrium ที่มีแตรมดีเทานั้นที่ถูกผลิต ในกรณีนี้ รมดีจะถูกขายทีร่ าคา $11.50 อยางไรก็ตาม เนื่องจากผูผลิตรมคุณภาพต่ํา สามารถผลิตรมที่ตนทุน $11 เทานั้น ดังนั้น เคาจึงสามารถแกลงเปนผูผลิตรมดีและขายที่ราคา $11.50 ไดเชนกัน เพื่อใหไดกําไร $0.50 บาทตอคัน ดังนั้นจึงไมเกิดดุลยภาพแบบนี้ 2. Separating equilibrium ที่มีแตรมคุณภาพต่ําเทานั้นทีถ่ ูกผลิต ในกรณีนี้ รมจะถูกขายทีร่ าคา $11 แตผูซื้อมีความพอใจตอรมคุณภาพต่ําเพียง $8 เทานั้น จึงเลือกที่จะไมซื้อหากมีการผลิตรมคุณภาพต่ําขึ้นมาจริง ดังนั้นจึงไมเกิดดุลยภาพนี้ขึ้น 3. Pooling equilibrium ในกรณีที่มีผูผลิตบางสวนเลือกที่จะผลิตรมคุณภาพดี ในขณะทีบ่ างสวนเลือกผลิตรม คุณภาพต่ํา และขายที่ราคาเดียวกัน สมมติใหขายที่ราคา $11.50 ผูผลิตที่เลือกผลิตรมคุณภาพ ดีจะมีแรงจูงใจเปลี่ยนมาผลิตรมที่มีคุณภาพต่ําเพื่อเอากําไรจากสวนตาง และหากขายที่ราคาต่ํา กวา $11.50 ผูผลิตจะเลือกไมผลิตรมคุณภาพดีเชนกันเนื่องจากจะประสบกับภาวะขาดทุน ดังนั้นจึงไมมีดุลยภาพแบบ Pooling equilibrium เชนกัน จากตัวอยางนีเ้ ราจะเห็นถึงปญหาของ Adverse selection กลาวคือ จากความไม สมมาตรของขอมูล ทําใหไมมีตลาดรมเกิดขึ้นเลยในดุลยภาพ ถึงแมวาผลลัพธที่เหมาะสมทีส่ ุด ของสังคมคือการที่มีรมคุณภาพดีขายในตลาดก็ตาม การสงสัญญาณ (Signaling) ในสวนนี้เราจะมาพิจารณาถึงวิธีการแกไขปญหาที่เกิดจาก Adverse selection ที่เรา เรียกวาการสงสัญญาณ ตัวอยางเชน ในกรณีของตลาดรถยนตมือ 2 ผูขายรถคุณภาพสูงก็อาจที่ จะขายรถของตนเชนกัน ดังนั้น เขาจึงสามารถสงสัญญาณใหผูซื้อทราบวารถของตนนั้นเปนรถที่ มีคุณภาพดี โดยวิธีการทีท่ ําไดอยางเชน การรับประกัน (warranty) นั่นคือ มีการตกลงจะรับ ซอมในกรณีที่รถเกิดมีปญหาขึ้นมา ซึ่งจะตองเปนการรับประกันในลักษณะที่มีเพียงผูขายรถ คุณภาพสูงเทานั้นที่จะทําได สําหรับผูขายรถคุณภาพต่ําแลว ตนทุนในการรรับประกันสูงเกินไป จึงทําใหการรับประกันสามารถสงสัญญาณใหกับผูซื้อเพื่อใหทราบถึงคุณภาพของรถได
ตัวอยางเชน การรับประกันในลักษณะของการคืนเงินใหกับผูซื้อกรณีที่รถนั้นมีคณ ุ ภาพต่ํา โดย คืนเงินเปนจํานวน 1500 บาท เปนตน ตัวอยางที่ 4: สมมติวามีแรงงานอยู 2 ประเภท ไดแก แรงงานที่มีคุณภาพสูง (high productivity type) และแรงงานที่มีคุณภาพต่ํา (low productivity type) โดยที่แรงงานคุณภาพสูงมี MPL เทากับ a 2 และแรงงานคุณภาพต่ํามี MPL เทากับ a1 โดยที่ a 2 > a1 นอกจากนี้โอกาสที่ แรงงานจะเปนแรงงานคุณภาพสูงมีคาเทากับ b สมมติเพิ่มเติมใหฟงกชั่นการผลิตของบริษทั นี้ แทนดวย Yi = ai Li เมื่อ i คือประเภทของแรงงาน แรงงานทุกคนมี reservation wage เทากับ 0 (กลาวอีกนัยหนึ่งคือ แรงงานจะตัดสินใจ ทํางานหากไดรับคาจางมากกวา 0 บาท) กําหนดใหทั้งตลาดแรงงานและตลาดสินคาเปนตลาด แขงขันสมบูรณ โดยราคาสินคาตอหนวยเทากับ $1 กรณีที่ 1: กรณีที่ขอมูลสมบูรณ ในกรณีนี้ แรงงานจะไดรับคาจางเทากับ MPL x P = a1 ถาเปนแรงงานคุณภาพต่ําและ a 2 ถาเปนแรงงานคุณภาพสูง กรณีที่ 2: กรณีที่มีความไมสมมาตรของขอมูล และไมมีการสงสัญญาณ (no signaling) ในกรณีนี้ บริษัทจะจายคาแรงใหกับทุก ๆ คนเทา ๆ กัน โดยเทากับ expected productivity นั่นคือ w = (1 − b)a1 + ba 2 กรณีที่ 3: มีการสงสัญญาณ สมมติใหแรงงานแตละคนสามารถเขารับการศึกษาได โดยระดับการศึกษาจะไมมีผลตอ ประสิทธิภาพในการทํางาน สมมติใหตนทุนในการเขารับการศึกษาของแรงงานคุณภาพต่ํา เทากับ c1 และของแรงงานคุณภาพสูงเทากับ c 2 ตอการศึกษา 1 ระดับ โดยที่ c1 > c 2 แรงงานระดับสูงจะมีแรงจูงใจที่จะทําการศึกษาในระดับที่ทําใหนายจางสามารถแยก ตนเองออกจากแรงงานที่มีคุณภาพต่ําได เพื่อใหไดคาจางที่สูงขึ้น ซึ่งการจะเกิด separating equilibrium แบบนี้ไดนั้น จะตองมีการศึกษาในระดับ e* ซึ่งมีลักษณะที่แรงงานระดับต่ําจะไม ทําการศึกษาในระดับนี้ ในขณะแรงงานระดับสูง จะไดประโยชนในการศึกษาในระดับนี้ เพื่อให ไดรับคาแรงทีส่ ูงขึ้น ซึ่งเงื่อนไขของการศึกษาในระดับ e* ไดแก a 2 − a1 < c1e * (1) แรงงานระดับต่ําจะไมสามารถรับการศึกษาระดับนี้ เพือ่ ปลอมตัวเปนแรงงานระดับสูงได และ a 2 − a1 > c 2 e * (2) แรงงานระดับสูง จะไดรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับตนทุนทีเ่ ขาตองจาย เพื่อใหไดรับการศึกษา เมื่อรวมเงื่อนไขที่ (1) และ (2) เขาดวยกัน จะไดวา ระดับการศึกษาที่เหมาะสมเพื่อสง สัญญาณใหทราบถึงการเปนแรงงานคุณภาพสูงจะมีเงื่อนไขดังนี้
a − a1 a 2 − a1 < e* < 2 c2 c1
(3)
และจะเกิด separating equilibrium ที่นายจางสามารถแยกแรงงานจากระดับการศึกษา ได ก็ตอเมื่อ (3) เปนจริงเทานั้น ตอมา พิจารณาถึงระดับการศึกษาทีแ่ รงงานแตละประเภทจะเลือกในดุลยภาพ ให กลับมาพิจารณาวาระดับการศึกษานั้นไมไดมีผลกระทบตอ productivity ดังนั้นยอมไมมี ผลกระทบตอคาจางที่จะไดรับเชนกัน จึงกลาวไดวา แรงงานทุกประเภทจะพยายามเลือกระดับ การศึกษาทีต่ า่ํ ที่สุดเทาที่เปนไปได เนื่องจากการศึกษากอใหเกิดตนทุนเพียงอยางเดียว ในกรณี ตัวอยางนี้ ในกรณีของแรงงานคุณภาพต่ําแลว เคาจะเลือกที่จะไมมีการศึกษา หรือ e=0 ในสวน กรณีของแรงงานคุณภาพสูง เขาจะเลือกระดับการศึกษาที่ต่ําที่สุด เทาที่ทําใหนายจางแยกเขา ออกจากแรงงานคุณภาพต่ําได กลาวคือ
eH =
a 2 − a1 a − a1 +ε ≈ 2 c1 c1
ดังนั้นดุลยภาพในที่นี้จะเปน separating equilibrium ในลักษณะที่แรงงานคุณภาพสูง จะเลือกการศึกษาที่ระดับ
eH =
a 2 − a1 a − a1 +ε ≈ 2 c1 c1
และไดคาจางเทากับ
wH = a 2 สวน
แรงงานคุณภาพต่ําจะเลือกการศึกษาที่ระดับ e L = 0 และไดรบั คาจางเทากับ wL = a1 แตหากเงื่อนไข (3) ไมเปนจริงแลว ดุลยภาพแบบเดียวที่เกิดขึ้นไดคือ pooling equilibrium ที่ไดกลาวไปแลวในกรณีที่ 2 Moral Hazard ที่ผานมา เราศึกษาถึงกรณีที่ฝายหนึ่งฝายใด มีขอ มูลที่อีกฝายไมรับรู แตบางกรณี ปญหาอาจจะเกิดขึ้นทั้งที่ทั้ง 2 ฝายมีขอมูลครบถวน แตผลลัพธหรือผลตอบแทนขึ้นอยูกับการ กระทําของคูสญ ั ญาฝายหนึง่ ที่อีกฝายไมสามารถตรวจสอบได บางครั้งเราจึงเรียกปญหา Moral hazard วา “การมีการกระทําแอบแฝง (Hidden Action)” ตัวอยางของปญหา moral hazard เชน กรณีของการประกันสุขภาพ กอนทําการ ประกันสุขภาพ บริษัทประกันจะทําการตรวจสุขภาพของผูเอาประกัน ทําใหมีขอมูลสมบูรณ เกี่ยวกับสุขภาพของบุคคลนั้น อยางไรก็ตาม บริษทั ประกันไมสามารถตรวจสอบขอมูลความ ประพฤติของผูเอาประกันในชวงที่ถือประกันได เชน ผูเอาประกันอาจจะมีพฤติกรรมที่มีความ เสียงสูง อยางการดื่มเหลาหนัก สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน เปนตน เปนผลทําใหบริษัทประกันตอง จายคาชดใชมากกวาที่ควรจะเปนในขณะทําสัญญา เชนเดียวกับกรณีของการประกันรถยนต เมื่อผูทําประกันไดประกันรถยนตเรียบรอย อาจทําใหความประมาทในการขับขี่เพิม่ ขึ้น อีกตัวอยางหนึ่งของปญหา moral hazard คือการที่เจาของกิจการทําการจางผูจัดการ มาบริหารบริษัทแทนตัวเอง เจาของกิจการจะไมสามารถทราบไดวา ผูจัดการไดใชความพยายาม แคไหนในการทํางาน สิ่งที่เจาของกิจการสามารถตรวจสอบไดคือ พิจารณาวาผูจัดการ ดําเนินงานแลวไดกําไรเทาไหร ซึ่งกําไรนั้นแมวา จะขึ้นอยูกับความพยายามของผูจัดการสวน
หนึ่ง แตก็ยังขึ้นอยูกับปจจัยอื่น ๆ ดวย เชน สภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น แตการจายคาตอบแทน ใหกับผูจัดการ ไมสามารถจายใหตามความพยายามของผูจัดการ ซึ่งไมสามารถตรวจสอบได ทางเจาของกิจการจึงตองจายคาตอบแทนตามกําไรแทน ซึ่งกอใหเกิดปญหา moral hazard เชนเดียวกัน โดยบางครั้งเราจะเรียกปญหา moral hazard วา “principal-agent problem” ซึ่งมาจาก ตัวอยางนี้ กลาวคือ ความขัดแยงกันระหวางเปาหมายของ principal ที่ตองการผลตอบแทน สูงสุดผานความพยายามของ agent ที่มากที่สุด และ agent ที่ตอ งการเงินเดือนสูงสุด โดยใช ความพยายามนอยที่สุดเทาที่จะเปนไปได โดยเราสามารถเขียนปญหาของ principal-agent ได ดังนี้ 1. Principal ทําการออกแบบสัญญาถึงผลตอบแทนที่ agent จะไดรับในสถานการณ (outcome) ที่ออกมาตาง ๆ 2. Agent ตัดสินใจวาจะตอบรับสัญญาดังกลาวหรือไม 3. Agent เลือกระดับความพยายามที่จะใสเขาไปในงาน 4. ธรรมชาติเลือก state ที่จะเกิดขึ้น (เชนเศรษฐกิจดี vs เศรษฐกิจไมดี) 5. ผลลัพธ (outcome) ออกมา และ Principal จายคาตอบแทนใหกับ agent ซึ่งกรณีนี้ ผลลัพธที่จะออกมา เชนกําไร จะขึ้นอยูกับทั้ง state และความพยายามของ agent แตเนื่องจากความพยายามของ agent เปนสิ่งที่ principal ไมสามารถตรวจสอบได ดังนั้น principal จึงจายคาตอบแทน/คาจางใหกับ agent ตามผลลัพธทเี่ กิดขึ้น ซึ่งทําให agent มี แรงจูงใจที่จะโกงโดยการอูงาน หากคิดวาโอกาสที่เศรษฐกิจจะดีนั้นสูง ตัวอยางที่ 5: (แบบฝกหัดทําในชั้นเรียน) Suppose that there are two types of firm: 1 (bad) or 2 (good). The firm can be either good or bad with equal probability of 0.5. Each firm has 2 alternatives: i) Continue the current production and get the profit of $500 if firm is good and $150 if firm is bad. ii) Invest in the new project with the cost of $1000. If the project succeeds, any type of firm will get $2,000. Otherwise, it will get zero. If firm is of type 1, the probability of success is 3/5. If firm is of type 2, the probability of success is 4/5. Both types have a cashflow of $200. Therefore, if it decides to invest, it has to borrow the rest of funding from the financial market. Suppose that the financial market is perfectly competitive so that each lender seeks for zero profit. i)
ii)
Find the equilibrium of this market. Will it be separating or pooling equilibrium? What is the interest rate in the equilibrium? Which type will decide to invest? Suppose that the firm can put collateral to indicate its type, find the equilibrium value of collateral, c*, that leads to the separating equilibrium in which lenders can distinguish between good and bad firms. What will be the level of collateral that each type should? What will be the interest rate that lenders will charge from each type?